ตอนที่ 4 : บทที่ 4 พ่อ
“…” ทางฝ่ายชายชราที่มองใบหน้าอมทุกข์ของบุตรชายก็ได้เเต่เศร้าใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้บุตรคิดเห็นสิ่งใด ในเมื่อเขาเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือตั้งแต่แบเบาะ ภายใต้หน้ากากน้ำแข็งไร้อารมณ์นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแค่ไหน เป็นเพราะเขาเองที่มอบภาระหน้าที่อันหนักอึ้งให้กับบุตรชาย…
“พ่อ…ขอโทษ” เสียงแหบแห้งของชายชราเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ท่านพ่อขอโทษสิ่งใดหรือขอรับ ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดปิดเสียหน่อย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ข้าตัดสินใจเองทั้งหมด อีกอย่างหนึ่งถ้าเราไม่ส่งตัวเทียนหลงไป แล้วเราจะยอมสููญเสียผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับมนุษย์ขั้นห้าขึ้นไปแก่หลุมปีศาจนั่นหรือ สำหรับเทียนหลงที่อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดชีวิตของมัน กับกำลังรบที่จะกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของตระกูลในวันข้างหน้า…ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก”
“แล้วหลู่หลินเล่า….”
“เรื่องของหลู่หลินข้าจะจัดการเองขอรับ! ทานพ่อไปเตรียมอาคมเคลื่อนย้ายให้พร้อมก็เพียงพอแล้ว รุ่งสางวันพรุ่งเราจะทำการใช้เขตอาคมนั่นส่งเทียนหลงไปยังหลุมกลืนวิญญาณนั่นทันที” กล่าวเพียงแค่นั้นเทียนหมิงก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องปิดตายไป ทิ้งให้ชายชราได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่เพียงผู้เดียว
“เฮ้อ…เอาเถอะในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่อาจจะทำอะไรได้แล้วสินะ ปู่ขอโทษเจ้าจริงๆ เทียนหลงหลานปู่ เพราะปู่มันอ่อนแอจนเกินไปจนทำให้เจ้าต้องมาอยู่ในสภาพนี้ ถ้าหากชาติหน้ามีจริงปู่ขอชดใช้ให้เจ้า…ปู่…” พลันหยาดน้ำตาใสๆ ก็ไหลออกมาจากใบหน้าของชายชรา ก่อนที่มันจะถูกปาดออกไปอย่างลวกๆ
หลังจากที่นั่งทำใจอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดชายชราที่ดูเหมือนจะแก่ตัวลงไปอีกหลายปีก็พยุงตัวลุกขึ้น แล้วใช้กลไกลับที่ถูกสืบทอดเฉพาะผู้นำตระกูลทุกรุ่น เพื่อที่จะลงไปยังชั้นใต้ดินที่ลึกหลายร้อนเมตร เพื่อไปยังลานพิธีลับที่จะต้องถูกจัดเตรียมพิเศษและเสริมพลังก่อนที่จะใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งแผนดินนภาครามต่างรู้ดีว่ามันคือสิ่งใด…เขตอาคมเคลื่อนย้ายพิเศษสำหรับหรับส่งเครื่องสังเวยแก่หลุมกลืนวิญญาณ
'เขตอาคมกลืนวิญญาณ!!'
หลังจากที่ออกมาจากเรือนหลักของตระกูลเย่ ซึ่งเป็นสถานที่เฉพาะผู้นำตระกูลและคนสนิทเท่านั้น เย่เทียนหมิงก็รีบมุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายของตนในทันที เพราะเรื่องนี้นั้นเขาได้คิดวางแผนเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ได้รับราชโองการมาเมื่อสามวันก่อน
แม้ว่าใครจะมองว่าเขาเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ หรือว่าเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลที่ดี แต่ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังคงเป็นเขา เป็นเย่เทียนหมิงเฉกเช่นสมัยก่อน แม้ว่าการแสดงออกจะเย็นชามากแค่ไหน แต่ทั้งหมดก็ทำเพื่อตระกูลที่ท่านพ่อฝากเอาไว้ อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากจะยอมเสียสละบุตรชายที่นอนเป็นผักมานานหลายปี
อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการที่ถูกส่งเป็นเครื่องเส้นสังเวยแก่หลุมกลืนวิญญาณนั้นคือการถูกส่งไปตาย แล้วใครบ้างที่อยากจะเสียสละตนเองเพื่อตระกูล ทั้งตระกูลเย่เองก็ยังแตกหน่อแตกแขนงออกไปหลายก๊กหลายเหล่า หากว่าเขาตัดสินใจที่จะเลือกใครคนใดคนหนึ่งย่อมต้องไปกระทบไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน เนื่องด้วยเงื่อนไขของการส่งเครื่องเส้นสังเวยก็คือต้องเป็นบุรุษในช่วงอายุสิบห้าถึงยี่สิบห้าปี และต้องมีระดับพรสวรรค์ระดับมนุษย์ขั้นห้าเป็นอย่างน้อย ซึ่งแม้จะเป็นตระกูลเย่เองพรสวรรค์ระดับนี้ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นสายเลือดของเหล่าผู้อาวุโสไม่ก็หัวหน้ากลุ่มใหญ่ ถึงแม้ว่าในโองการจะไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นสายตระกูลหลักหรือว่าเป็นผู้ใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถเลือกใครอื่นได้อยู่ดี
“ฮูหยินอยู่หรือไม่ ข้ามีธุระสำคัญอยากจะปรึกษานางสักหน่อย”
“ฮูหยินใหญ่กำลังปักผ้าอยู่เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเรียนฮูหยินให้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวข้าจะเข้าไปหานางเองเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ”
เดินมาได้ไม่นานเดินมาได้ไม่นานเดินมาได้ไม่นานเดินมาได้ไม่นาน เขาก็เดินมาถึงเรือนหลังงาม ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของภริยาเอกของเขาในตอนนี้ พ่ววด้วยศักดิ์ที่เป็นถึงองค์หญิงคนเล็กในองค์จักรพรรดิ ที่ทั้งทรงรักทรงหวงยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ออกเรือนมา นางมิเคยที่จะใช้อำนาจใดๆ ที่ตนมีเพื่อข่มเหงผู้อื่นเลย แม้จะดูเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจไปบ้าง แต่นางก็เป็นภริยาที่ดีของเขา และเป็นแม่ที่ดีของลูกๆ ทั้งสองมาโดยตลอด
มีเพียงสิ่งเดียวที่นางแสดงออกอย่าวชัดเจนว่าไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ ก็คือสองแม่ลูกที่ตกระกำลำบากอยู่ท้ายจวน สาเหตุนั้นมิใช่เขาจะไม่รู้ แต่ว่ามิอาจจะแก้ไขสิ่งใดได้ ซึ่งมันประจวบเหมาะกับสิ่งที่เขากำลังจะทำพอดิบพอดี คานว่านางคงไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้
“ท่านพี่! ลมอันใดหอบท่านมาจากกองงานได้กันเจ้าคะ ปกติยามนี้ท่านพี่ถ้าไม่ฝึกฝนก็น่าจะทำงานอยู่ที่เรือนนี่เจ้าคะ” เสียงหวานใสกล่าวขึ้น ในคราแรกนางก็คิดว่าสาวใช้คนสนิทเข้ามาหา แต่พอเงยหน้าขึ้นจากผ้าที่ปรากฏว่าเป็นบุรุษอันเป็นที่รักยิ่งนางก็อดตกใจมิได้ เพราะปกติเขาจะมาหานางในช่วงเย็นเพื่อรับประทานอาหาร อาจจะมีอยู่ค้างคืนบ้างแต่ก็ส่วนน้อย เพราะงานของเขารัดตัวมากแค่ไหนทำไมนางจะไม่รู้ แต่วันนี้กลับมาตั้งแต่เช้าตรู่นางจึงตกใจจนเข็มเกือบจะตำนิ้ว
“ขอโทษน้องหญิงที่ทำให้เจ้าตกอกตกใจ ข้ามีเรืองจะมาปรึกษาและอยากจะไว้วานเจ้าสักหน่อย เจ้าพอจะรับฟังข้าได้หรือไม่”
“เรื่องด่วนอันใดหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ แต่ก็พอจะเริ่มเดาคร่าวๆ ได้บ้างแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าบุรุษผู้เป็นที่รักจะจัดการเช่นไร เพราะนางเองก็ใช่ว่าจะมือใสใจสะอาดนัก มีบ่าวรับใช้ที่คอยส่งข่าวต่างๆ ให้นางรับรู้เสมอ แลเหากนางเดามิผิด ที่ท่านพี่มาหานางคงไม่พ้นเรื่องของเครื่องเส้นสังเวยที่กำลังจะมาถึง
“ข้าอยากให้เจ้าพาเหล่าอนุไปถือศีลที่วัดประจำตระกูลสักสามเดือน” “ทำไมหรือเจ้าคะ”
“เจ้าคงจะรู้อยู่แล้วว่าในปีนี้เป็นปีที่ครบรอบที่ต้องส่งเครื่องเส้นสังเวยไปยังหลุมกลืนวิญญาณ ทั้งปีนี้ยังเป็นคราที่ตระกูลเย่ที่ต้องส่งเครื่องสังเวย…ข้าจะใช้บุตรชายคนโตของข้าเป็นเครื่องสังเวย ข้าอยากจะให้เจ้าพาหลู่หลินไปยังวัดประจำตระกูลกับเจ้าด้วย เพื่อป้องกันความวุ่นวาย เจ้าพอจะช่วยได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ แล้วท่านพี่ต้องการจะให้ข้าออกเดินทางวันไหนหรือเจ้าคะ” “วันนี้เลย หากเจ้าพร้อมเจ้าจะออกเดินทางตั้งแต่ช่วงสายก็จะดีมาก เพราะข้ากับท่านพ่อต้องเตรียมการอีกหลายอย่าง”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวไปจัดการเรื่องเดินทางก่อนนะเจ้าคะ ฟ้าเริ่มสางแล้วหากช้าแดดจะแรงจะเดินทางลำบากเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามากน้องหญิง เจ้าไปเถอะ”
คราแรกที่ได้ยินองค์หญิงถึงกับตกใจ แต่หลังจากที่ออกมาจากเรือนใหญ่แล้วแววตากลับสั่นระรึก สองแม่ลูกนั้นเป็นหนามตำใจของนางมาเนิ่นนาน และเป็นสาเหตุที่ทำให้บุรุษที่นางรักทำตัวเย็นชา ทำไมนางจะไม่รู้ว่าท่านพี่ของนางยังคงมีใจให้กับสองแม่ลูกนั่นอยู่ นางเป็นองค์หญิงน้อยของวังจักรพรรดิ กว่าที่นางจะมีชีวิตรอดออกมาจากที่นั่นได้นางต้องผ่านอะไรมามากมาย กับแค่แววตาของคนที่นางรักทำไม่นางจะอ่านไม่ออก
ไม่นานหลังจากนั้นข่าวว่าฮูหยินใหญ่เกิดฝันร้ายและต้องการที่จะไปถือศีลกินผักที่วัดประจำตระกูลโดยเร็วก็กระจายไปทั่วจวน เหล่าคนรับใช้ต่างก็จัดเตรียมข้าวของกันจ้าละหวั่น เหล่าอนุทั้งหลายรวมถึงบ่าวไพร่อีกหลายคนถูกเรียกตัวไปเพื่อให้ร่วมเดินทางไปด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหลู่หลินที่เพิ่งเสร็จงานของตนและเพิ่งล้างเนื้อล้างตัวเสร็จเรียบร้อยได้ไม่นาน
แสงแดดเริ่มอุ่นขึ้นได้ไม่นานขบวนของสกุลเย่โดยมีฮูหยินใหญ่ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นผู้นำ ตามด้วยอนุและบ่าวไพร่อีกหลายสิบชีวิต เนื่องด้วยเป็นการเดินทางที่เร่งรีบ หลู่หลินจึงยังมิได้กลับไปหาบุตรชาย และมาทราบรายละเอียดที่หลังว่าต้องอยู่นานถึงสามเดือน ทำให้นางเป็นกังวลเป็นอย่างมาก ว่าจากนี้จะมีใครไปรังแกทำร้ายบุตรชายของนางหรือไม่ ทั้งจิตใจของนางยังรู้สึกสังหรณ์ประหลาด แต่ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนเเปลงสิ่งใดได้อีกแล้ว ได้แต่หวังว่าฟ้าจะไม่โหดร้ายต่อนางกับลูกมากเกินไปนัก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสัยจะเป็นพวกเดียวกะลุงตู่?
ไม่เข้าใจ ทั้งที่บอกว่า คนที่โดนยาพิษ ส่วนมากจะตาย แต่ก็มีรอดอยู่ น่าจะรอให้ ฟื้นแล้วมาเป็น กำลังสำคัญ ให้ตระกูล ดันเอาไปฆ่า ชะงั้น
นี่ขนาดบอกว่าเจ็บปวดใจยังปล่อยให้เมียที่เคยช่วยขีวิตกับลูกถูกทำร้ายอย่างเลือดเย็น พยายามอ้างความสำคัญของตระกูลมาปกป้องการกระทำชัวร้ายของตนเองอีก การปล่อยทำเป็นไม่รู้ว่าเมียและลูกถูกทำร้ายก็คือการสมรู้ร่วมคิดนั่นแหละ จะเอาลูกไปทิ้งให้ตายโดยกลายเป็นความดีความชอบของตระกูลแต่ยังปิดบังไม่ให้แม่รู้อีก
ขอบคุณครับ
หนุกๆๆๆ