First touch creates the unbreakable bond.
Although it is unacceptable,
Everything cannot be changed.
.
.
.
4th Tale : โชคชะตาที่หมุนเวียน
บรรยากาศหนาวเย็นตามอุณหภูมิที่เกือบจะติดลบทำให้หลายคนเลือกจะผิงตัวให้อุ่นข้างเตาผิง หรือฮีตเตอร์ภายในบ้านมากกว่าออกมาเตร็ดเตร่ข้างนอก อาจจะเป็นเช่นนี้ในเขตอื่น...แต่ไม่ใช่กับย่านบันเทิงแห่งนี้ แม้เวลาจะปาไปสี่ทุ่มแล้ว ก็ยังมีคนออกมาเดินรับลมอยู่แม้ว่าคนเหล่านั้น...จะอยู่ในสภาพมึนเมา และเดินตุปัดตุเป๋ก็ตามที
ชายหนุ่มร่างสูงเดินสวนคนเหล่านั้นไปอย่างไม่แม้แต่จะเหลียวมอง เนตรสีดำหรี่เล็กลงอย่างนึกเบื่อหน่าย...ไม่ว่าเมื่อไหร่ มนุษย์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง... เขานึกขณะมองชายหนุ่มในวัยทำงานที่เดินออกมาจากผับแห่งหนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์เดินเซไปเซมาจนเพื่อนที่ช่วยพยุงแทบอยากจะปล่อยให้มันลงไปกองกับพื้นให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เดินดี ๆ สิวะไอ้บ้านี่!” เสียงที่ลอยมากระทบโสตประสาทของคนที่ยืนดูอยู่
“อะไรว้า~ ฉันยัง...เอิ้ก...ยังไม่เมานะเฟ้ย!” คนที่ไม่เจียมตัวว่าเมาโวยวายลั่นพร้อมยังสะบัดมือไปมาจนเผลอไปผลักเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันโดยไม่ตั้งใจ
“โว้ยไอ้นี่! เดี่ยวก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ซะเลยนิ” อีกคนว่าออกมาอย่างอารมณ์เสีย แต่มือก็ยังคงช่วยเพื่อนอีกคนช่วยลากเพื่อนขี้เมาให้ห่างจากหน้าร้าน
“กลับบ้านโดยปลอดภัยนะคะ” หญิงสาวหน้าผับเอ่ย และฉีกยิ้มบาง ๆ ตามมารยาทแม้ว่าในใจนั้นออกจะ...สมเพชกับท่าทางคนชายขี้เมาไม่น้อย
ครอสถอนหายใจเบา ๆ กับภาพที่เห็น ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่ล่ะก็...เขาเองก็ไม่ขอมาเหยียบแหล่งโสมมแบบนี้หรอก ถึงแม้ว่าสถานที่แบบนี้จะเป็นที่ชื่นชอบของ ‘พวกเขา’ ก็ตาม
ชายหนุ่มชะงักกึก... หน้าที่?
เพียงเพราะเป็นหน้าที่เท่านั้นเหรอ?
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นในใจ หลายครั้งแล้วที่ไม่ได้ไปเมืองอื่น แต่กลับมาที่ลอนดอนครั้งแล้วครั้งเล่านับจากครั้งนั้น... คิ้วเรียวขมวดมุ่นอีกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยผมบลอนด์ และรอยยิ้มสดใสไร้การเสแสร้ง
ครอสส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป อีกแล้ว... เขาก่นด่าตัวเองในใจ เผลอทีไรก็นึกถึงเจ้าของใบหน้านั่นทุกคราไป
...เซดดริก เอเลนอฟ...
แม้กระทั่งชื่อที่ไม่คิดว่าจำได้ ก็จำได้แม่นยำ
...อยากเจออีกครั้ง?...
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้งอย่างยอมจำนน ยอมรับก็ได้ว่าอยากเจอ... เขายังคงติดใจกับกลิ่นคาวเลือดเมื่อครั้งที่แล้วไม่หาย เนตรสีดำหลุบต่ำลง และก้มมองมือขวาที่เคยสัมผัสมือของอีกฝ่าย หากชายคนนั้นเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็คงจะปล่อยมือไปไม่ได้
“พี่ชายคะ มาคนเดียวเหรอคะ?” เสียงหวานที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นข้างกายเรียกให้ร่างสูงหลุดจากห้วงความคิด และหันไปมอง หญิงสาวคนที่เขาเห็นหน้าผับเมื่อครู่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ร่างบางในเสื้อผ้าเนื้อบางเบาน้อยชิ้นสีแดงโชว์สัดส่วนก้าวเข้ามาใกล้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
“เข้ามาหาอะไรดื่มก่อนสิคะ” ริมฝีปากสีแดงสดด้วยลิปสติกฉีกยิ้มหวานอย่างเชิญชวน “คุณจะนั่งดื่มคนเดียว หรือว่าจะให้ฉันนั่งด้วยก็ได้นะคะ”
เนตรสีดำหรี่เล็กลงอย่างพิจารณา และลอบมองไปที่สถานเริงรมย์ข้างหลังหญิงสาว ป้ายไฟ Nightlife เด่นเป็นสง่าทำให้เขาพอเข้าใจจุดประสงค์
ครอสไม่ทันได้รู้ตัวว่าท่าทางนิ่ง ๆ และดวงตาสีดำคมกริบนั่นยิ่งทำให้หญิงสาวยิ่งเคลิบเคลิ้ม และมองไม่วางตา ใบหน้าคมคายได้รูป และริมฝีปากเรียวนั่นช่างน่าสัมผัสจริง ๆ... เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเช่นเดิม เธอก็เคลื่อนกายเข้าไปใกล้กว่าเดิม แล้วมือเรียวก็เอื้อมไปแตะแขนของร่างสูงหวังกระตุ้น...
ชายหนุ่มแทบจะตวัดสายตากลับมามอง แต่กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาแตะจมูกทำให้เขาสะบัดแขนหนี และเดินผ่านหญิงสาวไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมแพ้ เธอเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อโค้ทเขาไว้ได้ทันท่วงที
“เดี๋ยวสิคะ” เธอเรียกเสียงหวาน แต่แล้วเธอก็ต้องปล่อยมืออย่างรวดเร็ว เพราะเนตรสีดำคมกริบที่ตวัดมามองอย่างไร้อารมณ์ และเย็นยะเยือก ร่างบางยืนแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว ขาเรียวสวยเริ่มหมดเรี่ยวแรง ทำให้ทั้งร่างทรุดลงไปกองกับพื้น
ชั่วแวบหนึ่ง...เธอเห็นว่าดวงตานั้นกลายเป็นสีแดงฉานราวกับสีโลหิต...
ครอสปล่อยให้หญิงสาวข้างล่างเป็นลมล้มพับไปอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่ตนก้าวยาว ๆ ไปที่ทิศทางของกลิ่นที่โชยมา แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก
ชายหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายสก็อต และกางเกงยีนกำลังต่อสู้กับคนกลุ่มหนึ่ง เรือนผมสีบลอนด์ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
เซดดริก เอเลนอฟ?
-----------------------------------
ปึ้ก! พลั่ก!
เสียงหมัด และเท้าปะทะร่างเนื้ออย่างไม่ปราณีปราศรัย และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต่างกับอีกสามคนที่หอบหายใจจนตัวโยน และต้องคอยรองรับทั้งมือ และเท้าของคู่ต่อสู้ที่มีเพียงแค่คนเดียว ใบหน้าของแต่ละคนเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น และคราบเลือดจนดูน่าสงสาร
แต่อีกคน...ยังคงไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ นอกจากรอยเปื้อนเล็กน้อยบนเสื้อผ้า ใบหน้าคมคายยังคงฉีกยิ้มบาง ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ จังหวะการหายใจยังคงเป็นปกติแม้จะออกมือออกเท้าไปนานเกือบสิบนาทีแล้วก็ตามที “เมื่อกี้ยังอวดเก่งอยู่เลยนี่” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างกวนอารมณ์
“หนอย...” เอสกัดฟันกรอดด้วยความโมโห พวกเขามีถึงสามคน แต่กลับทำอะไรคน ๆ เดียวไม่ได้! แถมยังโดนอัดเสียจนหมอบพระรามแบบนี้... รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!!
ด้วยความคิดเช่นนั้น ทำให้ชายหนุ่มผมน้ำตาพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะวาดขาขวาออกไป และตามซ้ำด้วยขาเดิม แต่เซดดริกก็ใช้แขนบล็อกไว้ได้ก่อนจะยกขาขวาที่ตั้งหลักอยู่ข้างหลังขึ้นสูง และทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่ซอกคอของอีกฝ่ายอย่างแรงดังปึ้ก!
เอสถึงกับเซไปเซมา ความเจ็บปวดที่แล่นจี๊ดเข้าสู่สมองทำเอาใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ ลูกน้องอีกสองคนที่พอตั้งหลักได้แล้ว ก็ล้อมหน้าล้อมหลังและส่งหมัดไปที่ชายผมบลอนด์พร้อมกัน เซดดริกถอยตัวหลบ และเอื้อมมือจับหลังศีรษะของทั้งสอง และออกแรงผลักเข้าหากันจนหน้าผากกระแทกกันดังโป้ก เล่นเอาพวกเขาล้มหงายหลังลงไปกองกับพื้นพร้อมกับดาวบนหัว
“เอเลนอฟ...” เอสเม้มปากแน่นด้วยความโกรธที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาตรงไปกระชากคอเสื้อลูกน้องสองคนที่นั่งมึนอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นอย่างแรง “เฮ้ย ลุกขึ้นดิวะ นั่งหาพ่องแกรึไง!”
“ต...แต่หมอนี่มันเก่งมากเลยนะ” คนหนึ่งพูดเสียงสั่นขณะกุมหน้าผากของตนที่ปูดเขียวคล้ำจนน่ากลัว
“ไอ้ขี้ขลาดเอ๊ย!” ว่าแล้วก็ตบหัวให้ฉาดใหญ่ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่หูของลูกกระจ๊อก “พอฉันให้สัญญาณ พวกแกไปล็อคแขนไอ้นั่นจากข้างหลังซะ”
ทั้งสองพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะแยกตัวห่างออกไป และไปยืมล้อมหน้าล้อมหลังอีกฝ่ายเหมือนเช่นตอนเริ่มสู้ เซดดริกเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจแต่ก็ยังคงไม่ประมาท
เอสลอบมองใบหน้าของลูกน้องทั้งสองก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เมื่อได้รับสัญญาณอีกสองคนก็พุ่งเข้าล็อคแขนของชายหนุ่มผมบลอนด์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะไม่นึกว่าจะมาไม้นี่
“หึ...แกเสร็จฉันแน่ เอเลนอฟ” เอสหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง วัตถุรูปทรงยาวมีด้ามจับสีดำ และใบมีดขนาดเล็ก แสงไฟสลัวกระทบคมมีดทำให้เห็นว่ามีดเล่มนี้เพิ่งได้รับการลับมาเป็นแน่
“เล่นมีดเลยเรอะ ขี้ขลาดนี่หว่า” เซดดริกสบถอย่างไม่สบอารมณ์ พยายามสะบัดให้หลุดจากการจับกุม แต่ดูเหมือนว่าไอ้สองคนนี้จะทุ่มสุดแรงในการหยุดการเคลื่อนไหวของเขาเลยทีเดียว
“ใครสน? ถ้าฉันไม่ได้เรียกเลือดจากแก ฉันคงนอนไม่หลับแน่ ๆ!” สิ้นคำ ร่างสูงก็พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธมีคมในมือ
คนที่ถูกล็อคแขนไว้กระตุกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกระโดด และส่งลูกถีบเข้าที่ยอดอกของเอสอย่างแรงดังปึ้กจนร่างนั้นลอยหวือไป ส่วนตัวเขาก็อาศัยจังหวะที่คนล็อคแขนกำลังตกตะลึงสะบัดแขนให้หลุด และใช้ข้อศอกกระแทกไปที่ปลายคางของพวกเขาพร้อม ๆ กันจนสติหลุดลอยไปก่อนจะได้ลงไปกองกับพื้นเสียอีก
ปึ้ก...
เสียงอะไรบางอย่างกระแทกกันเรียกให้เนตรสีฟ้าหันไปมอง แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าร่างของคนที่เขาเพิ่งประเคนลูกถีบให้ไปชนกับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่คุ้นตา
เรือนผมสีดำยาว และดวงตาสีดำคมกริบบนใบหน้าหล่อเหลา...
“คุณครอส?” เซดดริกเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่วเบาอย่างตกตะลึง นี่มันจะบังเอิญไปไหมเนี่ย!?
เจ้าของชื่อยังคงนิ่งเงียบ แม้ว่าคนที่เซมาชนจะหันกลับไปมอง ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างพิจารณาก่อนจะฉีกยิ้มอย่างเอาเรื่อง “คนรู้จักของเอเลนอฟเรอะ...?” เขาถามเสียงเบา “หึ แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วล่ะมั้ง!!” สิ้นคำ คมมีดก็แหวกผ่านอากาศไปที่ลำตัวของคนตัวสูงกว่าอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า...อีกฝ่ายก็หลบได้ด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่เอสก็ไม่หยุดโจมตีแค่นั้น เขายังคงมุ่งทำร้ายอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ครอสก็โยกตัวหลบได้อย่างสบาย ๆ จนอีกคนที่มองนิ่งอึ้ง
ก...เก่งชะมัด... เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ๆ ก่อนจะหลงชื่นชมไปกับฝีมือของคนที่เพิ่งเจอโดยบังเอิญ เขาก็รีบกวาดมองรอบตัว แล้วก็เห็นรองเท้าของลูกน้องของชายหนุ่มผมน้ำตาล เขาก้มลงถอดรองเท้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แม้จะนึกขยะแขยงอยู่บ้าง แต่เวลาแบบนี้มันเลือกได้มากที่ไหน? (ตอนแรกก็อยากจะถอดรองเท้าตัวเองอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าพื้นแถวนั้นมันขรุขระน่ะนะ)
เพียงแค่ชั่วครู่ รองเท้าผ้าใบสีดำกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ก็มาอยู่ในมือของเขา ชายหนุ่มยกมันขึ้นเหนือหัว และกะจะแรงและระยะทางให้แม่น ก่อนจะโยนไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
ป๊อก...
รองเท้าคู่สวยหล่นลงบนเรือนผมสีน้ำตาลพอดิบพอดีทำให้เอสต้องหยุดการโจมตี และคลำหัวตัวเองก่อนจะตวัดสายตามามองคนโยน “หนอย ไอ้.....” นึกสรรหาคำพูดมาด่าไม่ออก แล้วยิ่งพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ขว้างมาคือรองเท้ากลิ่นตุ ๆ...
“คู่ต่อสู้ของนายคือฉัน อย่าไปยุ่งกับคนอื่นดิวะ!” เซดดริกพูดเสียงดังก่อนจะตั้งท่าสู้อีกครั้งพร้อมกับกวักมือเรียกอย่างท้าทาย แต่เพราะมัวจดจ่อกับอีกฝ่าย...ทำให้เขาไม่ทันสังเกตลูกน้องคนหนึ่งที่ได้สติขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโซเซเล็กน้อย ในมือของเขามีก้อนหินสีเทาขนาดพอเหมาะมือ เขายกมือขึ้นสูง และหมายจะฟาดมันลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีบลอนด์
ถ้าอยู่ในสภาพเต็มร้อยอาจจะสำเร็จ... แต่เพราะอากาศบาดเจ็บที่คาง ทำให้เขาเซไปเซมา ก้อนหินในมือวาดลงมาอยู่รวดเร็วพอดีกับที่ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายหันไปมองพอดี
“เฮ้ย!” เซดดริกอุทานลั่นด้วยความตกใจก่อนจะเอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงที ทำให้ชายคนนั้นร่วงลงไปกองกับพื้น และหมดสติไปอีกครั้ง...
แต่เพราะครั้งนี้ทำให้เขาลืมระวังตัว และเปิดช่องว่างขนาดใหญ่ให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลเล็งเห็น... มีหรือจะปล่อยให้มันหลุดลอยไป? เขากระตุกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมกับมีดในมืออย่างรวดเร็ว เซดดริกที่เพิ่งได้หันหน้ากลับมาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ไม่ทันแล้ว!
ฉัวะ!!
-----------------------------------
ร่างโปร่งที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วทำให้ดวงตาสีดำประกายประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่นึกว่าคนที่ดูเหมือนจะเรียบร้อย และเป็นหนอนหนังสืออย่างนั้นจะมีฝีมือในการต่อสู้...ที่อยู่ในขั้นดีมากขนาดนี้
อย่างนี้คงไม่ต้องห่วงอะไร...
ห่วง?
นี่เขากำลังเป็นห่วงงั้นเหรอ!?
แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ประกายจากของมีคมก็เรียกให้เขาหันไปมองอีกครั้ง เนตรสีดำกระตุกเล็กน้อยด้วยความตกใจ “เล่นมีดเลยเรอะ...” เขาพึมพำเบา ๆ และไวกว่าความคิด ขายาวก็ก้าวเข้าไปหาเขตต่อสู้เสียแล้ว
ปึ้ก...
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลลอยหวือมาชนอย่างแรงทันทีที่ก้าวเข้าใกล้ แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้มองที่คนนั้น ครอสมองใบหน้าที่คุ้นเคยฉายแววตกใจ “คุณครอส..” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเสียงเบาหวิวอย่างตกตะลึง
เขาเองก็ตกใจ...ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง...
“คนรู้จักของเอเลนอฟเรอะ...?” ร่างที่ลอยหวือมาชนเขาถามเสียงเบาก่อนที่ใบหน้านักเลงจะฉีกยิ้มอย่างเอาเรื่อง “หึ แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วล่ะมั้ง!!” แล้วมีดในมือของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาหาชายแปลกหน้า
ใบหน้าคมคายยังคงเรียบเฉย ไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าหมายจะสร้างรอยแผลสักรอยสองรอย ตอนแรกยังพอทนได้...แต่พอนานไปเริ่มหงุดหงิด มือกร้านกำลังจะยกขึ้นเพื่อตอบโต้ แต่กลับมีวัตถุบางอย่างลอยหวือมาโดนกลางหัวสีน้ำตาลเข้าอย่างจัง
“คู่ต่อสู้ของนายคือฉัน อย่าไปยุ่งกับคนอื่นดิวะ!” ครอสได้ยินเสียงของชายหนุ่มผมบลอนด์ว่าเสียงดัง แล้วยังกวักมือเรียกอีกฝ่ายให้เข้าไปหา ร่างสูงเกือบหลุดรอยยิ้มเหมือนเห็นว่าสิ่งที่ลอยมาคือรองเท้าคู่เก่า ๆ กลิ่นเหมือนหนูตาย... แต่แล้วเนตรสีดำก็กระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าชายคนหนึ่งข้างหลังเซดดริกกำลังลุกขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับก้อนหินในมือ
เขากำลังจะร้องเตือน แต่ชายผู้เป็นเป้าหมายก็เอี้ยวหลบได้ทัน แต่ก็ไม่ทันได้โล่งอกนาน....ร่างตรงหน้าก็พุ่งเข้าไปหาคนที่ไม่ได้ระวังตัวอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสีดำเบิกขึ้นด้วยความตกใจ รู้ดีว่าฝ่ายนั้นไม่มีทางหลบได้ทันแน่
...จะไปช่วยไหม?....
...จะช่วยทำไมล่ะ? ก็แค่มนุษย์คนหนึ่งเอง...
สองเสียงในความคิดตีกันยุ่งวุ่นวายจนเจ้าของร่างปวดหัวไปหมด ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงอย่างตึงเครียด บางอย่างฉุดรั้ง...บางอย่างผลักดัน...จนทุกอย่างชาวาบไปหมด
ปัดโธ่เว้ย!
ไม่ทันได้ตัดสินใจดี ขาเจ้ากรรมก็พาเจ้าของพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวแปลกใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...แต่ที่รู้คือตอนนี้หัวสมองขาวโพลน ไม่คิดอะไรทั้งนั้นนอกจาก...
ฉัวะ!!
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง...เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีฟ้าที่เบิกโพลงยิ่งกว่าด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีร่างสูงของใครคนหนึ่งพุ่งมาบังร่างของเขาไว้ เรือนผมสีดำยาวสลวยที่ปลิวระใบหน้า และกลิ่นคาวเลือดที่ลอยเตะจมูกเรียกสติให้กลับคืนมา “คุณครอส!!” เซดดริกอุทานลั่น
ส่วนเอส...นิ่งค้างด้วยความตกใจ มือที่กุมด้ามมีดสั่นระริก ไม่ใช่เพราะความตกใจ...หากแต่เป็นความหวาดกลัวเมื่อสบกับเนตรสีแดงสดที่จ้องมองมาอย่างเย็นเยียบจนเลือดในกายแทบจับตัวแข็ง
ลมหายใจติดขัด...แขนขาไม่อาจขยับได้
แม้จะรู้ว่าชายตรงหน้าเขากำลังกำคมมีดที่ถูกเบี่ยงไปเฉือนผิวข้างเอวเป็นแผลลึก “อ...อะ....” พูดอะไรไม่ออก มีเพียงคำพูดตะกุกตะกักที่ถูกเปล่งออกมา
“ไปให้พ้น” น้ำเสียงเรียบแต่เฉียบขาดจากชายหนุ่มแปลกหน้าทำให้เอสเผลอปล่อยมีดด้วยความตกใจ ขาที่สั่นระริกค่อย ๆ ก้าวถอยหลังก่อนจะก้าวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
“ป...ปิศาจ...” ชายหนุ่มผมน้ำตาลพึมพำเสียงเบาซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ และวิ่งจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“นี่คุณทำแบบนี้ทำไม!?” เซดดริกแหวอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเอสวิ่งจากไป แม้จะงงงวย แต่อาการบาดเจ็บของคนตรงหน้าก็สำคัญกว่า ตั้งท่าจะด่าต่อ...แต่ร่างที่สูงกว่าจะทรุดตัวลงนั่งบนพื้นจนทำเอาเขาหัวใจหล่นไปตาตุ่ม แล้วเนตรสีฟ้าก็เหลือบไปเห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ข้างเอวของอีกฝ่าย “เฮ้ย!!”
ครอสเลื่อนมือไปกุมบาดแผล ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมาเป็นมาก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนบาดแผลแค่นี้ครู่เดียวก็หาย แต่ตอนนี้....
“กระผมกลัวว่าจะเกินขีดจำกัดของนายท่านขอรับ”
คำเตือนของพ่อบ้านชราดังขึ้นในความคิดทำให้เขาอดคลี่ยิ้มเครียด ๆ ไม่ได้ นั่นสินะ...สงสัยว่าจะถึงขีดจำกัดแล้ว...
“นี่คุณยิ้มอยู่อีก! ให้ตายเหอะ!!” เสียงทุ้มตื่นตระหนกว่าขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกมาด้วยออกมา และกดลงบนปากแผลอย่างเบามือ “เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่โรงพยาบาลนะ”
“ไม่ต้อง” แต่มือกร้านก็ดึงแขนอีกฝ่ายไว้ เรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าเบือนมาสบ
“นี่คุณกลัวหมอหรือไง?” เซดดริกพูดล้อด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น “ไม่ตลกเลยนะคุณครอส”
“นายทำแผลให้ฉันได้ ไม่ต้องไปที่แบบนั้น” ครอสเอ่ยพร้อมกับจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ ด้วยดวงตาสีดำที่ไม่มีแววล้อเล่น ราวกับมีมนต์ขลังบางอย่างทำให้ชายหนุ่มผมบลอนด์ต้องถอนหายใจเบา ๆ อย่างจำยอม
อาจเป็นเพราะเพิ่งเคยได้ยินประโยคยาว ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกจากชายพูดน้อยคนนี้ก็เป็นได้...
ให้ตายเหอะ...
“ก็ได้ ๆ” ร่างเล็กกว่ายอมแพ้ก่อนจะสอดแขนเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบไปจากตรงนี้แล้วล่ะครับ ผมว่าอีกไม่นานชาวบ้านแถวนี้คงได้ยินเสียง แล้วก็ได้กลิ่นเลือดอีก” แล้วเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับพยุงร่างสูงกว่าให้ยืนขึ้นได้
“ไม่ไกลจากตรงนี้มีซอยที่ไม่ค่อยมีคนผ่านเท่าไหร่ ตรงนั้นน่าจะพอหลบได้สักพัก” เซดดริกเอ่ย พยายามซ่อนใบหน้าเหยเกไว้ เพราะน้ำหนักที่ต่างกันเกินไป ทำเอาเขาแทบทรุด ถ้าไม่ติดว่าคน ๆ นี้บาดเจ็บแล้วล่ะก็...เขาก็คงปล่อยให้ร่วงไปแล้ว
ครอสนิ่งเงียบไปพูดอะไรขณะลอบมองคนข้างกาย ใบหน้าหล่อเหลาติดหวานเล็กน้อย และจมูกโด่งสวยได้รูป เหงื่อกาฬหลายเม็ดไหลอาบใบหน้าทำให้พวงแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย คาดว่าเพราะหลังจากสู้มาเป็นเวลานาน แล้วยังต้องมาช่วยพยุงคนที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองอีก...คงเสียแรงไปไม่ใช่น้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่อาจละสายตาจากชายหนุ่มข้าง ๆ ได้เลย ราวกับมีมนต์ขลังสะกดให้จ้องมองอยู่เช่นนั้น...
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เสียงทุ้มจากคนที่ถูกจ้องมองทำให้ครอสรู้สึกตัวเมื่อเห็นเนตรสีฟ้าหันมา
“เปล่า...ก็แค่แปลกใจนิดหน่อย” เขาตอบกลับเสียงเรียบ
“แปลกใจ?”
“...” แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบกลับมา ทำเอาชายหนุ่มผมบลอนด์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างปลงตก...คงยากหากอยากได้คำตอบเป็นคำพูด
“ผมก็แปลกใจคุณเหมือนกัน...” เซดดริกว่าขณะมองซ้ายมองขวาก่อนข้ามถนน เวลาดึกขนาดนี้คงไม่มีใครคิดโผล่หน้าออกมานอกหน้าต่างแล้ว แล้วเขาก็พูดต่อเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะเอ่ยอะไร “...ที่อยู่ดี ๆ คุณก็มาช่วยผมจนตัวเองบาดเจ็บแบบนี้น่ะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยุดเดิน และค่อย ๆ ย่อตัวลงให้ร่างสูงกว่าได้นั่งพิงกำแพงอิฐที่เป็นที่หมาย... ชายหนุ่มผมบลอนด์ทิ้งตัวลงข้าง ๆ หน้าก่อนจะก้มลงดูบาดแผลที่เอวอีกฝ่ายอีกครั้ง ใบหน้าคมคายเริ่มฉายแววลำบากใจ “เลือดไหลไม่หยุดเลยแฮะ....” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะฉีกปลายเสื้อของตัวเองเพื่อเอาซับเลือดแทนผ้าเช็ดหน้าที่ตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีแดงข้น
“ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หาย” ครอสเอ่ยเสียงเบาขณะมองอีกฝ่ายจัดการห้ามเลือดที่ไหลไม่หยุด
เนตรสีฟ้าตวัดมอง “ได้ไงครับ?” เซดดริกว่าเสียงแข็ง “คุณน่ะช่วยผมไว้นะ แล้วครั้งนี้มันก็มากไป...มากเกินไปจริง ๆ”
น้ำเสียงตอนท้ายสั่นระริกเมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์ในอดีต...ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดไม่ต่างอะไรไปจากชายหนุ่มตรงหน้าเขาตอนนี้ ภาพที่ซ้อนทับกันทำให้ก้อนเนื้อที่อกซ้ายบิดเร่า ๆ ด้วยความเจ็บปวด
ดวงตาสีดำฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นความสั่นไหวในดวงตาอีกคู่ แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไร อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน “เราเพิ่งเจอกันแค่สองครั้งเท่านั้น ทำไมคุณถึงได้ช่วยผมถึงขนาดนี้ล่ะครับ?” คราวนี้เนตรสีฟ้าที่เคยสั่นระริก กลับมั่นคงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ครอสนิ่งเงียบ... แม้แต่ตัวเอง...ยังหาคำตอบให้ไม่ได้เลย... ตอนนั้นร่างกายไปเร็วกว่าความคิด
...รู้ตัวอีกทีก็พุ่งเข้าไปหาเสียแล้ว...
เซดดริกพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ทำใจแล้วว่าอีกฝายคงไม่ตอบอะไรเช่นเคย เขาจึงก้มลงมองบาดแผลอีกครั้ง “ผมว่า...แบบนี้ยังไง ๆ ก็ต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ เลือดไหลไม่หยุดแบบนี้น่ะ” เขาเอ่ยด้วยความกังวลใจ
“ไม่ต้อง”
คำตอบเดิมทำให้ชายหนุ่มผมบลอนด์อดแหวขึ้นมาไม่ได้ “จะดื้อก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิครับ! ถึงคุณจะบอกว่าให้ผมทำแผลให้ แต่นี่ก็จนปัญญาแล้วนะครับ!” เขาตวาดก่อนจะหลุบใบหน้าลงต่ำจนอีกฝ่ายไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ มือกำหมัดแน่นเมื่อความรู้สึกเดิม ๆ ที่เคยรู้สึกเมื่อนานมาแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง
ความหวาดกลัวต่อการสูญเสีย...
...ก็แค่ไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว...
“ผมอยากช่วยคุณนะ ให้ผมได้ช่วยก่อนที่ผมจะไม่ได้ทำเถอะ...” เสียงที่แปร่งไปทำให้เนตรสีดำหรี่เล็กลงอย่างครุ่นคิด
คงจะมีบาดแผลในใจ...
ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงลืมตาขึ้นเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ แม้จะยังไม่มั่นใจ...แต่เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้
“นายอยากช่วยฉันจริง ๆ เหรอ?” น้ำเสียงห้าวที่เอ่ยขึ้นเรียกให้ใบหน้าของอีกฝ่ายเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใบหน้าคมคายอยู่ห่างเพียงแค่คืบ
“ครับ” เซดดริกตอบเสียงเบาหวิวจนตัวเองยังรู้สึกแปลกใจ
“อย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
“หา?...”
ไม่ทันได้พูดจบ มือกร้านก็เอื้อมไปดึงคอเสื้อของคนตัวเล็กกว่าให้เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วก่อนจะโน้มใบหน้าลงที่ซอกคอ ริมฝีปากบางแสยะยิ้มกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวยาวสีขาวที่มุมปากก่อนที่มันจะฝังลงในผิวเนื้อ!
เนตรสีฟ้าที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ ความเจ็บปวดจากการถูกบางอย่างทิ่มแทงเข้าผิวกายแล่นเข้าสู่สมอง แต่ไม่อาจเปล่งเสียงใดได้ เพราะร่างกายทุกส่วนแข็งทื่อด้วยความตกใจสุดขีด ไม่แม้แต่จะขัดขืนเมื่ออีกฝ่ายโอบรอบเอวเขาไม่ให้ทรุดกายลง
เนตรสีดำค่อย ๆ ปรือลงเมื่อของเหลวสีแดงข้นไหลเข้าโพรงปาก และลงสู่ลำคอ...เรี่ยวแรงที่เคยหายไปเริ่มกลับคืนมาราวกับต้นไม้ที่ได้รับน้ำแห่งชีวิต...กลิ่นคาวเหล็ก และรสหวานที่น่าหลงใหลคละคลุ้งอยู่ในโพรงปาก...
เนิ่นนาน....ไปเท่าไรก็ไม่อาจทราบได้ ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ
“นี่...คุณ...” เสียงทุ้มครางแผ่วเบาเรียกให้ชายหนุ่มผมดำได้สติ และถอนเขี้ยวออกพอดีกับที่ร่างในอ้อมแขนหมดสติและฟุบลงบนไหล่หนา มืออีกข้างเช็ดริมฝีปากของตนเบา ๆ ก่อนจะก้มลงมองบาดแผล
ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว...
อย่างที่คิดเลย คน ๆ นี้... ครอสผินมองเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าที่สลบไสลไม่ได้สติก่อนจะเลื่อนไปมองที่รอยแผลที่ซอกคออันเกิดจากฝีมือของตน
ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำถึงขนาดนี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้เขาไม่อาจหยุดได้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ และรสชาติพิเศษชวนให้ลุ่มหลงทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วครู่
...ทั้ง ๆ ที่เคยควบคุมตัวเองได้แท้ ๆ...
ชายหนุ่มกลับไปมองใบหน้าของเซดดริกอีกครั้งด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก คน ๆ นี้ควรจะได้ใช้ชีวิตเช่นคนทั่วไป แต่ว่า... ขอโทษนะเซดดริก ดูเหมือนว่าฉันไม่อาจจะปล่อยนายไปได้แล้วล่ะ
คิดได้ดังนั้น ใบหน้าคมคายก็ระบายยิ้มดูแคลนตัวเองจาง ๆ ... “นายจะทำยังไงต่อเมื่อรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนอย่างนาย”
สิ้นคำ ณ ที่ตรงนั้นก็ว่างเปล่า ไม่แม้แต่คราบเลือด หรือร่องรอยว่าเคยมีใครปรากฏอยู่ตรงนั้นมีก่อน มีเพียงเสียงกระซิบอันเศร้าสร้อยที่ล่องลอยมาสายลมเย็นยามราตรีกาล
สัมผัสแรกสร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดขาด...
แม้ว่าจะต้องการหรือไม่...ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว...
4th Tale : สัมผัสสีเลือด
บรรยากาศหนาวเย็นตามอุณหภูมิที่เกือบจะติดลบทำให้หลายคนเลือกจะผิงตัวให้อุ่นข้างเตาผิง หรือฮีตเตอร์มากกว่าออกมาเตร็ดเตร่ข้างนอก อาจจะเป็นเช่นนี้ในเขตอื่น แต่ไม่ใช่กับย่านบันเทิงแห่งนี้ แม้เวลาจะปาไปสี่ทุ่มแล้ว ก็ยังมีคนออกมาเดินรับลมอยู่แม้ว่าคนเหล่านั้นจะอยู่ในสภาพมึนเมา และเดินตุปัดตุเป๋ก็ตาม
ชายหนุ่มร่างสูงเดินสวนคนเหล่านั้นไปอย่างไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ดวงตา สีดำหรี่เล็กลงอย่างนึกเบื่อหน่าย
ไม่ว่าเมื่อไหร่ มนุษย์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขานึกขณะมองชายหนุ่มในวัยทำงานที่เดินออกมาจากผับแห่งหนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์เดินเซไป เซมาจนเพื่อนที่ช่วยพยุงแทบอยากจะปล่อยให้มันลงไปกองกับพื้นให้มันรู้แล้วรู้รอด
“โว้ยไอ้นี่! เดี่ยวก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้แม่ง!” คนโดนผลักว่าออกมาอย่างอารมณ์เสีย แต่มือก็ยังคงช่วยเพื่อนอีกคนลากคนเมาให้ห่างจากหน้าร้าน
ครอสถอนหายใจเบา ๆ กับภาพที่เห็น ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่ เขาเองก็ไม่ขอมาเหยียบแหล่งโสมมแบบนี้แม้จะเป็นที่โปรดของ ‘พวกเขา’ ก็ตาม
ชายหนุ่มชะงักกึก... หน้าที่?
เพียงเพราะเป็นหน้าที่เท่านั้นเหรอ?
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นในใจ หลายครั้งแล้วที่ไม่ได้ไปเมืองอื่น แต่กลับมาที่ลอนดอนครั้งแล้วครั้งเล่านับจากครั้งนั้น... คิ้วเรียวขมวดมุ่นอีกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยผมบลอนด์ และรอยยิ้มสดใสไร้การเสแสร้ง
ครอสส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป อีกแล้ว... เขาก่นด่าตัวเองในใจ เผลอทีไรก็นึกถึงเจ้าของใบหน้านั่นทุกคราไป
...เซดดริก เอเลนอฟ...
แม้กระทั่งชื่อที่ไม่คิดว่าจำได้ ก็จำได้แม่นยำ
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้งอย่างยอมจำนน ยอมรับก็ได้ว่าอยากเจอ เขายังคงติดใจกับกลิ่นคาวเลือดเมื่อครั้งที่แล้วไม่หาย ดวงตาสีดำหลุบต่ำลง และก้มมองมือขวาที่เคยสัมผัสมือของอีกฝ่าย
หากชายคนนั้นเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็คงจะปล่อยมือไปไม่ได้
“รูปหล่อ มาคนเดียวเหรอคะ?” เสียงหวานที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นข้างกายเรียกให้ร่างสูงหลุดจากห้วงความคิดและหันไปมอง หญิงสาวร่างบางในเสื้อผ้าเนื้อบางเบาน้อยชิ้นสีแดงโชว์สัดส่วนก้าวเข้ามาใกล้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
“เข้ามาหาอะไรดื่มก่อนสิคะ” ริมฝีปากสีแดงสดด้วยลิปสติกฉีกยิ้มหวานอย่างเชิญชวน “คุณจะนั่งดื่มคนเดียว หรือว่าจะให้ฉันนั่งด้วยก็ได้นะคะ”
ดวงตาสีดำหรี่เล็กลงอย่างพิจารณา และลอบมองไปที่สถานเริงรมย์ข้างหลังหญิงสาว ป้ายไฟไนท์ไลฟ์เด่นเป็นสง่าทำให้เขาพอเข้าใจจุดประสงค์
ครอสไม่ทันได้รู้ตัวว่าท่าทางนิ่ง ๆ และดวงตาสีดำคมกริบนั่นยิ่งทำให้หญิงสาวยิ่งเคลิบเคลิ้ม และมองไม่วางตา ใบหน้าคมคายได้รูป และริมฝีปากเรียวนั่นช่างน่าสัมผัสจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเช่นเดิม เธอก็เคลื่อนกายเข้าไปใกล้กว่าเดิม แล้วมือเรียวก็เอื้อมไปแตะแขนของร่างสูงหวังกระตุ้น...
ชายหนุ่มแทบจะตวัดสายตากลับมามอง แต่กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาแตะจมูกทำให้เขาสะบัดแขนหนี และเดินผ่านหญิงสาวไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมแพ้ เธอเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อโค้ทเขาไว้ได้ทันท่วงที
“เดี๋ยวสิคะ” เธอเรียกเสียงหวาน แต่แล้วเธอก็ต้องปล่อยมืออย่างรวดเร็ว เพราะดวงตาสีดำคมกริบที่ตวัดมามองอย่างไร้อารมณ์ และเย็นยะเยือก ร่างบางยืนแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว ขาเรียวสวยเริ่มหมดเรี่ยวแรง ทำให้ทั้งร่างทรุดลงไปกองกับพื้น
ชั่วแวบหนึ่ง...เธอเห็นว่าดวงตานั้นกลายเป็นสีแดงฉานราวกับสีโลหิต
ครอสปล่อยให้หญิงสาวเป็นลมล้มพับไปอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่ตนเร่งก้าวไปที่ทิศทางของกลิ่นที่โชยมา แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก
ชายหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายสก็อต และกางเกงยีนกำลังต่อสู้กับคนกลุ่มหนึ่ง เรือนผมสีบลอนด์ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
เซดดริก เอเลนอฟ?
###
ปึ้ก! พลั่ก!
เสียงหมัด และเท้าปะทะร่างเนื้ออย่างไม่ปราณีปราศรัย และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต่างกับอีกสามคนที่หอบหายใจจนตัวโยน และต้องคอยรองรับทั้งมือทั้งเท้าของคู่ต่อสู้ที่มีเพียงแค่คนเดียว ใบหน้าของแต่ละคนเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น และคราบเลือดจนดูน่าสงสาร
แต่อีกคนยังคงไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ นอกจากรอยเปื้อนเล็กน้อยบนเสื้อผ้า ใบหน้าคมคายยังคงฉีกยิ้มบาง ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ จังหวะการหายใจยังคงเป็นปกติแม้จะออกมือออกเท้าไปนานเกือบสิบนาทีแล้วก็ตามที “เมื่อกี้ยังอวดเก่งอยู่เลยนี่” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างกวนอารมณ์
“หนอย...” เอสกัดฟันกรอดด้วยความโมโห พวกเขามีถึงสามคน แต่กลับทำอะไรคน ๆ เดียวไม่ได้! แถมยังโดนอัดเสียจนเละแบบนี้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!!
ด้วยความคิดเช่นนั้น ทำให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะวาดขาขวาออกไป และตามซ้ำด้วยขาเดิม แต่เซดดริกก็ใช้แขนบล็อกไว้ได้ก่อนจะยกขาขวาที่ตั้งหลักอยู่ข้างหลังขึ้นสูง และทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่ซอกคอของอีกฝ่ายอย่างแรงดังปึ้ก!
เอสถึงกับเซไปเซมา ความเจ็บปวดที่แล่นจี๊ดเข้าสู่สมองทำเอาใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ ลูกน้องอีกสองคนที่พอตั้งหลักได้แล้ว ก็ล้อมหน้าล้อมหลังและส่งหมัดไปที่ชายผมบลอนด์พร้อมกัน
เซดดริกถอยตัวหลบ และเอื้อมมือจับหลังศีรษะของทั้งสอง และออกแรงผลักเข้าหากันจนหน้าผากกระแทกกันดังโป้ก เล่นเอาพวกเขาล้มหงายหลังลงไปกองกับพื้นพร้อมกับดาวบนหัว
“เอเลนอฟ...” เอสเม้มปากแน่นด้วยความโกรธที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาตรงไปกระชากคอเสื้อลูกน้องสองคนที่นั่งมึนอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นอย่างแรง “เฮ้ย! ลุกขึ้นดิวะ นั่งหาพ่องแกรึไง!”
“ต...แต่หมอนี่มันเก่งมากเลยนะ” คนหนึ่งพูดเสียงสั่นขณะกุมหน้าผากของตนที่ปูดเขียวคล้ำจนน่ากลัว
“ไอ้ขี้ขลาด!” ว่าแล้วก็ตบหัวให้ฉาดใหญ่ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่หูของลูกน้อง “พอฉันให้สัญญาณ พวกแกไปล็อคแขนไอ้นั่นจากข้างหลังซะ”
ทั้งสองพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะแยกตัวห่างออกไป และยืนล้อมหน้าล้อมหลังอีกฝ่ายเหมือนเช่นตอนเริ่มสู้ เซดดริกเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจแต่ก็ยังคงไม่ประมาท
เอสลอบมองใบหน้าของลูกน้องทั้งสองก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เมื่อได้รับสัญญาณอีกสองคนก็พุ่งเข้าล็อคแขนของชายหนุ่มผมบลอนด์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะไม่นึกว่าจะมาไม้นี่
“แกเสร็จฉันแน่ เอเลนอฟ” เอสหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะหยิบวัตถุรูปทรงยาวมีด้ามจับสีดำออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อใบมีดขนาดเล็กกระทบแสงไฟสลัวทำให้เห็นว่ามีดเล่มนี้เพิ่งได้รับการลับมาเป็นแน่
“เล่นมีดเลยเรอะ ขี้ขลาดนี่หว่า” เซดดริกสบถอย่างไม่สบอารมณ์ พยายามสะบัดให้หลุดจากการจับกุม แต่ดูเหมือนว่าไอ้สองคนนี้จะทุ่มสุดแรงในการหยุดการเคลื่อนไหวของเขาเลยทีเดียว
“ใครสน? ถ้าฉันไม่ได้เรียกเลือดจากแก ฉันคงนอนไม่หลับแน่ ๆ!” สิ้นคำ ร่างสูงก็พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธมีคมในมือ
คนที่ถูกล็อคแขนไว้กระตุกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกระโดด และส่งลูกถีบเข้าที่ยอดอกของเอสอย่างแรงดังปึ้กจนร่างนั้นลอยหวือไป ส่วนตัวเขาก็อาศัยจังหวะที่คนล็อคแขนกำลังตกตะลึงสะบัดแขนให้หลุด และศอกกระแทกไปที่ปลายคางของพวกเขาพร้อม ๆ กันจนสติหลุดลอยไปก่อนจะได้ลงไปกองกับพื้นเสียอีก
ปึ้ก...
เสียงอะไรบางอย่างกระแทกกันเรียกให้ดวงตาสีฟ้าหันไปมอง แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าร่างของคนที่เขาเพิ่งประเคนลูกถีบให้ไปชนกับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่คุ้นตา
เรือนผมสีดำยาว และดวงตาสีดำคมกริบบนใบหน้าหล่อเหลา...
“ครอส?” เซดดริกเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่วเบาอย่างตกตะลึง
จะบังเอิญไปไหมเนี่ย!?
เจ้าของชื่อยังคงนิ่งเงียบแม้ว่าคนที่เซมาชนจะหันกลับไปมอง เขาหรี่ตาลง ครุ่นคิดก่อนจะฉีกยิ้มอย่างเอาเรื่อง “คนรู้จักของเอเลนอฟเรอะ?” เขาถามเสียงเบา “แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วล่ะมั้ง!!” สิ้นคำ คมมีดก็แหวกผ่านอากาศไปที่ลำตัวของคนตัวสูงกว่าอย่างรวดเร็ว
แต่อีกฝ่ายก็หลบได้ด้วยท่าทีสบาย ๆ แม้ว่าเอสจะไม่หยุดโจมตีแค่นั้น แต่ถึงอย่างนั้นครอสก็โยกตัวหลบได้อย่างสบาย ๆ จนอีกคนที่มองนิ่งอึ้ง
เก่งชะมัด เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ก่อนจะหลงชื่นชมไปกับฝีมือของคนที่เพิ่งเจอโดยบังเอิญ เขาก็รีบกวาดมองรอบตัว แล้วก็เห็นรองเท้าของลูกน้องของชายหนุ่มผมน้ำตาล เขาก้มลงถอดรองเท้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แม้จะนึกขยะแขยงอยู่บ้าง แต่เวลาแบบนี้มันเลือกได้มากที่ไหน?
แล้วรองเท้าผ้าใบสีดำกลิ่นเหม็นเน่าก็มาอยู่ในมือของเขา เขายกมันขึ้นเหนือหัว และกะจะแรงและระยะทางให้แม่น ก่อนจะโยนไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
ป๊อก...
รองเท้าข้างนั้นหล่นลงบนเรือนผมสีน้ำตาลพอดิบพอดีทำให้เอสต้องหยุดการโจมตีก่อนจะตวัดสายตามามองคนโยน “หนอย ไอ้...” นึกสรรหาคำพูดมาด่าไม่ออก แล้วยิ่งพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ขว้างมาคือรองเท้ากลิ่นเหม็นตุของลูกน้องตัวเอง
“คู่ต่อสู้ของนายคือฉัน อย่าไปยุ่งกับคนอื่นดิวะ!” เซดดริกพูดเสียงดังก่อนจะตั้งท่าสู้อีกครั้งพร้อมกับกวักมือเรียกอย่างท้าทาย แต่เพราะมัวจดจ่อกับอีกฝ่าย ทำให้เขาไม่ทันสังเกตลูกน้องคนหนึ่งที่ได้สติขึ้นมา และลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโซเซเล็กน้อย ในมือมีก้อนหินสีเทาขนาดพอเหมาะมือ คนคิดลอบทำร้ายยกมือขึ้นสูง และหมายจะฟาดมันลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีบลอนด์
ถ้าอยู่ในสภาพเต็มร้อยอาจจะสำเร็จ แต่เพราะอากาศบาดเจ็บที่คาง ทำให้เขาเซไปเซมา ก้อนหินในมือวาดลงมาอยู่รวดเร็วพอดีกับที่ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายหันไปมองพอดี
“เฮ้ย!” เซดดริกอุทานลั่นด้วยความตกใจก่อนจะเอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงที ทำให้ชายคนนั้นร่วงลงไปกองกับพื้น และหมดสติไปอีกครั้ง...
แต่เพราะครั้งนี้ทำให้เขาลืมระวังตัว และเปิดช่องว่างขนาดใหญ่ให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลเล็งเห็น มีหรือจะปล่อยให้มันหลุดลอยไป เขากระตุกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมกับมีดในมืออย่างรวดเร็ว เซดดริกที่เพิ่งได้หันหน้ากลับมาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ไม่ทันแล้ว!
ฉัวะ!!
###
...จะไปช่วยไหม?....
...จะช่วยทำไมล่ะ? ก็แค่มนุษย์คนหนึ่งเอง...
สองเสียงในความคิดตีกันยุ่งวุ่นวายจนเจ้าของร่างปวดหัวไปหมด เขาเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงอย่างตึงเครียด บางอย่างฉุดรั้ง...บางอย่างผลักดัน ขัดแย้งกันจนน่ารำคาญ
ไม่ทันได้ตัดสินใจดี ขาเจ้ากรรมก็พาเจ้าของพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวแปลกใจ
ฉัวะ!!
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีฟ้าที่เบิกโพลงยิ่งกว่าด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีร่างสูงของใครคนหนึ่งพุ่งมาบังร่างของเขาไว้ เรือนผมสีดำยาวสลวยที่ปลิวระใบหน้า และกลิ่นคาวเลือดที่ลอยเตะจมูกเรียกสติให้กลับคืนมา “ครอส!!” เซดดริกอุทานลั่น
ส่วนเอส...นิ่งค้างด้วยความตกใจ มือที่กุมด้ามมีดสั่นระริก ไม่ใช่เพราะความตกใจ หากแต่เป็นความหวาดกลัวเมื่อสบกับดวงตาสีแดงสดที่จ้องมองมาอย่างเย็นเยียบจนเลือดในกายแทบจับตัวแข็ง
ลมหายใจติดขัด...แขนขาไม่อาจขยับได้
แม้จะรู้ว่าชายตรงหน้าเขากำลังกำคมมีดที่ถูกเบี่ยงไปเฉือนผิวข้างเอวเป็นแผลลึก “อ...อะ...” พูดอะไรไม่ออก มีเพียงคำพูดตะกุกตะกักที่ถูกเปล่งออกมา
“ไปให้พ้น” น้ำเสียงเรียบแต่เฉียบขาดจากชายหนุ่มแปลกหน้าทำให้เอส เผลอปล่อยมีดด้วยความตกใจ ขาที่สั่นระริกค่อย ๆ ก้าวถอยหลังก่อนจะก้าวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
“ป...ปิศาจ...” ชายหนุ่มผมน้ำตาลพึมพำเสียงเบาซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ และวิ่งจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“คุณทำแบบนี้ทำไม!?” เซดดริกแหวอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเอสวิ่งจากไป แม้จะงงงวย แต่อาการบาดเจ็บของคนตรงหน้าก็สำคัญกว่า ตั้งท่าจะด่าต่อ แต่ร่างที่สูงกว่าจะทรุดตัวลงนั่งบนพื้นจนทำเอาเขาหัวใจหล่นไปตาตุ่ม ดวงตาสีฟ้าเหลือบไปเห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ข้างเอวของอีกฝ่าย “เฮ้ย!!”
ครอสเลื่อนมือไปกุมบาดแผล ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมาเป็นมาก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนบาดแผลแค่นี้ครู่เดียวก็หาย แต่ตอนนี้....
“ข้ากลัวว่าจะเกินขีดจำกัดของนายท่านขอรับ”
คำเตือนของพ่อบ้านชราดังขึ้นในความคิดทำให้เขาอดคลี่ยิ้มเครียด ๆ ไม่ได้ สงสัยว่าจะถึงขีดจำกัดแล้ว...
“นี่คุณยิ้มอยู่อีก! ให้ตายเหอะ!!” เสียงทุ้มตื่นตระหนกว่าขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกมาด้วยออกมา และกดลงบนปากแผลอย่างเบามือ “เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่โรงพยาบาลนะ”
“ไม่ต้อง” แต่มือกร้านก็ดึงแขนอีกฝ่ายไว้ นัยน์ตาสีฟ้าเบือนมาสบ
“นี่คุณกลัวหมอหรือไง?” เซดดริกพูดล้อด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น “ไม่ตลก”
“นายทำแผลให้ฉันได้ ไม่ต้องไปที่แบบนั้น” ครอสเอ่ยพร้อมกับจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ ด้วยดวงตาสีดำที่ไม่มีแววล้อเล่น ราวกับมีมนต์ขลังบางอย่าง ทำให้ชายหนุ่มผมบลอนด์ต้องถอนหายใจเบา ๆ อย่างจำยอม
อาจเป็นเพราะเพิ่งเคยได้ยินประโยคยาว ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกจากชายพูดน้อยคนนี้ก็เป็นได้ ให้ตายเหอะ...
“ก็ได้ ๆ” ร่างเล็กกว่ายอมแพ้ก่อนจะสอดแขนเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่าย “งั้นก็ต้องรีบไปจากตรงนี้แล้วล่ะ ผมว่าอีกไม่นานชาวบ้านแถวนี้คงได้ยินเสียง แล้วก็ได้กลิ่นเลือด” แล้วเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับพยุงร่างสูงกว่าให้ยืนขึ้น
“ไม่ไกลจากตรงนี้มีซอยที่ไม่ค่อยมีคนผ่านเท่าไหร่ ตรงนั้นน่าจะพอหลบได้สักพัก” เซดดริกเอ่ย พยายามซ่อนใบหน้าเหยเกไว้ เพราะน้ำหนักที่ต่างกันเกินไป ทำเอาเขาแทบทรุด ถ้าไม่ติดว่าคน ๆ นี้บาดเจ็บแล้วล่ะก็...เขาก็คงปล่อยให้ร่วงไปแล้ว
ครอสนิ่งเงียบไปพูดอะไรขณะลอบมองคนข้างกาย ใบหน้าหล่อเหลา ติดหวานเล็กน้อย และจมูกโด่งสวยได้รูป เหงื่อกาฬหลายเม็ดไหลอาบใบหน้าทำให้พวงแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย คาดว่าเพราะหลังจากสู้มาเป็นเวลานาน แล้วยังต้องมาช่วยพยุงคนที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองอีก...คงเสียแรงไปไม่ใช่น้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่อาจละสายตาจากชายหนุ่มข้าง ๆ ได้เลย ราวกับมีมนต์ขลังสะกดให้จ้องมองอยู่เช่นนั้น...
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เสียงทุ้มจากคนที่ถูกจ้องมองทำให้ครอสรู้สึกตัวเมื่อเห็นดวงตาสีฟ้าหันมา
“...” แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบกลับมา ทำเอาชายหนุ่มผมบลอนด์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างปลงตก...คงยากหากอยากได้คำตอบเป็นคำพูด
“นึกยังไงของคุณถามจริงเหอะ” เซดดริกว่าขณะมองซ้ายมองขวาก่อนข้ามถนน เวลาดึกขนาดนี้คงไม่มีใครคิดโผล่หน้าออกมานอกหน้าต่างแล้ว แล้วเขาก็พูดต่อเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะเอ่ยอะไร “...อยู่ดี ๆ คุณก็มาช่วยผมจนตัวเองบาดเจ็บแบบนี้น่ะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยุดเดิน และค่อย ๆ ย่อตัวลงให้ร่างสูงกว่าได้นั่งพิงกำแพงอิฐที่เป็นที่หมาย ชายหนุ่มผมบลอนด์ทิ้งตัวลงข้าง ๆ หน้าก่อนจะก้มลงดูบาดแผลที่เอวอีกฝ่ายอีกครั้ง ใบหน้าคมคายเริ่มฉายแววลำบากใจ
“เลือดไหลไม่หยุดเลยแฮะ” เขาพึมพำก่อนจะฉีกปลายเสื้อของตัวเองเพื่อเอาซับเลือดแทนผ้าเช็ดหน้าที่ตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีแดงข้น
“ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หาย” ครอสเอ่ยเสียงเบาขณะมองอีกฝ่ายจัดการห้ามเลือดที่ไหลไม่หยุด
ดวงตาสีฟ้าตวัดมอง “คิดว่าบาดแผลมันรักษาตัวเองได้หรอ?” เซดดริกว่าเสียงแข็ง “แผลก็ลึกขนาดนี้ เดี๋ยวก็...ได้ตายขึ้นมาจริง ๆ”
น้ำเสียงตอนท้ายสั่นระริกเมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์ในอดีต...หญิงสาวคนหนึ่งที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดไม่ต่างอะไรไปจากชายหนุ่มตรงหน้าเขาตอนนี้ ภาพที่ซ้อนทับกันทำให้ก้อนเนื้อที่อกซ้ายบิดเร่า ๆ ด้วยความเจ็บปวด
ดวงตาสีดำฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นความสั่นไหวในดวงตาอีกคู่ แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไร อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน “เราเพิ่งเจอกันแค่สองครั้งเท่านั้น ทำไมคุณถึงได้ช่วยผมถึงขนาดนี้ล่ะครับ?” คราวนี้ดวงตาสีฟ้าที่เคยสั่นระริก กลับมั่นคงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ครอสนิ่งเงียบ แม้แต่ตัวเองยังหาคำตอบให้ไม่ได้เลย ตอนนั้นร่างกายไปเร็วกว่าความคิด รู้ตัวอีกทีก็พุ่งเข้าไปหาเสียแล้ว...
เซดดริกพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ทำใจแล้วว่าอีกฝายคงไม่ตอบอะไร เช่นเคย เขาจึงก้มลงมองบาดแผลอีกครั้ง “ผมว่าแบบนี้ต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ เลือดไหลไม่หยุดแบบนี้น่ะ” เขาเอ่ยด้วยความกังวลใจ
“ไม่ต้อง”
คำตอบเดิมทำให้ชายหนุ่มผมบลอนด์อดแหวขึ้นมาไม่ได้ “จะดื้อก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย! ถึงคุณจะบอกว่าให้ผมทำแผลให้ แต่นี่ก็จนปัญญาแล้วนะครับ!” เขาตวาดก่อนจะหลุบใบหน้าลงต่ำจนอีกฝ่ายไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ มือกำหมัดแน่นเมื่อความรู้สึกเดิม ๆ ที่เคยรู้สึกเมื่อนานมาแล้วหวนกลับมา
ความหวาดกลัวต่อการสูญเสีย...
ไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
“ถือว่าผมขอเถอะ ให้ผมทำสักอย่างเพื่อช่วยก่อนที่ผมจะไม่ได้ทำเถอะ” เสียงที่แปร่งไปทำให้ดวงตาสีดำหรี่เล็กลงอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ แล้วจึงลืมตาขึ้นเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
แม้จะยังไม่มั่นใจ...แต่เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้
“อยากช่วยฉันจริง ๆ เหรอ?” น้ำเสียงห้าวที่เอ่ยขึ้นเรียกให้ใบหน้าของ อีกฝ่ายเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใบหน้าคมคายอยู่ห่างเพียงคืบ
“ครับ” เซดดริกตอบเสียงเบาหวิวจนตัวเองยังรู้สึกแปลกใจ
“อย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
“หา?”
ไม่ทันได้พูดจบ มือกร้านก็เอื้อมไปดึงคอเสื้อของคนตัวเล็กกว่าให้เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วก่อนจะโน้มใบหน้าลงที่ซอกคอ ริมฝีปากบางแสยะยิ้มกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวยาวสีขาวที่มุมปากก่อนที่มันจะฝังลงในผิวเนื้อ!
ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ความเจ็บปวดจากการถูกบางอย่างทิ่มแทงเข้าผิวกายแล่นเข้าสู่สมอง แต่ไม่อาจเปล่งเสียงใดได้ เพราะร่างกายทุกส่วนแข็งทื่อด้วยความตกใจสุดขีด ไม่แม้แต่จะขัดขืนเมื่ออีกฝ่ายโอบรอบเอวเขาไม่ให้ทรุดกายลง
ดวงตาสีดำค่อย ๆ ปรือลงเมื่อของเหลวสีแดงข้นไหลเข้าโพรงปาก และลงสู่ลำคอ เรี่ยวแรงที่เคยหายไปเริ่มกลับคืนมาราวกับต้นไม้ที่ได้รับน้ำแห่งชีวิต...กลิ่นคาวเหล็ก และรสหวานที่น่าหลงใหลคละคลุ้งอยู่ในโพรงปาก
เนิ่นนาน...ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ
“นี่...คุณ...” เสียงทุ้มครางแผ่วเบาเรียกให้ชายหนุ่มผมดำได้สติ และถอนเขี้ยวออกพอดีกับที่ร่างในอ้อมแขนหมดสติและฟุบลงบนไหล่หนา มืออีกข้างเช็ดริมฝีปากของตนเบา ๆ ก่อนจะก้มลงมองบาดแผล
ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว...
อย่างที่คิดเลย คน ๆ นี้... ครอสผินมองเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าที่สลบไสลไม่ได้สติก่อนจะเลื่อนไปมองที่รอยแผลที่ซอกคออันเกิดจากฝีมือของตน
ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำถึงขนาดนี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้เขาไม่อาจหยุดได้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ และรสชาติพิเศษชวนให้ลุ่มหลงทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วครู่
...ทั้ง ๆ ที่เคยควบคุมตัวเองได้แท้ ๆ...
ชายหนุ่มกลับไปมองใบหน้าของเซดดริกอีกครั้งด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ถ้าหากพวกเขาไม่เจอกัน อีกฝ่ายคงไม่มีชะตากรรมแบบนี้
ขอโทษนะเซดดริก ดูเหมือนว่าข้าไม่อาจจะปล่อยเจ้าไปได้แล้ว
คิดได้ดังนั้น ใบหน้าคมคายก็ระบายยิ้มดูแคลนตัวเองจาง ๆ “นายจะทำยังไงต่อเมื่อรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนอย่างนาย”
สิ้นคำ ณ ที่ตรงนั้นก็ว่างเปล่า ไม่แม้แต่คราบเลือด หรือร่องรอยว่าเคยมีใครปรากฏอยู่ตรงนั้นมีก่อน มีเพียงเสียงกระซิบอันเศร้าสร้อยที่ล่องลอยมาสายลมเย็นยามราตรีกาล
To be continued....
กำลังจะเปิด Pre-Order นะคะ รอติดตามกันน้า :)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
จะทำยังไงต่อไปน๊า เซด
แต่ชอบตอนนี้อ่าาา โรแมนติกแบบเศร้าๆ แอร๊...ครอสหล่อมากกกกกกก
ฮี่~
เซดต้องมีอะไรพิเศษเเน่เลย
โดนกัดไปเเล้ว
ตอนนี้เจ้าคือ นายหญิงเเห่งเเวมไพร์ 555555555555555555555555
แต่ว่าเซต ต่อมีอะไรที่พิเศษแน่ๆๆเลย