ตอนที่ 33 : หน้ากากลายพยัคฆ์
“จวิ้นอ๋องดูจะสำราญดี”
ผ้าบังกระโจมถูกเปิดออกกว้าง เพียงยินเสียงและหันไปมองก็พบร่างสูงใหญ่เอนกายพิงประตูจ้องมองมา คนจากไปยามเช้าแต่ก็กลับมาได้ทุกเมื่อ อยู่ในค่ายศัตรูไหนเลยมีความเป็นส่วนตัว ข้าไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อองค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนอัญเชิญตัวเองมาอีกครั้งในตอนเย็นของวัน และทำได้เพียงหันไปมองเขาอย่างระมัดระวังพร้อมวางจอกชาในมือลง
“ขอบคุณที่องค์ชายให้เกียรติไต่ถาม ข้าสุขสำราญดี รับชาสักถ้วยดีหรือไม่?”
กล่าวโดยไม่ต้องรอคำตอบข้าก็รินชาหอมที่ตนเองชงไว้ลงบนจอก ให้กลิ่นหอมกำจาย ท่ามกลางดวงตาสีฟ้าเป็นประกายซึ่งจ้องมองมา
“ข้านิยมดื่มสุรามากกว่า”
“งั้นรึ” ข้ากล่าวรับไปสั้นๆ หาได้สนใจมากมาย อีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นก็หยิบชามาถือไว้เอง ข้ากุมจอกชาอุ่นร้อน วางท่าสงบขณะปรายตามองไหสุราที่มุมห้อง “สุราที่องค์ชายให้คนนำมาอยู่ตรงนั้น เชิญรินให้ตัวเอง”
“ข้าหาได้มาจิบสุรา“ ด้วยถูกจับจ้องด้วยดวงตาคู่นั้น ข้าจึงหันไปมองเขาในที่สุด
“แล้วองค์ชายมีธุระใด?”
ด้วยสิทธิการเป็นนักโทษกิติมศักดิ์พวกเขาดูแลข้าอย่างดี ได้รับทุกอย่างที่เอ่ยปากร้องขอ ซ้ำบางสิ่งไม่ขอยังได้มาเช่นสุราสองกาตรงมุมห้อง ข้าได้อยู่ในกระโจมนี้ซึ่งเคยเป็นของฉู่เหวิน มีข้าวของอำนวยความสะดวกครบครัน มีคนคอยรับใช้เรียกได้ทุกเวลา ช่างสะดวกสบายเป็นที่สุด แต่แน่นอนว่าไม่มีทางได้รับอิสระภาพและอาวุธ
“ข้าได้กระดาษชิ้นหนึ่งมา จึงมีเรื่องอยากสอบถาม”
“กระดาษ?” ข้าก้มลงจิบชา ทราบแล้วว่าเขามาด้วยเหตุใดแต่ก็ยังนิ่งไว้
“ใช่ เป็นกระดาษชิ้นหนึ่ง”
ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนนั่งลงตรงหน้า เขาหรี่ตาลงมองท่าทีสำราญใจของข้าเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคลี่ของในมือให้ทอดทัศนา กระดาษเซวียนซือถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กแสนคุ้นตาทำให้ข้ายิ้ม ซ่อนแววตาวาววับของตนมิให้อีกฝ่ายดูออก
มีคนลอบจับตาดูข้าอยู่ตลอดเวลาจริงๆเสียด้วย
“แล้วอย่างไร?” ข้ากระพริบตา แสร้งไม่รู้ความ “กระดาษคือกระดาษ องค์ชายคงรู้จักอยู่กระมัง”
“เจ้ารู้ดีว่าข้าถามเรื่องใด แสร้งทำไม่รู้ไปก็เท่านั้น” เขาคงคร้านต่อความแล้วจึงกล่าวขึ้นรวดเร็ว ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเข้มขึ้น ส่งประกายเย็นเยียบบอกให้ทราบว่ามิอาจปกปิดความคิดตน กระดาษในมือหนาถูกขยี้จนยับยู่..เสมือนภาพที่ข้าอาจเป็นหลังจากนี้
“แล้วอย่างไร องค์ชายคิดเอาเรื่องกับข้าที่ฉีกกระดาษเปล่ามารองขาโต๊ะ?”
“มิใช่ว่าจวิ้นอ๋องกำลังทดสอบบางอย่างอยู่หรือ” ฉู่เหวินมิใช่คนโง่จริงๆ ข้ากระพริบตามองเขาแล้วคลี่ยิ้มบางๆ
“กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง ทดสอบสิ่งใดได้?”
“ในใจเจ้ารู้ว่ามันมิใช่กระดาษเปล่า”
“แล้วในสายตาองค์ชาย สิ่งนี้มีอันใดมากกว่าเป็นเศษกระดาษชิ้นหนึ่ง”เงยหน้าขึ้นมาในที่สุด ข้ายิ้มหวานจัดราวไม่เห็นความปึ่งชาที่อีกฝ่ายแสดงออก สบตาคู่คมวาวราวกับท้าทาย
“จวิ้นอ๋องคิดทดสอบความอดทนของข้าหรือ รึว่าต้องการเล่นลิ้นเอาสนุก” เมื่อข้าไม่ยอมรับสักทีอีกฝ่ายก็เริ่มไม่ใจเย็น ร่างแกร่งเบื้องหน้าขยับตัวใกล้เข้ามาพลางทอดกระแสเย็นเยียบทบร่างข้าเอาไว้ ใบหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยหน้ากากลายพยัคฆ์สีเงินแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบข่มขวัญอยู่ครู่หนึ่งจึงผละออกห่าง “ไห่เยี่ยนเราให้คนดูแลท่านดีทุกอย่าง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นที่พอใจของจวิ้นอ๋องสักเท่าไหร่..”
“ท่าในเมื่อกระทำตัวเช่นนี้ มิสมัครใจอยู่เฉยๆแล้ว ฉู่เหวินก็ขอเตือนสักอย่าง ข้ากล่าวไว้แล้วว่าเชิญท่านอ๋องมาจิบชาพักผ่อนที่นี่ด้วยไมตรี ไม่อยากลงมือกระทำการอันใดให้เสียขวัญ ฉู่เหวินให้เกียรติท่าน แต่เป็นผู้อาศัยควรเคารพกฏเกณฑ์ หากท่านไม่รู้จักมารยาทการปฏิบัติตนจะหาว่าไห่เยี่ยนโหดร้ายไม่ได้!”
“ที่แท้ทัพไห่เยี่ยนหวาดกลัวเศษกระดาษชิ้นหนึ่งถึงเพียงนี้ ข้าจวิ้นอ๋องได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
“เศษกระดาษ” ผู้ฟังแค่นหัวเราะหยัน “ข้าทราบว่านี่คือการท้าทาย หรือท่านไม่ทราบว่าเจตนาคิดต่อต้านจะทำให้ตนเองพบเรื่องเลวร้าย จวิ้นอ๋องนิยมถูกกล่อมด้วยยาพิษแทนหรือ?”
“แล้วอย่างไร ที่สุดเศษกระดาษของข้าก็ทำให้ผู้คนสะดุ้งทั้งกองทัพ ชาวไห่เยี่ยนช่างขวัญอ่อนยิ่ง!”
ข้าจ้องสบตาวาวโรจน์คู่นั้น ทราบแล้วว่าเขาคิดให้จวิ้นอ๋องอยู่เงียบๆรอดูคนตายเข้ามาเงียบๆ เพียงข้าลองสอดเศษกระดาษลงบนพื้นพรมก็ถึงกับมีโทสะ ฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนคิดว่าข้าจะทนอยู่เฉยๆได้จริงหรือ? แม้เหล่าจือจะกล่าวว่าไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ทำอะไรเลย เขาจับได้ ข้าไม่แปลกใจและไม่สน มันทำให้ข้ารู้ว่าเขาวางกำลังไว้สอดส่องเช่นไร หรือจะกล่าวว่าไร้ประโยชน์กัน
“อึ่ก---“
เจ็บ..
ความเจ็บบริเวณข้อมือเกิดขึ้นพร้อมร่างที่ปลิวหวือถูกกดลงกับพื้นเตียงอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังกระแทกเตียงหนา ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวพร้อมร่างของคนตรงหน้ากระโจนเข้าใส่ราวเสือดาว ฉู่เหวินใช้มือของตนกดข้อมือสองข้างของข้าไว้แน่น ใบหน้าประดับหน้ากากเงินขยับใกล้ชวนให้เนื้อตัวแข็งทื่อ ดวงตาของข้าเบิกโพลงอย่างลืมตัวเมื่อถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ท่วงท่าล่อแหลมของเขาและคนงามทำเอาข้าเริ่มสถบในใจ เหล่าจือบอกแล้วว่าไม่ชอบละครน้ำเน่า ฉะนั้นออกไป!
“ข้ามาเตือน…นี่เป็นเพียงการเตือนเท่านั้น” ทำไมการใช้ความรุนแรงต้องประกอบด้วยการกดลงบนเตียง ข้าเกลียดเรื่องแบบนี้นัก ดังนั้นจึงนิ่งเป็นปลาตายมองเขาเขม็ง คนกล่าวว่าเตือนใช้ดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องข่มขวัญ
“อย่าได้คิดว่าข้าไม่กล้าลงมือ จวิ้นอ๋อง เจ้ายังอยู่ดีทุกวันนี้เป็นเพราะเจ้ามีค่า แต่หากดื้อด้านนัก ข้าก็หาได้ลังเลจะมอบความทรมารเป็นของขวัญ อาจกรีดใบหน้างามๆที่ท่านภูมิใจหนักหนาให้ยับก็เป็นได้”
“ที่แท้เป็นองค์ชายริษยาใบหน้าของข้าหรอกหรือนี่…” คำขู่นั้นชวนให้หวาดหวั่น แต่ข้ายังยิ้มแย้มแสร้งไม่สะทกสะท้านด้วยทราบดีว่าเมื่อทำการใด หากอีกฝ่ายรู้แล้วย่อมต้องพบกับโทสะ
“คารมคมคายยิ่งนัก..หรือข้าจะตัดลิ้นเจ้าดี?”
“ข้าเป็นเชลย คนตัดสินย่อมเป็นท่าน กระทำสิ่งใดล้วนแล้วแต่ใจ…” ข้าสูดหายใจลึกๆ พยายามดิ้นรนจากการคุกคามไปด้วย แต่ช่างยากนักเมื่อมือหนากุมแน่นราวกับท่อนเหล็กและร่างกายของหวงเทียนหยางมิอาจสู้กับเรี่ยวแรงของอีกฝ่าย “แต่ข้าแปลกใจ เหตุใดเพราะกระดาษแผ่นเดียวจึงมีโทสะนัก องค์ชายโกรธเพราะอะไรกันแน่?”
“ข้ามีโทสะเพราะผู้ใดท้าทายไม่เชื่อฟัง จวิ้นอ๋องยังไม่กระจ่างหรือ”
“เชื่อฟัง? ข้าหวงเทียนหยางต้องฟังคำสั่งท่านตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฟังคำพูดนั้นแล้วนึกขันนัก แม้อยู่ในภาวะคับขัน ข้ายังยิ้มออกมาอย่างไม่รู้กาละเทศะ “องค์ชายทำตนราวไม่ทราบว่าผู้ถูกกักขังอย่างไม่เต็มใจล้วนต้องการหลบหนี นี่คือการท้าทายหรือ? กระดาษแผ่นหนึ่งเท่ากับข้าท้าทายจนท่านมีโทสะหรือ?”
ข้ารู้สึกได้ถึงแรงบีบที่มือมากขึ้น บ่งบอกว่าอีกฝ่ายโกรธกรุ่น จึงยิ่งมอบยิ้มหวานให้มากขึ้น
“คิดทำร้ายข้า ท่านทำได้อยู่แล้ว แต่ท่านเองก็รู้ดีว่าลงมือแล้วต้องพบเจอสิ่งใด คิดเก็บจวิ้นอ๋องไว้เป็นไพ่ตาย อีกฝ่ายจะได้ไม่กล้าลงมือ…ที่สติแตกเช่นนี้มิใช่ว่าเทียนจิ้นเริ่มลงมือแล้วหรือ!?”
“หุบปาก!!!”
บัดซบ
ข้าแทบอยากแหกปากร้องตะโกนคำนี้ให้ลั่นขณะความเจ็บปวดที่ท่อนแขนจางหายแต่กลับตามมาด้วยแรงบีบที่ลำคอทำเอาสำลักกระอักกระไอ ไอ้พวกชอบใช้ความรุนแรง! เจ้าโดนคนอื่นเล่นงานมาแล้วมาลงกับข้าชัดๆ เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับร่างคนงามอยู่ ทำแบบนี้ข้า…ข้าหายใจไม่ออก
แรงบีบที่มากขึ้นทำให้ร่างเพรียวดิ้นรนไม่หยุด ข้าเอื้อมมือไปแกะมืออีกฝ่ายออกจากลำคอตามสัญชาตญาณขณะที่ความคิดเริ่มไม่ปะติดปะต่อ นึกเสียใจที่ปากดีเกินไปจนคนสติแตกเช่นนี้ ริมฝีปากขยับราวกับปลาขาดน้ำ นัยน์ตาคู่งามมีน้ำตาเอ่อคลอ ข้าได้แต่ขยับปากพะงาบหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด เริ่มหูอื้อตาลาย ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว ที่ชัดที่สุดคือหน้ากากสีเงินและดวงตาสีฟ้าเข้มขุ่นคลั่ก เป็นผลให้ข้าวาดมือออกไปสุดแรง!
เพี๊ยะ..!
“แค่ก…แค่กๆๆๆ”
ฝ่ามือหนาหลุดจากลำคอในที่สุด เสียงสำลักกระอักกระไอหอบเอาอากาศเข้าปากอย่างตะกรุมตระกรามเป็นของจวิ้นอ๋องที่รีบผุดลุกและขยับหนีจากมือมัจจุราช ข้ากุมคอตัวเอง นิ่วหน้าสถบด่าทอบรรพบุรุษของฉู่เหวินและด่าตัวเองที่ยั่วโมโหเขามากเกินไปจนทำร่างคนงามต้องเจ็บตัว สูดหายใจลึกๆเข้าปอดพลางกำสิ่งที่อยู่ในมือไว้ หน้ากากขององค์ชายเจ็ดที่ทำให้เขาหยุดมือได้!
“เอาคืนมา”
“…….” น้ำเสียงของฉู่เหวินฟังดูแปร่งแปลกหูเมื่อไม่มีหน้ากากกั้น ถ้อยคำแฝงแววคุกคามทำเอาลำคอปวดหนึบ ข้าสูดหายใจลึกๆ ตั้งสติแล้วหันไปหา เงยหน้ายื่นหน้ากากให้เขา กลับเป็นตัวเองที่ต้องนิ่งงัน
ข้าไม่สนใจรอยริ้วแปลกตามองสายที่พาดผ่านผิวแก้มอีกฝ่าย ข้าหาได้หวาดกลัวตะลึงลานหวึดร้องใส่เขา จะแผลเป็นหรือดวงตาต้องสาปข้าก็ไม่สน ที่ทำให้ข้าเบิกตาโพลงจ้องเขาด้วยดวงตาเบิกค้างคือใบหน้านั้น ดวงตา คิ้วคาง ตลอดจนรูปหน้าอันคล้ายคลึงจนน่าโมโห แม้จะคาดไว้บ้างแล้ว แต่ข้าก็เกลียด..เกลียดเหลือเกินที่พบว่ามันเหมือนกันเช่นนี้
มู่เซิน ฉู่เหวิน หวังอี้เสี่ย
พวกเจ้าจะมีหน้าเหมือนกันหาท่านย่ามันเรอะ!
ข้าจ้องหน้าเขาพลางสูดหายใจลึกๆ ไม่แยแสสีหน้าท่าทางขององค์ชายเจ็ดผู้นั้น ในหัวมีแต่ความรู้สึกหงุดหงิดพลุ้งพล่านแทบระเบิด เห็นใบหน้าที่คุ้นแสนคุ้นแล้วยิ่งรู้สึกมีโทสะจนทนมองต่อไปไม่ได้ ข้าสะบัดหน้าหนีแล้วกำหมัดแน่น ปวดหนึบที่รอยแผลซ้ำกระเทือนไปถึงในหัวอก แต่ข้าไม่ได้เสียใจ ไม่ได้สะเทือนใจ อยากร้องไห้คร่ำครวญใดๆอีกแล้ว ตรงกันข้ามกลับอยากอาละวาดด่าทอผู้คนหรือโชคชะตาใดก็ตามที่ทำให้ข้าต้องพบกับเรื่องแบบนี้ แค่เจอมู่เซินแล้วยังไม่สาแก่ใจหรือ มันเป็นเรื่องสนุกนักหรือที่ส่งคนหน้าเหมือนกันเข้ามาหาข้าซ้ำๆ หรือต้องการทรมารข้า ให้เหลียงจื่อซิ่นอึดอัดทุรนทุรายร่ำไห้จนตายจึงจะพอ
ข้าไม่ชอบ ข้าไม่ตลก ไม่ว่าพรหมลิขิตหรือสิ่งใดก็ตามที่บันดาลให้เป็นเช่นนี้ ข้าเกลียดมัน!
ทุกการแสดงออกของอีกฝ่ายปรากฏอยู่ในดวงตาขององค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยน ฉู่เหวินนึกประหลาดใจ จวิ้นอ๋องเพียงมองหน้าก็ตกตะลึงแล้วแปรเป็นซีดเผือกราวเห็นผี คนสะบัดหน้าหนีไม่ยอมต่อความเรียกเสียงหัวเราะเย็นเยียบในลำคอ ประหลาดใจเพียงชั่วแล่นก่อนเต็มไปด้วยความขบขันและเสียงหัวเราะเยาะเย้ย นี่น่ะหรือจวิ้นอ๋องผู้กล่าวว่าไม่หวาดกลัวดวงตาของตน คนผู้เคยกล่าวว่าดวงตาต้องสาปนั้นสวยงาม แท้เมื่อได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงก็หาได้ต่างจากผู้อื่นแม้สักนิด!
“จวิ้นอ๋อง เบือนหน้าหนีไปด้วยเหตุใดเล่า?” กระชากแขนเล็กดูบอบบางซึ่งตนสามารถหักมันได้ไม่ยากดึงเอาร่างอรชรของบุรุษรูปงามไม่เป็นสองรองใครให้หันมาหา ปรารถนาให้ดวงตาคู่นั้นหันมาจ้องใบหน้าตนจนเต็มตาเพื่อประจักษ์ว่าทุกคนล้วนหวาดกลัวใบหน้านี้
“ผู้ใดกันกล่าวว่าเป็นคนกล้ายิ่งนัก เพียงเท่านี้ก็หวาดกลัวแล้วหรือ หันมาซิ ท่านอ๋อง เชิญทัศนาใบหน้าของฉู่เหวินผู้นี้ให้เต็มตา” จากท่อนแขนลามมาที่หัวไหล่เมื่ออีกฝ่ายยังหลบลี้ องค์ชายเจ็ดแห่งไห่เยี่ยนบีบหัวไหล่กลมมนจนแน่นและถามเสียงเย็น ฉู่เหวินเองก็ไม่ทราบว่าน้ำเสียงของตนแฝงแววรวดร้าวสายหนึ่ง ซ้ำออกแรงเขย่าจนจวิ้นอ๋องแทบไม่อาจทรงกาย
“ท่านกลัวไปไย ท่านหลบตาไปไย จงหันมาสิ จวิ้นอ๋อง หรือจริงๆแล้วท่านเองก็ไม่กล้า!!”
“ปล่อย!”
“หึ หวาดกลัวไปไย จวิ้นอ๋องคนกล้าเพียงหันมามองเท่านั้น หรือทำไม่ได้” ริมฝีปากหนาบิดเป็นรอยยิ้มเยาะ พร้อมเสียงหัวเราะขัน
“ข้าบอกว่าปล่อ—“
“ ไม่! นี่จวิ้นอ๋องหวาดกลัวแล้วรึ น่าขันยิ่งนัก!”
“หุบปาก! เลิกเรียกข้าว่าจวิ้นอ๋อง!”
เสียงตวาดกร้าวแปลกหูดังออกมาจากร่างของหวงเทียนหยาง เพราะเหตุใดไม่ทราบชั่ววินาทีหนึ่งข้าถึงมีโทสะเหลือจะทนเมื่อโดนเรียกขานว่าจวิ้นอ๋องไม่ใช่เหลียงจื่อซิ่น เพราะผู้กล่าวถือครองเสียงและใบหน้าคล้ายคลึงกับหวังอี้เสี่ยใช่หรือไม่ข้าถึงได้เสียการควบคุมตัวเองได้อย่างง่ายดาย ว่าจะรู้ว่าไม่ควรก็เมื่อดวงตาสีฟ้าคู่นั้นฉายความประหลาดใจ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์…เขย่าตัวข้าแบบนี้” เอ่ยปากกล่าวอ้างเหตุผลอันฟังดูโง่งมขณะใช้สองแขนกอดอกไวั ข้าหรี่ตามองฉู่เหวินผู้ดูเหมือนจะบ้าคลั่งขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วสูดหายใจลึกๆ ต่างฝ่ายต่างเงียบและนิ่งอึ้งเมื่อได้เผยแง่อารมณ์ที่ตนไม่สมควรมี
“ขออภัย ท่านอ๋อง” แววตาสีฟ้าเจิดจ้าทั้งฉายแววสงกาและเคลือบด้วยอารมณ์อันเย็นเยียบ ก่อนจะหงายฝ่ามือยื่นออกไปอีกครั้ง “หน้ากากของข้า ช่วยคืนมาด้วย จะได้ไม่ตกอกตกใจอีก”
“ข้าไม่ได้ตกใจ..” แท้จริงข้าเองก็ตกใจ แต่เป็นด้วยสาเหตุอื่นซึ่งอีกฝ่ายคงมิทราบ เมื่อองค์ชายเจ็ดกล่าวมาเช่นนั้นข้าจึงเงยหน้ามองสำรวจใบหน้าของเขาเสียใหม่ แม้บรรยากาศรอบกายจะแปลกประหลาดเพียงใดก็ตาม
พยายามกลบลบความรู้สึกสั่นไหวยามเห็นว่าใบหน้านี้คล้ายคลึงกับใบหน้าของหวังอี้เสียแค่ไหน นี่เป็นเพียงคนมีใบหน้าเหมือนคล้าย ข้าทราบดีโดยเฉพาะเมื่อได้เห็นดวงตาสีฟ้าคู่นั้น แต่ข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดกันเขาจึงถูกกล่าวว่าอัปลักษณ์
รอยแผลเป็นจางๆคล้ายรอยกรีดสองสายปรากฏบนแก้มขวาของอีกฝ่าย เป็นรอยแผลลากยาวจนถึงใต้ตาและพาดทับด้วยรอยยาวอีกสายจากปลายคางขึ้นมาบนใบหน้า ข้างแก้มมีรอยแผลคล้ายเกิดจากไฟไหม้รูปร่างคล้ายปีกค้างคาวสีน้ำตาลอ่อนแทบกลืนไปกับสีผิว นี่นับว่าอัปลักษณ์แล้วหรือ? นี่คือความน่ากลัวจริงๆที่ทำให้ผู้พบเห็นกรีดร้องหวาดหวั่นรึ? นี่นับว่าน่ากลัวอันใด จริงอยู่ที่ว่ารอยแผลสองแห่งบนผิวแก้มขวาจะดูแปลกตาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับดูไม่ได้ ส่วนอื่นบนใบหน้าของเขายังปรกติดี ปาก ตา คิ้ว คางยังคงสมส่วนและยังเหมือนใบหน้าของหวังอี้เสี่ยจนน่าโมโห
“ท่านอ๋องอย่าได้พยายามฝืนตนเอง” คนส่งเสียงกร่นในลำคอเมื่อเห็นข้าเงยหน้าพิจารณาจ้องมาตาไม่กระพริบและยิ้มหยัน
“ข้าไม่รู้หรอกว่าชาวไห่เยี่ยนขวัญอ่อนเพียงใด แต่ตาท่านเห็นข้าหวาดกลัวหรือ?” ฟังคนพูดแล้วรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาบ้าง แม้ข้าทราบดีถึงมาตรฐานความงามของผู้คนสมัยนี้ว่าใบหน้าต้องหมดจดไร้ราคีจริงๆจึงจะถูกกล่าวว่ารูปงามก็ตาม แต่หาว่าคนมีแผลไฟไหม้อัปลักษณ์ก็เกินไปกระมัง ดูแล้วรอยแผลขององค์ชายเจ็ดอาจมาจากฝีมือคนมากกว่าด้วยซ้ำ
“กล่าวราวกับเมื่อครู่ท่านอ๋องจะมิได้สะบัดหน้าหนี..” ริมฝีปากหนาบิดยิ้มเยาะหยัน องค์ชายผู้นี้ดูท่าจะมีปมเรื่องหน้าตามากจริงๆ ข้าก้มมองหน้ากากพยัคฆ์ในมือไล้ลูบสัมผัสความเย็นของมัน การยื่นหน้ากากคืนกลับไปง่ายดายยิ่งนัก เพียงแต่..
“ทำอะไร!?”
ข้อมือบางถูกคว้าไว้แล้วบีบซ้ำร่องรอยเก่า ขณะปลายนิ้วเรียวงามแตะลงบนรอยแผลสีจางเบาๆ แต่คนไม่ได้ตั้งตัวพลันกายแข็งทื่อ ใบหน้าอันเป็นที่หวาดกลัวเมื่อถูกแตะต้องเจ้าของร่างพลันแสดงอาการไม่คุ้นเคยทันที ข้าขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่ฉู่เหวินที่ออกแรงไม่ปรานีปราศัย เขาคิดว่าข้าผู้ไร้อาวุธจะทำอะไรได้
“แผลก็คือแผล ใครบ้างไม่เคยมีบาดแผล หรือคิดว่ามีเพียงดวงตาสีประหลาดกว่าผู้อื่นแล้วข้าจะกลัว?” ถูกรั้งข้อมือแล้วแต่ปลายนิ้วยังขยับได้ ข้าออกแรงจิ้มแผลเป็นอีกฝ่ายโดยไร้อาการเกรงกลัวแม้แต่น้อยพลางจ้องตาคู่นั้นเขม็ง
“ท่านเลิกคิดว่าทุกคนจะต้องหวาดกลัวตนเองเสียที บุรุษไหนเลยใช้ใบหน้าหากิน เอาแต่จมจ่อกับเรื่องเช่นนี้ดูแล้วช่างน่าขำ กระทั่งข้าผู้เป็นศัตรูยังอดออกปากมิได้..”
“อย่าทำหน้าแบบนี้อีก”
อย่าได้ใช้ใบหน้าที่เหมือนหวังอี้เสี่ย แสดงสีหน้าอันแฝงความรวดร้าวเช่นนั้นอีก ด้วยข้ามิอยากเห็น...
ถ้อยคำนี้ไม่ถูกเอ่ยขึ้นหากมันสะท้อนอยู่ในห้วงแห่งความคิดคำนึงของข้า แต่อีกฝ่ายคงมิได้รับรู้ฉู่เหวินมิทราบว่ายามนั้นตนเองได้ทำสีหน้าเช่นไร จวิ้นอ๋องจึงได้กล่าวเช่นนั้น องค์ชายแห่งไห่เยี่ยนทราบเพียงน้ำเสียงแผ่วเบานั้นเจืออารมณ์โศกเศร้าสะท้านลึกไปถึงหัวใจ จึงทำได้เพียงยืนนิ่งจ้องมองใบหน้างามอย่างไร้วาจา
หน้ากากสีเงินลายพยัคฆ์ถูกวางไว้ข้างๆ ใกล้มือให้อีกฝ่ายหยิบได้ตามต้องการหากมันยังคงถูกวางค้างไว้ ข้านิ่งเงียบ หลังผ่านพ้นพายุอารมณ์แล้วจึงได้รับรู้ถึงความเจ็บที่ทวีมากขึ้นทั้งลำคอและท่อนแขน คิดอยากด่าทอองค์ชายเจ็ดกลับพบว่าเบาใบหน้าของหวังอี้เสี่ยเป็นปราการคุ้มภัย..ข้าต้องใช้เวลาสักหน่อยจึงจะปรับตัวได้
“แล้วท่านอ๋องเบือนหน้าหนีเพราะเหตุใด?” คนค้างคายังคงค้างคา หน้ากากพยัคฆ์เขาก็ไม่หยิบคืนหากมีเพียงคำถามส่งมาให้ ข้ายกมือลูบข้อมือขาวๆของคนงามที่เริ่มช้ำอย่างปวดใจพลางเงยหน้ามองตาสีฟ้าเรืองรอง คิดแล้วคำถามนี้สมควรได้รับคำตอบเสียที
“องค์ชาย ท่านกับมู่เซินมีความเกี่ยวข้องอันใดต่อกัน?”
+++++
มาครบร้อยแล้ว ช้ามากขอโทษด้วยค่ะ สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยจริงๆ
เช้านี้ขอลงให้ครบตอนก่อน เสร็จธุระแล้วจะกลับมาปั่นตอนใหม่ลงช่วงสี่ห้าทุ่มนะคะ
ปล. แว่วเสียงปักธงงงง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

(กำลังตามอ่านทีเดียวค่า)
ช่วยส่งบันไดมาด่วนจร้า