ตอนที่ 5 : บทที่ 5 แผนการ
“นางไปแล้วสินะ เจ้าแน่ใจแล้วหรือเทียนหมิง หลังจากนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะ” ชายชราเอ่ยถามบุตรชายที่ยืนมองอดีตคนรักที่กำลังเดินจากไปจนสุดสายตา
“…”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันเถอะ เจ้าไปพาเทียนหลงมาหาข้า ข้าจะไปเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อม ยามที่จันทราขึ้นถึงกลางท้องฟ้า เราจะเริ่มการเคลื่อนย้ายทันที ตอนนี้พ่อจะไปจัดเตรียมศิลาปราณระดับสูงเพื่อเติมเต็มพลังงานให้กับเขตอาคมก่อน เจ้ามีเวลาอีกหลายชั่วยาม อยากจะทำอะไรก็ไปทำเสีย” เมื่อเห็นว่าบุตรชายมิมีท่าทีจะเปลี่ยนใจ มันเองก็คงทำสิ่งใดมากกว่านี้มิได้อีกแล้ว
อันที่จริงเรื่องนี้ถ้าจะต้องโทษผู้ใดคงไม่พ้นตัวมันเอง หากตัวมันแข็งแกร่งกว่านี้ เด็ดขาดมากกว่านี้ ตระกูลเย่ของมันคงไม่เดินมาถึงจุดนี้ แต่เพราะความใจอ่อนที่มีทำให้ตอนนี้เหล่าคนที่มันเคยปราณีกลับย้อนมาทำร้ายมันและคนที่มันรักจนเกินจะรับไหว ทั้งพวกผู้อาวุโสพวกนั้นที่ชักนำหนอนเข้ามา ทั้งคนในที่กลายเป็นหนอนเสียเอง แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้วไม่อาจจะย้อนอดีตกลับไปได้อีก …คำว่า 'ถ้า' มันเป็นเพียงแค่ข้อแก้ตัวของความผิดพลาด แต่ความเป็นจริงคือเวลามันไม่อาจจะย้อนคืน คำว่า 'ถ้า' ก็เป็นได้เพียงแค่ข้ออ้างให้ตัวเองสบายใจก็เท่านั้นเอง
หลังจากที่ออกมาจากตำหนักกลาง เทียนหมิงก็มุ่งหน้าออกจากเรือนสกุลเย่ เดินทางไปยังตัวเมืองที่ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ในยามเช้าเฉกเช่นทุกวัน สิ่งที่มันทำต่อจากนั้นก็คือเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าที่โด่งดังของเมืองเมฆาคราม ที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของการตัดเย็บที่ปราณีต เนื้อผ้าที่ไม่เป็นสองรองใคร แต่ก็ตามไปด้วยราคาเองก็สูงมากตามไปด้วย
เมื่อเข้าไปในร้านมันก็ให้พนักงานหาชุดเสื้อผ้าสำหรับชายหนุ่มวัยสิบแปดปีหลากหลายสีสันต์มาทั้งหมดหลายสิบชุด ทั้งชุดธรรมดาๆ ที่ใช้สำหรับใส่ในวันปกติ ชุดนอนบางเบาหลายตัว ชุดสำหรับออกงานสำหรับเทศกาลต่างๆ อีกมากมาย รวมถึงชุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ถักทอมาจากใยไหมชนิดพิเศษที่สามารถระบายอากาศได้ดีทั้งยังทนทานมากอีกหลายชุด
หลังจากออกจากร้านเสื้อผ้าที่ต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึงทอง มันก็เก็บทั้งหมดเข้าไปในแหวนอาคม จากนั้นมันก็เดินเข้าออกร้านรวงต่างๆ อีกหลายร้านหมดเงินหมดทองไปร่วมหมื่นตำลึง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็น มันจึงเดินทางกลับไปที่ตระกูลเย่อีกครั้ง และตรงไปยังเรือนที่จะพังแหล่มิพังแหล่ท้ายจวน
“อีกแล้วสินะ” เสียงที่เจือไปด้วยความเสียใจดังขึ้นจากปากของเทียนหมิง หลังจากที่มันเข้ามาภายในห้องซึ่งเป็นที่นอนสำหรับเทียนหลง มันก็เจอกับสภาพร่างกายที่ซูบผอมที่เต็มไปด้วยอาจมถูกราดจนทั่วร่าง เฉกเช่นเกือบทุกครั้งที่มันแอบมาหา ก็จะเจอบุตรชายอยู่ในสภาพนี้เสมอ
“กว่าสิบปีที่ผ่านมาเจ้าและแม่เจ้าลำบากมามาก พ่อเองก็มิได้มาดูดำดูดีพวกเจ้าทั้งสองเลยสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของพ่อหรืออะไรก็ตาม พ่อจะไม่ขอแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น”หยดน้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาของชายอกสามสอกที่มิเคยเสียน้ำตาให้กับผู้ใดมาก่อน
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าจะได้อยู่ที่นี่ และอาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเจ้า ให้พ่อได้ทำหน้าที่ของพ่อที่ดีอย่างที่ควรทำมาตั้งนานสักครั้งเถิดนะ” เทียนหมิงกล่าวจบมันก็บรรจงช้อนมืออุ้มร่างไร้สติที่เต็มไปด้วยอาจมอย่างเบามือ ถึงแม้กลิ่นที่โชยมามันจะสุดจะทนแค่ไหน แต่ใบหน้าของเทียนหมิงก็มิใดเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มันค่อยๆ อุ้มร่างของลูกน้อยไปยังท่าน้ำใกล้ๆ แล้วจัดการเปลื้องผ้าอาบน้ำฟอกผิวให้แก่บุตรชายจนสะอาดสะอ้าน แล้วพากลับมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนชุดอย่างดีให้แก่บุตรชาย
“แม้เจ้าจะเติบโตเฉกเช่นผู้อื่นด้วยจุดชีพจรที่พิเศษยิ่งกว่าใคร แต่ร่างกายก็ผ่ายผอมเกินไปอยู่ดี หากชาติหน้ามีจริง พ่อขอชดให้ให้เจ้าในทักสิ่ง…พ่อสัญญา”
หลังจากที่จัดแจงทุกอย่างอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เทียนหมิงก็ถอดแหวนอาคมของตนเองที่ใช้อยู่ประจำมานานกว่าสิบปี สวมไปที่นิ้วของบุตรชายที่ยังคงหลับสนิท ภายในนั้นบรรจุไปด้วยสิ่งของต่างๆ มากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้เขาหวังว่าอย่างน้อยก็เป็นการชดเชยให้แก่บุตรชายได้บ้าง แม้จะเทียบกับวันเวลาที่ยากแค้นกว่าสิบปีไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าปล่อยไปโดยมิได้ทำอะไรเลย
“เจ้าพร้อมหรือยังเทียนหมิง นี่ก็ใกล้จะเทียงคืนแล้ว หากเป็นเวลานี้ พลังหยินจากแสงจันทร์จะช่วยลดการกลืนกินพลังงานจากศิลาปราณไปถึงหนึ่งในสี่..” เสียงของชายชราที่เจือไปด้วยความเหนื่อยล้าปนแปลกใจกล่าวถามบุตรชายที่ยังคงอุ้มร่างของเทียนหลงอยู่ในอ้อมกอด สิ่งที่ทำให้ชายชราแปลกใจมากก็คือการที่เทียนหมิงเลือกที่จะอุ้มเทียนหลงและเดินมายังเรือนหลักอย่างช้าๆ โต้งๆ โดยไม่คิดจะปิดบังผู้ใดเลย ทั้งๆ ที่ควรจะพามาอย่างเงียบๆ ทั้งยังทำเรื่องใหญ่เอาไว้เสียด้วย! ทั้งประกาศความดีความชอบใหญ่หลวงให้แก่หลู่หลินที่เป็นผู้เสียสละเทียนหลงให้เป็นเครื่องสังเวยแก่หลุมปีศาจ ยกนางให้กลับมาเป็นฮูหยินรอง พร้อมทั้งหมอบเรือนและทรัพย์สมบัติให้แก่นางมากมาย ท่ามกลางสายตาของคนทั้งตระกูล นอกจากนั้นยังมีตัวแทนของวังหลวงที่มายืนยันการส่งเครื่องสังเวยอีกด้วย
แต่ก็เหมือนทุกครั้ง มีหลายคนแม้แต่ผู้อาวุโสออกมาคัดค้านมากมาย เพราะว่านางเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สกุลเย่ตกต่ำ แต่เมื่อเจอกับประโยคที่ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านยินดีจะสละบุตรหลานของท่านแทนหรือไม่ ข้าจะได้ยกเลิกทั้งหมด พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติที่มอบให้แก่นางข้าก็จะยกให้พวกท่านแทน” ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาจนถึงขีดสุดของว่าที่ผู้นำตระกูล ทำให้ทุกฝ่ายก็เงียบราวกับเป่าสาก เพราะไม่มีผู้ใดอยากที่จะส่งบุตรหลานที่มีพรสวรรค์ขนาดนั้นไปตาย สุดท้ายก็ได้แต่ยินยอมไปตามระเบียบ
“มีเวลาอีกครึ่งเค่อขอรับ ก่อนที่จันทราจะถึงกึ่งกลางของท้องฟ้า ท่านพ่อไปตามเหล่าผู้อาวุโสและตัวแทนจากวังหลวงมาเถิดขอรับ” เสียงแผ่วเบาดังมาจากปากของเทียนหมิง ที่ยังคงมองใบหน้าของบุตรชายนิ่ง
“อื่ม” ชายชรารับคำแล้วออกจากห้องไป ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่รอคอยเวลาเท่านั้น
เมื่อบิดาออกจากห้องไป เทียนหมิงก็ก้าวเดินไปยังจุดกึ่งกลางของลานอาคม แล้ววางร่างไร้สติของบุตรชายเอาไว้อย่างเบามือที่สุด เขามองใบหน้าที่หลับสนิทอย่างเนินนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก เขาก็ก้าวเดินออกมาจากเขตอาคม
“ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว ขอทุกท่านโปรดเป็นสักขีพยานด้วย” เมื่อพระจันทร์ขึ้นถึงกึ่งกลางท้องฟ้า ผู้นำตระกูลเย่ก็กล่าวด้วยเสียงดังกังวาล “เจ้าเองก็ดูทุกอย่างให้ดีเทียนหมิง หลังจากที่รับช่วงต่อเป็นผู้นำตระกูลเย่ เจ้าจะเป็นผู้ที่จะต้องมาดำเนินการแทนข้า”
ชายชรากล่าวจบก็ปลดปล่อยลมปราณของตนออกมา ปล่อยให้มันไหลไปที่จุดต่างๆ ตามรูปแบบที่ถูกกำหนดเอาไว้ ผ่านไปชั่วอึดใจอักขระที่ถูกวาดเอาไว้ก็เรื่องแสงสีทองจางๆ แล้วดูดซึมเอาพลังปราณจากศิลาปราณระดับสูงไปอย่างบ้าคลั่ง พร้อมๆ กับแสงสว่างที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ
วิ๊งงงงงง
แสงสีขาวสว่างเจิดจ้าสาดกระจายไปทั่วทั้งห้อง ทันทีที่เขตอาคมได้รับพลังงานจนเพียงพอ ทั้งอักขระและเส้นสายต่างๆ ก็เปล่งแสงสว่างออกมาจนแสบตา แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังคงเพ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ยอมเบือนหน้าหนี
วิ๊งๆ
ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ รอบเขตอาคมเคลื่อนย้ายก็ปรากฏกำแพงปราณไร้สภาพขึ้นปิดกั้นโดยรอบ จนเห็นเป็นห้วงอากาศทึ่หักเหจนเห็นได้ชัดเจน ทำให้รู้ได้ว่าตอนนี้เขตอาคมเริ่มทำงานอย่างเต็มที่แล้ว..
“เอาล่ะตอนนี้เขตอาคมเคลื่อนย้ายก็เริ่มทำงานอย่างสมบูรณ์แล้ว รออีกไม่กี่อึดใจ ทุกท่านก็จะได้เห็นว่าตระกูลเย่เราได้ส่งเครื่องสังเวยตามกฏ เราผู้เฒ่าขอให้ทุกท่านโปรดเป็นพยายด้วย”ชายชราที่เปิดเขตอาคมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และจากนี้คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ห้ามมิให้ใครรบกวนการทำงานของวงเวทย์เป็นอันขาด เพราะนอกจากจะทำร้ายพวกเราทุกคนในที่นี้แล้ว อาคมเคลื่อนย้ายเองก็จะทำงานผิดพลาด และมันจะต้องรอเวลาอีกสิบปีเต็มในการเปิดใช้งาน ข้าหวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”
“แล้วอีกนานแค่ไหนกว่าที่เขตอาคมจะทำการส่งเครื่องสังเวยหรือท่านผู้นำเย่” ชายวัยกลางคนที่เป็นตัวแทนของวังหลวงกล่าวขึ้น
“อีกไม่ถึงร้อยอึดใจทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ขอผู้สังเกตุการณ์วางใจ ตระกูลเย่ของเรายินดีทำตามหน้าที่อย่างไม่บิดพลิ้ว อย่างที่บรรพบุรุษของเราได้ทำมาตลอดหลายชั่วอายุคน”
“ได้ยินแบบนี้ข้าก็วางใจ จากนี้ข้าจะได้กลับไปรายงานแก่องค์จักรพรรดิตามความจริง เรื่องครั้งนี้ตระกูลเย่มีความชอบ องค์จักรพรรดิคงประทานรางวัลให้แก่ตระกูลเย่เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน” ผู้สังเกตุการณ์กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
่
จากนั้งเหล่าผู้อาวุโสต่างก็พูดคุยแลกเปลียนกัน มีเพียงคนเดียวที่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นั่นคือเย่เทียนหมิงที่ยังคงจ้องมองไปที่ร่างของเทียนหลงอย่างไม่วางตา เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นใบหน้าของบุตรชาย
'พ่อขอโทษนะเทียนหลง พ่อมันไม่เอาไหนเจ้าถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากมีโอกาศอีกสักครั้ง พ่อขอชดใช้ให้เจ้าทุกสิ่ง….เดี๋ยว!! มือนั่น!!!’ ในขณะที่รำพึงอยู่นั่นเองเทียนหมิงก็เหลือบไปเห็นนิ้วมือของลูกน้อยกระดิกอย่างแผ่วเบา คราเเรกเขาคิดว่าตัวเองนั้นตาฝาด แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเด็กชายยิ่งทำให้เขาต้องตกตะลึง!
“ท่านพ่อ!” เทียนหมิงร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เรียกหาบิดาของตนด้วยความตื่นเต้น จนทำให้หลายคนที่กำลังสนทนากันอยู่ถึงกับขมวดคิ้วหันมามองเป็นตาเดียว
“ท่านพ่อ! เทียนหลง...เทียนหลงฟื้นแล้ว!!” เย่เทียนหมิงร้องตะโกนออกมาเสียงดัง ทำให้ทุกสายตาหันไปมองร่างของชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งมานานหลายปี แต่ตอนนี้กลับเริ่มมีความเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง… “ท่านพ่อ! เราต้องช่วยเทียนหลงนะ เขาฟื้นแล้วความหวังของตระกูลเราฟื้นแลัว!!”
“!!”
ทุกคนต่างมองร่างที่กำลังลุกขึ้นนั่งท่าทางงัวเงียราวคนเพิ่งจะตื่นนอนอย่างตกตะลึง แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็มีสีหน้าที่หนักใจ โดยเฉพาะผู้นำตระกูลเย่ที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด เพราะในเมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ เเม้เขาเองก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว..
ชายชราหันไปสบตากับเหล่าผู้อาวุโสทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็เขัาใจความหมายของสายตานั้นเป็นอย่างดี จึงพยักหน้ารับรอสัญญาณจากผู้นำตระกูล “จับเทียนหมิงเอาไว้!”
“ขอรับ!” ทุกคนรับคำพร้อมกันแล้วเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุดมาจับกุมร่างของเทียนหมิงที่กำลังมองใบหน้าของบิดาด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ
“ท่านพ่อ! ทำไมกัน”
“เทียนหมิง พ่อก็ได้อธิบายแก่เจ้าและทุกคนเอาไว้แล้ว ว่าตอนนี้เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว หรือหากเจ้าช่วยเหลือเทียนหมิงได้จนสำเร็จก็เท่ากับว่าอาณาจักรเมฆาครามของเราส่งเครื่องสังเวยล่าช้า และเมื่อถึงเวลานั้นไม่ใช่แค่เทียนหลงที่จะต้องตาย แต่ข้าและเจ้า ชาวเมืองที่ไม่รู้ประสีประสาทุกคนก็จะต้องตกตายตามกันไปทั้งหมด!” น้ำเสียงทดท้อกล่าวออกมาจากปากของชายชรา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว...ไม่ได้จริงๆ
“..”
เทียนหมิงถึงกับเข่าทรดนั่งคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตารินหลั่งออกมาเป็นสาย สุดท้ายบุตรชายที่เขาคิดว่าทั้งชีวิตจะไม่อาจลืมตาตื่นได้อีก กลับลุกขึ้นมานั่งตาปรือขยี้ตาราวกับเพิ่งตื่นอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับ…
“ท่านพ่อ..นั่นท่านพ่อใช่ไหมขอรับ” เสียงแหบแห้งจากคอหอยที่แห้งผากของชายหนุ่มกล่าวออกมาเบา ในขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคย “เขตอาคมนี่มันอะไรหรือขอรับ พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่..”
“เทียนหลง...พะ พ่อ…” ไม่มีคำใดจะกล่าวออกมาจากปากของเทียนหมิง มีเพียงแต่น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาแดงก่ำเป็นสายเท่านนั้น
“ท่านปู่...ท่านพ…”
วิ๊งงง
ในตอนนั้นเองเขตอาคมก็ได้ทำงานของมันจนเสร็จสมบูรณ์ ส่งร่างที่ยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน แล้วห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความสงบในที่สุด จะมีก็แต่เสียงสะอื้นเบาๆ ของของชายคนหนึ่ง ที่กำลังตีอกชกตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน….
หลังจากคืนนั้นผู้สังเกตุการณ์จากทางวังหลวงก็กลับไปรายงานตามความเป็นจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทางองค์จักรพรรดิก็ได้แสดงความเสียใจกับตระกูลเย่ และพระราชทานสิ่งของต่างๆ ทั้งทรัพย์สินเงินทองมากมาย และยังมีอาวุธปราณรวมไปถึงเคล็ดวิชาอีกหลายเล่มแก่ตระกูลเย่ เพื่อตอบแทนความดีความชอบที่ยินยอมเสียผู้มีพรสวรรค์ขนาดนี้
ส่วนจวนตระกูลเย่เองก็ต่างตื่นเต้นยินดีกับสิ่งที่ได้รับ ไม่ใช่แค่ราชวงศ์เท่านั้นที่มอบของขวัญให้แก่ตระกูลเย่ แต่เป็นธรรมเนียมที่เหล่าผู้มีอำนาจทุกฝ่ายที่จะแสดงความขอบคุณในการเสียสละเพื่อปกป้องบ้านเมื่อ ซึ่งก็ทำมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อน ทำให้ตระกูลเย่ยิ่งคึกคักมากขึ้นเป็นพิเศษ
จะมีก็แต่สองพ่อลูกที่แสดงสีหน้าอมทุกอย่างเห็น กว่าสามวันสามคืนที่ทั้งสองไม่เป็นอันทำอะไร แต่ในวันที่สี่หลังจากมีการส่งเครื่องสังเวย ผู้นำตระกูลเย่ก็ลงจากอำนาจ ส่งต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ให้แก่เย่เทียนหมิง ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำตระกูลเต็มตัว
หากเมื่ิก่อนเทียนหมิงว่าเย็นชาอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลก็ยิ่งเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แม้จะปกครองตระกูลอย่างเที่ยงธรรม แต่ก็เด็ดขาดไม่ไว้หน้าใครจนทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครกล้าจะต่อต้านอะไร เพราะเทียนหมิงจะลงโทษทุกคนที่กระทำผิดตามกฏ และปฏิบัติต่อทุกคนในตระกูลอย่างเท่าเทียม แม้หลายฝ่ายจะไม่ค่อยพ่อใจ แต่ด้วยเหตุนี้นี่เอง ในเวลาต่อมาตระกูลเย่ก็ยิ่งรุ่งเรืองยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในอดีต! แต่นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง…
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บีบหัวใจมาก
ทุกตระกูลที่เป็นแบบนี้ อย่าได้มีมันซะดีกว่า ช่างเป็นโลกที่บิดเบี้ยว เป็นหัวใจที่บิดเบี้ยว อ้างเหตุผลเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่เนื้อแท้ต่ำยิ่งกว่าสัตว์เดรฉาน ให้ 5 คำ เห็นแก่ผลประโยชน์
เพื่อเป็นการยุติระบบนี้ พระเอกโตมาต้องทำลายตระกูลกำเนิดตัวเองให้ตกต่ำ เพื่อไม่ให้มีการสร้างปาบในอนาคต แล้วเดินหน้าเพื่อทำลายโลก ยึดครองโลกสร้างกฎขึ้นมาใหม่
ทำพูดดีเสียใจหน้าที่
คำพูดกับการกระทำสวนทางโคตร
ล้มตระกูล แม่งเลยเทียนหลง. ( อินจัด)
สนุกมากครับ แต่งให้จบนะครับขอบคุณมากๆครับ
ขอบใจจ้า
ทท่านแม่ชีวิตนางรันทดอ่ะ รีบเก่งแล้วรีบไปช่วยนางนะ