ตอนที่ 45 : บทที่43 100%
บทที่ 43
“เฒ่าแก่ หาอะไรมากระแทกปากหน่อยเซ่...” ในระหว่างที่เทียนหลงยังคงฟังเรื่องราวข่าวสารความเปลี่ยนแปลงของ “บ้านเกิด” ของเขาที่เปลี่ยนไปมาในตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปี ก็ได้มีน้ำเสียงยียวนชวนคันเท้ามาดังที่โต๊ะข้างๆ เขา จนอดไม่ได้ที่จะต้องหันไปมอง ก็ได้เห็นชายหนุ่มรูปร่างดีแต่งตัวคล้ายคนชั้นสูงที่กำลังนั่งเอาเท้าพาดบนโต๊ะ โดยไม่คิดที่จะเกรงใจใครเลยแม้แต่น้อย ส่วนชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“นายน้อยขอรับ ท่านยังได้รับคำสั่งให้เก็บตัวอยู่ในตระกูลนะขอรับ” น้ำเสียงแหบห้าวไม่พอใจกับการกระทำของผู้เป็นนายเท่าไรนัก เพราะการที่ชายหนุ่มผู้นี้ออกมาทำตัววางก้ามกร่างไปทั่วแบบนี้มันยิ่งทำให้ภาพลักของตระกูลเย่ และราชวงยิ่งดูแย่ลงในสายตาของคนอื่น แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรแบบนั้นเลย
“ก็ข้าอึดอัดนี่ลุงฝู นี่ก็เป็นปีแล้วนะ ยังไม่มีข่าวไอ้คนนอกคอกพันนั้นอีก ไม่รู้จะกลัวอะไรมันนักหนา ดีไม่ดีตายไปแล้วก็ไม่รู้ ไม่ก็ทิ้งตระกูลไปเหมือนแม่ของมัน...”
“นายน้อย!!” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะกล่าวจบเจ้าของเสียงห้าวก็ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นจนคล้ายกับตวาดเสียด้วยซ้ำ แต่แทนที่ผู้เป็นนายจะโกรธเคืองที่โดนตวาดด่ากลายที่สาธารณะชนพลุกพล่าน แต่กลับรีบเอามือรวบปิดปาก พลางทำท่าทางราวกับขอโทษขอโพยอีกฝ่ายยกใหญ่
“ข้อขอโทษแล้วกันลุงฝู ก็ข้ามันอึดอัดนี่ ข้าเป็นทั้งเชื้อพระวงก์ ทั้งยังเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลเย่คนต่อไป แต่กลับต้องมาทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ มาตลอดหนึ่งปี นี่ข้าก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว”ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงหลายส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกรงใจพ่อบ้านที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเหมือนองครักษ์ส่วนตัว และเป็นเหมือนคนที่สนิทและเข้มงวดกับเขาที่สุด ทั้งยังเป็นคนที่เขาสนิทที่สุดอีกด้วย
และส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหงอเมื่อนึกถึงนางผู้นั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ภาพของพลังที่สามารถเข่นฆ่าทกคนได้เพียงแค่สะบัดมือยังคงจดจำติดตา ยังไม่รวมกับภาพของค่ารับใช้ที่พยายามจะถ่ายถอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อในครั้งนั้นแก่ทางราชสำนัก แต่ภาพของข้ารับใช้ผู้นั้นที่กำลังจะพูดที่จู่ๆ แทนที่จะพูดออกมาเป็นคำพูด แต่กลับออกมาเพียงแค่เปลวเพลงสีแดง ก่อนที่เพลิงนั้นจะพุ่งออกมาจากทวารทั้งห้า แล้วเผาไหม้ร่างนั้นจนไม่เหลือแม้แต่ซากภายในไม่กี่อึดใจ...
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะขอรับ เอาเป็นว่าท่านควรอาอะไรทานแล้วกลับเรือนกันดีกว่านะขอรับ เพราะอย่างไรข่าวคราวของ ‘มัน’ ยังไม่ปรากฏออกมา ข้าว่าพวกเราควรจะเก็บตัวไว้เป็นอันดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรดูจากที่มันทำกับท่านแม่เฒ่าฉินแล้ว เป้าหมายการล้างแค้นของมันคงหนีไม่พ้นนายน้อยและนายหญิงเป็นแน่...”
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าข้าต้องอยู่หลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ศรีในด้านใดของข้านั้นก็มีไม่น้อยไปกว่าใครๆ อำนาจข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ทำไมข้ากลับต้องมาอยู่หลบๆ ซ่อนๆ ราวกับว่าคนที่กำลังหนีความผิดอย่างไรอย่างนั้น ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ...”
หลังจากที่ระบายอะไรพักใหญ่ สองนายบ่าวก็สั่งอาหารมาทานชุดใหญ่ กินไปก็พูดระบายความในใจไป โดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าโต๊ะข้างๆ จะเป็นตัวตนเจ้าปัญหาที่ถูกพูดถึงมากที่สุด
‘ข้าแทบจะถูกลืมไปแล้วสินะ... แต่ก็ยังคงมีคำสั่งล่าสังหารจากพวกระดับสูงจากทุกแคว้นอยู่ หึๆ คงจะอยากจะได้ความลับของข้ามากสินะ’ เทียนหลงกลืนสุราที่ขมอมหวานที่ไหลบาดลำคอคงไป พลางนึกขำในใจถึงความโง่เขลาของคนเหล่านี้ เพราะพวกมันไม่มีทางคิดเลยว่าพวกมันกำลังถูกใครบางคนหลอกใช้ แล้วไหนจะยังไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางของเขาดีเลยด้วยซ้ำ ยังจะมาหมายจะปล้นสิ่งของของเขาไปอีก ‘พวกมันเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ ว่าจะสามารถล้มและเอาทุกอย่างไปจากข้าได้...’
.......................31%
ต่อ...................
“ตามไปเลยก็แล้วกัน”หลังจากที่สองนายบ่าวสกุลเย่จากไป ชายหนุ่มก็เรียกเสี่ยวเอ้อมาเก็บเงินแล้วตามไปบ้าง แม้ว่าจะรู้จักทางไปอยู่แล้ว แต่มันก็นานมากแล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน ความรู้สึกบางส่วนก็ยังคงผูกพันกระตระกูลนี้อยู่ ซึ่งในระหว่างทางชายหนุ่มก็นึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองในตลอดระยะเวลาหลายปีนี้...
ย้อนกลับไปในตอนที่เขายังเด็ก เขาเป็นเด็กอัจฉริยะที่เหนือกว่าใครๆ ในทุกๆ ด้าน ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ มีพ่อที่ห่วงใยมีแม่ที่รักใคร่ ทั้งในตอนนั้นเขายังคงเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มองเห็นแต่คนที่รักใคร่เอาใจใส่ มองไปทางไหนก็มีคนที่คอยห่วงใยดูแลอย่างดี โดยไม่รู้เลยว่าความเป็นจริงมันเป็นเช่นไร
โดนวางยาให้หลับใหลไปนานกว่าสิบปี นี่คือสิ่งที่รู้และเห็นจากพลังของสมบัติสวรรค์ที่พี่สาวเสวี่ยยอมสละพลังที่เหลือเพื่อที่จะให้เขาไปพบโลกที่มันเป็นจริง ได้มองเห็นความเลวร้ายโสมมของสังคมของ ‘ผู้ใหญ่’ ว่ามันเลวทรามแค่ไหน มีจะยังคงมีคนดีเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องไม่ลืมว่าการเป็นคนดีนั้นต้องอยู่ในวาระที่ตนเองไม่เสียผลประโยชน์ ในเหตุการณ์ที่ตนเองไม่ตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความคับขันจากผลของการกระทำดี
สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาได้รู้ในช่วงเวลานั้นก็คือไม่มีใครที่จะเป็นคนดีในสายตาของทุกคนได้ เพราะไม่ว่าต่อให้จะเป็นคนดีแค่ไหน หรือว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองหรือทำตัวดีมากเท่าไร ในท้ายที่สุดแล้วก็จะมีใครสักคนที่ไม่ชอบ จะมีใครสักคนที่เกลียดเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร สิ่งที่คนดีจะทำได้คือทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าดีและไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน
นั่นคือสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกหลังจากที่ความรู้ความคิดเขาได้รับการปรับเปลี่ยนจากประสบการณ์ที่ได้รับมาจากเหล่าดวงวิญญาณที่เหลือไว้ให้ ทำให้มุมมองของเขาที่มีต่อโลกกว้างขึ้น ไม่ได้เคียดแค้นอะไรมากมายเหมือนแต่ก่อน มุมมองของเขาก็สงบมากขึ้น ...แต่ใช่ว่าเขาจะไม่ล้างแค้น!
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งกับเหล่าคนตายทั้งหลาย พอลองมองย้อนกลับไปเขาก็อดที่จะยิ้มให้กับความโชคดีในความโชคร้ายของเขาไม่ได้ แม้อาจจะดูเขาเป็นเด็กที่น่าสงสารที่ถูกกระทำมาต่างๆ นาๆ แต่ว่ามันก็เป็นเพียงเรื่องราวในมุมหนึ่ง
เมื่อถอยกลับมาแล้วลองมองในอีกมุมหนึ่งแล้วเขาก็เป็นคนที่โชคดีมากที่สุดคนหนึ่ง โชคดีที่ได้รับการสั่งสอนจากยอดฝีมือมากมาย โชคดีที่ได้รับสมบัติลำค่าหลายร้อยชิ้น โชคดีที่ได้ครอบครองสมบัติสวรรค์ที่คนนับล้านได้แต่เฝ้าฝันถึง และโชคดีที่เขาได้หลับใหลไปสิบปีจนทำให้จิตใจเขายังคงไร้เดียงสาจนสามารถรอดพ้นจากคำสาปราคะนั่นได้ ทั้งยังได้ช่วยเหลือเหล่าผู้ที่ถูกสาปได้อีกนับหมื่นที่ถูกกักขังมาเนิ่นนาน
เมื่อลองนึกย้อนไปตามคำที่พระอาจารย์ได้บอกได้สอนเอาไว้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ บางทีเรื่องราวทั้งหมดอาจจะถูกกำหนดเอาไว้แล้วก็เป็นได้ และบางทีโชคชะตาของเขาอาจจะเคยผูกพันกับเหล่าดวงวิญญาณนับหมื่นมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมาก่อนในชาติภพอื่นๆ ถึงได้มีวาสนาให้มาพบมาเจอได้มาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
‘เจ้าอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องที่เลวร้าย แต่ในมหาสังสาวัฏไม่เคยมีสิ่งใดที่สามารถเกิดขึ้นได้โยไม่มีเหตุ’
‘ข้าไม่เข้าใจขอรับท่านอาจารย์’
เมื่อได้ยินดังนั้นพระธรรมาจารย์หลงไท่ก็ยิ้มน้อยๆ ให้กับความไร้เดียงสาของศิษย์รัก‘หากเจ้าปลูกผลท้อในวันข้างหน้ามันก็จะงอกเป็นต้นในสักวันหนึ่ง เจ้าเข้าใจมันไหม’
‘ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีขอรับ’เทียนหลงก็ยังคงไม่เข้าใจในคำกล่าว
‘ไม่แปลกที่เจ้าไม่เข้าใจในตอนนี้แต่สักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจมันอย่างแน่นอน’ พระธรรมาจารย์หลงไท่ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ประดับบนใบหน้า ‘แต่ข้าจะอธิบายให้คร่าวๆ ก็แล้วกัน’
ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดซึ่งสิ่งที่เจ้าทำมันจะสร้างซึ่งเหตุในกาลข้างหน้า และผลที่เจ้ากระทำนั้นจะตามมาแน่นอนไม่ว่าจะเร็วหรือช้า มันขึ้นอยู่กับการกระทำอื่นๆ เพราะคนเราไม่ได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ผลที่จะตามมาย่อมมีหลากหลายขึ้นอยู่กับว่าเหตุที่เจ้าสร้างมันหนักแค่ไหน ไม่ว่าจะทางที่ดีหรือร้าย สักวันหนึ่งความรู้สึกนั้นๆ ก็จะย้อนกลับมาอย่างแน่นอน
......................65%เดี๋ยวมาต่อให้นะ
มาต่อแล้วนะ...........................
“บางที...เรื่องพวกนี้อาจจะเป็นลิขิตของฟ้าก็เป็นได้ ใครเล่าจะรู้”
แม้ว่าจะเปรยออกมาแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าตัวเทียนหลงจะเชื่อไปทั้งหมด เพราะอาจารย์ของเขาก็เคยบอกเคยสอนเอาไว้เช่นกัน ว่ามีควรจะเชื่อทุกอย่างที่ใครพูด แต่จงใช้ประสบการณ์ตรองมัน เมื่อคิดว่าถูกแล้วถึงจะสามารถเชื่อได้ เขาจึงเลือกที่จะทำความเข้าใจทุกอย่างด้วยตนเอง และค่อยๆ ก้าวข้ามผ่านความไม่รู้ไปในแบบของเขา
โดยเฉพาะตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ราวกับว่าโลกของเขาได้ถูกเปิดออกจนกว้างชนิดที่คาตไม่ถึงเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่จบการต่อสู้ไปเมื่อปีก่อน หลังจากที่เขาได้หนีมาจนได้มาพบเจอกับเฒ่าชราไร้นามผู้นั้น ก็เหมือนกับว่าคำพูดบางคำของชายชราผู้นั้นไปกระตุ้นความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของเขาเสียใหม่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขารู้สึกผิดมาตลอดก็คือเรื่องที่เขาคิดว่าตัวเขานั้นเป็นผู้ที่ทำลายเหล่าดวงวิญญาณทั้งหลายด้วยมือของเขาเอง แต่เมื่อได้รับความรู้จากผู้เฒ่าปริศนาคนนั้นเขาก็ราวกับได้ปลดโซ่พันธนาการออก จิตวิญญาณของเขาราวกับถูกชำระล้างสิ่งที่ติดตำอยู่ภายในจิตใจของเขาตลอดมาออกไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของความเสียใจ
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเขาถึงได้เชื่อชายชราคนนั้นอย่างหมดใจ แต่ภายในส่วนลึกของเขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้ยินจากชายชรานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วและสามารถที่จะเชื่อมันได้เต็มร้อย แม้วจะไม่รู้ว่าเหตุใดมันถึงได้เป็นเช่นนั้น แต่เขาคิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปริศนาตลอดระยะเวลาที่เขาได้รับพลังมา นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณนั่นเอง และหลังจากที่เขาได้รับความกระจ่างในส่วนนี้ เมื่อรวมกับจิตใจที่ถูกปลดออกจากเครื่องเหนี่ยวรัดที่ผูกติดเขากับความรู้สึกผิดมาตลอด จากนั้นโลกของเขาก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
จิตใจที่เมื่อก่อนไม่เคยมั่นคงเลย แต่ในปัจจุบันกลับสงบไร้ระรอกคลื่น ไม่ว่าในช่วงเวลาหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาเมื่อครึ่งปีก่อนเขาจะใช้เคล็ดมายาเทพวิญญาณปรากฏอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้สึกถึงความทรมานอีกต่อไป กลับโปร่งโล่งสบาย ที่ติดอยู่ก็คือพลังวิญญาณที่น้อยนิดนัก กับลมปราณที่ตอนนี้เทียนหลงนั้นรู้สึกว่าสะสมได้ช้ากว่าแต่ก่อนหลายเท่า ทั้งๆ ที่ชีพจรวิญญาณธรรมชาติของเขาได้รับการชำระล้างและยกระดับเป็นชีพจรวิญญาณปฐพีแล้วก็ตามที
แต่ถึงอย่างนั้นปราณใหม่ของเขากลับให้ความรู้สึกที่บริสุทธิ์มากกว่า ทั้งยังทรงพลังกว่ากันหลายเท่า ยิ่งเมื่อเขามีพลังวิญญาณที่เป็นอีกหนึ่งพลังที่แข็งแกร่งมากอีกอย่างหนึ่งเป็นไพ่ลับเอาไว้ เขาก็เชื่อว่าในตอนนี้ยากนักที่จะมีใครในแผ่นดินนภาคราม ที่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับเขาได้
และยังมีอีกหนึ่งอย่างที่เขายังคงพยายามทำมาตลอดแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะทำได้ นั่นก็คือการรวมเอาพลังทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ถึงไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงพยายามที่จะทำมันอยู่เสมอ เพราะถ้าหากว่ามันสามารถที่จะเป็นไปได้แล้วล่ะก็ ความสามารถของเขาคงจะพัฒนาไปอีกไกลเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน ในตลอดช่วงระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เขาฟื้นจากอาการบาดเจ็บเขาก็พยายามฝึกทั้งพลังปราณ แล้วยังเริ่มรวบรวมกลั่นเอาพลังวิญญาณที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงมันจะไม่ได้เร็วมากมายเหมือนก่อนหน้า ที่เขาสามารถที่จะพัฒนาไปไกลราวกับติดปีกบิน แต่ในตอนนี้ลำพังเพียงร่างกายของเขา เทียนหลงยังรู้สึกได้ว่าต่อให้เจอสงป้าอีกครั้งเขาก็สามารถที่จะรับมือได้ด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว หรืออาจจะใช้พลังเพิ่มอีกไม่มากเพื่อที่จะเอาชนะอีกฝ่าย ไม่ใช้เป็นการทุ่มเทสุดชีวิตเมือนครั้งก่อนหน้า
ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของเขาถึงได้แข็งแกร่งขึ้นจนผิดหูผิดตา แต่พลังที่เขาสัมผัสได้จากร่างกายนี้เป็นของจริงแน่นอน และนี่ยังไม่รวมถึงพลังวิญญาณที่เพิ่มพูนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้นับสิบเท่า ทั้งยังคงเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณทั้งหลายไหม เพราะถึงตอนนี้เขาจะพอเข้าใจถึงพลังวิญญาณอยู่บ้าง แต่หากเปรียบเทียบตัวเขานั้นคงเป็นแค่เด็กน้อยที่เพิ่งจะเริ่มต้นหัดเดิน คงไม่สามารถที่จะเชี่ยวชาญได้ในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนพลังปราณที่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวเขานั้นจะรวบรวมมันได้ช้าลงมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ทำให้จนแล้วจนรอดในตอนนี้ตัวเขายังมีพลังวัตเพียงแค่ร้อยกว่าปี แต่เทียนหลงก็รู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์และความหนาแน่นของพลังที่มากกว่าแต่ก่อนมาก หากให้เปรียบเทียบพลังของเขาในก่อนหน้าที่จะได้เข้าพิธีชำระวิญญาณนั้นพลังของเขาเปรียบได้เสมือนอากาศที่ไหลวนอยู่รอบกาย กล่าวคือแม้ว่าจะสัมผัสได้บ้าง แต่มันก็ยากที่จะจับต้องได้ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันมีอยู่
แต่ในตอนนี้พลังของเขาราวกับไอหมอกหนาในยามเช้าหลังจากฝนตกหนัก ที่มันสามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน และยังรู้สึกได้ถึงความชื้นของสายหมอกนั้นได้ และที่สำคัญคือในตอนนี้ดูเหมือนว่าพลังของเขาจะไปกระตุ้นให้สมบัติสวรรค์ทั้งสองที่ฝังอยู่ในหลังมือซ้ายและขวาเริ่มที่จะกลับมาแสดงพลังได้อีกครั้ง เนื่องจากหนึ่งปราณบริสุทธิ์สายหยาง และอีกหนึ่งพลังบริสุทธิ์สายหยินที่เริ่มแผ่ออกมาจากสองสมบัติวิเศษ ทำให้ในระยะหลังนี้อัตราการเพิ่มขึ้นของพลังปราณและพลังวิญญาณเริ่มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในตอนนี้จวนจะสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงการเพิ่มขึ้นในทุกๆ ลมหายใจแล้ว...
ในช่วงเวลาที่เทียนหลงได้คิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น ในที่สุดเขาก็ได้เดินทางมาถึงเป้าหมายแรกของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หลังจากที่ไม่ได้กลับมานับสิบปี ในที่สุดข้าก็กลับมาแล้ว...ตระกูลเย่!”
.................................100% (11,146อักขระ)
ถ้าอยากอ่านต่อก็ให้กำลังใจกันมาบ้างนะ หัวใจก็ได้ จะเม้นก็ดี หรือถ้าใครจะใจดีช่วยค่ามาม่าค่าน้ำค่าไฟก็สนับสนุนได้นะครับ *-* นักเขียนไส้แห้งมากมาย พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้านะ ไม่รู้ว่าจะได้มีเวลาปั่นไหม และไม่รู้ว่าจะมีคอมให้ใช้หรือเปล่า วันนี้ถ้ามีใครใจดีโดเนทมาสักห้าร้อยก่อนหกโมง สัญญาว่าจะลงให้เต็มตอนก่อนสี่ทุ่มครับ แฮ่ะๆ หาตังทุกวิถีทาง แต่ไม่ได้บังคับนะเออ แค่เผื่อใครใจดีนะครับ ไม่ต้องอึดอัดกับนักเขียนอย่างผมนะ ขอแค่ตามอ่านไปนานๆ ก็ดีใจแล้วครับ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอให้พ่อแข็งแรงไวๆนะคะ