ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ONE PIECE : All Luffy Fiction

    ลำดับตอนที่ #3 : Doflamingo x Luffy #3

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 63


    #3

     

    ‘ผมไม่ได้อยากแต่งงานกับนกหรอกนะ แต่ถ้าเกิดอีกสัก 10 ปี ยังไม่มีใครยอมอยู่กับคุณ’

     

    ‘ไว้ถึงตอนนั้นผมจะยอมอยู่ด้วยแล้วกันนะคุณลุงนก ชิชิชิ…’

     

     

                  ตอนนั้นเรายังคงจำมันได้​ รอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความเสแสร้งแบบเด็กๆ​ ของเด็กหนึ่ง​ มันอาจจะดูเป็นเรื่องโง่ๆที่ขนาดเวลาผ่านมาจนถึงขนาดนี้แล้วแต่เราก็ยังจำได้ทั้งคำพูด​ ทั้งรอยยิ้ม​ ทั้งความสดใสของมันที่แทบจะปัดเป่าเรื่องที่เรากังวลให้หายไปหมดสิ้น

                  ในตอนนั้นที่เรากำลังเจรจา​ให้มันปล่อยตัวลูกน้องของเรา​ ไอ้แก้หัวแข็งนั่นกลับไม่ยอมทำตามที่เราขอสักนิดจนต้องไปตามตื้อมันถึงที่อยู่บ่อยๆ​ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราเจ้ากับเจ้าลูกลิง ‘มังกี้​ ดี​ ลูฟี่’  หลานของมันครั้งแรก

                  “เมื่อไหร่แกจะคืนบัฟฟาโล่มาสักทีห๊ะ!”

                  “หนอย!! นี่แกยังจะมีหน้ามาขึ้นเสียงใส่ฉันอีกงั้นหรอไอ้เด็กบ้า!! ถ้าไม่ได้ฉันป่านนี้ลูกน้องแกเข้าซังเตไปแล้วเฟ้ย!!” เสียงโวยวายราวกับเด็กน้อยทะเลาะกันนี้ใช่ว่าพึ่งเกิดครั้งแรก​ สำหรับการ์ปแล้วโดฟลามิงโก้ก็เปรียบเสมือนลูกชายที่ชอบสร้างปัญหา​และสุดท้ายก็ต้องเป็นเขาที่คอยเช็ดตามล้างให้ไปเสียทุกครั้ง​

                  “ฉันมีปัญญาเอามันออกมาได้เฟ้ย!”

                  “นี่แกพูดกับคนที่เลี้ยงแกมาอย่างนี้งั้นหรอ!!”

                  “ก็แค่ฝากเลี้ยง​ 3-4​ ปี​ อย่ามาทำเป็นทวงบุญคุณนะ!!” การทะเลาะแบบเด็กๆยังคงดำเนินต่อไป​ แม้มันจะเริ่มออกทะเลมากแล้วก็ตาม​ แต่สุดท้ายผู้ที่ต้องฝ่ายพ่ายแพ้ไปในครั้งนี้ก็คือชายหนุ่มร่างสูง​ตามเคย.. เรื่องฝีปากเขามั่นใจว่ายังไงก็ชนะแต่ถ้าต้องมาสู้กับไอ้คนหัวรั้นจนเขาขี้เกียจจะสาธยายต่อให้เปลืองพลังงานชีวิตแล้ว​ เขาขอยอมแพ้ซะยังจะดีกว่า

     

                  “ชิ​ ไอ้แก่นั่นสักวันฉันฆ่ามันแน่” ร่างสูงเกลี่ยเลือดที่ซิบออกมาเล็กน้อยจากมุมปาก

    ถ้าไม่ติดว่ายังเห็นแก่ที่มันช่วยพวกเขามาตลอดรับรองว่าว่าจะไม่มีทางยอมให้มันมาข่มกันง่ายๆเช่นนี้แน่​ อย่างน้อยๆไม่เขาก็มันนั่นแหละที่ตายกันไปข้าง

                  “หืม?” ระหว่างที่กำลังเดินเล่นเพื่อปรับอารมณ์​อยู่นั้น​ ก็บังเอิญ​พบกับเด็กน้อยคนหนึ่ง​ มันเป็นเพียงแค่เด็กหน้าตาดูโง่ๆคนหนึ่ง​ ไม่มีอะไรให้สะดุดตา​ ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ​ มันมองหน้าเขาตาไม่กระพริบปกติเวลาเด็กอายุเท่านี้มันจะชอบร้องไห้เวลาที่เห็นเขาเสมอ

                  “อะไรของแกเจ้าหนู?”

                  “นกยักษ์?”

                  “หา?” 

                 หงุดหงิดกับคนแก่แล้วยังต้องมาหงุดหงิดกับไอ้เด็กนี่อีกหรือเนี่ย?

                  “ไม่ใช่หรอ?​ เอ๊ะ! ลุงมีแผลนี่น่า​ เจ็บหรือเปล่า? เอายาไหมฮะ?” นับว่านานมากแล้วที่ไม่มีคนนอกแฟมิลี่ที่เอ่ยถามคำถามเช่นนี้กับเขา​ ความเป็นห่วงเป็นใยที่ได้รับจากผู้อื่นดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเขาในตอนนี้นัก​ เพราะส่วนมากล้วนมีแต่คำสาปแช่งให้เขาหายไปซะมากกว่า​

                  “ไม่สงสัยหรือไงว่าฉันเป็นใคร?”

                  “เรื่องนั้นสำคัญด้วยหรอ? ตอนนี้ลุงบาดเจ็บอยู่นะ​” เด็กน้อยตอบหน้าซื่อ​ พลางจะลากคนตัวใหญ่ให้ไปรักษาแผลให้ได้​ แต่การจะลากคนที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองขนาดนั้นดูจะเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเด็กน้อยเหลือเกิน​ เพราะ​ อีกฝ่ายดันไม่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี เขาเกร็งตัวไว้เพื่อกลั่นแกล้งเด็กน้อยผู้หวังดีตรงหน้าอย่างนึกสนุก

                  “นี่ลุงแกล้งฉันงั้นหรอ!!” เด็กน้อยหน้าตาบูดบึ้ง​ จนคนแกล้งกลั้นหัวเราะไม่อยู่​ เสียงหัวเราะราวกับเย้ยหยันความไร้พลังยิ่งทำให้​เด็​กน้อยรู้สึกไม่ชอบใจ​ ใบหน้าแข็งขันเอาเรื่องอย่างที่โดฟลามิงโก้ไม่เคยได้เห็นมาก่อนกลับเพิ่มให้ตัวเด็กน้อยดูน่าสนใจ​ มันทั้งใสซื่อและตรงไปตรงมา​ เพราะเป็นเด็กหรือเปล่ามันถึงแสดงทุกอย่างโดยไม่เสแสร้งเช่นนี้​

                  “โกรธหรอเจ้าหนู?”

                  “อย่ามาเรียกฉันว่าเจ้าหนูนะ!”

                  “งั้นแกชื่ออะไร?”

                  “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย​ เจ้านกนิสัยไม่ดี!​ แบร่!” ดูมัน.. เอาความคิดที่ว่ามันก็สนใจคืนมาได้ไหม​ มันก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้นแหละ​ …

                  “ไอ้เด็กเวร.​..”

                  “ลูฟี่!!” สองขาเล็กๆรีบวิ่งไปทางต้นเสียงทันทีด้วยท่าทางดีใจ​ นัยน์ตาใต้กรอบแว่นประหลาดหันมองไปตามทางที่เด็กน้อยวิ่งไป​ และได้พบกับเด็กอีกสองคนที่ดูจะมีความเป็นผู้ใหญ่​อยู่มากโขสวมกอดน้องชายของตนเองเอาไว้อย่างหวงแหน​ พร้อมกับจ้องมองมาทางเขาอย่างไม่ไว้วางใจ​

                  ‘โห.. แววตาใช้ได้’

                  นั่นสินะ… โดยปกติแล้วไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มักจะชอบส่งสายตาเช่นนั้นมาให้เขาทั้งนั้น​ พอได้เห็นแววตาใสซื่อของเจ้าเด็กนั้นพลันทำให้เขานึกไม่ออก​ คนที่แสดงความซื่อตรงแบบเจ้านั่นถ้าไม่บ้า​สมองก็คงถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักถึงดูไม่ออกว่าเขามีอันตรายขนาดไหน..

                  “เอส? ซาโบ้? ​ ฉันหายใจไม่ออก”

                  “โทษทีๆ​ ไปกินเนื้อกันเถอะลูฟี่​ พวกเราเตรียมเอาไว้ให้เยอะแยะ​เลย”

                  “เนื้อ!!! กินสิๆ​ อ่ะ! ลุงจะไปด้วยกันไหมล่ะ? จะแบ่งให้อันนึงก็ได้นะ​ ชิชิชิ” ถึงก่อนหน้าจะทำหน้าบูดบึงแต่ก็มิวายหันกลับมาถามอย่างคนอารมณ์ดี​ แต่กลับกันเหล่าพี่ชายทั้งสองกลับแสดงท่าทีกระวนกระวาย​อย่างไม่ปิดบัง​แล้วพยายามลากตัวน้อยชายออกไปให้เร็วที่สุด​ “เดี๋ยวสิเอส​ ซาโบ้​ รีบไปไหนเนี่ย?”

                  “ไปได้แล้วลูฟี่​ เดี๋ยวเนื้อจะถูกพวกดาดันกินหมดก่อนนะ” พี่ชายพยายามยกบุคคลที่สามมาเพื่อหลอกล่อและดูเหมือนมันจะใช่ได้ผลดีเสียด้วย​ เจ้าหนูนั่นถึงได้รีบออกตัววิ่งไปเช่นนั้น​ แต่วิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวมันก็วิ่งถอยหลังกลับมา​ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้

                  “บ๊ายบายนะลุงนกยักษ์​ คราวหน้าก็อย่าบินลงมาในบ้านคนอื่นอีกล่ะ! แล้วก็ระวังอย่าให้ตัวเองบาดเจ็บด้วยนะ!! แต่ว่าถ้าเหงาฉันจะมาเล่นเป็นเพื่อนนะ!​ จะเอาอาหารนกมาให้ด้วยล่ะ!​ ชิชิชิ”

                  “ลูฟี่!!”

                  “รอด้วยสิเอส!”

                  มาไวไปไวอย่างกับพายุ​ ทำตัวสมเป็นเด็กเหลือเกินนะเจ้านั่น… หือ? แล้วเมื่อกี้เขากำลังโกรธอะไรไอ้แก่บ้านั่นอยู่นะ? พอได้แกล้งเด็กนั่นจนได้เห็นหน้าตาตลกๆของมันตอนโกรธแล้วก็ลืมเรื่องที่ทำให้ครุกกรุ่นอยู่ในใจได้ชั่วขณะ​

                  “หึ  แต่ก็แค่เด็กโง่คนหนึ่ง”

     

     

     

                  “ฮิฮิ เจอกันอีกแล้วล่ะ” วันนี้เป็นอีกวันที่เขายังต้องมาพัวพันอยู่ที่คฤหาสน์​หลังใหญ่เพื่อเอาลูกน้องที่อย่างน้อยๆเขาก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่ยังเล็กออกมาจากตาแกหัวดื้อที่ตอนนี้จับมันเอาไว้​

                  รอยยิ้มซื่อๆคลีประดับบนใบหน้าของเด็กตัวเล็ก​ที่เขาพึ่งจะเจอกับไปเมื่อวาน​ คฤหาสน์​นี่ก็ไม่ใช่เล็กๆบางทีคราวหน้าเขาคงต้องเปลี่ยนที่เดินฆ่าเวลาบ้างเสียแล้วจะได้ไม่ต้องมาเจอกับเด็กที่ชอบทำหน้าโง่ๆนี่อีก

                  “ทำหน้าแบบนั้นน่าโมโหชะมัดเลยคุณลุง” โดฟลามิงโก้แสดงสีหน้าเหมือนเบื่อเต็มที​ ขนาดแค่เจอกับแค่สองครั้งยังทำให้เขาขยายตัว​มันได้มากขนาดนี้​ จะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์​ของมันดีหรือเปล่า?

                  “จะไปไหนก็ไป​ เห็นแกแล้วเกะกะลูกตาชะมัด” ความไม่มีเหตุผลนี้ทำให้เด็กน้อยงงหนัก​ เขาเคยถูกพี่ชายบอกอยู่หรอกว่าตัวเองเป็นเด็กเอาแต่ใจ​ แต่ลูฟี่พึ่งจะรู้ก็คราวนี้แหละว่าบางทีก็ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่เป็นก็ดูอย่างคุณลุงนกคนนี้สิ​ นอกจากเอาแต่ใจแล้ววยังไร้เหตุผลอีกด้วย

                  “เรื่องอะไร? ที่นี่เป็นบ้านฉันนะ​” เมื่อเจอคำตอบแบบนั้นเข้าไป​ ร่างสูงจึงได้แต่จิ๊ปากอยู่ในลำคอ​ อยากจะกร่นด่ามันแต่ก็ทำไม่ได้เพราะที่มันพูดมาก็ถูก​ สุดท้ายเขาจึงเลือกตัดรำคาญโดยหมายจะเดินไปที่อื่นแทนที่จะต่อล้อต่อเถียงกับมันต่อไป

                  “อ่ะ! เดี๋ยวสิ! คุณนกจะไปแล้วหรอ?”

                  “อยู่กับเด็กแบบแกไปแล้วมันจะได้ประโยชน์​อะไ​รไม่ทราบ?”

                  “โกรธผมหรอ​ ขอโทษครับ…”

                  สรรพนาม​ที่ใช้เปลี่ยนไป​ เด็กน้อยหุบตาลงตาอย่างคนทำผิด​ มือเล็กกำเสื้อคลุมสีชมพูไว้แน่นไม่ให้คุณลุงแปลกหน้าได้หนีไปไหน โดฟลามิงโก้พึ่งจะเคยรู้สึกประหลาดใจมากเช่นนี้เป็นครั้งแรก​ถึงกับต้องเหลียวหลัง​กลับไปมองเจ้าตัวเล็กที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง

                  อะไรของมัน? เมื่อกี้ยังทำตัวอวดดีไม่น่ารักอยู่เลย​ ไหงตอนนี้ดันมาทำตัวเป็นเด็กน้อยขี้อ้อนไปซะได้?

                  “ไม่อยากให้ฉันไปงั้นหรอเจ้าหนู?

                  “…อืม” เด็กน้อยพยักหน้ารับ​ ใบหน้ายังคงก้มมองพื้นไม่เปลี่ยน​ จนคนตัวใหญ่กว่าต้องเป็นฝ่ายก้มลงมานั่งแทน​ จริงๆเวลามันทำตัวว่าง่าย​ จะว่าไงดีล่ะ​ มันก็น่ารักอยู่ล่ะมั้ง?

                  “ทำไมล่ะ?”

                  “ก็ผมเหงานี่น่า… เอสกับซาโบ้ก็เอาแต่ฝึกตามที่ปู่สั่ง​ เพื่อนผมก็ไม่มี​ แบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ… แต่ว่าถ้ามีคุณอยู่ด้วยถึงคุณจะชอบทำตัวน่าโมโหแล้วก็กวนประสาทแต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ตัวคนเดียว”

                  บางทีเขาก็ชักไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้เป็นประโยคที่ควรจะสงสารมันหรือจะขยี้มันให้หัวแบะดีกันแน่​ แต่ที่แน่ๆเมื่อกี้มันแอบหลอกด่าเขาชัวร์​

                  “จะบอกว่าต้องการฉันงั้นหรอ?”

                  “…ครับ” มันยังไม่ลดความสุภาพลง​ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีหรอกนะไอ้พวกที่ชอบคว้าแขนเขาเอาไว้เพื่อผลประโยชน์​น่ะ แต่กับเด็กๆแบบนี้นอกจากเจ้าพวกที่เขาเลี้ยงมาก็มีมันนี่แหละเป็นคนแรก​ ไม่กลัว​ ไม่วิ่งหนีแต่กลับวอนขอให้คนอย่างเขาอยู่ข้างๆ​ เป็นเด็กโง่​ ที่โง่เกินกว่าจะครวญ​หาคำใดมาสาธยาย​ได้

                  “แล้วแกอาจจะเสียใจก็ได้ที่เลือกจะมาอยู่ข้างฉันคนนี้” แต่ถึงกระนั้นร่างสูงก็เลือกจะนั่งลงบนพื้นหญ้าสีเขียว​ เด็กน้อยคลียิ้มกว้างจนตาปิดเข้าไปกอดแขนคุณลุงแปลกแน่น​ สำหรับโดหลามิงโก้​ เขาก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะที่จะมีเด็กที่ซื่อตรงขนาดนี้มาอยู่ข้างๆ

     

     

                  “ลูฟี่มีความสุขจังนะ​ มีเรื่องดีๆอะไรงั้นหรอ?” ซาโบ้เอ่ยถาม​ เมื่อเห็นน้องชายที่พักนี้จะชอบทำหงอยๆยิ้มแย้มมีความสุข​ พวกเขาก็รู้สึกผิดอยู่มิใช่น้อยที่ต้องทิ้งน้องชายไว้ให้เหงาอยู่คนเดียว​ เพราะงั้นเวลาที่ฝึกเสร็จพวกเขาถึงได้พยายามอยู่เล่นกับน้องชายขี้เหงาคนนี้ให้มากที่สุด​ แต่วันนี้อาจจะไม่เป็นแบบนั้นแล้วล่ะมั้ง? 

                  “อืม! ฉันได้เพื่อนใหม่ด้วยล่ะ” พี่ชายทั้งสองตีหน้ามึน​ ลูฟี่อยู่แต่ในอาณาเขต​ของตระกูลที่มีการป้องกันหนาแน่น​ แถมทุกคนก็รู้ว่าลูฟี่เป็นคุณหนูที่รักยิ่งของตระกูล​ไม่มีทางที่จะมีใครมาตีสนิทอย่างคนไม่รู้ฐานะแน่

                  “เพื่อนหรอ? เพื่อนคนไหนหรอลูฟี่” ซาโบ้ยังคงไว้ด้วยรอยยิ้ม​ มาดพี่ชายที่แสนดียังคงไม่พังทลายลงแม้ภายในใจจะเริ่มคุกกรุ่นด้วยความสงสัย​ ผิดกับเอสที่แสดงสีหน้าอยากรู้อย่างไม่ปิดบัง​ ปากอยากจะเอ่ยถามแต่ก็ถูกซาโบ้สกัดไว้ทุกที

                  “อืม…” เด็กน้อยครุ่นคิด​ คนฟังก็ยังพยายามรออย่างใจเย็น​ “ชิชิ​ ไม่บอกหรอก” ลูฟี่ฉีกยิ้มซื่อ​ ก่อนจะรีบวิ่งหนีพี่ชายที่ตอนนี้ใกล้จะเป็นยักษ์​มารเข้าไปทุกที​ จะให้บอกมันก็ได้อยู่หรอกแต่เขาดันถูกขอร้องเอาไว้ไม่ให้พูดออกไป​ และเมื่อ​สัญญา​ไปแล้วแน่นอนก็ต้องรักษา

                  ‘ถ้าแกบอกเรื่องนี้กับใครฉันจับแกถ่วงน้ำแน่’

                  นั่นแหละ…

                  แล้วลูฟี่ก็ได้วิ่งหนีไป​ ปล่อยให้พี่ชายตะโกนเรียกเขาไว้เช่นนั้น​ เขารู้นิสัยขี้ตื้อของพี่ชายดี เช่นนั้นก็หนีมันซะน่าจะเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด

     

                  “โห.. แกรักษาสัญญา​ดีสินะ”

                  “อืม!​ ก็คุณลุงยังรักษาสัญญาที่ว่าจะมาหาผมทุกวันเลย” เด็กน้อยยิ้มตาหยี​ หารู้ไม่ว่าเขาไม่ได้มาทำตามสัญญา​ก็แค่เพราะเขามีเรื่องที่ต้องทำต่างหากถึงมาหามันฆ่าเวลาเล่นได้​ ถ้าเขาหมดธุระแล้วแน่นอนว่าคงจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเป็นแน่

                  “ก็สัญญาไปแล้วนี่น่า” คำๆนี้ช่างกระดากปากเวลาพูดจริงๆ​ คำไร้สาระอย่าง​ ‘สัญญา’ เนี่ยดูจะเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับตัวเขามากเหลือเกิน​ เพราะ​ เขาไม่คิดที่จะรักษาสัญญา​ลมปากนั่นกับใครอยู่แล้ว​ หากเอ่ยคำนั้นออกมาก็เตรียมโดนเขาตลบหลังได้เลย​

                  “ผมชอบคุณลุงมากเลยล่ะ! เอสกับซาโบ้น่ะปากบอกจะอยู่ข้างๆแต่พอเอาเข้าจริงก็ชอบทิ้งผมอยู่เรื่อย” เด็กน้อยบู๋ปาก​

                  สำหรับมันคำพูดคงจะเป็นมากกว่าแค่ลมปากสินะ​ เด็กหนอเด็ก… โดฟลามิงโก้นั่งเงียบฟังเด็กน้อยข้างๆบ่นถึงพี่ชายตัวเองไปพลางพูดเรื่องต่างๆไปพลาง​ บางครั้งเขาก็รู้สึกสนุกดีเวลาที่เจ้านี่มันทำท่าทีตลกๆ​ หรือไม่ก็ตอนที่โดนเขาแกล้ง

                  เวลาผ่านพ้นไปจากวันกลายเป็นสัปดาห์… วันนี้โดฟลามิงโก้ก็ยังคงมาที่คฤหาสน์​ตระกูล​ D มานั่งฟังไอ้แก่น่ารำคาญบ่นไปเรื่อย​ แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขาไม่นึกรำคาญมันสักเท่าไหร่เพราะในหัวดันไปนึกถึงเจ้าเด็กน้อยที่พักนี้เขามักจะไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนมันบ่อยๆ​ จึงไม่ค่อยได้ฟังสิ่งที่คนตรงหน้านี้พูดมากนัก

                   คนบ่นเองก็ใช่ว่าจะบ่นไปเรื่อย​ เขาสังเกตุท่าทีของเจ้าของมหาอำนาจในโลกมืดนี้มาสักระยะแล้ว​ ตอนแรกมันดูจะเป็นจะตายจะเอาคนของมันออกมาจากเงื้อมมือ​เขาให้ได้​ แต่พอมาดูตอนนี้มันกลับนั่งใจลอยไม่ยีระกับเรื่องลูกน้องมันสักเท่าไหร่​ ถึงกระนั้นก็ยังยอมมาที่คฤหาสน์​นี้ได้ทุกวันไม่ขาด หากมันไม่ต้องการคนที่เขาคุมตัวไว้แล้วก็ไม่น่าจะมีเหตุผล​อะไรให้มันมานั่งหูทวนลมอยู่ที่นี่อีก

                  เข็มนาฬิกาเลื่อนบอกเวลา​ 14.00 ร่างสูงหยัดกายขึ้นทันทีไม่รีรอให้เจ้าบ้านได้เอ่ยคำลาหรือประโยค​น่าเบื่อใดๆต่อ​ ไม่สนใจแม้สิ่งนั้นจะเป็นเรื่องของลูกน้องที่เป็นสาเหตุที่ทำมห้เขาต้องมานั่งฟังมันบ่นอยู่ที่นี่

                  ขายาวๆรีบก้าวเดินออกนอกตัวคฤหาสน์​หลังใหญ่​ มุ่งไปยังจุดหมายที่เป็นที่ประจำของพวกเขา​ เมื่อมาถึงรอยยิ้มอ่อนที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะสามารถ​แสดงมันออกมาได้ก็ประดับบนใบหน้า​ เจ้าตัวเล็กที่นั่งรอเขาอยู่บนพื้นหญ้าเฉกเช่นทุกวันคลียิ้มกว้างรีบตรงเข้ามาหาเขาอย่างดีใจ​

                  “มิงโก้!!” สรรพนามที่เปลี่ยนไปแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อ​ ถึงกระนั้นโดฟลามิงโก้ก็ไม่ได้เอ่ยคำตำหนิติเตียนใดๆออกไป​

                  “ยังน่ารำคาญเหมือนทุกวันเลยนะแกน่ะ”

                  “ชิชิชิ​ แต่คุณก็ยังมาใช่ไหมล่ะ​ คุณลุงหน้าโหด” เพียงแค่อาทิตย์เดียวเขาก็เริ่มมีชื่อเรียกมากมายที่ได้จากเด็กตรงหน้า ถามว่าโกรธไหม? แทบจะจับมันหักคอเชียวล่ะ.. แต่นั่นก็แค่ระยะแรกตอนนี้มันอยากจะเรียกอะไรก็ปช่อยให้มันเรียกไปเถอะ​ เขาขี้คร้าน​จะเถียงกับมันแล้ว

                  “จะไม่มาก็เพราะปากแกนั่นแหละ” ถึงจะพูดไปแบบนั้นเขาก็ยังมาทุกครั้ง​ เด็กน้อยปิดปากสนิทจนเป็นเส้นตรงอย่างว่าง่าย​ จุดนี้แหละที่ทำให้เขานึกเกลียดความกวนประสาทของมันไม่ลง ซื่อตรง​ ว่าง่าย​ เพียงแค่เขาบอกว่าจะไปคำเดียวมันก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้​ แถมยังตลกมากอีกด้วย​ แบบนี้แล้วใครจะอดใจไม่แกล้งมันไหว? 

                  ตอนนี้โดฟลามิงโก้รู้สึกเหมือนตัวเองมีหน้าที่ประจำวันอีกอย่างก็คือมานั่งฟังเรื่องต่างๆของมัน​ แม้ว่าสิ่งนั้นจะดูเกินจริงไปบ้างบางเรื่องแต่พอเห็นสีหน้ามีความสุขของมันเขาก็ไม่คิดที่จะขัด​ หน้าที่เขามีเพียงแค่นั่งฟังมันเงียบๆ​ แกล้งหยอกเล่นกับมันบ้างเป็นครั้งคราว

                  “แล้วก็นะๆ!---” 

                  “ลูฟี่…” เสียงเล็กของเด็กน้อยขาดช่วงไป​ นัยน์ตากลมใสหันไปหาต้นเสียงก่อนจะโบกไม้โบกมือ​เป็นสัญญาณ​

                  พี่ชายทั้งสองจ้องคนแปลกหน้าเขม็ง​ เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นลูฟี่อยู่กับคนๆนี้​ ดูไม่น่าไว้ใจและไม่มีอะไรให้น่าไว้ใจ​ เป็นเหมือนพวกบอสของวายร้ายในเกมหรือการ์ตูน​ก็ว่าได้​ แต่ถึงกระนั้นน้องชายตัวดีก็ดูจะไม่ได้รับรู้อะไรสักนิด​ ถึงได้ไปเกาะแกะสนิทสนม​กับคนพันธุ์​นี้ได้

                  “ลูฟี่มาทางนี้”

                  “เอ๊ะ? มีอะไรหรอ?” เด็กน้อยยังยืนนิ่ง​ แสดงสีหน้ามึนงง​ ยิ่งเห็นพี่ชายใจดีทำสีหน้าจริงจังแล้วยิ่งรู้สึกเกร็งๆ

                  “ออกห่างจากน้องฉันซะ” เอสตีหน้าทะมึน​ ด้วยความตกใจเด็กน้อยจึงคว้าเสื้อคลุมขนนกไว้​ เขาไม่ค่อยได้เห็นพี่ชายของตัวเองแสดงสีหน้าเช่นนี้เท่าไหร่​ ความกลัวจึงเริ่มเกาะกินจิตใจดวงน้อย​ พี่ชายเห็นดังนั้นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง​

                  “ลูฟี่!!”

                  “ฮึก! แงงง” เอสกับซาโบ้ชะงักทันที​ เมื่อเสียงร้องไห้ของคนที่พวกเขาคอยเฝ้าถนอมมาตลอดดังขึ้น​ คนลุงคนนอกนิ่งไปก่อนจะอุ้มเด็กน้อยข้างตัวขึ้น​มานั่งบนแขนอย่างทะมัดทะแมง​ ด้วยความสูงที่ต่างกันอย่างเหลือเชื่อทำให้เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยเงียบลง​ 1อาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันมาพอจะทำให้เขารู้นิสัยของเด็กนี่ได้​ ถ้ามันสนใจเรื่องหนึ่งมันก็จะลืมอีกเรื่องไป​

                  “ว้าว!! สูงจังเลย! สูงอีก​ มิงโก้​ สูงอีก!!” เสียงหัวเราะกลับมาอีกครั้ง​

                  เวลานี้เขาไม่อาจปฏิเสธ​ได้ว่าเขาไม่อยากที่จะเห็นมันร้องไห้​ เสียงเด็กร้องมันน่ารำคา​ญ​นั่นก็ส่วนหนึ่ง​ แต่อีกเหตุผลก็คือเขาชอบที่จะเห็นมันยิ้มเสียมากกว่า​

                  “เอาล่ะเจ้าหนู​ วันนี้คงหมดเวลาเล่นเท่านี้แล้ว…” เจ้าของร่างสูงใหญ่วางเด็กน้อยลงพื้นที่เดิม​ เด็กน้อยบู๋ปากไม่ชอบใจร้องขอให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองขึ้นไปอีก​ แน่นอนว่าพี่ชายแม้จะเข้าไปลากตัวน้องรักของตนออกมามากเท่าไหร่​ แต่หากทำเข่นนั้นลงไปใบหน้าประดับรอยยิ้มนั้นอาจจะต้องเปื้อนน้ำตาอีกก็ได้…

                  “ไม่เอา!! คุณลุงจะกลับแล้วหรอ​”

                  “…ใช่” เด็กน้อยก้มหน้างุด​ วันนี้เขายังมีเรื่องอยากจะเล่าให้คุณนกฟังอีกตั้งเยอะแยะ​ “ไว้พรุ่งนี้ฉันจะมาหาเธออีก 

                  “จริงหรอ?”

                  “อืม”

                  “จริงน​ะ!” เด็กน้อยถามซ้ำอย่างไม่มั่นใจ​ ร่างสูงยกยิ้มอ่อนพลางชูนิ้วก้อยขึ้นมา​ เด็กน้อยจ้องมือมือที่ส่งมานั้นอย่างไม่เข้าใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อประโยคถัดไปถูกเอ่ยขึ้น

                  “ฉันสัญญา​” 

                  “อื้ม!! เกี่ยวก้อยสัญญา​ ใครผิดสัญญาต้องกลิ่นเข็มพันเล่มนะ! ชิชิชิ”

                  “ถ้าเป็นสัญญากับแก​ ไม่จะรักษาไปชั่วชีวิตเลย”

     

    ----- 100% -----

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×