ตอนที่ 35 : พิษนิทราสามราตรี
ข้าป่วยแล้ว..
ควรกล่าวอย่างชัดเจนอีกครั้งเมื่อได้สติลืมตา นั่นคือข้าอยู่ในอาการเช่นเดิม แม้ไม่ได้เพ้อด้วยพิษไข้มากจนถึงขนาดไม่รู้สึกตัว แต่อาการปวดหัวตัวร้อน'สะเทือนใจจนล้มป่วย'ก็ยังตามมาเล่นงานจนได้ บางครั้งข้าก็เกลียดคำนิยามของอาการป่วยที่ตนเองประสบ ฟังดูแล้วช่างเป็นคนอ่อนแอเหลือเกิน เจอคนหน้าเหมือนคนรักเก่าก็ป่วยที..ช่างน่าขายหน้าไม่สมฉายาผีเสื้อราตรีสักนิด ทว่าต่อให้คิดอ้าปากบ่นจะทำเช่นไรได้ ข้าป่วยจริงและร่างกายนี้ก็ถูกพิษจริงๆ คิดมากจนปวดหัวปวดใจทีไรเป็นต้องเกิดอาการเช่นนี้ทุกที แม้ครั้งนี้จะไม่สาหัสนัก แต่คนป่วยยังคงเป็นคนป่วย ต้องนอนซมอยู่บนเตียงรอหมอมารักษา
เนื่องจากเกิดอาการแปลกๆ ตั้งแต่เย็น คืนนั้นข้าจึงได้นอนปวดหัวหลับๆ ตื่นๆ ท่ามกลางเสียงประดาบและกลิ่นเลือดข้นคาวข้างกระโจม คนที่ถูกส่งให้บุกมาช่วยเหลือข้าถูกกำจัดแล้ว ซ้ำไม่รู้ว่าต้องตายไปอีกเท่าใด คิดแล้วก็แค้นใจตนเองที่พลาดท่าเช่นนี้ นึกถึงคนที่รออยู่แล้วข้าก็อยากหนี อยากลุกขึ้นมาช่วยแต่ก็ทราบดี..ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอด
ขณะหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในห้วงฝันอันหลากหลาย ยามเช้าตรู่ของวันใหม่ ข้าก็ตื่นขึ้นมาเพราะปลายนิ้วของใครคนหนึ่งที่แหวกหนังตาเปิดเปลือกตาออกอย่างไม่ได้ทันตั้งตัว แสงสว่างพลันสาดเข้าตาพร้อมอาการปวดศีรษะอย่างหนักหน่วง คนทำข้าตื่นคือผู้ชราอายุอานามราววัยเจ็ดสิบผู้หนึ่ง ท่านหมอผู้มีแววตาใสกระจ่างกระตือรือล้นมีเข็มเงินเล็กๆอยู่บนมือซ้าย หลังจากจับนิ้วคนงามจิ้มเอาเลือดหยดลงบนถ้วยอย่างไม่ปรานีปราศัยก็หันมาทักทาย
“โอ้ ตื่นแล้วรึ?”
ไม่ตื่นมีรึจะเห็น ข้ารู้สึกหงุดหงิดใจกับการพบปะเช่นนี้จึงขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายไม่อำนวยทั้งยังไม่ค่อยประทับใจการรักษาอย่างไม่บอกกล่าวสีหน้าจึงออกมาไม่น่าดู กระนั้นก็ยังพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่ง “ยินดีที่ได้พบท่านหมอ”
“หมอคนก่อนของเจ้ากล่าวถึงอาการว่าเป็นเช่นใด?”
“…..” คนเอ่ยถามหันไปสาละวนกับถ้วยยาและอุปกรณ์รักษาแล้วข้าจึงไม่ตอบ ไม่อยากกล่าวเรื่องตนเองถูกแพร่พิษวางยากับคนนอก นวดหัวตาตนเองเบาๆอีกครั้งข้าก็ถูกมือของคนผู้หนึ่งพยุงให้ลุกขึ้น คิดขอบคุณแต่เมื่อพบว่าเป็นฉู่เหวินจึงเพียงกระพริบตาปริบๆ วันนี้ผู้คนดูจะคึกคักดี..
ข้าปรือตามองท่านหมอที่กำลังวุ่นวายกับยาอยู่แล้วยกมือนวดขมับอีกครั้งก่อนจะหันไปให้ความสนใจแก่สภาพรอบตัว ที่ข้ายังอยู่คือบนเตียง ไม่ไกลคือท่านหมอชราที่ข้าไม่ทราบนาม ข้ามองหน้ากากพยัคฆ์ของฉู่เหวินและกวาดตาสำรวจด้านในกระโจม คนที่เข้ามานอกจากมีท่านหมอและองค์ชายเบื้องหน้าแล้วยังมีร่างของหนุ่มน้อยคนหนึ่งกำลังสาละวนกับการชงชาอยู่เบื้องหลัง ดูน่ากินไม่น้อย..แค่กๆ
“ว่าอย่างไร อาการของเจ้า?” ท่านหมอชราหันมาพลางยัดถ้วยยาใส่มือ ข้ามองสีสันของมันที่ดูแล้วต้องขมมิใช่น้อยพลันทำหน้ายอกแสยง ไม่ดื่มได้หรือไม่..
“บอกอาการของเจ้าไป อาซิ่น” เสียงนี้คุ้นหูจนแทบนึกว่าเป็นหวังอี้เสี่ยแล้ว ข้าหันไปนิ่วหน้าใส่คนพูดเล็กน้อย ให้เขาเรียกอาซิ่นเพื่อแลกคำตอบจากมู่เซินแท้ๆ มาตอนนี้กลับกลายเป็นภาระต่อตนเองเองแทนที่ คิดพลางถอนใจแล้วหันไปมองท่านหมอผู้ยังวุ่นวายกันหยูกยาเบื้องหน้าแทน
“..หากมีเรื่องให้คิดมาก ก็ล้มป่วย” ข้าไม่กล่าวคำว่าสะเทือนใจด้วยมันทำให้รู้สึกตนเองช่างบอบบางดั่งกิ่งหลิว แต่เมื่อมองเห็นรอยช้ำจางๆ ที่ข้อมือคนงามข้าก็ถอนใจ..ร่างกายนี้บอบบางกว่าที่คาดจริงๆด้วย
“เรื่องนั้นข้าทราบดี แต่เอ่ยถามถึงหยูกยารักษา..” กล่าวแล้วท่านผู้เฒ่าก็จ้องยาในมือข้าเขม็ง “กินเสีย จะได้อาการทุเลา”
“..ขอบคุณท่านหมอ” ข้าอยากกล่าวว่าตนค่อยยังชั่วแล้วแต่ก็ทราบดีว่าไม่ควรรั้นกับคนรักษา ดังนั้นจึงยกถ้วยยามาดื่ม ความขมของมันแผ่ซ่านทั่วโพรงปากจนคิดว่าที่ข้าดื่มคือยาพิษอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกได้ว่าชีวิตอยู่ในกำมือผู้อื่นขนาดนี้จะวางยาอีกเพื่ออันใด
“แค่กๆ…” ไอโขลกออกมาอย่างรุนแรงเพราะมันขมเสียจนแทบกลืนไม่ลงคอ ข้าหันมองหาน้ำชาขณะที่กำลังขัดใจเพราะไม่มีอะไรมาบรรเทาความรู้สึกเฝื่อนคอรับอรุณ อาการปวดหัวตื้อกลับค่อยทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์
“ยาดีอย่าได้ดื่มน้ำตาม” ท่านผู้เฒ่าส่งเสียงบอกทำให้ข้าเบ้หน้าโดยพลัน แม้สมองเริ่มโล่งโปร่งแต่อาการขมคอนี่ช่าง..
“ท่าน..” ยกมือนวดลำคอที่ช้ำเพราะแรงบีบเมื่อข้าเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอาการปวดหัวก็ดีขึ้นอย่างมาก นึกแปลกใจขณะเดียวกันก็นับถือไม่น้อยจึงหันไปมองท่านผู้เฒ่าด้วยแววตาเลื่อมใส
“ถูกวางยามานานเท่าใดแล้ว” ถ้อยคำตัดบทไร้ไมตรีหากใจความนั้นต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างพลันสะดุด ข้าชะงักพลางเหลือบตามองฉู่เหวินที่ยืนกอดอกสังเกตุการณ์เงียบๆ เจ้าของดวงตาสีฟ้าเข้มมองมาและส่ายหน้าเมื่อสัมผัสได้ว่าข้าคล้ายจะกล่าวถามว่าเขาเล่าให้คนผู้นี้ฟังรึเปล่า
“ท่านทราบได้อย่างไร?”
“คนเป็นหมอหรือจะมิทราบว่าผู้ป่วยของตนอาการเป็นเช่นไร” แต่หมอประจำตัวข้ากลับมิทราบว่าข้าถูกพิษใด..ข้ามองชายชราเบื้องหน้า สัมผัสได้ว่าความเก่งกาจย่อมไม่อยู่ในระดับธรรมดาจึงคลี่ยิ้ม
“นับเวลาก็เกือบสองเดือนแล้ว..แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าข้าถูกพิษอันใด”
“สองเดือน?” อีกฝ่ายทวนคำให้ข้าพยักหน้ารับ ท่านหมอเห็นดังนั้นจึงยื่นมือมาเบื้องหน้า “เอาแขนมา”
ไม่มีแท่นรองวางแขนดีๆ อีกฝ่ายคว้าแขนข้าได้ก็ลองตรวจชีพจรดู ข้ามองดูชายชราเบื้องหน้า ลอบสังเกตอาภรณ์เนื้อดีหากตัดเย็บเรียบง่ายตลอดจนกริยาอาการที่ดูผึ่งผายและสงบนิ่งบอกให้ทราบว่ามิใช่ชนชั้นธรรมดา ด้วยความอยากรู้จึงค่อยๆ เกริ่นถาม “ไม่ทราบท่านหมอมีนามว่า…”
“ท่านผู้นี้คือเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยน” เป็นองค์ชายเจ็ดที่กล่าว ข้าหันไปมองคนพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย เทพโอสถ..เทพโอสถงั้นหรือ...
“ที่แท้ท่านผู้เฒ่าคือเทพโอสถไป๋จิ้งแห่งไห่เยี่ยน ข้าจวิ้นอ๋องมีโอกาสได้พบถือเป็นวาสนาแล้ว”
อยากประสานมือแต่ไม่สะดวกจึงทำได้เพียงกล่าววาจานอบน้อม คิดทบทวนความทรงจำของจวิ้นอ๋องไม่นานก็จำได้ เทพโอสถไป๋จิ้งคือนามของท่านหมอฝีมือฉกาจชาวไห่เยี่ยนผู้เป็นที่เลื่องลือไปทุกแว่นแคว้น กล่าวว่าฝีมือทางการแพทย์ล้ำลึกชนิดรักษาคนตายให้กลับฟื้นคืนได้ ฝีมือเลิศล้ำแต่กล่าวกันว่านิสัยสันโดษมีแต่คนต้องการตัว ไม่นึกเลยว่าฉู่เหวินผู้นี้จะสู้อุตส่าห์พาตัวเทพโอสถมารักษาข้าถึงที่ คนผู้นี้คิดดูถูกมิได้เสียแล้ว..
“พิษนิทราสามราตรี”
กำลังจมจ่ออยู่ในห้วงคิดและอยากเอ่ยปากขอบคุณองค์ชายเจ็ดแต่ถ้อยคำของเทพโอสถไป๋จิ้งก็ดังขึ้นก่อน ชื่อนั้นทำให้ข้าขมวดคิ้วด้วยความประหลาดหูเพราะตนไม่เคยรู้จัก ฉู่เหวินเองก็เช่นกันเพราะองค์ชายเจ็ดถึงกับเดินมาฟัง ชื่อพิษนี้คือยาพิษที่อยู่ในกายข้าอย่างนั้นหรือ พิษนิทราสามราตรี ทบทวนดูแล้วจวิ้นอ๋องเองก็ไม่เคยได้ยิน..
“พิษชนิดนี้หาได้ยากนักทั้งยังไร้สีไร้กลิ่น ตรวจจับได้ยาก ผู้ที่ถูกพิษจะหลับไปโดยไม่ตื่น นิทราไปสามราตรีวันรุ่งขึ้นก็ตกตาย ตรวจสอบอันใดไม่ได้ ผู้ตายก็เหมือนคนหลับไปเท่านั้น” ดวงตาของท่านหมอชราตวัดมอง “อีกทั้งพิษชนิดนี้ยังหาได้ยากนัก…ถือว่าเคราะห์ดีอย่างยิ่งที่รอดชีวิตมาได้ แต่ไม่ทราบว่าจวิ้นอ๋องได้ล่วงเกินผู้ใดมาจึงประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้”
คำอธิบายจากเทพโอสถเป็นผลให้ข้านิ่งไปพักหนึ่ง โชคดีรึ โชคดีที่คนงามตายแล้วข้ารอดหรือไร เช่นนี้หมายถึงจวิ้นอ๋องอาจโดนพิษมาก่อนแล้วอาการจึงไปกำเริบในคืนนั้นจนข้าเข้าไปอยู่ในร่างคนงามงั้นหรือ ฟังท่านหมอเทวดากล่าวว่าหายากยิ่ง แล้วสตรีในห้องหออย่างจ้าวลี่เซียนจะนำยานั้นมาจากที่ใด ผู้ใดกันหนุนหลังนาง เป็นรัชทายาทหรือ รึเป็นเสนาบดีจ้าวผู้เป็นบิดา..
“แม้โชคดีรอดมาได้แต่มีอาการของพิษตกค้าง ปล่อยทิ้งไว้ไม่นานก็ตายได้..” คำพูดของท่านเทพโอสถแทรกเข้ามาในห้วงคิดทำให้ข้าชะงัก เงยหน้าขึ้นมองดวงตาที่ไร้แววฝ้าฟางเช่นผู้เฒ่าปกติ เทพโอสถไป๋จิ้งวางมือข้าแล้วกวาดสายตามองสำรวจร่างกายขึ้นลงครู่หนึ่ง “จวิ้นอ๋อง..ช่วงระยะหลังรู้สึกร่างกายอ่อนแอลงมากกระมัง?”
“ใช่..” ข้ารับคำเบาๆ และนึกไปถึงคำกล่าวของหลินจวินเจ๋อ กระทั่งสามีที่ก่อนหน้าไม่ค่อยได้คลุกคลียังออกปากว่าร่างกายข้าผิดแผก ในความทรงจำนี้เองจวิ้นอ๋องก็หาได้ง่อยเปลี้ยไร้ฝีมือ เช่นนั้นแล้วแสดงว่านี่ไม่ใช่แค่ข้าอ่อนแอแต่เป็นเพราะคนงามถูกพิษ
“ดูนี่” นิ้วของเทพโอสถชี้ให้ดูรอยช้ำที่ข้อมือแล้วส่ายหน้าน้อยๆ “คนที่ถูกพิษนี้ แม้ไม่ตายร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ เริ่มจากเจ็บป่วยง่าย ร่างกายทรุดลงเพราะสะเทือนอารมณ์ เหนื่อยง่ายปวดหัว ไข้สูงบ่อยๆ เนื้อตัวจะเริ่มบอบช้ำเป็นแผลได้ง่ายและหายยาก หากปล่อยไปอาการจะมีแต่ทรุดกับทรุด..”
ฟังอาการของตนเองจากปากท่านเทพโอสถแล้วข้าก็ตัวแข็งทื่อ บัดซบ นี่เหล่าจือเฉียดใกล้ความตายขนาดนี้มาแล้วไม่รู้ตัวมาตลอดเลยรึ สภาพอาการเล็กๆ น้อยๆ คล้ายไม่มีอันใดสำคัญพอเรียงร้อยต่อกันแล้วมันช่างน่าขนลุกขนพอง ข้านั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ รู้สึกดั่งเห็นวิญญาณบรรพบุรุษกวักมืออยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เริ่มตั้งปณิธานกับตนเองว่าหากกลับไปได้จะขอพบคุณหนูจ้าวผู้นั้นเพื่อพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัวสักครั้ง แม่สาวงามอสรพิษนี่..
“ท่านเทพโอสถ แล้ววิธีรักษา..?” คิดจองแค้นคนแต่ก่อนอื่นต้องหายดีให้ได้ ข้าจ้องมองท่านเทพโอสถเบื้องหน้าอย่างคาดหวัง คนทราบอาการถึงเพียงนี้แล้วมีหรือจะไม่ทราบวิธีรักษา หากแต่คนผู้นั้นไม่มองข้า เขากลับมองไปทางด้านหลังแทน
ลืมไปเสียสนิทว่านี่อยู่ในสถานการณ์รบและข้าเป็นตัวประกันหาได้เป็นท่านอ๋องนั่งอยู่ในจวนประจำตำแหน่ง เป็นเช่นนี้ชีวิตของข้าก็อยู่ในกำมือฉู่เหวิน หากเขาต้องการให้ข้าตายมีหรือจะรอด หากเขาไม่ให้ข้าได้รับการรักษา จวิ้นอ๋องก็ต้องตายอย่างไม่อาจร้องขอ แล้วอีกฝ่ายจะตัดสินเช่นไรเล่า คิดรักษาข้าหรือว่า..ใช้อาการป่วยนี้มาข่มขู่?
“รบกวนท่านอาจารย์ด้วย”
ขมวดคิ้วนิ่งรอคำตอบ มิทันข้าเอ่ยปากร้องขอองค์ชายเจ็ดก็ประสานมือนอบน้อมทันที เห็นคนอุตส่าห์ขอร้องให้ข้าจึงโล่งใจไม่น้อยที่ตนเองมีโอกาสรอดชีวิต หากแต่แล้วความงวยงงสายหนึ่งก็เกิดขึ้น ข้าพลันก็ขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อนึกถึงคำว่าอาจารย์ ได้เพียงนิ่งมองฉู่เหวินสลับกับเทพโอสถไปมา
“ข้าจะออกหาตัวยา อีกหนึ่งเดือนน่าจะปรุงยาเสร็จ” คนไม่ยอมอยู่ให้ถามต่อ กล่าวแล้วก็เริ่มหยิบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว นี่ท่านหมอจะไปเลยหรือ เหตุใดจึงรวดเร็วปานนีั
“ข้าจวิ้นอ๋องขอขอบคุณท่านเทพโอสถ” ประสบการณ์จากละครย้อนยุคบอกข้าว่าคนประเภทนี้มิควรออกปากรั้ง ดังนั้นจึงประสานมือเคารพอย่างเงียบๆ หากท่านเทพโอสถกลับชะงักเท้า ควานหาบางอย่างในอกเสื้อ ท่านหมอ หากจะเก็บค่ารักษาโปรดส่งรายละเอียดค่าใช้จ่ายไปที่วังจวิ้นอ๋อง..
“กินเมื่อท่านมีอาการกำเริบ ครั้งละหนึ่งเม็ด”
ขวดยาสีขาวทรงกลมถูกยัดใส่มือข้า ไม่ทันกล่าวขอบคุณอีกคราร่างท่านเทพโอสถก็เดินปราดๆ ออกไปอย่างว่องไว ข้านิ่งมองความไวชนิดผิดแผกจากคนอายุรุ่นท่านปู่ นึกอัศจรรย์ใจและถือเป็นบุญคุณอยู่เงียบๆ ขณะเดียวกันเมื่อนึกถึงสาเหตุของการถูกพิษก็ขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง
ล่วงเกินผู้ใดไว้รึ? ..มากมายเสียจนมิอาจคาดเดาตัวการ หวงไท่หยาง หวงจื่อหาน จ้าวหนิงเฉิง จ้าวลี่เซียน..รายนามศัตรูข้านับวันยิ่งยาวจนน่าปวดหัว รึแคว้นเทียนจิ้นมันเดินยากเกินไปแล้วจริงๆ
“เจ้ารับประทานยานั้นไปหรือยัง”
ขณะจมจ่ออยู่ในห้วงคิด องค์ชายฉู่เหวินผู้หายไปส่งเทพโอสถท่านนั้นก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งข้างกายยังแถมพกด้วยเด็กรับใช้ชุดขาวท่าทางใสซื่อหมดจดงดงามคนหนึ่ง ข้ามองเขาเพียงปราดเดียวก็หันไปสนใจผู้มาใหม่ เด็กน้อยด้วยท่าทียิ้มแย้มดวงตาเป็นประกาย กวางน้อยรูปลักษณ์เหมือนเซียนตัวน้อยน่ารักอย่างยิ่ง แก้มขาวๆ มันช่างน่า..
“อึ่ก—เจ้าทำอะไร?” กำลังให้ความสนใจกวางน้อยน่ารักมือใหญ่ก็ตะปบปลายคางให้ริมฝีปากเปิดอ้าแล้วส่งบางอย่างมาในปาก ความหวานแผ่ซ่านจากปลายลิ้นทำให้ข้ายอมกินแต่โดยดีแม้ถลึงตาใส่คนทำ ฉู่เหวิน! เจ้ามีหูรึเปล่าถึงไม่ได้ยินท่านเทพโอสถกล่าวเมื่อครู่ ผิวของคนงามช้ำง่ายยังจะลงมือรุนแรง เจ้าพวกสมองกล้ามเนื้อ แรงช้างสาร ถ้าคนงามเนื้อช้ำข้าจะเล่นงานเจ้า!
“ถามแล้วเจ้าไม่ตอบ” คนกล่าวยังมีท่าทีไม่เดือดร้อนชวนให้มีโทสะหน่อยๆ ข้าหรี่ตามองอาการพออกพอใจของฉู่เหวิน เจ้านี่ทำราวกับเด็กน้อยเล่นเรียกความสนใจผู้คน ไร้สาระอย่างยิ่ง
“แล้วเอาอะไรให้ข้ากิน” ถามแล้วจึงคิดว่ามันเป็นขนมชนิดหนึ่ง รสหวานอวลจางในโพรงปากกลบความขมจากยาได้ดีชวนให้พอใจ ข้าจึงไม่คิดพาลใส่เขามากนัก
“ขนมของเด็กผู้ไม่นิยมรับประทานยาขม” นี่หาว่าเหล่าจือเป็นเด็ก? ข้าสบตาสีฟ้าฉายแววรื่นรมย์แล้วร้องเฮอะ
“ท่านเป็นศิษย์ของเทพโอสถไป๋จิ้ง” นึกขึ้นมาได้ในเรื่องที่อยากทราบ ข้าจึงเอ่ยปากถาม
“ต้องกล่าวว่าท่านผู้นั้นเคยรักษา จึงกรุณารับเป็นศิษย์นอกสำนัก” เคยรักษา..ข้านึกไปถึงรอยแผลบนใบหน้าของอีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับรู้ กระนั้นคนเป็นศิษย์ท่านหมอคนหนึ่งกลับเป็นนักรบเช่นนี้ น่าแปลกมิใช่น้อย
“เพราะท่านเป็นศิษย์เขา จึงทราบว่าข้าถูกพิษหรือ?”
“ฉู่เหวินเป็นศิษย์นอกสำนัก มิได้เก่งกาจถึงขั้นนั้น”เช่นนั้นคนรอบกายข้าก็มีคนทรยศจริงๆ คิดแล้วพาลปวดหัวขึ้นมาอีก ขณะที่ฉู่เหวินหัวเราะแผ่วเบา ประกายในแววตานั้นเคลือบเงาเจ้าเล่ห์รู้ทัน
“หากอาซิ่นอยากรู้ว่าเป็นใคร ยอมแต่งกับข้าแล้วจะได้ทราบ”
“ข้ามีสามีแล้ว”เห็นคนหยอกล้อขบขันแล้วข้าเหนื่อยใจยิ่งนัก ส่วนตัวฉู่เหวินถูกปฏิเสธก็มิได้สะทกสะท้านอันใด คนหน้าหนาวางท่าไม่สะเทือน กลับหันไปหากวางน้อยข้างตัวแทน
“นี่คือลู่ซุน เขาเป็นศิษย์คนใหม่ของท่านอาจารย์ จะช่วยดูแลเรื่องยาให้”
“มียาเป็นเม็ดให้รับประทาน ไม่ยุ่งยากอันใด” ข้ามองผู้กล่าว มิได้โง่เง่าจนมองไม่ออกว่านี่คือการวางหูตาช่วยจับตาดู
“ยาชนิดนั้นเป็นยารักษา แต่นี่เป็นยาบำรุง หากอยากหายจากอาการป่วยก็อย่าได้ดื้อด้านนัก” ท่วงท่าของฉู่เหวินเปลี่ยนเป็นกดดันลึกล้ำ ข้านิ่งมองอากัปกริยาอีกฝ่าย ทราบดีว่าไม่ควรขัดใจจึงยิ้มแย้มน้อมรับ
“ขอบคุณองค์ชายที่ห่วงใย แต่ข้ามีข้อสงสัย..ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ให้ข้าป่วยไปอาจดีกว่ามิใช่หรือ ถึงกับตามเทพโอสถมารักษา ช่างน่าแปลกใจยิ่ง”
“ท่านเองก็ทราบดีว่าตนเองมิอาจตายได้ และสำหรับข้ารักษาชีวิตคนไว้ต่อรองกับเทียนจิ้นย่อมดีกว่า” ดวงตาสีฟ้าวาวๆ คู่นั้นหันมา ฟังแลัวข้าจึงหัวเราะ
“ข้าจวิ้นอ๋องมิใช่คนเนรคุณคน แต่ก็ใช่จะซาบซึ้งสำนึกบุญคุณผู้ใดนัก”
“ฉู่เหวินเองก็หาได้ต้องการบุญคุณตอบแทน เพียงเจ้าไม่ลืมว่ายังต้องรออีกหนึ่งเดือนจึงจะได้รับยาเป็นพอ”
ข้ายิ้มสบตาคู่นั้น หากแววตาแปรเปลี่ยน ที่แท้คนตรงหน้าก็หยิบเอาอาการป่วยมาข่มขู่ข้าจริงๆ อีกเดือนหนึ่งจะได้ยา นี่หมายถึงข้าต้องอยู่ที่นี่ ทำตัวดีๆ เพื่อรักชีวิต หนีไปต่อให้รอดก็ยังเสี่ยงอยู่ดี ท่านย่ามันเถอะ ไหนๆ ก็ทราบชื่อยาพิษแล้วขอข้าเสาะหาหมอด้วยตนเองมิได้รึ!
“ลู่ซุนพูดไม่ได้ จวิ้นอ๋องคิดสื่อสารอันใดกับเขาก็โปรดใจเย็นหน่อย แต่ลู่ซุนค่อนข้างฉลาดรู้ความ ท่านอ๋องก็อย่าได้ทำอะไรไม่เจียมตน” ฉู่เหวินกล่าวด้วยท่าทีพึงใจเมื่อสามารถทำให้ข้าเงียบเสียงลงได้ เจ้าตัวขยับหน้ากากบนหน้าให้เกาะไว้มั่นขณะที่ลู่ซุนโค้งกายคำนับข้าเงียบๆ อย่างเรียบร้อยและแสนเชื่อฟัง ข้ามองคนกล่าวเรื่องเจียมตนแล้วยิ้มเย็นเยือก นี่กำลังบอกให้ข้าอย่ารนหาที่เจ็บตัวอีกล่ะสิ เฮอะ
“ดูแลตนเองดีๆ ด้วย อาซิ่น”
“มีอาจารย์เป็นถึงเทพโอสถ บาดแผลบนหน้าท่านย่อมรักษาได้ง่ายดาย ฉู่เหวินจะลำบากใส่หน้ากากไปเพื่ออะไร?”
“ที่รังเกียจมิใช่เพียงรอยแผล ที่หวาดกลัวมิใช่เพราะอัปลักษณ์ รอยแผลที่แท้จริงหาได้อยู่บนใบหน้าหรือดวงตา แม้รักษาก็ไม่หาย”
ร่างสูงใหญ่ที่กำลังหมุนตัวเดินออกไปหันกลับมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายเรืองรองเมื่อยินคำกล่าวราวกำลังกระตุ้นโทสะของข้า ฟังคนพูดราวกับไม่สนใจ หากยังมีขัดแย้งเรื่องความอ่อนไหวในท่าทีของผู้คนยามมองใบหน้าตน ได้ยินแล้วข้านิ่งเงียบ ไม่ตอบคำ แท้จริงกระทั่งเขายังมิทราบอยู่ดีว่าตนเองถือสาผู้คนในเรื่องใด
“อีกทั้ง…เมื่อมีคนไม่หวั่นกลัวรอยแผลปล่อยให้มันมีอยู่ก็มิได้เลวร้ายอันใด”
เดิมทีข้าเลิกสนใจไปแล้ว หากคำกล่าวขององค์ชายเจ็ดก่อนจะเดินออกไปกลับจุดรอยยิ้มบนใบหน้า เอ รึว่าองค์ชายผู้นี้..
ไม่ทันได้คิดต่อ ถ้วยยาร้อนๆ แต่ส่งกลิ่นไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่งกลับถูกยื่นมาเบื้องหน้า ข้าเงยหน้าขึ้นก็พานพบดวงตาใสกระจ่างคู่หนึ่งทำเอาสันดานหื่—แค่ก ข้าหมายถึงนิสัยเดิมกำเริบ ลูกกวางน้อยลู่ซุนส่งรอยยิ้มซื่อใสมาให้ข้า ไม่ทันได้มองต่อจนอิ่มอีกฝ่ายก็ยื่นถ้วยยาย้ำมาให้อีก ก็ได้ ข้ายอมกินแล้ว
ลอบถอนใจแผ่วเบาขณะยกถ้วยยามาจิบด้วยความเหนื่อยใจ แต่ก่อนจะหมดถ้วย ดวงตาพลันมองเห็นอักษรบางอย่างตรงขอบถ้วยด้านล่างปรากฏอยู่
กลืนความขมลงคอและฝืนยิ้ม ข้าดื่มยาจนหมดจดไม่เหลือสักหยดราวกับเสียดายนักหนาก่อนจะก้มสำรวจถ้วยยาสีขาวหม่นด้วยแววตาใคร่รู้ ดวงตาเป็นประกายวับ “ถ้วยยานี้สีสวยจริงเชียว นี่เป็นของท่านอาจารย์เจ้าหรือ?”
“….” ลู่ซุนกล่าวคำใดมิได้หากพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ข้าจ้องมองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้น หลุบตาลงอ่านข้อความสั้นที่ปรากฏราวกับจ้องมองเนื้อเครื่องเคลือบดินเผา
“สวยมากจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนเลย เจ้านามว่าลู่ซุนใช่หรือไม่ หากว่างงานมาคุยกันหน่อยสิ อยู่ที่นี่ไม่มีคนสนทนาด้วย ชักเบื่อหน่ายเสียแล้ว”
ยื่นถ้วยยากระเบื้องเคลือบเนื้อขุ่นขาวคืนกลับไปข้าก็ออกปากสนทนากับอีกฝ่าย ลู่ซุนเป็นใบ้ย่อมพูดไม่ได้ กวางน้อยทำได้เพียงพยักหน้าเชื่อฟังรับเอาถ้วยยาไปและส่งรอยยิ้มอันใสซื่อมาให้ข้า หากปลายนิ้วลบรอยอักษรที่ข้างถ้วยอย่างรวดเร็ว
ข้ายิ้มพลางเอนหลังนอนพิงบนเตียงนุ่ม ผ่อนลมหายใจด้วยสบายอารมณ์ แม้ในโพรงปากยังคงอวลไปด้วยรสขมของยา แต่เมื่อความช่วยเหลือมาถึงผู้รอท่า ไม่ว่าขนมหวานหรือน้ำชาก็ไม่จำเป็น
เรื่องยาพิษที่คนงามโดนก็เป็นฉะนี้ แต่เรื่องการรักษาก็ขอพึ่งท่านเทพโอสถแล้ว
ว่าแต่ทั่นแม่ทัพคือใคร---/โดนfcโบกกระจุย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอ้ะ เต่าอะไร. ตัวประกอบฉากหรอ?
องค์ชายเจ็ดนี้เดินผ่านฉากบ่อยมั้ย. ไม่ค่อยคุ้นเลย?
แต่แอบคิดให้วิญญาณจวิ้นอ๋องยังอยู่ในร่างนะ แค่หลับใหล 2 วิญญาณในร่างเดียวเป็นไปได้มะ
ดูแลดีจริงๆ แอบมีใจแล้วใช่มั้ย