คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Doflamingo x Luffy #3
#3
‘ผมไม่ได้อยากแต่งงานกับนกหรอกนะ แต่ถ้าเกิดอีกสัก 10 ปี ยังไม่มีใครยอมอยู่กับคุณ’
‘ไว้ถึงตอนนั้นผมจะยอมอยู่ด้วยแล้วกันนะคุณลุงนก ชิชิชิ…’
ตอนนั้นเรายังคงจำมันได้ รอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความเสแสร้งแบบเด็กๆ ของเด็กหนึ่ง มันอาจจะดูเป็นเรื่องโง่ๆที่ขนาดเวลาผ่านมาจนถึงขนาดนี้แล้วแต่เราก็ยังจำได้ทั้งคำพูด ทั้งรอยยิ้ม ทั้งความสดใสของมันที่แทบจะปัดเป่าเรื่องที่เรากังวลให้หายไปหมดสิ้น
ในตอนนั้นที่เรากำลังเจรจาให้มันปล่อยตัวลูกน้องของเรา ไอ้แก้หัวแข็งนั่นกลับไม่ยอมทำตามที่เราขอสักนิดจนต้องไปตามตื้อมันถึงที่อยู่บ่อยๆ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราเจ้ากับเจ้าลูกลิง ‘มังกี้ ดี ลูฟี่’ หลานของมันครั้งแรก
“เมื่อไหร่แกจะคืนบัฟฟาโล่มาสักทีห๊ะ!”
“หนอย!! นี่แกยังจะมีหน้ามาขึ้นเสียงใส่ฉันอีกงั้นหรอไอ้เด็กบ้า!! ถ้าไม่ได้ฉันป่านนี้ลูกน้องแกเข้าซังเตไปแล้วเฟ้ย!!” เสียงโวยวายราวกับเด็กน้อยทะเลาะกันนี้ใช่ว่าพึ่งเกิดครั้งแรก สำหรับการ์ปแล้วโดฟลามิงโก้ก็เปรียบเสมือนลูกชายที่ชอบสร้างปัญหาและสุดท้ายก็ต้องเป็นเขาที่คอยเช็ดตามล้างให้ไปเสียทุกครั้ง
“ฉันมีปัญญาเอามันออกมาได้เฟ้ย!”
“นี่แกพูดกับคนที่เลี้ยงแกมาอย่างนี้งั้นหรอ!!”
“ก็แค่ฝากเลี้ยง 3-4 ปี อย่ามาทำเป็นทวงบุญคุณนะ!!” การทะเลาะแบบเด็กๆยังคงดำเนินต่อไป แม้มันจะเริ่มออกทะเลมากแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายผู้ที่ต้องฝ่ายพ่ายแพ้ไปในครั้งนี้ก็คือชายหนุ่มร่างสูงตามเคย.. เรื่องฝีปากเขามั่นใจว่ายังไงก็ชนะแต่ถ้าต้องมาสู้กับไอ้คนหัวรั้นจนเขาขี้เกียจจะสาธยายต่อให้เปลืองพลังงานชีวิตแล้ว เขาขอยอมแพ้ซะยังจะดีกว่า
“ชิ ไอ้แก่นั่นสักวันฉันฆ่ามันแน่” ร่างสูงเกลี่ยเลือดที่ซิบออกมาเล็กน้อยจากมุมปาก
ถ้าไม่ติดว่ายังเห็นแก่ที่มันช่วยพวกเขามาตลอดรับรองว่าว่าจะไม่มีทางยอมให้มันมาข่มกันง่ายๆเช่นนี้แน่ อย่างน้อยๆไม่เขาก็มันนั่นแหละที่ตายกันไปข้าง
“หืม?” ระหว่างที่กำลังเดินเล่นเพื่อปรับอารมณ์อยู่นั้น ก็บังเอิญพบกับเด็กน้อยคนหนึ่ง มันเป็นเพียงแค่เด็กหน้าตาดูโง่ๆคนหนึ่ง ไม่มีอะไรให้สะดุดตา ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ มันมองหน้าเขาตาไม่กระพริบปกติเวลาเด็กอายุเท่านี้มันจะชอบร้องไห้เวลาที่เห็นเขาเสมอ
“อะไรของแกเจ้าหนู?”
“นกยักษ์?”
“หา?”
หงุดหงิดกับคนแก่แล้วยังต้องมาหงุดหงิดกับไอ้เด็กนี่อีกหรือเนี่ย?
“ไม่ใช่หรอ? เอ๊ะ! ลุงมีแผลนี่น่า เจ็บหรือเปล่า? เอายาไหมฮะ?” นับว่านานมากแล้วที่ไม่มีคนนอกแฟมิลี่ที่เอ่ยถามคำถามเช่นนี้กับเขา ความเป็นห่วงเป็นใยที่ได้รับจากผู้อื่นดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเขาในตอนนี้นัก เพราะส่วนมากล้วนมีแต่คำสาปแช่งให้เขาหายไปซะมากกว่า
“ไม่สงสัยหรือไงว่าฉันเป็นใคร?”
“เรื่องนั้นสำคัญด้วยหรอ? ตอนนี้ลุงบาดเจ็บอยู่นะ” เด็กน้อยตอบหน้าซื่อ พลางจะลากคนตัวใหญ่ให้ไปรักษาแผลให้ได้ แต่การจะลากคนที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองขนาดนั้นดูจะเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเด็กน้อยเหลือเกิน เพราะ อีกฝ่ายดันไม่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี เขาเกร็งตัวไว้เพื่อกลั่นแกล้งเด็กน้อยผู้หวังดีตรงหน้าอย่างนึกสนุก
“นี่ลุงแกล้งฉันงั้นหรอ!!” เด็กน้อยหน้าตาบูดบึ้ง จนคนแกล้งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เสียงหัวเราะราวกับเย้ยหยันความไร้พลังยิ่งทำให้เด็กน้อยรู้สึกไม่ชอบใจ ใบหน้าแข็งขันเอาเรื่องอย่างที่โดฟลามิงโก้ไม่เคยได้เห็นมาก่อนกลับเพิ่มให้ตัวเด็กน้อยดูน่าสนใจ มันทั้งใสซื่อและตรงไปตรงมา เพราะเป็นเด็กหรือเปล่ามันถึงแสดงทุกอย่างโดยไม่เสแสร้งเช่นนี้
“โกรธหรอเจ้าหนู?”
“อย่ามาเรียกฉันว่าเจ้าหนูนะ!”
“งั้นแกชื่ออะไร?”
“ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย เจ้านกนิสัยไม่ดี! แบร่!” ดูมัน.. เอาความคิดที่ว่ามันก็สนใจคืนมาได้ไหม มันก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้นแหละ …
“ไอ้เด็กเวร...”
“ลูฟี่!!” สองขาเล็กๆรีบวิ่งไปทางต้นเสียงทันทีด้วยท่าทางดีใจ นัยน์ตาใต้กรอบแว่นประหลาดหันมองไปตามทางที่เด็กน้อยวิ่งไป และได้พบกับเด็กอีกสองคนที่ดูจะมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่มากโขสวมกอดน้องชายของตนเองเอาไว้อย่างหวงแหน พร้อมกับจ้องมองมาทางเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
‘โห.. แววตาใช้ได้’
นั่นสินะ… โดยปกติแล้วไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มักจะชอบส่งสายตาเช่นนั้นมาให้เขาทั้งนั้น พอได้เห็นแววตาใสซื่อของเจ้าเด็กนั้นพลันทำให้เขานึกไม่ออก คนที่แสดงความซื่อตรงแบบเจ้านั่นถ้าไม่บ้าสมองก็คงถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักถึงดูไม่ออกว่าเขามีอันตรายขนาดไหน..
“เอส? ซาโบ้? ฉันหายใจไม่ออก”
“โทษทีๆ ไปกินเนื้อกันเถอะลูฟี่ พวกเราเตรียมเอาไว้ให้เยอะแยะเลย”
“เนื้อ!!! กินสิๆ อ่ะ! ลุงจะไปด้วยกันไหมล่ะ? จะแบ่งให้อันนึงก็ได้นะ ชิชิชิ” ถึงก่อนหน้าจะทำหน้าบูดบึงแต่ก็มิวายหันกลับมาถามอย่างคนอารมณ์ดี แต่กลับกันเหล่าพี่ชายทั้งสองกลับแสดงท่าทีกระวนกระวายอย่างไม่ปิดบังแล้วพยายามลากตัวน้อยชายออกไปให้เร็วที่สุด “เดี๋ยวสิเอส ซาโบ้ รีบไปไหนเนี่ย?”
“ไปได้แล้วลูฟี่ เดี๋ยวเนื้อจะถูกพวกดาดันกินหมดก่อนนะ” พี่ชายพยายามยกบุคคลที่สามมาเพื่อหลอกล่อและดูเหมือนมันจะใช่ได้ผลดีเสียด้วย เจ้าหนูนั่นถึงได้รีบออกตัววิ่งไปเช่นนั้น แต่วิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวมันก็วิ่งถอยหลังกลับมาราวกับนึกอะไรบางอย่างได้
“บ๊ายบายนะลุงนกยักษ์ คราวหน้าก็อย่าบินลงมาในบ้านคนอื่นอีกล่ะ! แล้วก็ระวังอย่าให้ตัวเองบาดเจ็บด้วยนะ!! แต่ว่าถ้าเหงาฉันจะมาเล่นเป็นเพื่อนนะ! จะเอาอาหารนกมาให้ด้วยล่ะ! ชิชิชิ”
“ลูฟี่!!”
“รอด้วยสิเอส!”
มาไวไปไวอย่างกับพายุ ทำตัวสมเป็นเด็กเหลือเกินนะเจ้านั่น… หือ? แล้วเมื่อกี้เขากำลังโกรธอะไรไอ้แก่บ้านั่นอยู่นะ? พอได้แกล้งเด็กนั่นจนได้เห็นหน้าตาตลกๆของมันตอนโกรธแล้วก็ลืมเรื่องที่ทำให้ครุกกรุ่นอยู่ในใจได้ชั่วขณะ
“หึ แต่ก็แค่เด็กโง่คนหนึ่ง”
“ฮิฮิ เจอกันอีกแล้วล่ะ” วันนี้เป็นอีกวันที่เขายังต้องมาพัวพันอยู่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่เพื่อเอาลูกน้องที่อย่างน้อยๆเขาก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่ยังเล็กออกมาจากตาแกหัวดื้อที่ตอนนี้จับมันเอาไว้
รอยยิ้มซื่อๆคลีประดับบนใบหน้าของเด็กตัวเล็กที่เขาพึ่งจะเจอกับไปเมื่อวาน คฤหาสน์นี่ก็ไม่ใช่เล็กๆบางทีคราวหน้าเขาคงต้องเปลี่ยนที่เดินฆ่าเวลาบ้างเสียแล้วจะได้ไม่ต้องมาเจอกับเด็กที่ชอบทำหน้าโง่ๆนี่อีก
“ทำหน้าแบบนั้นน่าโมโหชะมัดเลยคุณลุง” โดฟลามิงโก้แสดงสีหน้าเหมือนเบื่อเต็มที ขนาดแค่เจอกับแค่สองครั้งยังทำให้เขาขยายตัวมันได้มากขนาดนี้ จะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ของมันดีหรือเปล่า?
“จะไปไหนก็ไป เห็นแกแล้วเกะกะลูกตาชะมัด” ความไม่มีเหตุผลนี้ทำให้เด็กน้อยงงหนัก เขาเคยถูกพี่ชายบอกอยู่หรอกว่าตัวเองเป็นเด็กเอาแต่ใจ แต่ลูฟี่พึ่งจะรู้ก็คราวนี้แหละว่าบางทีก็ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่เป็นก็ดูอย่างคุณลุงนกคนนี้สิ นอกจากเอาแต่ใจแล้ววยังไร้เหตุผลอีกด้วย
“เรื่องอะไร? ที่นี่เป็นบ้านฉันนะ” เมื่อเจอคำตอบแบบนั้นเข้าไป ร่างสูงจึงได้แต่จิ๊ปากอยู่ในลำคอ อยากจะกร่นด่ามันแต่ก็ทำไม่ได้เพราะที่มันพูดมาก็ถูก สุดท้ายเขาจึงเลือกตัดรำคาญโดยหมายจะเดินไปที่อื่นแทนที่จะต่อล้อต่อเถียงกับมันต่อไป
“อ่ะ! เดี๋ยวสิ! คุณนกจะไปแล้วหรอ?”
“อยู่กับเด็กแบบแกไปแล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรไม่ทราบ?”
“โกรธผมหรอ ขอโทษครับ…”
สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไป เด็กน้อยหุบตาลงตาอย่างคนทำผิด มือเล็กกำเสื้อคลุมสีชมพูไว้แน่นไม่ให้คุณลุงแปลกหน้าได้หนีไปไหน โดฟลามิงโก้พึ่งจะเคยรู้สึกประหลาดใจมากเช่นนี้เป็นครั้งแรกถึงกับต้องเหลียวหลังกลับไปมองเจ้าตัวเล็กที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
อะไรของมัน? เมื่อกี้ยังทำตัวอวดดีไม่น่ารักอยู่เลย ไหงตอนนี้ดันมาทำตัวเป็นเด็กน้อยขี้อ้อนไปซะได้?
“ไม่อยากให้ฉันไปงั้นหรอเจ้าหนู?
“…อืม” เด็กน้อยพยักหน้ารับ ใบหน้ายังคงก้มมองพื้นไม่เปลี่ยน จนคนตัวใหญ่กว่าต้องเป็นฝ่ายก้มลงมานั่งแทน จริงๆเวลามันทำตัวว่าง่าย จะว่าไงดีล่ะ มันก็น่ารักอยู่ล่ะมั้ง?
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ผมเหงานี่น่า… เอสกับซาโบ้ก็เอาแต่ฝึกตามที่ปู่สั่ง เพื่อนผมก็ไม่มี แบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ… แต่ว่าถ้ามีคุณอยู่ด้วยถึงคุณจะชอบทำตัวน่าโมโหแล้วก็กวนประสาทแต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ตัวคนเดียว”
บางทีเขาก็ชักไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้เป็นประโยคที่ควรจะสงสารมันหรือจะขยี้มันให้หัวแบะดีกันแน่ แต่ที่แน่ๆเมื่อกี้มันแอบหลอกด่าเขาชัวร์
“จะบอกว่าต้องการฉันงั้นหรอ?”
“…ครับ” มันยังไม่ลดความสุภาพลง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีหรอกนะไอ้พวกที่ชอบคว้าแขนเขาเอาไว้เพื่อผลประโยชน์น่ะ แต่กับเด็กๆแบบนี้นอกจากเจ้าพวกที่เขาเลี้ยงมาก็มีมันนี่แหละเป็นคนแรก ไม่กลัว ไม่วิ่งหนีแต่กลับวอนขอให้คนอย่างเขาอยู่ข้างๆ เป็นเด็กโง่ ที่โง่เกินกว่าจะครวญหาคำใดมาสาธยายได้
“แล้วแกอาจจะเสียใจก็ได้ที่เลือกจะมาอยู่ข้างฉันคนนี้” แต่ถึงกระนั้นร่างสูงก็เลือกจะนั่งลงบนพื้นหญ้าสีเขียว เด็กน้อยคลียิ้มกว้างจนตาปิดเข้าไปกอดแขนคุณลุงแปลกแน่น สำหรับโดหลามิงโก้ เขาก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะที่จะมีเด็กที่ซื่อตรงขนาดนี้มาอยู่ข้างๆ
“ลูฟี่มีความสุขจังนะ มีเรื่องดีๆอะไรงั้นหรอ?” ซาโบ้เอ่ยถาม เมื่อเห็นน้องชายที่พักนี้จะชอบทำหงอยๆยิ้มแย้มมีความสุข พวกเขาก็รู้สึกผิดอยู่มิใช่น้อยที่ต้องทิ้งน้องชายไว้ให้เหงาอยู่คนเดียว เพราะงั้นเวลาที่ฝึกเสร็จพวกเขาถึงได้พยายามอยู่เล่นกับน้องชายขี้เหงาคนนี้ให้มากที่สุด แต่วันนี้อาจจะไม่เป็นแบบนั้นแล้วล่ะมั้ง?
“อืม! ฉันได้เพื่อนใหม่ด้วยล่ะ” พี่ชายทั้งสองตีหน้ามึน ลูฟี่อยู่แต่ในอาณาเขตของตระกูลที่มีการป้องกันหนาแน่น แถมทุกคนก็รู้ว่าลูฟี่เป็นคุณหนูที่รักยิ่งของตระกูลไม่มีทางที่จะมีใครมาตีสนิทอย่างคนไม่รู้ฐานะแน่
“เพื่อนหรอ? เพื่อนคนไหนหรอลูฟี่” ซาโบ้ยังคงไว้ด้วยรอยยิ้ม มาดพี่ชายที่แสนดียังคงไม่พังทลายลงแม้ภายในใจจะเริ่มคุกกรุ่นด้วยความสงสัย ผิดกับเอสที่แสดงสีหน้าอยากรู้อย่างไม่ปิดบัง ปากอยากจะเอ่ยถามแต่ก็ถูกซาโบ้สกัดไว้ทุกที
“อืม…” เด็กน้อยครุ่นคิด คนฟังก็ยังพยายามรออย่างใจเย็น “ชิชิ ไม่บอกหรอก” ลูฟี่ฉีกยิ้มซื่อ ก่อนจะรีบวิ่งหนีพี่ชายที่ตอนนี้ใกล้จะเป็นยักษ์มารเข้าไปทุกที จะให้บอกมันก็ได้อยู่หรอกแต่เขาดันถูกขอร้องเอาไว้ไม่ให้พูดออกไป และเมื่อสัญญาไปแล้วแน่นอนก็ต้องรักษา
‘ถ้าแกบอกเรื่องนี้กับใครฉันจับแกถ่วงน้ำแน่’
นั่นแหละ…
แล้วลูฟี่ก็ได้วิ่งหนีไป ปล่อยให้พี่ชายตะโกนเรียกเขาไว้เช่นนั้น เขารู้นิสัยขี้ตื้อของพี่ชายดี เช่นนั้นก็หนีมันซะน่าจะเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด
“โห.. แกรักษาสัญญาดีสินะ”
“อืม! ก็คุณลุงยังรักษาสัญญาที่ว่าจะมาหาผมทุกวันเลย” เด็กน้อยยิ้มตาหยี หารู้ไม่ว่าเขาไม่ได้มาทำตามสัญญาก็แค่เพราะเขามีเรื่องที่ต้องทำต่างหากถึงมาหามันฆ่าเวลาเล่นได้ ถ้าเขาหมดธุระแล้วแน่นอนว่าคงจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเป็นแน่
“ก็สัญญาไปแล้วนี่น่า” คำๆนี้ช่างกระดากปากเวลาพูดจริงๆ คำไร้สาระอย่าง ‘สัญญา’ เนี่ยดูจะเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับตัวเขามากเหลือเกิน เพราะ เขาไม่คิดที่จะรักษาสัญญาลมปากนั่นกับใครอยู่แล้ว หากเอ่ยคำนั้นออกมาก็เตรียมโดนเขาตลบหลังได้เลย
“ผมชอบคุณลุงมากเลยล่ะ! เอสกับซาโบ้น่ะปากบอกจะอยู่ข้างๆแต่พอเอาเข้าจริงก็ชอบทิ้งผมอยู่เรื่อย” เด็กน้อยบู๋ปาก
สำหรับมันคำพูดคงจะเป็นมากกว่าแค่ลมปากสินะ เด็กหนอเด็ก… โดฟลามิงโก้นั่งเงียบฟังเด็กน้อยข้างๆบ่นถึงพี่ชายตัวเองไปพลางพูดเรื่องต่างๆไปพลาง บางครั้งเขาก็รู้สึกสนุกดีเวลาที่เจ้านี่มันทำท่าทีตลกๆ หรือไม่ก็ตอนที่โดนเขาแกล้ง
เวลาผ่านพ้นไปจากวันกลายเป็นสัปดาห์… วันนี้โดฟลามิงโก้ก็ยังคงมาที่คฤหาสน์ตระกูล D มานั่งฟังไอ้แก่น่ารำคาญบ่นไปเรื่อย แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขาไม่นึกรำคาญมันสักเท่าไหร่เพราะในหัวดันไปนึกถึงเจ้าเด็กน้อยที่พักนี้เขามักจะไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนมันบ่อยๆ จึงไม่ค่อยได้ฟังสิ่งที่คนตรงหน้านี้พูดมากนัก
คนบ่นเองก็ใช่ว่าจะบ่นไปเรื่อย เขาสังเกตุท่าทีของเจ้าของมหาอำนาจในโลกมืดนี้มาสักระยะแล้ว ตอนแรกมันดูจะเป็นจะตายจะเอาคนของมันออกมาจากเงื้อมมือเขาให้ได้ แต่พอมาดูตอนนี้มันกลับนั่งใจลอยไม่ยีระกับเรื่องลูกน้องมันสักเท่าไหร่ ถึงกระนั้นก็ยังยอมมาที่คฤหาสน์นี้ได้ทุกวันไม่ขาด หากมันไม่ต้องการคนที่เขาคุมตัวไว้แล้วก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรให้มันมานั่งหูทวนลมอยู่ที่นี่อีก
เข็มนาฬิกาเลื่อนบอกเวลา 14.00 ร่างสูงหยัดกายขึ้นทันทีไม่รีรอให้เจ้าบ้านได้เอ่ยคำลาหรือประโยคน่าเบื่อใดๆต่อ ไม่สนใจแม้สิ่งนั้นจะเป็นเรื่องของลูกน้องที่เป็นสาเหตุที่ทำมห้เขาต้องมานั่งฟังมันบ่นอยู่ที่นี่
ขายาวๆรีบก้าวเดินออกนอกตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ มุ่งไปยังจุดหมายที่เป็นที่ประจำของพวกเขา เมื่อมาถึงรอยยิ้มอ่อนที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะสามารถแสดงมันออกมาได้ก็ประดับบนใบหน้า เจ้าตัวเล็กที่นั่งรอเขาอยู่บนพื้นหญ้าเฉกเช่นทุกวันคลียิ้มกว้างรีบตรงเข้ามาหาเขาอย่างดีใจ
“มิงโก้!!” สรรพนามที่เปลี่ยนไปแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อ ถึงกระนั้นโดฟลามิงโก้ก็ไม่ได้เอ่ยคำตำหนิติเตียนใดๆออกไป
“ยังน่ารำคาญเหมือนทุกวันเลยนะแกน่ะ”
“ชิชิชิ แต่คุณก็ยังมาใช่ไหมล่ะ คุณลุงหน้าโหด” เพียงแค่อาทิตย์เดียวเขาก็เริ่มมีชื่อเรียกมากมายที่ได้จากเด็กตรงหน้า ถามว่าโกรธไหม? แทบจะจับมันหักคอเชียวล่ะ.. แต่นั่นก็แค่ระยะแรกตอนนี้มันอยากจะเรียกอะไรก็ปช่อยให้มันเรียกไปเถอะ เขาขี้คร้านจะเถียงกับมันแล้ว
“จะไม่มาก็เพราะปากแกนั่นแหละ” ถึงจะพูดไปแบบนั้นเขาก็ยังมาทุกครั้ง เด็กน้อยปิดปากสนิทจนเป็นเส้นตรงอย่างว่าง่าย จุดนี้แหละที่ทำให้เขานึกเกลียดความกวนประสาทของมันไม่ลง ซื่อตรง ว่าง่าย เพียงแค่เขาบอกว่าจะไปคำเดียวมันก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้ แถมยังตลกมากอีกด้วย แบบนี้แล้วใครจะอดใจไม่แกล้งมันไหว?
ตอนนี้โดฟลามิงโก้รู้สึกเหมือนตัวเองมีหน้าที่ประจำวันอีกอย่างก็คือมานั่งฟังเรื่องต่างๆของมัน แม้ว่าสิ่งนั้นจะดูเกินจริงไปบ้างบางเรื่องแต่พอเห็นสีหน้ามีความสุขของมันเขาก็ไม่คิดที่จะขัด หน้าที่เขามีเพียงแค่นั่งฟังมันเงียบๆ แกล้งหยอกเล่นกับมันบ้างเป็นครั้งคราว
“แล้วก็นะๆ!---”
“ลูฟี่…” เสียงเล็กของเด็กน้อยขาดช่วงไป นัยน์ตากลมใสหันไปหาต้นเสียงก่อนจะโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณ
พี่ชายทั้งสองจ้องคนแปลกหน้าเขม็ง เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นลูฟี่อยู่กับคนๆนี้ ดูไม่น่าไว้ใจและไม่มีอะไรให้น่าไว้ใจ เป็นเหมือนพวกบอสของวายร้ายในเกมหรือการ์ตูนก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นน้องชายตัวดีก็ดูจะไม่ได้รับรู้อะไรสักนิด ถึงได้ไปเกาะแกะสนิทสนมกับคนพันธุ์นี้ได้
“ลูฟี่มาทางนี้”
“เอ๊ะ? มีอะไรหรอ?” เด็กน้อยยังยืนนิ่ง แสดงสีหน้ามึนงง ยิ่งเห็นพี่ชายใจดีทำสีหน้าจริงจังแล้วยิ่งรู้สึกเกร็งๆ
“ออกห่างจากน้องฉันซะ” เอสตีหน้าทะมึน ด้วยความตกใจเด็กน้อยจึงคว้าเสื้อคลุมขนนกไว้ เขาไม่ค่อยได้เห็นพี่ชายของตัวเองแสดงสีหน้าเช่นนี้เท่าไหร่ ความกลัวจึงเริ่มเกาะกินจิตใจดวงน้อย พี่ชายเห็นดังนั้นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง
“ลูฟี่!!”
“ฮึก! แงงง” เอสกับซาโบ้ชะงักทันที เมื่อเสียงร้องไห้ของคนที่พวกเขาคอยเฝ้าถนอมมาตลอดดังขึ้น คนลุงคนนอกนิ่งไปก่อนจะอุ้มเด็กน้อยข้างตัวขึ้นมานั่งบนแขนอย่างทะมัดทะแมง ด้วยความสูงที่ต่างกันอย่างเหลือเชื่อทำให้เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยเงียบลง 1อาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันมาพอจะทำให้เขารู้นิสัยของเด็กนี่ได้ ถ้ามันสนใจเรื่องหนึ่งมันก็จะลืมอีกเรื่องไป
“ว้าว!! สูงจังเลย! สูงอีก มิงโก้ สูงอีก!!” เสียงหัวเราะกลับมาอีกครั้ง
เวลานี้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาไม่อยากที่จะเห็นมันร้องไห้ เสียงเด็กร้องมันน่ารำคาญนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกเหตุผลก็คือเขาชอบที่จะเห็นมันยิ้มเสียมากกว่า
“เอาล่ะเจ้าหนู วันนี้คงหมดเวลาเล่นเท่านี้แล้ว…” เจ้าของร่างสูงใหญ่วางเด็กน้อยลงพื้นที่เดิม เด็กน้อยบู๋ปากไม่ชอบใจร้องขอให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองขึ้นไปอีก แน่นอนว่าพี่ชายแม้จะเข้าไปลากตัวน้องรักของตนออกมามากเท่าไหร่ แต่หากทำเข่นนั้นลงไปใบหน้าประดับรอยยิ้มนั้นอาจจะต้องเปื้อนน้ำตาอีกก็ได้…
“ไม่เอา!! คุณลุงจะกลับแล้วหรอ”
“…ใช่” เด็กน้อยก้มหน้างุด วันนี้เขายังมีเรื่องอยากจะเล่าให้คุณนกฟังอีกตั้งเยอะแยะ “ไว้พรุ่งนี้ฉันจะมาหาเธออีก
“จริงหรอ?”
“อืม”
“จริงนะ!” เด็กน้อยถามซ้ำอย่างไม่มั่นใจ ร่างสูงยกยิ้มอ่อนพลางชูนิ้วก้อยขึ้นมา เด็กน้อยจ้องมือมือที่ส่งมานั้นอย่างไม่เข้าใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อประโยคถัดไปถูกเอ่ยขึ้น
“ฉันสัญญา”
“อื้ม!! เกี่ยวก้อยสัญญา ใครผิดสัญญาต้องกลิ่นเข็มพันเล่มนะ! ชิชิชิ”
“ถ้าเป็นสัญญากับแก ไม่จะรักษาไปชั่วชีวิตเลย”
----- 100% -----
ความคิดเห็น