ตอนที่ 34 : ผู้ซ่อนกายอยู่ในเงา
‘ท่านมีความเกี่ยวข้องใดกับมู่เซิน'
ความเงียบเกิดขึ้นทันทีที่จบคำถาม ฉู่เหวินได้ยินคำถามของข้าแล้ว องค์ชายเจ็ดนิ่งขึงด้วยอาการงวยงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยิัมออกมาด้วยท่วงท่าไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง ข้ามองใบหน้าคล้ายหวังอี้เสี่ยออกอาการชั่วร้ายแล้วขัดใจนัก จำต้องสะบัดหน้าหนีอีกที คนน่าตายผู้นี้มิใช่เขาคนนั้น ยิ่งได้ยิ้มแย้มเช่นนี้ยิ่งไม่ใช่ คิดเอาเขาเทียบกับอาจารย์หวังจะเป็นการลบหลู่คนตายเปล่าๆ
“ที่แท้ก็แปลกใจเพราะใบหน้าเราเหมือนกันรึ ดูคล้ายท่านอ๋องจะมิใช่คนประเภทนั้น” คำพูดนั้นบอกชัดว่าเขารู้จัก ข้าฟังแล้วปวดหัวไม่น้อยจึงสูดหายใจลึกๆระงับอารมณ์มิให้พลุ้งพล่านจนออกอาการเหมือนครั้งเจอมู่เซิน ประเดี๋ยวป่วยเข้าอีกจะเป็นเรื่อง
“เรื่องราวเลยมาถึงตอนนี้ ท่านคงไม่ปิดข้าต่อไปแล้วกระมัง ข้ารู้จักมู่เซิน…” กล่าวแล้วจึงหันไปมองสบตาสีฟ้าที่ไหวระริกคล้ายสนุกสนานและรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา “เขาเป็นพ่อค้า..หรืออย่างน้อยก็กล่าวว่าเป็น ข้าจำได้ว่าคนผู้นี้จับตัวข้ามา และหน้าเหมือนท่าน”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของไห่เยี่ยน”
ข้าฟังแล้วถอนหายใจ เรื่องภายในงั้นรึ คนกล่าวมาเช่นนี้ก็ได้แต่นวดรอยช้ำที่แขนเงียบๆ “ช่างเถิด ข้าอยากนอนแล้ว”
“จวิ้น--ท่านอ๋องล้มเลิกง่ายไปกระมัง“คนเหมือนคาดไม่ถึงว่าข้าจะเลิกราง่ายปานนั้น องค์ชายเจ็ดแสดงอาการคล้ายคนถูกขัดใจพลางเข้ามาดึงไหล่ข้าให้หันไปหา บัดซบ ข้าเจ็บ!
“ช่วยเบามือหน่อยได้หรือไม่” หันไปทำตาเขียวใส่องค์ชายจอมลงไม้ลงมือแล้วกัดฟันกรอด รู้สึกว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างของคนงาม ข้าเจ็บวันนี้วันเดียวมากกว่าผ่านมาเสียอีก ยกมือบีบนวดไหล่ตนเองแล้วยิ่งมองอีกฝ่ายอย่างกล่าวหา เจ้าตัวก๊อปปี้ชอบใช้ความรุนแรง อย่ามาทำให้ภาพลักษณ์หวังอี้เสี่ยในใจข้าต้องเสียหาย!
“ขออภัย” โดนข้าทำตาขวางจ้องใส่องค์ชายผู้นี้นอกจากจะไม่ขุ่นใจแล้วยังยิ้มน้อยๆ ฉู่เหวินผู้นี้จิตใจปกติดีหรือไม่ ข้านึกสงสัยเสียแล้ว
“ดูแล้วองค์ชายมิได้รู้สึกผิดนัก” ไม่พูดยังจะดีกว่าออกปากพล่อยๆ ข้าร้องเฮอะส่งไปให้เขา
“ข้าจะส่งหมอมาดูแล”
“ไม่ต้องลำบาก ข้ามิคิดรบกวน” ข้าไม่ต้องการให้ตาเฒ่าหนวดเฟิ้มที่ไหนไม่รู้มาดูผิวสวยๆของคนงาม ส่งยาและกระจกบานใหญ่ๆมาให้เป็นพอ
“ท่านอ๋องรู้จักสิ่งที่เรียกว่า’องครักษ์เงา'หรือไม่?” คำพูดที่จู่ๆโพล่งกล่าวขึ้นมาทำให้ข้าชะงัก หันไปมององค์ชายต้องสาปซึ่งทรุดกายลงนั่งข้างกาย แววตาคู่นั้นไม่ส่งแววล้อเล่นหากจ้องมองข้าอย่างพินิจพิจารณา ข้าสบตาเขา นิ่งเพียงครู่หนึ่งก็รับรู้ความหมาย ดวงตากระจ่างวาบ
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง…”
ฉู่เหวินจ้องหน้าข้าซ้ำ องค์ชายผู้นั้นหยิบหน้ากากลายพยัคฆ์ของตนเองมาถือไว้พลางจ้องสบตาเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ข้าเองก็มองตาเขากลับอย่างไม่ยอมหลบแม้ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดบุรุษผู้นี้จึงขยันมองมา แต่ก็หาได้หวั่นเกรงเพราะคนงามนั้นงามจนทำผู้คนเพ้อหาอยู่แล้ว บางทีฉู่เหวินเกิดประทับใจข้าที่ไม่กลัวใบหน้าและดวงตาของเขาจนเกิดเป็นความรัก ถุย เร็วไป
เสียงปรบมือดังขึ้นหนึ่งครั้งท่ามกลางความเงียบงัน เมื่อองค์ชายเจ็ดลดมือลงกลับเป็นข้าที่ประหลาดใจ ร่างหนึ่งปรากฏตัวเบื้องหน้า คนผู้นั้นแต่งตัวรัดกุมสวมเสื้อผ้าสีเข้มอันเหมาะแก่การพรางกาย ใบหน้าก้มต่ำไม่แสดงอารมณ์ ไปมาไร้ร่องรอย เงาร่างอันแสนคุ้นตานั้นคือบุรุษที่ครั้งหนึ่งข้าคร่ำเคร่งมองหา..มู่เซิน
ข้ามองคนหน้าเหมือนทั้งสองปรากฏตัวต่อหน้า คำสถบหยาบคายจู่ๆก็แล่นมาจุกลำคอ จะพามาก็ควรกล่าวล่วงหน้าสักนิด ซ้ายหวังอี้เสี่ยขวาก็หวังอี้เสี่ย มารดามันเถอะ..ข้าตั้งตัวไม่ทัน
“คนผู้นี้ใช่หรือไม่เถ้าแก่มู่ของท่านอ๋อง” ฉู่เหวินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มลึกลับ “เถ้าแก่มู่ มู่เซิน บุรุษที่เหมือนข้ายิ่งนัก”
“ขออภัยที่ทำให้ท่านอ๋องสับสน บางครั้งภารกิจยุ่งยากวุ่นวาย ข้ามิอาจปรากฏตัวในสองที่ได้ภายในเวลาเดียวกันจึงจำต้องใช้คนเท่านั้นเอง”
“องค์ชายบอกความลับแก่ข้าเช่นนี้จะดีหรือ?” นิ่งไปพักหนึ่งข้าก็ละสายตาจากคนผู้นั้น ในอกยังรู้สึกแปลบวาบแต่เพียงครู่ก็จางหาย ข้าคลี่ยิ้มน้อยๆเอ่ยถามราวกับว่าตนเองมิได้เป็นฝ่ายซักไซ้ ให้ความสนใจ
“ถือว่าขออภัยเรื่องที่ลงมือกับท่าน” บุรุษข้างกายสรวลแผ่วเบา เจ้าของร่างสูงใหญ่ผินกายมาหาฉู่เหวินมองข้าตาไม่กระพริบ “ทราบแล้ว..ท่านอ๋องมีความคิดเช่นไร”
“ข้าหรือควรจะคิดเห็นเช่นใด?” เอ่ยปากถามแล้วข้าก็หัวเราะแผ่วเบา ดวงตาปรากฏระลอกริ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็จางหาย
องครักษ์เงา เรียกอีกอย่างว่าผู้คุ้มกันในเงามืดหรือกระทั่งคนคอยปฏิบัติภารกิจแทนอีกฝ่าย ไม่ว่าใช้ชื่อเรียกใดหรือใช้กับงานชนิดไหน คำจำกัดความย่อมเป็นข้ารับใช้ที่ยอมมอบกายถวายชีวิตแด่ผู้เป็นนาย ยอมตกตายยอมทรมารเพื่อกระทำตามสั่ง คนเช่นนี้มักถูกเลี้ยงไว้คุ้มกันบุคคลสำคัญ จวิ้นอ๋องก็ยังเคยมีจนกระทั่ง…กระทั่ง..
ความคิดสะดุดลงเล็กน้อยกับข้อแคลงใจหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าปัดความจำอันไม่ปะติดปะต่อออกไปก่อน คำนึงถึงคำว่าองครักษ์เงาแล้วตระหนักถึงคำตอบที่ถูกต้องไปด้วย ไม่แปลกหรอกหากจะถูกคัดสรรมาด้วยมีใบหน้าคล้ายผู้เป็นนาย ใช้แสดงตัวแทนได้ ใช้ตายแทนยังได้ เกี่ยวข้องอันใดกับหวังอี้เสี่ย ทุกสิ่งล้วนคิดไปเองทั้งนั้น
ข้าถอนใจ..ลอบถอนหายใจกับความคิดอันเพ้อเจ้อโง่เง่าของตน มาถึงป่านนี้แล้วคิดคาดหวังสิ่งใด คนหน้าเหมือนหวังอี้เสี่ยทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นองค์ชายผู้มีปมด้านหน้าตาซ้ำชอบใช้ความรุนแรง อีกคนเป็นองครักษ์ผู้ถนัดโกหกและปลอมตัวเป็นที่สุด ไม่มีใครเป็นหวังอี้เสี่ย ไม่ใช่ และคงไม่มีวันได้พบ
“ที่มู่เซินกล่าวว่าท่านอ๋องหวั่นไหวกับใบหน้าของเขา เป็นเช่นนี้เอง”
“….ท่านต้องการกล่าวสิ่งใด”
ข้าเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตาสีฟ้าเข้มขององค์ชายเบื้องหน้า เขาผู้มีใบหน้าเดียวกับบุรุษที่ข้าคะนึงหาหากแตกต่างยิ่งนัก ข้าจ้องมองรอยแผลบนใบหน้าคมคายนั้นและจำมันไว้ให้มั่น ตอกตรึงความต่างนี้ไว้ในใจ ขณะที่ฉู่เหวินเอื้อมมือมา ปลายนิ้วแข็งจากการจับดาบแตะเข้าที่ใบหน้าแผ่วเบาและเกี่ยวเส้นผมที่ระแก้มออกไป
“ที่แท้ไม่กลัวข้า เป็นพราะใบหน้าของข้าและมู่เซินมีผลต่อท่าน ตอนนี้รู้สึกเช่นใดเล่า คลายความคะนึงหาไปได้ หรือเร่าร้อนทุรนทุรายยิ่งกว่าเดิม?”
“เป็นเพียงแค่คนหน้าเหมือน จะอย่างไรก็แตกต่าง ข้าหวงเทียนหยางจำหน้าคนที่ตนเองอยากระลึกถึงได้ดี องค์ชายอย่าได้ลำบากมาห่วงกังวล” ข้าจับข้อนิ้วที่ยื่นมาเอาไว้ เชิดใบหน้าขึ้นขณะยิ้มน้อยๆและสบตาอีกฝ่าย รอยยิ้มและแววตาหยิ่งทะนง หากคำกล่าวของคนตรงหน้าก็ราวนั่งอยู่กลางใจ
เหมือนกัน เหมือนแล้วอย่างไร ให้เหมือนคล้ายเช่นใดก็มิใช่ คนตายคือคนตาย หวังอี้เสี่ยคือหวังอี้เสี่ย ไม่ใช่พวกเขา และไม่มีทางได้มายืนอยู่ตรงนี้อีก
“ท่านอ๋องกล่าวได้ดี เช่นนั้นก็กรุณาอย่านำตัวข้าไปปะปนกับผู้ใดอีก…” ปลายนิ้วที่ถูกกำไว้ตวัดแตะลงบนผิวแก้มขาวอย่างดื้อดึง ข้าถลึงตาใส่เขาวูบแล้วผลักออก ไม่สนใจจะรักษามารยาทกับคนเช่นนี้ “แล้วไม่ทราบว่าแม่ทัพหลินได้รู้เรื่องบุรุษที่ท่านคะนึงหาด้วยหรือไม่?”
“รู้หรือไม่ เกี่ยวข้องอันใดกับองค์ชาย? เรื่องของสามีภรรยาคนนอกอย่าได้คิดวิตกแทน” แว่วเสียงหัวเราะยียวนโทสะจากคนน่าตายอีกแล้ว ดูเขาจะมีความสุขยิ่งนักยามข้ามีโทสะ ฉู่เหวิน เจ้าไปหาหมอซะ! เจ้ากับหวงไท่หยางกอดคอกันไปหาหมอเสียไป!
“คนนอกอันใดกัน ฉู่เหวินรึอุตส่าห์จะผูกไมตรีกับเทียนจิ้นด้วยการแต่งท่านอ๋องเป็นชายา”
“ข้ากล่าวไว้แล้วว่าอย่างท่านเป็นได้เพียงสาวใช้อุ่นเตียงเท่านั้น”
ข้าคำรามตอบไม่ยอมแพ้ พลางยกมือนวดคอตนเองที่ปวดตุบไปพลางท่ามกลางเสียงหัวเราะแผ่วเบาชวนให้คันคะเยอไปทั้งมือทั้งเท้าจนอยากจับหน้ากากเงินของเขาปาใส่เสียที ข้านึกชังหน้าองค์ชายผู้ถนัดยั่วโทสะคนนี้ยิ่งนัก ตอนแรกมีปมเรื่องหน้า ตอนนี้ยังคิดเผยแผ่ความผิดปรกติของตัวเองเพิ่มอีกหรือ น่าจับมัดรวมกับหวงไท่หยางแล้วถีบตกบ่องูอย่างยิ่ง
“ยังไม่แน่ว่าเทียนจิ้นหรือไห่เยี่ยนจะได้ชัย” เสียงหัวเราะแผ่วเบานั้นจบลงแล้ว เจ้าของดวงตาสีฟ้าเจิดจ้ายิ้มอย่างหยิ่งยโส
“ใช่ ไม่แน่ว่าฝ่ายใดจะชนะ” ข้าสบตาคู่นั้น เชิดหน้าไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย
แม้ข้าจะถูกจับตัวมา แม้ไห่เยี่ยนจะเสียฐานที่มั่นและถูกล้อม แต่สงครามนี้ยังคงดำเนินต่อไป จะแพ้หรือชนะไม่มีใครรู้..
“เส้าไป๋และเสี่ยวเจี๋ยสบายดีอยู่หรือไม่?” เงียบไปครู่หนึ่ง ข้านึกถึงคำกล่าวอ้างของซุนลู่หยุนได้จึงเอ่ยถาม คำกล่าวนั้นไม่แน่ชัดว่าเอ่ยกับผู้ใด แต่ข้ามองตรงไปที่มู่เซิน องครักษ์ผู้นั้นจึงเงยหน้ามองผู้เป็นนาย เฮอะ ช่างเชื่อฟังและภักดีอย่างยิ่ง
“วันนี้ท่านอ๋องถามคำถามมากไปแล้วกระมัง” เช่นนี้แสดงว่ามิอาจซักไซ้ถามปากเปล่าได้อีก ข้าหรี่ตามองใบหน้าอันประกอบด้วยความเจ้าเล่ห์ฉาบฉาย แทบลืมไปแล้วว่าคนบ้าคนใดที่จะเป็นจะตายเรื่องใบหน้าตนเมื่อครู่
“จะเอาอะไร?” ข้าคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาแล้ว ซ้ำเริ่มรู้สึกปวดหัวตุบๆ
“ไม่ให้ข้าเรียกจวิ้นอ๋อง ข้าต้องเรียกท่านว่าอย่างไร?”
ข้านึกว่าเขาจะถามคำถามเกี่ยวกับที่ตั้งทัพหรือการสงคราม มิคาดว่าจะเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่มาก ข้ากระพริบตาช้าๆ ใช้ดวงตาอันงดงามของหวงเทียนหยางจ้องมองอีกฝ่ายราวกับจะล้วงเข้าไปในดวงใจ ความงามอันร้ายกาจของจวิ้นอ๋องจะสั่นคลอนดวงใจเขาได้หรือไม่ ข้าไม่แน่ใจนัก หากเมื่อแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีฟ้ากลับเบนหลบ เช่นนี้นับว่าน่าพอใจอยู่บ้าง..
“อาซิ่น”
เห็นดวงตาคู่นั้นไหวเป็นระลอกริ้วด้วยความนัยบางอย่าง ข้ามองเขาด้วยดวงตาใสกระจ่างไร้พิษภัยแล้วหัวเราะให้เขาอย่างเปิดเผยแล้วเบนสายตากลับมา เลิกคิ้วส่งสัญญาณถามมู่เซินว่าจะตอบได้หรือยัง
“ทั้งสองคนไม่เป็นอันตรายใด” ตาสีดำคู่นั้นจ้องแต่นายตน ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“อ้อ..ที่แท้เถ้าแก่มู่กับกุนซือซุนรวมหัวกันโกหกข้าหรอกหรือ” แล้วมาทำข้าคิดมากถึงเพียงนี้ น่าแค้นใจนัก
“เส้าไป๋ฝีมือดีไม่น้อย ตามข้าน้อยมาถึงนอกประตูเมืองก่อนจะถูกจัดการ ส่วนข้ารับใช้คนนั้นตามมาไม่ทัน คงได้แต่มาช่วยพาร่างนายน้อยไปพักฟื้นแล้ว”
“เถ้าแก่มู่รังแกเด็กสนุกสนานดีหรือไม่?” ฟังแล้วพบว่าเด็กน้อยของข้าถูกรังแกจริง ทำเอามีโทสะขึ้นมา ลูกกวางน้อยพวกนั้นโตขึ้นแล้วจะน่ากินอย่างยิ่งนะ กล้าลงมือได้เยี่ยงไร
“ไม่ได้ร้ายแรงถึงตาย”
“ดังนั้นท่านจึงไม่ละอายใจที่รังแกเด็กน้อยงั้นรึ?”
“คำสั่งคือคำสั่ง” เออ เหล่าจือไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว ข้าลอบถอนใจ ทราบว่ามู่เซินคนนีัคงไม่พูดอันใดอีกก็หันไปมองข้างกายที่มีหวังอี้เสี่ยตาฟ้านั่งจ้องอยู่ ฮึ่ม มันช่างน่าขัดใจจริงเชียว หันไปทางใดก็เจอแต่หน้าเขาหลอกหลอน อาจารย์หวัง..นี่ผมได้ทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจตอนไหน
“อาซิ่นเสร็จธุระกับเงาของข้าแล้วหรือไม่?” ฉู่เหวินยิ้มน้อยๆกล่าวพลางจ้องมองมา ข้าจ้องกลับ แต่พบว่าเมื่อถูกเรียกอาซิ่นเช่นนี้ด้วยใบหน้าคล้ายหวังอี้เสี่ยกลับทำให้หัวใจเสียหายมากขึ้นไปอีก..ท่านย่ามันเถอะ
“องค์ชายมีธุระใดจะกล่าว” นิ่งไปอึดใจหนึ่งกว่าจะตั้งตัวได้ ข้ายกมือนวดต้นแขนที่เป็นรอยช้ำเบาๆไปพลาง
“เมื่อท่านหมดข้อสงสัย ข้าฉู่เหวินจะขอกล่าวถึงกฏที่ท่านอ๋องควรตระหนักและทำตามอีกครั้ง”
“อย่าได้ท้าทายข้าด้วยวิธีการเช่นนี้อีก ข้าฉู่เหวินมิใช่บุรุษที่ใจเย็นหรือนิยมรักหยกถนอมบุปผา หากอาซิ่นยังไม่อยากมีรอยแผลมากกว่านี้ โปรดสงบใจและอาศัยอยู่ในกระโจมนี้อย่างสงบ อย่าได้คิดหนี ส่งข่าว หรือแม้แต่กระซิบฝากคำแก่ผู้ใด…สงครามยังไม่จบ ไม่แน่ว่าผู้ใดจะแพ้หรือชนะ อยากอยู่ในฐานะแขกของข้าหรือเชลยศึกก็จงเลือกเอา”
“แล้วหากข้าไม่ยอมอยู่นิ่ง..” ข้ายืนยิ้มมองเขา ดวงตาแฝงแววท้าทาย
“หากย่างเท้าออกนอกกระโจม ข้าสั่งประหารคนเฝ้ากระโจม หากคิดหลบหนี เชือดคอทหารยาม เช่นนี้ดีหรือไม่”
“ดีอย่างยิ่ง” ข้ายิ้ม คิดว่าเหล่าจือเป็นพ่อพระหรือไร คนเหล่านั้นคือทหารไห่เยี่ยน ยิ่งฆ่าก็เท่ากับหมดศัตรูไปหนึ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเห็นพวกเดียวกันลงมือฆ่ากันเองอีกแล้ว
“เช่นนั้น หากย่างเท้าเลยออกนอกกระโจมเพียงนิด ข้าจะกุดหัวเชลยศึกชาวเทียนจิ้น แล้วบอกว่าเป็นเพราะเจ้า” คำขู่ของฉู่เหวินยิ่งฟังยิ่งไร้สาระ ถ้าคิดเอามโนธรรมมาโจมตีผู้คน ควรสืบทราบเสียก่อนว่าผู้นั้นมีสำนึกหรือไม่ กรณีให้ใช้ได้ผลควรเป็นกับหลินจวินเจ๋อ มิใช่ข้า
“ทหารเหล่านั้นย่อมยินดีที่ได้สละชีพเพื่อข้า และมิใช่หูหนวกตาบอดจึงไม่เห็นว่าคนกระทำคือไห่เยี่ยน”
“เช่นนั้น…” ดวงตาคู่นั้นวาววับแฝงแววอันตรายอยู่ครู่หนึ่งเมื่อขยับมาประชิด ข้าหรี่ตามองเขาอย่างระแวดระวัง เจ้าของใบหน้าคล้ายหวังอี้เสี่ยเอื้อมมือมากุมลำคอข้าไว้หลวมๆ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“ข้าจะทำให้อาซิ่นได้เป็นชายาข้าก่อนตบแต่งดีหรือไม่?”
“ไม่ต้อง”
ข้าขยับลุกขึ้น ปัดมือหนาออกไปทันทีท่ามกลางเสียงหัวเราะทุ้มพร่า ฉู่เหวินผละออกไปแล้วพลางยกหน้ากากเงินสวมอีกครั้ง ข้าจ้องเขาเขม็งจนร่างใหญ่เปิดกระโจมออกไปจนลับตา ในใจสถบด่าองค์ชายผู้นีัไม่หยุด อย่าได้คิดว่าข้าผีเสื้อราตรีสิ้นลายแล้ว แต่จงดูตัวเลือกน่าปวดศีรษะนี่เสียก่อน ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนมีหนามแหลมเยอะเกินไป ข้าไม่อยากนอนๆอยู่ถูกขย้ำตาย มันไม่คุ้ม!
“เดี๋ยว”
“……”
“เถ้าแก่มู่..ท่านเคยกล่าวเรื่องความฝัน ไม่ทราบว่าเป็นความฝันอันใด?”
หนึ่งความสงสัยที่ยังค้างคาอยู่ลึกๆผลักดันให้กล่าวเมื่อเงาร่างของมู่เซินกำลังตามหลังผู้เป็นนายออกไป ข้าจ้องมองใบหน้าแสนคุ้นตา บอกตนเองว่าควรไขข้อสงสัยทั้งหมดให้จบ..จะได้จบสิ้นไปจริงๆเสียที
“ข้าน้อยไม่เคยฝันอันใด”
เป็นเพียงคำพูดลมลอยไร้ความจริง
คนหันหลังเดินออกไปแล้ว เสียงนี้กลับดังขึ้นในหัวราวจะบอกว่าข้านั้นแสนโง่งม ฟังแล้วยังต้องหัวเราะหยัน ข้าจ้องมองแผ่นหลังคุ้นตาที่ลับไป แสยะยิ้มพลางยกมือนวดขมับตนเองเงียบๆ
ที่แท้ก็โกหกทั้งนั้น…
ภายในฐานที่มั่นที่หนึ่ง กองกำลังหลักของเทียนจิ้นมีเสียงลั่นกลองรบดังอยู่ไม่ขาดสาย ทหารชั้นผู้น้อยผู้ใหญ่ต่างวิ่งกันขวักไขว่ ขยันขันแข็งและกระตือรือล้นเป็นอย่างยิ่ง ภาพที่ปรากฏนั้นน่าชื่นชมในสายตาผู้อื่น หากแต่ขุนทัพทั้งหลายทราบดีว่าในแววตาของทหารใต้บังคับบัญชามีแววประหวั่นเคร่งเครียดปรากฏอยู่
จะไม่ให้หวั่นใจได้อย่างไร ด้วยนับแต่ท่านแม่ทัพประกาศก้องว่าจะบุกทัพไห่เยี่ยนอีกครั้งก็เริ่มต้นตรวจสอบกำลังพลเคี่ยวกรำผู้คนอย่างหนัก แม่ทัพใหญ่ผู้ไร้ฮูหยินยังองอาจหาญกล้าเช่นเดิมทว่าก็มีเสียงกระซิบลอยตามลมว่าดุดันเหี้ยมเกรียมขึ้นจนผู้คนแทบมิกล้าเข้าใกล้ หลินจวินเจ๋อสั่งระดมพลเตรียมตัว กระจายกำลังพลทุกฐานที่มั่นโอบล้อมฐานที่มั่นที่หกเพื่อเตรียมโจมตีทัพไห่เยี่ยนและชิงตัวจวิ้นอ๋องขณะที่แม่ทัพหลายนามนิ่งรอคำสั่งจากราชสำนักว่าจะจัดการเช่นไร
ยามสนทยามาถึงพร้อมเสียงกีบม้าแล่นรัว ม้าเร็วมาถึงแล้วพร้อมกับข่าวสารที่ทุกคนคอยท่า ในกระโจมใหญ่แม่ทัพทุกนามต่างทยอยกันปรากฏตัวเพื่อรอฟังข่าวจากทางการ ขณะที่หัวโต๊ะยังมีร่างของแม่ทัพใหญ่นั่งอยู่ด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้มและพาดกระบี่อาญาสิทธ์ไว้เช่นเดิมโดยมีม้วนผ้าสีเข้มบรรจุคำสั่งส่งตรงลงมายังกองทัพวางอยู่เบื้องหน้า
“เมื่อมาถึงกันหมดแล้ว ข้าจะไม่กล่าววาจามากความ” ดวงตาสีเข้มกวาดมองสบตาขุนทัพทั้งหลายอย่างดุดัน “มีคำสั่งจากทางการมาถึงแล้ว จะเปิดอ่านแจ้งทุกท่านในคราเดียว”
กล่าวแล้วแม่ทัพใหญ่ก็หยิบสารคลี่เปิดออกผืนผ้าสีน้ำตาลเขียนด้วยหมึกปรากฏตัวอักษรและตราประทับพระราชลัญจกรส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ หลินจวินเจ๋อกวาดตามองข้อความเที่ยวหนึ่ง ถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“ท่านแม่ทัพ..”ผู้มองเห็นสีหน้าเช่นนี้ต่างทราบโดยทั่วกันว่ามีปัญหาแล้ว เป็นเว่ยชางหลางรองแม่ทัพเอ่ยปากถาม ท่ามกลางบรรยากาศแฝงความหนักอึ้ง
“ราชสำนักมีคำสั่ง” นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แม่ทัพใหญ่ก็กล่าวเสียงก้องกังวาน หลินจวินเจ๋อกระชับม้วนผ้าในมือแน่น มองแม่ทัพใต้บัญชาที่ต่างประสานมือรอคำสั่งเบื้องหน้า “การศึกที่ชายแดน เสียหายหนัก จวิ้นอ๋องถูกจับตัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมิอาจผลีผลาม ให้หยุดทัพรอเจรจา อย่าได้เข้าตีชิง...”
กล่าวถึงจุดนี้ผู้ฟังต่างสูดหายใจลึก รอเจรจา เช่นนี้หมายถึงจวิ้นอ๋องจะต้องอยู่ในเงื้อมือทัพไห่เยี่ยนต่อ ยิ่งลากนานยิ่งเสี่ยงอันตรายชวนให้วิตกยิ่งนัก แต่คำสั่งกองทัพมาเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะกล้าขัดขืน..
โม่เยี่ยนเฉวียนใจกล้าเงยหน้ามองแม่ทัพใหญ่ครู่หนึ่ง หากเพียงพบเห็นสีหน้าแววตานั้นก็หลบตาวูบด้วยสะท้านไปทั้งกาย จากอัปกริยาของแม่ทัพใหญ่ที่พร้อมรบรา เมื่อถูกห้ามปรามเช่นนี้ มีหรือจะไม่เกิดโทสะ แต่หมากการเมืองในราชสำนักเริ่มแล้วใครเล่าจะหยุดได้
“เรื่องข้อเสนอของทัพไห่เยี่ยน ราชสำนักมิอาจยอมรับ ให้แต่งตั้งฑูตไปเจรจาไว้ก่อน..”
“ส่วนของกองทัพ แม่ทัพเหลียงเสียชีวิต ให้แต่งตั้งแม่ทัพเว่ยชางหลางขึ้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่ตามที่เสนอมา ราชโองการแต่งตั้งจะมาถึงหลังจากนี้”
“ผู้น้อยรับคำสั่ง!” แม่ทัพเว่ยร้องประสาน คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“แม่ทัพเว่ยลุกขึ้นเถอะ หนังสือคำสั่งยังมีต่อ” กล่าวยังไม่จบ แม้อารมณ์ขุ่นมัวเพียงไรก็ต้องเอ่ยต่อ หลินจวินเจ๋อสูดหายใจลึก พยายามข่มโทสะ หากประโยคสุดท้ายนั้นเองที่ทำให้รังสีฆ่าฟันบนร่างมิอาจระงับได้อีกต่อไป
“องค์รัชทายาทรับตำแหน่งผู้ตรวจการ จะเดินทางมาตรวจทัพและเจรจากับไห่เยี่ยนด้วยพระองค์เอง”
ขุนทัพทุกนามตัวสั่นสะท้าน ฤดูหนาวที่ไม่เคยมีของแดนใต้เกิดขึ้นแล้ว ซ้ำหนาวเหน็บเสียดกระดูกยิ่งนัก…
++++++++++
มาแล้วอย่างช้าๆ เพิ่งได้ปั่นเลยลงได้ดึกพอสมควร
ตอนนีัข้อสงสัยเรื่องตัวก๊อปปี้1&2 คลี่คลายแล้ว ส่วนฉู่เหวินก็กำธงแน่นต่อไป ขณะที่การรวมดาวตัวร้ายกำลังใกล้เข้ามา #ทั่นแม่ทัพอย่าร้องไห้
ปล. ทำทวิตสำหรับพูดคุยกันแล้วค่ะ ใครมีแอคทวิตกดฟอลได้ที่นี่ >>@Secrate_Wind แต่ส่วนใหญ่มีไว้ติ่งและบ่นล่ะค่า55
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อาซิ่นผู้โง่งม ไร้สาระ
สงสารซิ่นเตรียมรับศึกหนัก
คนงามช่างงามจนมีบุรุษมากมายข้องแวะและแย่งชิง รัชทายาทก็มาาาาาาาาา
/คำผิดค่า สบถ นะ ไม่ใช่ สถบ , อากัปกิริยา ค่ะ เราไม่เคยเห็นคำว่า อัปกริยา นะ , สถานการณ์ การันต์อยู่บน ณ นะคะ
สู้น้าพึ่งมาอ่านติดตามค่ะ สนุก^0^