ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : คำร้องปาร์ตี้
“Tio ช่วยนั่งให้ตรงๆแล้วก็อย่าเพิ่งหลับนะ”
“หาวววววว~ว”
เป็นเวลาในยามเช้าที่ลูกสาวของเธอกับเด็กคนอื่นๆที่มีอายุพอๆกันต่างก็ไปโรงเรียน Shirley นั่งหลัง Tio ที่อยู่หน้ากระจกแล้วก็รวบผมอย่างบรรจง
Tio มีนิสัยเสียตรงที่ชอบง่วงอยู่บ่อยๆโดยที่ Sophie กับ Shirley นั้นไม่ได้รับผลตามด้วย การตื่นเช้านั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ
Sophie ที่ชอบเล่นเป็นพี่สาวนั้น ปกติจะคอยช่วยปลุก Tio ให้ตื่นขึ้นมาแล้วก็จัดตัวให้ในตอนเช้า แต่ทว่าเธอดูเหมือนจะตื่นขึ้นมาก่อนแล้วก็ลุกออกไปในขณะที่ Tio ยังหลับอยู่
นิสัยคืออะไรที่มันร้ายกาจชะมัด Shirley ที่มักจะใช้ให้ Sophie ไปช่วยจัดการอะไรให้ในตอนเช้าก็ถึงกับช็อคสุดขีดเมื่อ Tio มาที่ห้องรับประทานอาหารในชุดนอนโดยที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด หรือก็คือลืมเปลี่ยนชุดนั่นแหละ เธอก็เลยรีบพาลูกกลับห้องแล้วก็จัดการหวีผมแล้วก็ส่งไปโรงเรียนเลย
“จริงๆเลย มายังห้องรับประทานอาหารทั้งแบบนั้น ทำฉันรู้สึกเหมือนจะบอกว่ายังไงยังงั้นเลย แต่เธอก็อายุสิบขวบแล้วนะ เธอก็น่าจะดูแลตัวเองบ้างสิ”
“อืม แต่มันน่ารำคาญใจเลยจริงๆนะ”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ… เฮ้อ…”
Tio พยายามที่จะตื่นให้เต็มตัวหลังจากที่เกือบจะก้มหัวลงไปอีกครั้งแล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อและล้างหน้าด้วย Shirley ถึงกับถอนหายใจขณะที่มองเธออยู่
เด็กสาวควรที่จะดูแลตัวเธอเองได้แล้ว ถึงเธอจะเป็นนักผจญภัยมาแล้วสิบปี เธอก็ยังเป็นชนชั้นสูงมานานกว่าสองเท่าตัว
ถึงพวกเธอจะสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่ายและสุภาพ ก็ไม่มีใครบอกว่าเป็นครอบครัวที่น่ารังเกียจสักเท่าไร
ก็ไม่ได้โม้เกินจริงว่า Shirley กับลูกสาวเธอนั้นสวยสง่างามอย่างเหลือเชื่อ และก็ยังตกแต่งตัวพวกเธอเพียงแค่เสริมความขลังเข้าไปเท่านั้นเอง
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นนักผจญภัยที่เชี่ยวชาญในตัวตนที่สุดโหดและป่าเถื่อนก็ตาม ความภูมิใจของ Shirley ก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นแม่ที่คอยให้ลูกสาวเธอได้มองหาสิ่งดีๆเท่าที่จะทำได้
(อย่าง Sophie เองก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่เธอก็เกือบจะเหมือนคนที่จะดูแลเรื่องแบบนั้นได้บ้างแล้ว)
สิ่งเดียวที่จะรักษาบุคลิกที่ดีของเธอได้ก็ตอนอาบน้ำ ส่วนที่ต่างจากตรงนั้น ถ้าเธอไม่ได้ถูก Shirley หรือ Sophie จับตามองล่ะก็ Tio ก็คงจะสวมชุดนอนตลอดทั้งวันโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดหรือไม่ก็รวมผมแล้วก็ไปนอนตรงไหนเมื่อไรก็ได้ที่เธออยากโดยที่ไม่ใส่ใจว่าเธอจะไร้การป้องกันตัวอย่างไร
เธอนึกภาพลูกที่อยู่เหมือนอย่างกับแมว มันยากที่จะคอยควบคุมลูกสาวสุดที่รักของเธอได้
(ก็นะ บางทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีก็ได้?)
อย่างไรก็ตาม นี่คือ Shirley เป็นที่รู้จักในฐานะคุณแม่จอมเห่อสุดติงต๊อง เธอมักจะเพลิดเพลินไปกับการที่ต้องมาจู้จี้กับ Tio อยู่ตลอด
ถึงแม้ว่าเธอจะดีใจที่ Sophie เริ่มที่จะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาและมีความเป็นอิสระเกินวัย แต่ก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกเหงาบ้าง เธอก็เลยคอยจับตามองไปยัง Tio เกือบตลอดไว้เป็นความลับอย่างสนุกๆ
การที่ต้องมาทำอะไรที่จุกจิกเพื่อลูกสาวนั้นเป็นความสนุกของผู้หญิงที่เยี่ยมที่สุดในชีวิต
แต่นั่นก็เป็นปัญหา ไม่ว่า Shirley จะหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นสักแค่ไหนก็ตาม สุดท้าย Tio ก็จะต้องเติบโตและกลายเป็นผู้ใหญ่โดยอิสระด้วยตัวเองอยู่ดี
ถึงแม้ว่ามันเป็นความคิดที่รำคาญเธอมากก็ตาม วันหนึ่งเธออาจจะต้องเผชิญหน้ากับชายในจินตนาการที่เดินเคียงข้าง Tio
เธออาจจะเสียใจตลอดไปได้ถ้าหากชายที่อยู่ในฝันนั้นถูกปิดกั้นโดยพฤติกรรมที่ชุ่ยๆของเธอเอง
อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวไว้ว่าสิ่งนั้นย่อมไม่พอที่จะเป็นพ่อแม่ได้ การศึกษาภาครัฐของ Shirley นั้นถึงแม้ว่าเด็กสาวจะยังอายุน้อย พวกเธอก็น่าจะทำให้ดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันได้
…อย่างในกรณีนี้ ผลลัพธ์ที่เหลือก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ
“จะว่าไป แม่คะ จริงหรือที่แม่จะไม่กลับบ้านวันนี้กับวันพรุ่งนี้น่ะ?”
“จ้า แม่ขอให้ Martha มาทำกับข้าวให้แล้วล่ะ”
“หืมมมม… นานกว่าปกตินะ…”
นักผจญภัยบางคนจะใช้เวลาเกือบทั้งสัปดาห์ออกไปยังพื้นที่หลังจากที่รับคำร้องแล้ว
Shirley เป็นพวกนักผจญภัยที่จะรับคำร้องที่ใช้เวลาเดินทางออกนอกเมืองไม่มากกว่าหนึ่งวัน โดยไม่สนว่ามันจะยากหรือจะเป็นเงินรางวัลเท่าใด เพราะเธออยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกสาวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกเหตุผลหนึ่งที่เธอชอบที่จะสู้ใกล้ๆกับเมืองก็คือเธอสามารถสังหารมอนสเตอร์ที่ดูท่าจะพุ่งเข้าไปยังที่ๆลูกสาวเธออยู่ได้ทันที ถึงจะไม่เหมือนกับเรื่องที่เธอได้เสี่ยงภัยในที่ไกลๆก็เถอะ
“เอาล่ะ ตอนนี้ลูกต้องทานข้าวเช้าแล้วก็ต้องไปก่อนที่จะไม่ทันเวลานะ”
“อูวว… ถ้าแค่ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อนะ เรานี่ต้องทำมันอยู่ทุกวันแต่ก็น่ารำคาญชะมัด…”
“ไม่มีแบบนั้นหรอก สักวันลูกก็จะต้องทำแบบนี้ทุกวันด้วยตัวเองนะ รู้มั้ย?”
“จริงหรือ?”
“จริงจ้า”
ขณะที่เธอได้พูดโน้มน้าว Tio ที่ไม่เต็มใจนั้น เธอก็ลูบเส้นผมของลูก และรอยยิ้มบนใบหน้าเธอที่ไม่มีใครเห็นก็เติมเต็มไปด้วยความรักที่อบอุ่น
หลังจากที่เห็น Tio ไปโรงเรียนโดยสวัสดิภาพแล้ว Shirley ก็มาหยุดตรงที่ร้านตีดาบก่อนที่จะไปที่กิลด์
“อยากจะสั่งอีเต้อเหรอ?”
“คุณพูดอะไรออกมาน่ะ?”
Shirley หมวดคิ้วอย่างไม่พอใจใส่คนที่ทำงานในโรงในเมืองชายแดนนี้ คนแคระที่ชื่อว่า Dimros ที่มีหนวดเคราซ่อนไว้ใต้อก
“เราขายแต่อาวุธและชุดเกราะ ไม่ใช่เครื่องมือ ถ้าคุณอยากได้อีเต้อล่ะก็ ไปที่อื่นเหอะ”
“ไม่ใช่ว่าคุณเคยทำอีเต้อได้เจ๋งมาก่อนหรือ? อีเต้อทั้งหมดที่คุณให้กิลด์ยืมไปใช้นั่นก็ทำมาจากคุณทั้งนั้นเลย ไม่ใช่หรือไง?”
ต่อให้พวกนั้นทำตัวเย็นชาและทื่อก็ตาม คนแคราะก็คงเป็นเผ่าที่มีความรู้สึกต่อหน้าที่และการเอาใจใส่เป็นอย่างแรงอยู่ดี ถ้านักผจญภัยต้องการ พวกเขาก็จะทำตามคำร้องถึงร้านพวกเขาเลย แม้จะมีบางอย่างที่ไม่ได้ทำโดยปกติก็ตาม
“ถ้าคุณต้องการเพื่อเอาไปใช้สำหรับเหมืองล่ะก็ คุณเองก็เป็นนักผจญภัยใช่มั้ย? งั้นก็ไปยืมเอามาอันหนึ่งจากตรงนั้นล่ะกัน”
“ไม่ได้ต้องการเอาไปขุดเหมืองสักหน่อย เอาไปสำหรับทำคำร้องสังหารมอนสเตอร์ต่างหาก ฉันน่าจะยืมไปได้เพียงแค่ขอร้องดีๆ แต่ฉันไม่อยากจะต้องมาพูดอธิบายเหตุผลให้กับใครเลย”
ในกรณีใดๆที่จะเอาวัตถุดิบที่เธอต้องการมาให้ได้นั้น อีเต้อคือสิ่งจำเป็น และเนื่องจากเธอแค่อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าเธอไม่อยากทำให้ผลงานดูกระจอกๆจากของถูกๆ นอกจากอีเต้อนั่นจะทำโดยช่างตีเหล็กมืออาชีพ
“…บ้า งั้นก็รอสักครู่ล่ะกัน”
หลังจาก Dimros ได้หันกลับเข้าไปในร้าน Shirley ก็มองไปรอบๆยังอาวุธกับเกราะที่เรียงอยู่บนฝาผนัง
เหล็กทั้งหมดต่างก็ประณีตบรรจงในแบบดั้งเดิม และก็มีนักผจญภัยไม่กี่คนในร้านที่จะมีอาวุธนี้ในมือ โดยทดสอบฟันและสมดุล
“เฮ้ ดูคนสวยคนนั้นสิ”
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ในร้านตีเหล็กนี้ได้ล่ะ?”
“อสูรดาบนี่… นั่นใช่เธอจริงๆหรือ?”
ขณะที่ Shirley เดินเข้าไปดูดาบที่จับตาเธออยู่นั้น เธอก็เมินพวกนักผจญภัยหน้าใหม่ที่จ้องเธออย่างชื่นชมไปโดยสนิท นักผจญภัยที่อ่อนไหวในเมืองที่จ้องเธออย่างน่าประหลาดใจกับนักผจญภัยมือเก่าที่จ้องเธอด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจ
“หืม”
ร้านนี้มีขนาดกว้างพอเหมาะระหว่างที่ว่างกับชั้นแสดงสินค้าที่แตกต่างกัน จึงเหมาะที่จะให้ผู้ซื้อสามารถทดสอบอาวุธที่ถืออยู่ในมือได้
ถึงจะไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ใดๆ เธอก็มองเห็นว่าดาบนี้เป็นชิ้นงานระดับเอกของคนแคระช่างฝีมือขณะที่เธอลองเหวี่ยงได้
ถ้ามือสมัครเล่นเห็นเธอเข้า พวกนั้นก็คงจะคิดว่าเป็นผู้หญิงบอบบางกำลังเล่นดาบอยู่ แน่นอนว่าแม้แต่นักผจญภัยมือใหม่เองก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอได้เหวี่ยงของพวกนี้ไปจนน่าจะดูเหวี่ยงได้ง่ายดายนั้น ประสบการณ์ของนักดาบน่าจะนึกภาพได้ว่าดาบนั้นพอที่จะฟันผ่านเหล็กในมือเธอได้
“หืมม? นี่มัน… ผลงานใหม่ของเขาหรือเนี่ย?”
ขณะที่ Shirley ฝึกเหวี่ยงซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เอาไปเก็บไว้ยังที่เดิม เธอก็สงสัยดาบสองมือที่มีโค้งเหมือนคลื่นกระเพื่อม
เธอชอบความรู้สึกของการได้เหวี่ยงมัน แต่นอกจากนั้น เมื่อ Shirley พยายามคิดถึงจุดประสงค์จริงๆของเบื้องหลังรูปลักษณ์ดาบนี้แล้ว เธอก็คิดอะไรไม่ออก
“เธอสนใจอันนี้หรือ?”
Dimros มองไปยังดาบที่เธอถือขณะที่เขากลับมาโดยที่ถืออีเต้อไว้กับตัว
“อย่าได้ถามถึงส่วนลดเชียวนะ เจ้าหน้าที่เก็บภาษีเพิ่งจะมาหาฉันเมื่อไม่นานนี้แหละ”
“ก็ใช่ นายก็ไม่ได้เป็นคนเดียวสักหน่อย จะว่าไปแล้ว Dimros ดาบนั้นมันเป็นแบบไหนกันล่ะ? ฉันไม่เคยเห็นรูปแบบนั้นมาก่อน”
“มันเป็นดีไซน์ใหม่ที่ฉันได้ทดลองนะ ฉันได้แรงบันดาลใจมาจากพวกชนเผ่าที่อยู่ทางประเทศแถบตะวันตกเฉียงใต้นะ บาดแผลที่เกิดจากดาบนี่ก็ยากที่จะรักษาให้หายด้วยเวทรักษาได้… หรืออย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะ”
“น่าจะ?”
“อ๊ะ จริงๆแล้วไม่มีใครซื้อมันเพราะพวกเขาไม่เชื่อในดีไซน์นี้นะ ดาบทั้งหมดที่ฉันทำด้วยขอบโค้งขายไม่ออกในช่วงที่ผ่านมานะ มันจะอะไรกันนักกันหนากับพวกมนุษย์ นักผจญภัยและก็พวกที่ไม่ชอบเสี่ยงภัยนักน้า?”
เผ่าพันธุ์ที่มีอายุเกือบยืนยาวอย่างเอลฟ์ Dimros เป็นนักรบหลากความสามารถมาหลายปี โดยมีอาวุธแปลกใหม่ถูกปล่อยทิ้งไว้ Shirley พอที่จะเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงแบกรับนวัตกรรมการออกแบบใหม่ๆอยู่ดี Shirley ไม่อาจที่จะทำให้ตัวเธอเกลียดช่างตีเหล็กหัวดื้อคนนี้ได้เลย
“เอาล่ะ ฉันจะซื้ออันนี้ก็ล่ะกัน ฉันจะทดสอบมันว่าไม่ได้ขัดขวางเวทรักษาให้คุณเองแหละ”
“เฮ้ยๆ ตัดสินใจเร็วไปหน่อยมั้ง? เธอก็รู้นี่ว่าด้ามจับมันไม่เหมือนกับดาบทั่วไปเลยนะ ใช่มั้ย?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะฝึกกับมัน ก็อย่างที่ว่าแหละ อะไรที่ทำให้คุณเรียกไอ้นี่ว่าเป็นดาบล่ะ?”
“ตรงนั้นเขาเรียกว่า Flamberge ในภาษาท้องถิ่นหมายถึงดาบเพลิงนะ”
พอๆกับที่เธอได้ยินมา เธอก็หมดธุระแล้ว เธอออกจากร้านมาด้วยอีเต้อ… และก็ Flamberge
“ให้ตายสิ ฉันมั่นใจว่าจะต้องถูกจับตามองและทำให้ลูกค้าต้องลำบากแหงๆเลย สงสัยจังว่าถ้าขายดาบนั่นไปให้กับผู้หญิงมันเป็นความคิดที่ดีมั้ยเนี่ย?”
“แต่ในฐานะพ่อค้าแล้ว พวกเขาก็จ่ายให้นายโดยไม่ปริปากบ่นใดๆเลยนี่ ใช่มั้ย?”
“ไอ้บ้า! ในฐานะช่างฝีมือ ฉันอยากจะเห็นอาวุธของฉันอยู่ในมือของนักรบที่มีความสามารถนะ!”
บทโรแมนติกของคนแคระนี่มันอะไรกัน! ในขณะที่เมินสายตาที่น่าเสียใจที่ก่อตัวขึ้นด้านหลังเธอ Shirley ก็ออกจากร้านไป
ไม่ใช่ทั้งเงาหรือรูปร่างของดาบหรืออีเต้อที่อยู่ในมือของพวกเขาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
ข้ามมายังที่ห้องโถงของกิลด์ผจญภัยยังกระดานคำร้อง เธอมองกระดาษที่แปะติดด้วยข้อความสีแดงใหญ่ๆว่า “ฉุกเฉิน”
เป็นไปตามแผน Shirley เลย ไม่มีใครที่จะเอาคำร้องไปปราบมังกรที่อาศัยอยู่ในเหมือง Jewelsaad เลย
ขณะที่ Shirley หยิบเอาคำร้องนี้ไปยังที่เคาน์เตอร์ เธอก็พบกับ Yumina ที่ยิ้มใหญ่ออกมาที่ได้เห็นเธอแล้วก็ช็อคเมื่อเธอเห็นคำร้องที่เธอถือมา
“Shirley เธอจะรับคำร้องนี่หรือ?”
“ใช่ ฉันก็จะทำเองด้วย”
“อา ขอบคุณพระเจ้า นักผจญภัยแรงค์ A ต่างก็ติดอยู่กับคำร้องฉุกเฉินนี่หรือนั่น กิลด์ก็เลยต้องเลื่อนส่งปาร์ตี้ไปนะ”
เธอทำหน้าเหมือนคนโชคดีที่พบเหรียญทองที่ตกอยู่ข้างถนน
มีนักผจญภัยแรงค์ A จำนวนน้อยมากในโลกนี้ เทียบกับจำนวนที่มีอยู่แล้ว ปริมาณของคำร้องฉุกเฉินนั้นก็เยอะพอดู และตอนนี้พวกนักผจญภัยแรงค์สูงต่างก็วิ่งกันวุ่นจากหนึ่งไปยังต่อๆกัน
จึงเป็นเพื่อเหตุผลที่ว่า Shirley ไม่อยากจะเลื่อนระดับนั่นแหละ
“จะว่าไปแล้ว Shirley ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะให้เธอรับคำร้องกับปาร์ตี้นะ”
“หา?”
“เหห!?”
Shirley ช่วยไม่ได้นอกจากต้องขู่กลับไป ถ้ามีคนหูผึ่ง พวกนั้นก็น่าจะได้ยินเสียงโต๊ะที่ดังเปรี๊ยะขึ้นมาทั้งๆที่ไม่ได้แตะอะไรเลย แต่พวกเขาก็แกล้งทำเป็นนึกไปเองทั้งนั้น
ถึงแม้ว่า Yumina จะตัวสั่นจากการที่ถูกเธอจ้อง เธอก็ยังรวมความกล้าในตัวเธอด้วยเบื้องในว่า “ฉันจะมาแพ้ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” แล้วก็จ้องกลับไปด้วยสายตาเฉียบคม
“นี่เธอหมายความว่ายังไงกัน? ไม่มีทาง เธอคิดจะเอาอุปสรรคต่อการเลื่อนระดับฉันออกหรือ?”
“ป-เปล่า! ก็เพื่อ… ใช่ล่ะ ก็เพื่อเหตุผลนั่นไง! มันมีสภาพมาเกี่ยวข้องด้วย แต่เอาพื้นๆเลยล่ะกัน ปาร์ตี้นักผจญภัยที่อยู่ตรงนี้บังเอิญก็มาทำคำร้องเดียวกับเธอ แล้วทำไมเธอถึงไม่ทำด้วยกันล่ะ…?”
Yumina พยายามจะอธิบายในขณะที่ทำท่าอธิบายด้วยภาษามือ แม้เธออาจจะพูดเรื่องเหลวไหลออกมาบ้าง เธอก็สื่อความหมายดีพอที่จะทำให้ Shirley สงบลงได้
“ซึ่งก็นำโดยนักผจญภัยแรงค์ A เลยนะ แต่เป็นปาร์ตี้ที่ไว้ฝึกพวกมือใหม่ที่ได้รวบรวมมาโดยคำร้องกิลด์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกส่งมาเพื่อช่วยจัดการกับปัญหาของมังกร มันจะเป็นการฆ่าตัวตายหากไปสู้กันเพียงลำพัง เนื่องจากไม่มีทางที่นักผจญภัยแรงค์ E สามารถสู้กับมังกรได้นะ”
ต่อให้เป็นเรื่องฉุกเฉิน มันก็ยากสำหรับหนึ่งคนที่จะรับการพุ่งเข้ามาทั้งปาร์ตี้โดยตัวพวกเขาเอง และบางคนย่อมที่จะได้รับบาดเจ็บได้ เมื่อครูฝึกสอนแรงค์ A ที่มีสมาชิกแรงค์ต่ำเต็มไปหมด จึงมักจะให้มีแรงค์ B อยู่ในปาร์ตี้ด้วยเพื่อช่วยแบ่งเบาความรับผิดชอบมาด้วยกัน
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันบังเอิญที่จะต้องคอยมาเป็นนักผจญภัยให้ด้วย ใช่มั้ยล่ะ?”
ช่างเป็นความประจวบเหมาะเจาะที่ซ้อนกันโดยโอกาสหรือไม่ก็มีคนเอาเงื่อนไขมา แต่ไม่ได้คำนึงถึง Shirley ที่สะดุ้งกับหนึ่งของกำแพงเลื่อนระดับที่ถูกดึงออกไปแล้ว
“หาวววววว~ว”
เป็นเวลาในยามเช้าที่ลูกสาวของเธอกับเด็กคนอื่นๆที่มีอายุพอๆกันต่างก็ไปโรงเรียน Shirley นั่งหลัง Tio ที่อยู่หน้ากระจกแล้วก็รวบผมอย่างบรรจง
Tio มีนิสัยเสียตรงที่ชอบง่วงอยู่บ่อยๆโดยที่ Sophie กับ Shirley นั้นไม่ได้รับผลตามด้วย การตื่นเช้านั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ
Sophie ที่ชอบเล่นเป็นพี่สาวนั้น ปกติจะคอยช่วยปลุก Tio ให้ตื่นขึ้นมาแล้วก็จัดตัวให้ในตอนเช้า แต่ทว่าเธอดูเหมือนจะตื่นขึ้นมาก่อนแล้วก็ลุกออกไปในขณะที่ Tio ยังหลับอยู่
นิสัยคืออะไรที่มันร้ายกาจชะมัด Shirley ที่มักจะใช้ให้ Sophie ไปช่วยจัดการอะไรให้ในตอนเช้าก็ถึงกับช็อคสุดขีดเมื่อ Tio มาที่ห้องรับประทานอาหารในชุดนอนโดยที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด หรือก็คือลืมเปลี่ยนชุดนั่นแหละ เธอก็เลยรีบพาลูกกลับห้องแล้วก็จัดการหวีผมแล้วก็ส่งไปโรงเรียนเลย
“จริงๆเลย มายังห้องรับประทานอาหารทั้งแบบนั้น ทำฉันรู้สึกเหมือนจะบอกว่ายังไงยังงั้นเลย แต่เธอก็อายุสิบขวบแล้วนะ เธอก็น่าจะดูแลตัวเองบ้างสิ”
“อืม แต่มันน่ารำคาญใจเลยจริงๆนะ”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ… เฮ้อ…”
Tio พยายามที่จะตื่นให้เต็มตัวหลังจากที่เกือบจะก้มหัวลงไปอีกครั้งแล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อและล้างหน้าด้วย Shirley ถึงกับถอนหายใจขณะที่มองเธออยู่
เด็กสาวควรที่จะดูแลตัวเธอเองได้แล้ว ถึงเธอจะเป็นนักผจญภัยมาแล้วสิบปี เธอก็ยังเป็นชนชั้นสูงมานานกว่าสองเท่าตัว
ถึงพวกเธอจะสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่ายและสุภาพ ก็ไม่มีใครบอกว่าเป็นครอบครัวที่น่ารังเกียจสักเท่าไร
ก็ไม่ได้โม้เกินจริงว่า Shirley กับลูกสาวเธอนั้นสวยสง่างามอย่างเหลือเชื่อ และก็ยังตกแต่งตัวพวกเธอเพียงแค่เสริมความขลังเข้าไปเท่านั้นเอง
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นนักผจญภัยที่เชี่ยวชาญในตัวตนที่สุดโหดและป่าเถื่อนก็ตาม ความภูมิใจของ Shirley ก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นแม่ที่คอยให้ลูกสาวเธอได้มองหาสิ่งดีๆเท่าที่จะทำได้
(อย่าง Sophie เองก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่เธอก็เกือบจะเหมือนคนที่จะดูแลเรื่องแบบนั้นได้บ้างแล้ว)
สิ่งเดียวที่จะรักษาบุคลิกที่ดีของเธอได้ก็ตอนอาบน้ำ ส่วนที่ต่างจากตรงนั้น ถ้าเธอไม่ได้ถูก Shirley หรือ Sophie จับตามองล่ะก็ Tio ก็คงจะสวมชุดนอนตลอดทั้งวันโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดหรือไม่ก็รวมผมแล้วก็ไปนอนตรงไหนเมื่อไรก็ได้ที่เธออยากโดยที่ไม่ใส่ใจว่าเธอจะไร้การป้องกันตัวอย่างไร
เธอนึกภาพลูกที่อยู่เหมือนอย่างกับแมว มันยากที่จะคอยควบคุมลูกสาวสุดที่รักของเธอได้
(ก็นะ บางทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีก็ได้?)
อย่างไรก็ตาม นี่คือ Shirley เป็นที่รู้จักในฐานะคุณแม่จอมเห่อสุดติงต๊อง เธอมักจะเพลิดเพลินไปกับการที่ต้องมาจู้จี้กับ Tio อยู่ตลอด
ถึงแม้ว่าเธอจะดีใจที่ Sophie เริ่มที่จะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาและมีความเป็นอิสระเกินวัย แต่ก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกเหงาบ้าง เธอก็เลยคอยจับตามองไปยัง Tio เกือบตลอดไว้เป็นความลับอย่างสนุกๆ
การที่ต้องมาทำอะไรที่จุกจิกเพื่อลูกสาวนั้นเป็นความสนุกของผู้หญิงที่เยี่ยมที่สุดในชีวิต
แต่นั่นก็เป็นปัญหา ไม่ว่า Shirley จะหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นสักแค่ไหนก็ตาม สุดท้าย Tio ก็จะต้องเติบโตและกลายเป็นผู้ใหญ่โดยอิสระด้วยตัวเองอยู่ดี
ถึงแม้ว่ามันเป็นความคิดที่รำคาญเธอมากก็ตาม วันหนึ่งเธออาจจะต้องเผชิญหน้ากับชายในจินตนาการที่เดินเคียงข้าง Tio
เธออาจจะเสียใจตลอดไปได้ถ้าหากชายที่อยู่ในฝันนั้นถูกปิดกั้นโดยพฤติกรรมที่ชุ่ยๆของเธอเอง
อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวไว้ว่าสิ่งนั้นย่อมไม่พอที่จะเป็นพ่อแม่ได้ การศึกษาภาครัฐของ Shirley นั้นถึงแม้ว่าเด็กสาวจะยังอายุน้อย พวกเธอก็น่าจะทำให้ดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันได้
…อย่างในกรณีนี้ ผลลัพธ์ที่เหลือก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ
“จะว่าไป แม่คะ จริงหรือที่แม่จะไม่กลับบ้านวันนี้กับวันพรุ่งนี้น่ะ?”
“จ้า แม่ขอให้ Martha มาทำกับข้าวให้แล้วล่ะ”
“หืมมมม… นานกว่าปกตินะ…”
นักผจญภัยบางคนจะใช้เวลาเกือบทั้งสัปดาห์ออกไปยังพื้นที่หลังจากที่รับคำร้องแล้ว
Shirley เป็นพวกนักผจญภัยที่จะรับคำร้องที่ใช้เวลาเดินทางออกนอกเมืองไม่มากกว่าหนึ่งวัน โดยไม่สนว่ามันจะยากหรือจะเป็นเงินรางวัลเท่าใด เพราะเธออยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกสาวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกเหตุผลหนึ่งที่เธอชอบที่จะสู้ใกล้ๆกับเมืองก็คือเธอสามารถสังหารมอนสเตอร์ที่ดูท่าจะพุ่งเข้าไปยังที่ๆลูกสาวเธออยู่ได้ทันที ถึงจะไม่เหมือนกับเรื่องที่เธอได้เสี่ยงภัยในที่ไกลๆก็เถอะ
ถ้าไม่มีคำร้องที่ต้องทำใกล้ๆ เธอก็จะฝากเด็กไว้ในความดูแลของ Martha ตลอดทั้งวันและโจมตีมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวตามท้องถนนที่มุ่งหน้ามาที่เมืองนี้ โดยเฉพาะพวกมอนสเตอร์ที่ขัดขวางการหาเสบียงที่เธออยากจะเอาไปทำอาหาร
โดยไม่คำถึงถึงตัวตนในอดีต ในระยะหลังมันคือความเป็นและความตายของเหล่านักผจญภัย ถึงแม้ว่ามอนสเตอร์จะแห่กันเข้ามาโดยอาหารที่มีเป็นจำนวนมาก ทั้งปุศสัตว์และไร่นาจึงมีนักผจญภัยมาอยู่อาศัยอยู่บ่อยๆ จึงหายากสำหรับ Shirley ที่จะออกไปไหนไกลๆ
“ใช่แล้วล่ะ ก็ประมาณสักสองเดือนแล้วนับจากครั้งสุดท้ายที่ไปขอให้ Martha มาดูแลลูกแล้วไม่ใช่หรือ?”
“คำร้องนั่นมาจากฟาร์มอีกแล้วหรือคะ?”
“เปล่า ครั้งนี้เป็น… อ๊ะ เธอต้องรีบไปก่อนที่จะไปสายแล้วนะ”
“?”
Tio เอียงหัวไปที่แม่ที่ตัดเรื่องทันที อย่างไรก็ตาม Shirley ก็ไม่ได้บอกอะไรนัก
เหตุผลเดียวที่เธอต้องรับคำร้องนั้นก็คือเธอจะได้เก็บรวบรวมชิ้นส่วนให้กับลูกสาวเมื่ออายุมาถึง 15 ปีไว้เป็นของขวัญนะสิ
คำพูดในวันนั้นทำให้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตพวกนั้น เธออยากให้ของขวัญนั้นเป็นอะไรที่เซอร์ไพรสุดๆ
“เอาล่ะ ตอนนี้ลูกต้องทานข้าวเช้าแล้วก็ต้องไปก่อนที่จะไม่ทันเวลานะ”
“อูวว… ถ้าแค่ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อนะ เรานี่ต้องทำมันอยู่ทุกวันแต่ก็น่ารำคาญชะมัด…”
“ไม่มีแบบนั้นหรอก สักวันลูกก็จะต้องทำแบบนี้ทุกวันด้วยตัวเองนะ รู้มั้ย?”
“จริงหรือ?”
“จริงจ้า”
ขณะที่เธอได้พูดโน้มน้าว Tio ที่ไม่เต็มใจนั้น เธอก็ลูบเส้นผมของลูก และรอยยิ้มบนใบหน้าเธอที่ไม่มีใครเห็นก็เติมเต็มไปด้วยความรักที่อบอุ่น
หลังจากที่เห็น Tio ไปโรงเรียนโดยสวัสดิภาพแล้ว Shirley ก็มาหยุดตรงที่ร้านตีดาบก่อนที่จะไปที่กิลด์
“อยากจะสั่งอีเต้อเหรอ?”
“คุณพูดอะไรออกมาน่ะ?”
Shirley หมวดคิ้วอย่างไม่พอใจใส่คนที่ทำงานในโรงในเมืองชายแดนนี้ คนแคระที่ชื่อว่า Dimros ที่มีหนวดเคราซ่อนไว้ใต้อก
“เราขายแต่อาวุธและชุดเกราะ ไม่ใช่เครื่องมือ ถ้าคุณอยากได้อีเต้อล่ะก็ ไปที่อื่นเหอะ”
“ไม่ใช่ว่าคุณเคยทำอีเต้อได้เจ๋งมาก่อนหรือ? อีเต้อทั้งหมดที่คุณให้กิลด์ยืมไปใช้นั่นก็ทำมาจากคุณทั้งนั้นเลย ไม่ใช่หรือไง?”
ต่อให้พวกนั้นทำตัวเย็นชาและทื่อก็ตาม คนแคราะก็คงเป็นเผ่าที่มีความรู้สึกต่อหน้าที่และการเอาใจใส่เป็นอย่างแรงอยู่ดี ถ้านักผจญภัยต้องการ พวกเขาก็จะทำตามคำร้องถึงร้านพวกเขาเลย แม้จะมีบางอย่างที่ไม่ได้ทำโดยปกติก็ตาม
“ถ้าคุณต้องการเพื่อเอาไปใช้สำหรับเหมืองล่ะก็ คุณเองก็เป็นนักผจญภัยใช่มั้ย? งั้นก็ไปยืมเอามาอันหนึ่งจากตรงนั้นล่ะกัน”
“ไม่ได้ต้องการเอาไปขุดเหมืองสักหน่อย เอาไปสำหรับทำคำร้องสังหารมอนสเตอร์ต่างหาก ฉันน่าจะยืมไปได้เพียงแค่ขอร้องดีๆ แต่ฉันไม่อยากจะต้องมาพูดอธิบายเหตุผลให้กับใครเลย”
ในกรณีใดๆที่จะเอาวัตถุดิบที่เธอต้องการมาให้ได้นั้น อีเต้อคือสิ่งจำเป็น และเนื่องจากเธอแค่อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าเธอไม่อยากทำให้ผลงานดูกระจอกๆจากของถูกๆ นอกจากอีเต้อนั่นจะทำโดยช่างตีเหล็กมืออาชีพ
“…บ้า งั้นก็รอสักครู่ล่ะกัน”
หลังจาก Dimros ได้หันกลับเข้าไปในร้าน Shirley ก็มองไปรอบๆยังอาวุธกับเกราะที่เรียงอยู่บนฝาผนัง
เหล็กทั้งหมดต่างก็ประณีตบรรจงในแบบดั้งเดิม และก็มีนักผจญภัยไม่กี่คนในร้านที่จะมีอาวุธนี้ในมือ โดยทดสอบฟันและสมดุล
“เฮ้ ดูคนสวยคนนั้นสิ”
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ในร้านตีเหล็กนี้ได้ล่ะ?”
“อสูรดาบนี่… นั่นใช่เธอจริงๆหรือ?”
ขณะที่ Shirley เดินเข้าไปดูดาบที่จับตาเธออยู่นั้น เธอก็เมินพวกนักผจญภัยหน้าใหม่ที่จ้องเธออย่างชื่นชมไปโดยสนิท นักผจญภัยที่อ่อนไหวในเมืองที่จ้องเธออย่างน่าประหลาดใจกับนักผจญภัยมือเก่าที่จ้องเธอด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจ
“หืม”
ร้านนี้มีขนาดกว้างพอเหมาะระหว่างที่ว่างกับชั้นแสดงสินค้าที่แตกต่างกัน จึงเหมาะที่จะให้ผู้ซื้อสามารถทดสอบอาวุธที่ถืออยู่ในมือได้
ถึงจะไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ใดๆ เธอก็มองเห็นว่าดาบนี้เป็นชิ้นงานระดับเอกของคนแคระช่างฝีมือขณะที่เธอลองเหวี่ยงได้
ถ้ามือสมัครเล่นเห็นเธอเข้า พวกนั้นก็คงจะคิดว่าเป็นผู้หญิงบอบบางกำลังเล่นดาบอยู่ แน่นอนว่าแม้แต่นักผจญภัยมือใหม่เองก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอได้เหวี่ยงของพวกนี้ไปจนน่าจะดูเหวี่ยงได้ง่ายดายนั้น ประสบการณ์ของนักดาบน่าจะนึกภาพได้ว่าดาบนั้นพอที่จะฟันผ่านเหล็กในมือเธอได้
“หืมม? นี่มัน… ผลงานใหม่ของเขาหรือเนี่ย?”
ขณะที่ Shirley ฝึกเหวี่ยงซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เอาไปเก็บไว้ยังที่เดิม เธอก็สงสัยดาบสองมือที่มีโค้งเหมือนคลื่นกระเพื่อม
เธอชอบความรู้สึกของการได้เหวี่ยงมัน แต่นอกจากนั้น เมื่อ Shirley พยายามคิดถึงจุดประสงค์จริงๆของเบื้องหลังรูปลักษณ์ดาบนี้แล้ว เธอก็คิดอะไรไม่ออก
“เธอสนใจอันนี้หรือ?”
Dimros มองไปยังดาบที่เธอถือขณะที่เขากลับมาโดยที่ถืออีเต้อไว้กับตัว
“อย่าได้ถามถึงส่วนลดเชียวนะ เจ้าหน้าที่เก็บภาษีเพิ่งจะมาหาฉันเมื่อไม่นานนี้แหละ”
“ก็ใช่ นายก็ไม่ได้เป็นคนเดียวสักหน่อย จะว่าไปแล้ว Dimros ดาบนั้นมันเป็นแบบไหนกันล่ะ? ฉันไม่เคยเห็นรูปแบบนั้นมาก่อน”
“มันเป็นดีไซน์ใหม่ที่ฉันได้ทดลองนะ ฉันได้แรงบันดาลใจมาจากพวกชนเผ่าที่อยู่ทางประเทศแถบตะวันตกเฉียงใต้นะ บาดแผลที่เกิดจากดาบนี่ก็ยากที่จะรักษาให้หายด้วยเวทรักษาได้… หรืออย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะ”
“น่าจะ?”
“อ๊ะ จริงๆแล้วไม่มีใครซื้อมันเพราะพวกเขาไม่เชื่อในดีไซน์นี้นะ ดาบทั้งหมดที่ฉันทำด้วยขอบโค้งขายไม่ออกในช่วงที่ผ่านมานะ มันจะอะไรกันนักกันหนากับพวกมนุษย์ นักผจญภัยและก็พวกที่ไม่ชอบเสี่ยงภัยนักน้า?”
เผ่าพันธุ์ที่มีอายุเกือบยืนยาวอย่างเอลฟ์ Dimros เป็นนักรบหลากความสามารถมาหลายปี โดยมีอาวุธแปลกใหม่ถูกปล่อยทิ้งไว้ Shirley พอที่จะเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงแบกรับนวัตกรรมการออกแบบใหม่ๆอยู่ดี Shirley ไม่อาจที่จะทำให้ตัวเธอเกลียดช่างตีเหล็กหัวดื้อคนนี้ได้เลย
“เอาล่ะ ฉันจะซื้ออันนี้ก็ล่ะกัน ฉันจะทดสอบมันว่าไม่ได้ขัดขวางเวทรักษาให้คุณเองแหละ”
“เฮ้ยๆ ตัดสินใจเร็วไปหน่อยมั้ง? เธอก็รู้นี่ว่าด้ามจับมันไม่เหมือนกับดาบทั่วไปเลยนะ ใช่มั้ย?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะฝึกกับมัน ก็อย่างที่ว่าแหละ อะไรที่ทำให้คุณเรียกไอ้นี่ว่าเป็นดาบล่ะ?”
“ตรงนั้นเขาเรียกว่า Flamberge ในภาษาท้องถิ่นหมายถึงดาบเพลิงนะ”
พอๆกับที่เธอได้ยินมา เธอก็หมดธุระแล้ว เธอออกจากร้านมาด้วยอีเต้อ… และก็ Flamberge
“ให้ตายสิ ฉันมั่นใจว่าจะต้องถูกจับตามองและทำให้ลูกค้าต้องลำบากแหงๆเลย สงสัยจังว่าถ้าขายดาบนั่นไปให้กับผู้หญิงมันเป็นความคิดที่ดีมั้ยเนี่ย?”
“แต่ในฐานะพ่อค้าแล้ว พวกเขาก็จ่ายให้นายโดยไม่ปริปากบ่นใดๆเลยนี่ ใช่มั้ย?”
“ไอ้บ้า! ในฐานะช่างฝีมือ ฉันอยากจะเห็นอาวุธของฉันอยู่ในมือของนักรบที่มีความสามารถนะ!”
บทโรแมนติกของคนแคระนี่มันอะไรกัน! ในขณะที่เมินสายตาที่น่าเสียใจที่ก่อตัวขึ้นด้านหลังเธอ Shirley ก็ออกจากร้านไป
ไม่ใช่ทั้งเงาหรือรูปร่างของดาบหรืออีเต้อที่อยู่ในมือของพวกเขาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
ข้ามมายังที่ห้องโถงของกิลด์ผจญภัยยังกระดานคำร้อง เธอมองกระดาษที่แปะติดด้วยข้อความสีแดงใหญ่ๆว่า “ฉุกเฉิน”
เป็นไปตามแผน Shirley เลย ไม่มีใครที่จะเอาคำร้องไปปราบมังกรที่อาศัยอยู่ในเหมือง Jewelsaad เลย
ขณะที่ Shirley หยิบเอาคำร้องนี้ไปยังที่เคาน์เตอร์ เธอก็พบกับ Yumina ที่ยิ้มใหญ่ออกมาที่ได้เห็นเธอแล้วก็ช็อคเมื่อเธอเห็นคำร้องที่เธอถือมา
“Shirley เธอจะรับคำร้องนี่หรือ?”
“ใช่ ฉันก็จะทำเองด้วย”
“อา ขอบคุณพระเจ้า นักผจญภัยแรงค์ A ต่างก็ติดอยู่กับคำร้องฉุกเฉินนี่หรือนั่น กิลด์ก็เลยต้องเลื่อนส่งปาร์ตี้ไปนะ”
เธอทำหน้าเหมือนคนโชคดีที่พบเหรียญทองที่ตกอยู่ข้างถนน
มีนักผจญภัยแรงค์ A จำนวนน้อยมากในโลกนี้ เทียบกับจำนวนที่มีอยู่แล้ว ปริมาณของคำร้องฉุกเฉินนั้นก็เยอะพอดู และตอนนี้พวกนักผจญภัยแรงค์สูงต่างก็วิ่งกันวุ่นจากหนึ่งไปยังต่อๆกัน
จึงเป็นเพื่อเหตุผลที่ว่า Shirley ไม่อยากจะเลื่อนระดับนั่นแหละ
“จะว่าไปแล้ว Shirley ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะให้เธอรับคำร้องกับปาร์ตี้นะ”
“หา?”
“เหห!?”
Shirley ช่วยไม่ได้นอกจากต้องขู่กลับไป ถ้ามีคนหูผึ่ง พวกนั้นก็น่าจะได้ยินเสียงโต๊ะที่ดังเปรี๊ยะขึ้นมาทั้งๆที่ไม่ได้แตะอะไรเลย แต่พวกเขาก็แกล้งทำเป็นนึกไปเองทั้งนั้น
ถึงแม้ว่า Yumina จะตัวสั่นจากการที่ถูกเธอจ้อง เธอก็ยังรวมความกล้าในตัวเธอด้วยเบื้องในว่า “ฉันจะมาแพ้ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” แล้วก็จ้องกลับไปด้วยสายตาเฉียบคม
“นี่เธอหมายความว่ายังไงกัน? ไม่มีทาง เธอคิดจะเอาอุปสรรคต่อการเลื่อนระดับฉันออกหรือ?”
“ป-เปล่า! ก็เพื่อ… ใช่ล่ะ ก็เพื่อเหตุผลนั่นไง! มันมีสภาพมาเกี่ยวข้องด้วย แต่เอาพื้นๆเลยล่ะกัน ปาร์ตี้นักผจญภัยที่อยู่ตรงนี้บังเอิญก็มาทำคำร้องเดียวกับเธอ แล้วทำไมเธอถึงไม่ทำด้วยกันล่ะ…?”
Yumina พยายามจะอธิบายในขณะที่ทำท่าอธิบายด้วยภาษามือ แม้เธออาจจะพูดเรื่องเหลวไหลออกมาบ้าง เธอก็สื่อความหมายดีพอที่จะทำให้ Shirley สงบลงได้
“ซึ่งก็นำโดยนักผจญภัยแรงค์ A เลยนะ แต่เป็นปาร์ตี้ที่ไว้ฝึกพวกมือใหม่ที่ได้รวบรวมมาโดยคำร้องกิลด์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกส่งมาเพื่อช่วยจัดการกับปัญหาของมังกร มันจะเป็นการฆ่าตัวตายหากไปสู้กันเพียงลำพัง เนื่องจากไม่มีทางที่นักผจญภัยแรงค์ E สามารถสู้กับมังกรได้นะ”
ต่อให้เป็นเรื่องฉุกเฉิน มันก็ยากสำหรับหนึ่งคนที่จะรับการพุ่งเข้ามาทั้งปาร์ตี้โดยตัวพวกเขาเอง และบางคนย่อมที่จะได้รับบาดเจ็บได้ เมื่อครูฝึกสอนแรงค์ A ที่มีสมาชิกแรงค์ต่ำเต็มไปหมด จึงมักจะให้มีแรงค์ B อยู่ในปาร์ตี้ด้วยเพื่อช่วยแบ่งเบาความรับผิดชอบมาด้วยกัน
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันบังเอิญที่จะต้องคอยมาเป็นนักผจญภัยให้ด้วย ใช่มั้ยล่ะ?”
ช่างเป็นความประจวบเหมาะเจาะที่ซ้อนกันโดยโอกาสหรือไม่ก็มีคนเอาเงื่อนไขมา แต่ไม่ได้คำนึงถึง Shirley ที่สะดุ้งกับหนึ่งของกำแพงเลื่อนระดับที่ถูกดึงออกไปแล้ว
ว่ากันตรงๆ Shirley นั้นมั่นใจว่าเธอน่าจะจัดการกับมังกรด้วยตัวเองได้ เธอไม่ได้เจตนามองคู่แข่งต่ำหรอก แต่เธอตัดสินจากพื้นฐานด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาของเธอ
เพราะฉะนั้น เธอก็น่าจะสำเร็จคำร้องเพียงคนเดียวได้ดี นอกจากนี้นักผจญภัยแรงค์ E นั้นน่าจะเป็นได้เพียงแค่ตัวถ่วงเท่านั้น ขณะที่เธอกำลังจะปฏิเสธข้อเสนอไป Yumina ก็ได้พูดกับเธอบางอย่างที่ทำเอาเธอแทบจะกัดลิ้นไปเลย
“จะว่าไป กิลด์มาสเตอร์ได้ขอร้องให้เธอไปช่วยยกระดับนักผจญภัยรุ่นต่อไปด้วยนี่ ฉันนึกคำพูดที่เขาบอกว่า ‘ขอร้องล่ะ’ ได้นะ”
“อึก”
“ฉันได้ยินว่า Shirley ติดหนี้ครั้งใหญ่กับกิลด์มาสเตอร์เลยใช่มั้ยล่ะ?”
“เอือกกกก”
มันเกิดขึ้นมาเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นขณะที่กำลังมองหากิลด์ผจญภัยโดยที่ไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจากเสื้อผ้าบนหลังกับทารกสองคนในอ้อมแขนและหลงทางในราชอาณาจักรโดยไม่มีแม้แต่แผนที่ กิลด์มาสเตอร์จึงได้มองหาเธอและก็แนะนำให้พวกเธอย้ายไปยังที่เมืองชายแดนนี้ และก็ให้เธออยู่โดยไม่เสียค่าที่พักที่เรือนทาโอเร่
Shirley ได้พูดถึงการตอบแทนพระคุณเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์บนความเชื่อใจต่อลูกสาวเธออยู่ตลอด ถ้าตัว Shirley ไม่ได้ทำตามสิ่งที่เรียนรู้มานี้ เธอจะสร้างความหวังให้ลูกได้อย่างไร?
นอกจากนี้ การใช้คำว่า ‘ขอร้องล่ะ’ นั้นก็ไม่แฟร์เอาเสียเลย ถ้าเธอปฏิเสธไป มันก็อาจจะเหมือนกับ Shirley ได้หวนคืนสู่ปีศาจที่ไร้สามัญสำนึกก่อนที่จะมี Sophie กับ Tio
(…ยัยแม่มดนั่น เธอนี่ถึงกับเล่นจุดตายแล้วก็มาขอร้องกับตัวเลยเหรอเนี่ย)
ถ้าเธอปฏิเสธ… มันก็จะยิ่งกว่าผู้หญิงแพศยาแกล้งทำเป็นร้องไห้และมีการพูดถึงเรื่องที่เธอเคยถูกพวกเขาช่วยเหลือเมื่อหลายปีก่อนแท้ๆ นั่นคือผู้หญิงที่เธอเป็นอยู่
Shirley ถอนหายใจออกมาแล้วก็เงยหน้าขึ้นราวกับจะยอมแพ้
“เข้าใจล่ะ งั้นคนอื่นนั่นจะต้องมาทำงานร่วมกับฉันสินะ?”
“ค่ะ แน่นอนค่ะ! รับประกันได้เลยว่าจะได้เห็นทุกคนจะมีแรงใจกันอย่างไร เอาล่ะ ไปพบกับพวกเขากันเลย!”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น