ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fanfic] หัวขโมยแห่งบารามอส เรื่องราว หลังจากนั้น

    ลำดับตอนที่ #65 : มาแล้ว!! ฟิคสั้นบารามอสประจำปีนี้(?)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.85K
      6
      10 ก.ค. 52

    />

    Short Fiction TToB

     

    Title: ข้อสอบวิชาหน้ากากฟาโรห์

     

    Time: จะเป็นตอน... บอกได้ไง บอกก็สปอยล์สิ ไม่เอาหรอก

     

    Note: ฟิค แทรกเล็กๆน้อยๆ สำหรับคนที่ตามฟิคทั้งหลาย แนะนำให้ไปขอบคุณฟิคของใครสักคนในเด็กดีนี่แหละ (ขออภัยขอรับ จำชื่อคนเขียนไม่ได้จริงๆ) เขาเขียนเรื่องรุ่นลูกรุ่นหลานของเฟริน และเป็นหนึ่งในฟิคไม่กี่ฟิคที่ข้าพเจ้าอ่านได้ แต่เริ่มอ่านจากตอนกลางๆนะ ไม่ใช่ตอนแรก และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้อ่านตอนแรก ไปอ่านตอนกลางๆเลย เพราะกลัวภาษาของตอนแรกจะไม่งดงามพอและพาลไม่อ่านไป เข้าเรื่อง ฟิคนี้ได้แรงบันดาลใจเพียงเล็กน้อยยยยยยยจริงๆ จากฟิคที่เรากล่าวถึงข้างต้น นี่เป็นชอร์ตฟิคที่เป็นชอร์ตฟิคฮะ จบภายในแปดหน้า ดีใจอย่างสุดซึ้งที่เราไม่เอาพล็อตมาขยายยาวยืดจนกลายเป็นห้าสิบหน้าไป เพราะไม่มีเวลาแล้ว คะแนนสอบญี่ปุ่นห่วยมาก เฟลสุดๆ นี่เขียนปลอบใจตัวเองและแก้อึดอัด ไม่ได้เขียนอะไรมานานแล้วอึดอัดมาก จะอ่านนิยายก็ไม่ค่อยสะดวกใจ ใครมีนิยายดีๆลองแนะนำด้วยฮะ ในเน็ตหรือที่เป็นหนังสือจริงๆก็ได้ อยากเอาไว้ปลอบใจตัวเองเวลาไม่มีกำลังใจ รู้สึกชักจะกลายเป็นบ่นมากขึ้นทุกที พอเถอะ เชิญอ่านให้สนุกนะฮะ

     

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

    จะขออธิบายกฎให้ฟังสั้นๆ เสียงของอาจารย์สูงวัยดังขึ้นเมื่อพวกเขาทุกคนเข้ามารวมกันในห้องใหญ่โล่งกว้าง ที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรแม้แต่ชิ้นเดียวจริง

     

    หลัง จากนี้จะให้พวกเธอแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ฉันไม่แคร์ว่าจำนวนคนของทั้งสองกลุ่มจะเท่ากันหรือไม่ เอาให้ได้สองกลุ่มเป็นพอ แต่ละกลุ่มจะต้องมีหัวหน้า จะยังไง ไปตกลงกันเอาเอง ฉันไม่สน ให้มีหัวหน้ากลุ่มละหนึ่งคนเป็นใช้ได้ เป็นคำอธิบายที่ฟังดูปัดความรับผิดชอบดี

     

    ส่วนจะแบ่งยังไงนั้น... อาจารย์สูงวัยเดินแหวกฝูงนักเรียนพระราชามายืนที่กลางห้อง

     

    คนเป็นหัวหน้ากลุ่มให้เอามือแตะเส้นสีแดงตรงนี้ อาจารย์สูงวัยเอาเท้าตบเส้นสีแดงบนพื้นไม้ที่ลากผ่านกลางห้อง แล้วจะได้อำนาจมาหนึ่งอย่าง... ยัง! ยังไม่ใช่ตอนนี้ อาจารย์ประจำวิชาร้องห้ามเสียงดังเมื่อเห็นนักเรียนบางคนเตรียมเอามือไปแตะเส้น นักเรียนเหล่านั้นหดมือกลับทันที

     

    อำนาจ ที่ว่าคือตราประทับ สมาชิกกลุ่มจะได้รับตราประทับจากหัวหน้า ซึ่งจะปรากฏอยู่ที่ฝ่ามือ ฝั่งหนึ่งจะเป็นสามเหลี่ยมสีแดง ส่วนอีกฝั่งจะเป็นรูปวงกลมสีแดง เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ประจำวิชาถอนหายใจ พึมพำอะไรบางอย่างที่พอจะจับใจความได้ว่า ช่างเถอะ ไม่ฟังก็เรื่องของพวกเธอ แล้วตัดใจพูดต่อ

     

    วิธี ประทับตราก็ง่ายนิดเดียว แค่หัวหน้าแตะตัวสมาชิก เท่านั้นก็พอ แต่สำหรับคนเป็นหัวหน้า เขาจะไม่มีตราประทับปรากฏ ส่วนเรื่องตราประทับ เริ่มทำได้ตั้งแต่ทันทีที่ฉันบอกให้แบ่งกลุ่มจนกระทั่งก่อนสิ้นสุดการสอบ อ้อ... ฉันตกเรื่องนี้ไปสินะ นักเรียนพระราชาป้องอัศวินกลับมาตั้งใจฟังอีกครั้งเมื่อได้ยินคำว่าสิ้นสุดการสอบ

     

    แค่ฆ่าหัวหน้ากลุ่มของอีกฝ่ายให้ได้ก็เป็นอันจบ อ้อ ฆ่าที่ว่าน่ะ หมายถึงใช้ไอ้นี่นะ อาจารย์ชูปากกาสีเวทมนตร์ขึ้นมา ก่อนจะแจกจ่ายไปให้กับนักเรียนทุกคน

     

    ส่งไปทั่วๆซิ มีใครยังไม่ได้รึเปล่า เมื่อเห็นว่านักเรียนทุกคนมีปากาสีในมือแล้ว อาจารย์จึงพยักหน้า แล้วพูดต่อ

     

    คงไม่มีใครใช้ไอ้นี่ไม่เป็นสินะ ทุกคนมองปากกาสีในมือ ใช้ไม่เป็นก็แย่แล้ว มันเคยเป็นของเล่นชิ้นโปรดของพวกเขาตอนซ้อมรับรองความปลอดภัยตอนปีสองเชียวนะ

     

    เอ้อ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องสีแต้มพวกนั้นให้ก่อนที่พวกเธอจะออกจากห้องนี้ ยังไงพวกเธอก็ยังมีสอบต่อใช่มั้ยล่ะ หลายคนพยักหน้าพอใจ ก็ยังดีกว่าหมดเรี่ยวหมดแรงไปทั้งวัน

     

    เอาล่ะ ความสนุกของการสอบครั้งนี้มันก็อยู่ตรงนี้ รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบุรุษสูงวัย ฉันจะดับไฟ แล้วนั่นจะถือเป็นสัญญาณที่ฉันให้เริ่มเจรจา... ใครเจรจาเรื่องกลุ่มตอนนี้ฉันจะให้ตก!” อาจารย์สูงวัยขึ้นเสียงให้กลุ่มคนที่เริ่มจะซิบกระซาบใส่กัน นักเรียนหนุ่มร่างใหญ่ของป้อมอัศวินสะดุ้งโหยง แล้วยิ้มแหยประจบไปให้ เวลา ที่ฉันจะดับไฟ ฉันให้ห้านาที และเมื่อไฟสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ก็เริ่มประทับตราหรือจะจู่โจมเลยก็ยังได้ หลังจากนั้นจะสลับเปิด-ปิดไฟทุกห้านาที

     

    ติด สินคะแนนอิงกลุ่ม กลุ่มใครที่เป็นฝ่ายชนะ เกณฑ์คะแนนย่อมดีกว่ากลุ่มที่แพ้แน่นอน แต่ก็ลดหลั่นกันไปตามบทบาท และใช่ว่ากลุ่มที่แพ้จะไม่สามารถทำคะแนนได้มากกว่ากลุ่มที่ชนะ เพราะยังไงฉันตัดสินคะแนนอิงจากบทบาทที่พวกเธอเล่นในการสอบครั้งนี้ด้วย อย่าลืมคอนเสปต์ของวิชานี้ซะล่ะ แล้วก็ระวังไว้อย่าง ถ้าจนสิ้นสุดการสอบแล้ว ใครยังไม่มีตราประทับกลุ่ม คนนั้นจะไม่มีคะแนน ห้องทั้งห้องเงียบกริบ อาจารย์ประจำวิชาก้าวแหวกฝูงนักเรียนออกไปทางริมห้อง

     

    ใครมีคำถามไหม มือของใครคนหนึ่งชูแหวกผ่านอากาศว่างเปล่า คนเป็นอาจารย์กลอกตาเหนื่อยหน่าย

     

    แล้วถ้าเกิดภาวะตราประทับซ้ำซ้อนละครับ คนถามไม่ใช่ใครที่ไหน พ่อหนุ่มน้อยแสนสุภาพ ที่ยืนจดๆจ้องๆอยู่บริเวณเส้นแดง ซีบิล สเวน นั่นเอง

     

    ไม่มีทางเป็นไปได้ การประทับตราจะถือเอาครั้งแรกเป็นที่ตั้ง กลุ่มไหนชิงประทับตราได้ก่อนก็ได้สมาชิกคนนั้นไป มีอะไรอีกมั้ย

     

    แล้วเรื่องเส้นแดงล่ะฮะ ส่วนหวานของเจ้าหญิงหัวขโมยดังลอดฝูงชนผ่านมา ร่างบางของเจ้าหล่อนยืนไม่ห่างจากร่างของหนุ่มน้อยนักบวชคนเมื่อครู่เท่าไรนัก

     

    แตะก่อนได้อำนาจก่อน จำกัดแค่สองคน คนที่แตะหลังจากนั้นไม่มีผล เริ่มแตะได้ทันทีที่ฉันดับไฟ มีคำถามอีกไหม คนเป็นอาจารย์อธิบายสั้นห้วนทว่าได้ใจความ น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิด ท่าทางเหมือนอยากเห็นเกมการสอบของปีนี้แล้วเต็มแก่

     

    ใครจะฆ่าใครก็ได้ใช่ไหมครับ คราวนี้เป็นเจ้าหนุ่มขอทานที่ยืนถัดออกไปจากเจ้าหญิงหัวขโมยไม่กี่คน เสียงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายดังมาจากคนเป็นอาจารย์

     

    เออ จะฆ่าลูกน้อง หรือหัวหน้า คนเป็น คนตาย หรือคนไม่มีตราประทับก็ได้ ไม่เกี่ยง แต่เกมจะจบเมื่อมีคนฆ่าหัวหน้าได้เท่านั้น ใครมีอะไรอีก เสร็จสิ้นคำอธิบายห้วนๆก็ตามด้วยคำถามเปิดโอกาสตามมารยาท แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่เปิดโอกาสตามคำพูดก็ตามที ไหนใครบอกว่าไอ้พวกนี้ถามกันไม่เป็นไง

     

    แล้วคนที่ตายแล้วล่ะครับ นักบวชหนุ่มผมเงินยกมือถามต่อ

     

    ไม่ มีสิทธิไม่มีเสียงอะไรทันนั้น ถือว่าตัดออกจากเกมไปเลย คนตายไม่มีสิทธิ์พูด ต่อให้ตายทั้งที่ยังไม่ได้ประทับตราก็ไม่สามารถเรียกร้องได้ พอใจหรือยัง เมื่อไม่มีคำถามอะไรดังแหวกอากาศมา อาจารย์ก็ถือว่าไม่มีคำถามแล้ว

     

    ฉันจะดับไฟใน สาม... สอง... หนึ่ง... เริ่มได้!”

     

                    ห้อง โล่งแห่งนั้นมืดสนิทลงทันที และแทบจะพร้อมกับที่ทั้งห้องมืดลง เสียงพูดคุยเจรจาก็ดังขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร ยืนยันตัวตนได้จากเสียงพูดคุยของเจ้าตัวเท่านั้น และการพูดคุยนั้นก็เป็นเสียงกระซิบจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่องเสียด้วย

     

    อาจารย์แกก็คิดได้ทุกปีนะ ข้อสอบวิชาหน้ากากฟาโรห์เนี่ย เสียงใครคนนั้นเอ่ยพึมพำทอดถอนกับกลุ่มเพื่อนเสียดายที่ห้องนั้นมือสนิทจน มองมือตัวเองยังไม่เห็น ไม่เช่นนั้นคนพูดคงจะได้เห็นคู่สนทนาของตัวเองถอนหายใจ

     

    ปรบมือให้ความคิดสร้างสรรค์ของเขาก็แล้วกัน แล้วตอนนี้คิดเรื่องกลุ่มรึยัง คนถูกถามกลับแย้มยิ้มบาง ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเห็น

     

    แน่อยู่แล้ว กลุ่มที่ชนะไงล่ะ

     

                    เวลาผ่านไปไม่มีรอ ผู้คนเริ่มจับตัวกับมากขึ้นในความมืด แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดข้อถกเถียงขึ้นในบริเวณและเวลาที่ไม่น่าเกิดเสียแล้ว

     

    ฉันจะเปิดไฟในอีก สิบ... เก้า... เสียงล้งเล้งพวกนั้นเริ่มดังขึ้นทุกที และจากเสียงเหล่านั้น ก็ทำให้เดาได้ไม่ยากจะว่าคนที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่บริเวณนั้นมีใครบ้าง

     

    ...สาม... สอง... หนึ่ง... เริ่มประทับตรา!” ไฟสว่างขึ้นทันทีที่สิ้นคำอาจารย์สูงวัย กลุ่มชายสองหญิงหนึ่งยังไม่สำนึกว่าขณะนี้ได้เวลาประทับตราและแบ่งฝักแบ่ง ฝ่าย เพราะดูเหมือนว่ายังเถียงกันไม่จบ ซ้ำร้ายยังรุนแรงขึ้นทุกที

     

    หมายความว่ายังไง! พวกแกจะไม่มาอยู่ฝั่งเดียวกับฉันงั้นเหรอ สองหนุ่มไหวไหล่

     

    แหงอยู่ แล้ว คะแนนตัดสินจากฝ่ายที่ชนะ แล้วถ้าฉันต้องการอยู่ฝ่ายที่ชนะมันจะผิดตรงไหน จากประสบการณ์ของฉันนะ เฟริน อะไรที่ทำร่วมกับนายมักจะล่มเสมอ ต่อให้งานนี้นายไม่ได้เป็นหัวหน้าก็ตามที คิลมัส ฟีลมัส พูดเอาๆ จนแม่สาวเจ้าของชื่อเฟรินชักจะลมออกหู เบื้องหลังหญิงสาว ซีบิลเริ่มจับมือกับคนรอบตัว แม้ว่าจะมีอยู่ไม่กี่คนก็ตามที เช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้าม คนกลุ่มใหญ่เคลื่อนตัวเข้าใกล้คาโลเพื่อจับมือประทับตราทีละคน

     

    อย่าบอกนะว่าแกก็คิดเหมือนมัน น้ำเสียงเฟรินนั้นเอาเรื่อง ยามเจ้าหล่อนหันไปหาเจ้าชายขอทานที่ยิ้มบางรับ

     

    อย่างที่คิลพูดนั่นก็ถูกแล้วนี่ ดวงตาสีน้ำตาลวาวขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดกับเจ้าขอทานหนุ่ม เฟรินหวดมือเข้าไปที่ไหล่ของสองหนุ่มเข้าเต็มแรงดังป้าบ

     

    เออ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน คิลและโรมองหน้ากัน แล้วไหวไหล่ สอดมือข้างหนึ่งเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินจากหญิงสาวไปอย่างไม่ไยดี

     

    ไอ้พวกเพื่อนไม่รักดี!” เฟรินเดินกลับมารวมกลุ่มกับพวกซีบิลทั้งที่ยังอารมณ์เสีย กัส และนิกส์ ต้องเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังตบไหล่ปลอบใจกันเป็นการใหญ่

     

    เอา น่า ถ้าเราชนะ พวกนั้นก็จะได้รู้ว่าคนน้อยก็ชนะได้ และที่สำคัญ จะได้ทำให้พวกนั้นได้รู้ว่า คาโลไม่ใช่คนที่จะต้องประสบความสำเร็จเสมอไป คำปลอบของนิกส์เป็นคำปลอบที่ฟังขึ้น อย่างน้อยก็ในสายตาของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว ขณะกวาดตามองสมาชิกกลุ่มของตนสลับกับสมาชิกของอีกกลุ่มที่มีคาโลเป็นแกนนำ ซึ่งจำนวนแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไปยังเจ้าเพื่อนรักนักฆ่าและขอทานที่ไปตบไหล่คาโลคนละ ที แทนการขอเข้าร่วมกลุ่ม

     

    เออ เอาให้มันรู้กันไปเลยว่าทางฝั่งสองเสนาของพวกเราหรือจะแพ้หัวหน้าป้อม เฟรินแยกเขี้ยว ขณะเอ่ยคำประกาศสงคราม คิดซะว่าฉันต่อให้เหลือแค่ม้า เรือ แล้วก็บิชอปก็แล้วกัน แม่สาวยอดนักเดินหมากเปรียบเกมการสอบครั้งนี้กับมากกระดานไปเสียฉิบ สมาชิกในกลุ่มขยับยิ้ม ไม่มีทางซะหรอก ที่พวกเขาจะยอมแพ้ง่ายๆกะอีแค่ความแตกต่างของจำนวนคน

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    ฉันจะปิดไฟครั้งที่สามล่ะนะ สิ้นเสียงอาจารย์ประจำภาควิชาหน้ากากฟาโรห์ ทั่วทั้งห้องก็มืดสนิทลง กลุ่มคนกระจายตัวไปในความมืดอีกครั้ง ห้านาทีแห่งความมืดที่ทุกฝ่ายตั้งใจเอาไว้จู่โจม แต่ห้านาทีแห่งความมือครั้งที่ผ่านๆมานั้น ไม่มีใครเข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใด ทั้งๆที่คนของฝั่งตรงข้ามมีน้อยกว่า แต่กลับจำนวนไม่ลดลงเลยสักนิด ทางฝั่งพวกเขาเสียอีก ที่คนกลับค่อยๆหายไปเรื่อยๆ

     

                    เป็น ห้านาทีแห่งความมืดที่ไร้เสียง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อได้สัญญาณเปิดไฟอีกครั้ง คนของฝั่งซีบิลก็กลับมายืนรวมกันอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของเส้นแดง โดยที่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ทำท่าเหมือนกับถูกฆ่าไปแล้ว

     

                    ใน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามจำนวนคนที่รวมตัวอยู่ในเขตสนามผู้เล่นลดจำนวนลงอีกครั้ง โดยครั้งนี้ คนที่หายไปคือมาทิลด้า เดท และซอร์โรว์ เรียกได้ว่าเป็นการเสียขุมกำลังที่ไม่น่าเสียไปอย่างมาก

     

    ตอนนี้ก็เหลือแค่ ครี้ด โคลว์ เจค ไอ้สองตัวนั่น แล้วก็คาโลแล้วสินะ เสียงหวานของผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลือรอดในเกมการสอบครั้งนี้เอ่ย สรุปความ ยามพวกของเจ้าหล่อนมารวมตัวกันอีกครั้งท่ามกลางแสงสว่าง

     

    อย่าเพิ่งลิงโลดไป กำจัดคนไปได้มากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่เก็บหัวหน้า กัสเอ่ยปรามยามที่เพื่อนสาวเริ่มกลับมาอารมณ์ดี

     

    และจะไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ถ้าหัวหน้าของฝั่งเราโดนชิงเก็บไปเสียก่อน นิกส์เปรยเสียงต่ำ ซีบิลขยับยิ้ม

     

    ก็ถ้าชิงเก็บคิงได้ในครั้งต่อไปก็เรียบร้อยแล้วล่ะครับ เฟรินหัวเราะหึ

     

    อุตส่าห์ต่อหมากให้ตั้งขนาดนี้ ฝั่งนั้นก็ยังกินไม่ลง

     

                    ตั้งแต่ การปิดไฟครั้งแรกหลังเริ่มประทับตรา ฝั่งพวกเฟรินยังไม่เสียสมาชิกไปเลยแม้แต่คนเดียว ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามค่อยๆเสียไปทีละน้อย เริ่มจาก เรนอน อาชูร่าและทิวดอร์ในครั้งแรก ตามด้วยแองเจลีน่า และทิวดอร์ในครั้งถัดมา

     

    เอาล่ะ อาจารย์ผู้นั่งเปิด-ปิดไฟมาสามสี่รอบแล้วคงเบื่อ จึงปรบมือสองสามครั้งเรียกความสนใจ นักเรียนป้อมอัศวินที่ใช้เวลาในช่วงสว่างสำหรับวางแผนเสริมช่องโหว่ให้กับ กลุ่มของตนโดยไม่เคยคิดจะชิงโจมตีหันหน้าไปมองอาจารย์สูงวัย

     

    ใครที่ไม่มีตราประทับยกมือขึ้น สามมือชูขึ้นแหวกอากาศโดยอัตโนมัติราวกับอาจารย์กล่าวคำอาญาสิทธิ์ ซีบิลกับคาโลนั้นอยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว แต่มือที่สามนั้นทำให้ทั้งคนเป็นคนตายเบิกตากว้าง มองเจ้าของมืออย่างไม่อยากจะเชื่อ และนั่นรวมไปถึงเจ้าของมือด้วย

     

    เฮ้ย?!” แทบทุกคนอุทานพร้อมกันจนกลายเป็นเสียงเดียว ในขณะที่สมาชิกในกลุ่มของคนไร้ตราประทับคนที่สามล้วนแล้วแต่เอามือตบหน้าผาก ดังป้าบกันถ้วนหน้า

     

    ไหงงี้อ่ะ?!” คนที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองผิดตรงไหนถามหาข้อผิดพลาด

     

    ก็อยากไม่จับมือกับซีบิลเองนี่นา นิกส์ถอดถอนอ่อนใจ ในขณะที่โรและคิลที่อยู่อีกฟากของห้องส่ายหน้าแล้วพ่นลมหายใจออกเบาๆจนดูราวกับลอบหัวเราะ

     

    แล้วพวกแกอ่ะ เฟรินร้องถามสมาชิกอีกสองคนที่เหลือที่ไม่ได้ยกมือราวกับจะร้องประท้วง

     

    เรียบร้อยไปแล้ว นิกส์และกัสประสานเสียงกันพลางยกมือขึ้นชูตราประทับรูปสามเหลี่ยมสีแดงให้หญิงสาวดูแทนหลักฐาน

     

    ตั้งแต่เมื่อไรวะ ทำไมฉันถึงไม่เห็นรู้เรื่อง ดูเหมือนว่าแค่ตราประทับจะยังไม่น่าพอใจสำหรับหญิงสาว

     

    ก็ตอนที่แกกำลังหัวเสียอยู่นั่นไง ข้อนี้กัสเป็นคนตอบให้แทน

     

    ใจเย็นๆไว้ครับ เดี๋ยวค่อยประทับตราก็ยังทัน ซีบิลปลอบหญิงสาวที่ทำท่าเหมือนกับกำลังจะสติแตก น้ำเสียงยังคงใจเย็นเรียบเรื่อย ซึ่งก็โดนดวงตาสีน้ำตาลขึงคมมาให้แทนคำขอบคุณ

     

    เอาล่ะ อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้วว่ามีหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ประทับตรานะ ระวังด้วยล่ะ เสียงอาจารย์ผู้สังเกตการณ์ออกปากเตือนรวมๆ แล้วเสริมต่อเมื่อเห็นว่าซีบิลทำท่าเหมือนจะเคลื่อนเข้าไปไกล้เฟรินเพื่อประทับตรา

     

    อย่าพยายาม ตราบใดที่ฉันยังไม่บอกให้เอามือลง พวกเธอสามคนก็ไปไหนไม่ได้ อ้อ แน่นอน รวมไปถึงสมาชิกในกลุ่มด้วย

     

                    ราว กับเห็นใครสักคนขึงตามาให้แทนคำตอบรับ อาจารย์ประจำวิชาไหวไหล่แล้วถอยออกไปยืนริมห้องไม่ให้เป็นที่สะดุดตาแล้วปรบ มือสองสามครั้ง มือสามข้างที่ยกค้างอยู่กลางอากาศจนมาถึงเมื่อครู่ก็ตกลงมาข้างลำตัวแทบจะใน ทันที พร้อมๆกับที่ร่างบางของหนุ่มน้อยนักบวชถูกเข้าประชิดตัว

     

    ซีบิล!!” เสียงร้องเรียกชื่อจากสมาชิกลุ่มนั้นฟังดูตระหนกถึงขีดสุด และที่มากที่สุดก็เห็นจะเฟริน เจ้าหญิงหัวขโมยคนงามแทบจะกระโดดพรวดเดียวเพื่อเข้าถึงตัวนักบวชหนุ่ม แต่ทว่า เจค สวอนผู้ไวกว่าก็คว้าร่างของนักบวชหนุ่มไปได้เสียก่อนโดยที่ยังไม่มีใครทัน ได้ตั้งตัว

     

                    ภาพ ของซีบิลที่ถูกอีกฝ่ายคว้าตัวไปได้นั้นเรียกให้สายตาทุกคู่ภายในห้องกว้าง นั้นหันไปมอง ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้ากลุ่มของอีกฝ่ายอย่างคาโล

     

                    ซีบิลยังตีสีหน้าสงบ แม้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์น่าสิ่วหน้าขวาน

     

    คุณเจค ซีบิลเรียกเพื่อนร่วมชั้นปีที่กำลังจะลงมือแต้มปากกาสีใส่ตน น้ำเสียงยังฟังดูใจเย็นผิดกับสถานการณ์ที่กำลังจะถูกฆ่า

     

    คุณเจคแน่ใจได้ยังไงครับว่าผมเป็นหัวหน้ากลุ่ม คำถามของซีบิลทำให้เจคชะงักมือ

     

    ไม่ต้องมาถามให้เขวเลย ฉันไม่โดนแกหลอกง่ายๆหรอก เจคตอบปัดคำถามของซีบิลและเตรียมจะลงมืออีกครั้ง แต่ซีบิลก็เอ่ยขัดตาทัพอีกครั้ง

     

    ตัดสินจากที่ผมไม่มีตราประทับใช่ไหมครับ แม้ในใจเจคจะเถียงว่า ไม่ใช่โว้ย! แต่เพราะแกต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ!! แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่า

     

    เออ!” ซีบิลขยับยิ้มหวานเย็นใจ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองไปที่หญิงสาวคนเดียวที่ยังเหลือในเกมที่วิ่งเข้า มาใกล้ แล้วแตะตัวกับนักบวชหนุ่มทันก่อนที่ปากกาสีที่ถูกป้ายลงกับตัวของชายหนุ่ม เพียงชั่วเสี้ยววินาที

     

    งั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยแล้วกันนะครับ แถบสีเหลืองปรากฏขึ้นบนท่อนแขนด้วยฝีมือปากกาสี พร้อมๆกับที่ซีบิลชูฝ่ามือขึ้นให้เจ้าหนุ่มโจรสลัดดู

     

                    เจ คผงะถอยหลังแทบจะในทันทีที่เห็นฝ่ามือของเพื่อนหนุ่ม ตาสลับมองไปมาระหว่างซีบิลที่ขยับยิ้มใจเย็น และเฟรินที่เอามือทาบอกแล้วถอนหายใจแรงอยู่ไม่ห่างกันนัก โดยที่นิกส์และกัสยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ

     

    แก!!” สามเสียงคำรามขึ้นพร้อมกัน สายตาทั้งหมดละไปจากละครที่ดูเหมือนกำลังจะจบไปมองอีกสองเสียงที่ไม่น่าจะแทรกขึ้นมาได้แทบจะในทันที

     

    เสียใจด้วยนะ โรและคิลพูดพร้อมกันพลางแย้มยิ้มราบเรียบ ในมือปรากฏปากกาสีเวทย์มนตร์ ในขณะที่ร่างของครี้ดและโคลว์ปรากฏร่องรอยถูกแต้ม

     

    พวกเราน่ะ ไม่ว่าเมื่อไรก็อยู่ข้างเฟรินเสมอนั่นแหละ สามเสียงของโร คิล และซีบิลดังประสานกัน มือสามข้างชูขึ้นแหวกอากาศ จนสามารถมองเห็นตราประทับรูปสามเหลี่ยมสีแดงบนฝ่ามือทั้งสามได้อย่างชัดเจน และนั่นก็แทบจะแทนคำเฉลยของเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันที

     

                    ไม่ ทันขาดคำดี คิลและโรก็เคลื่อนตัวเข้าไปทางเจ้าชายแห่งคาโนวาล เตรียมกับการถูกฆ่าเพื่อให้ได้จบเกม และแน่นอนว่าคงไม่ต้องเดาผลให้ยุ่งยาก คาโลจำต้องออกไปจากเกมเป็นคนสุดท้าย เพื่อให้การสอบสิ้นสุดลงโดยมีฝั่งของเฟรินเป็นฝ่ายชนะ

     

                    เสียง ปรบมือดังขึ้นจากอาจารย์ที่ก้าวเข้ามายืนอยู่กลางห้องทันทีที่การสอบสิ้นสุด ลง โรและคิลเดินกลับมารวมกลุ่มกับพวกเฟริน โดยได้รับการต้อนรับเป็นการแปะมือกลางอากาศกับเฟริน

     

    ยอดเยี่ยมมาก วางแผนซ้อนสองชั้น และยังทำให้การสอบครั้งนี้ไม่มีใครที่ได้ศูนย์อีกด้วย แทบไม่มีใครตั้งใจฟังอาจารย์สูงวัย เฟรินเดินเดินยิ้มลุกแก่โทษไปหว่านล้อมคาโลให้มันเลิกใช้สายตาคมๆที่ราวกับ จะให้ทะลุร่างเจ้าหล่อนเสียที

     

    เอาล่ะ ฉันถามหน่อยได้มั้ยว่าใครเป็นคนวางแผน อาจารย์ไม่สนว่าจะแทบไม่มีใครฟัง ยังคงถามต่อไป

     

    กัสเป็นคนเสนอเรื่องตัวล่อฮะ ส่วนนิกส์เป็นคนเสนอเรื่องไส้ศึก เฟรินที่แม้จะไม่ตั้งใจฟังนักก็ยังอุตส่าห์เงยหน้าขึ้นมาตะโกนตอบอาจารย์ได้

     

    หืม... อาจารย์ครางในลำคอเหมือนกำลังใช้ความคิด

     

    เรื่อง ปฏิบัติกัสยกให้เฟรินเป็นคนกำกับ เพราะจะดีกว่าถ้ามีการสร้างสถานการณ์บางอย่างก่อนที่จะส่งไส้ศึกเข้าไป และจะดีมากถ้าเป็นเรื่องการมีปากเสียง คิลชิงตอบต่อจากเฟริน โดยละหมายเหตุไว้ว่าคงใครจะเหมาะกับหน้าที่มีปากเสียงมากไปกว่าเฟริน แน่นอนว่าเจ้าตัวคงไม่ได้สำนึกถึงเรื่องนี้ แค่เล่นไปตามบทเท่านั้น

     

    ส่วนเรื่องตัวแทนทุกคนก็ลงความเห็นไปที่ซีบิลโดยไม่มีใครคัดค้าน โรอธิบายต่อ โดยหมายเหตุไว้ในใจว่าเพราะพฤติกรรมส่วนตัวของนักบวชหนุ่มเอง

     

    อืม... หมายความว่าคนวางแผนเป็นกัส เดอะ พรีสต์ แล้วก็ นิกส์ เดอะ ซอร์ดแมน ส่วนคนปฏิบัติคือสมาชิกที่เหลือสินะ อาจารย์พยักหน้าเตรียมจะจดบันทึกลงในปึกกระดาษ

     

    อาจารย์กำลังเข้าใจผิดนะครับ กัสแย้งชายสูงวัยไว้ก่อนที่เขาจะได้ทันจรดปากกา

     

    แผนลวงที่ใช้กันนี่เป็นแค่แนวคิดจากผมกับกัส ส่วนคนที่ทำให้เป็นรูปเป็นร่างคือเฟรินกับซีบิลครับ นิกส์เสริมคำให้กับคำแย้งของกัส คนเป็นอาจารย์พยักหน้ารับรู้ แล้วจรดปากกาลงกับกระดาษ ปากกาตวัดไปมาอยู่ชั่วครู่ แล้วเขาก็เก็บกระดาษลง ปรบมือเรียกความสนใจจากนักเรียนทั้งห้อง

     

    เอา ล่ะๆ ก่อนจะปล่อยก็ขอประกาศอย่างจริงๆจังซะทีแล้วกัน ผู้ชนะในการสอบครั้งนี้คือ กลุ่มของเฟลิโอน่า เกรเดเวล เดอะ ปรินเซส ออฟ บารามอส แอนด์ เดมอส!” กลุ่มของเฟรินยืนล้อมกันเป็นวงกลม แล้วประกบมือเสียงดัง พร้อมยิ้มกว้างให้แก่กัน เพื่อเป็นรางวัลแห่งชัยชนะ ทั้งชัยชนะในการสอบ และในการเดิมพันด้วย

     

    ก่อน จะออกไปจากห้องก็อย่าลืมเอาเจลล้างสีออกด้วยล่ะ ฉันเอาแขวนไว้ที่หน้าประตูห้องแล้ว ตราประทับก็ล้างๆออกไปซะด้วยนะ แล้วอย่าไปปากโป้งบอกเรื่องการสอบนี่กับพวกหออื่นเข้าล่ะ... เสียงของอาจารย์สูงวัยค่อยๆเบาบางลงจนเกือบจะไม่ได้ยิน ภาพของนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวกันออกไปที่หน้าประตูเองก็ค่อยๆ จางลงจนเลือนหายไปในที่สุด

     

                    ม้วน หนังสือครีมที่เริ่มมีราจับหยุดฉายภาพจำลอง แล้วกลับกลายไปเป็นภาพเขียนสีที่มีคำบรรยายใต้ภาพว่า ข้อสอบปลายภาควิชาหน้ากากฟาโรห์ของนักเรียนป้อมอัศวินชั้นปีที่ห้า ประจำปี AD1114 คนมือบอนที่อุตส่าห์ไปคุ้ยม้วนหนังนี้มาได้จากซอกหลืบของห้องสมุดมองหน้าคน ที่พยายามจะปราม แต่สุดท้ายก็มาร่วมหัวจมท้ายดูพร้อมๆกันหมดสามคน

     

    พวกเราควรจะสำนึกในความโชคดีใช่ไหม เจ้าหนุ่มมือบอนหน้าหวานสวยจนกระเดียดไปใกล้ผู้หญิง ฟริงค์ เดอเบอโรว์ ถามเสียงต่ำ แล้วหัวเราะแห้งๆ ภาพเคลื่อนไหวของการสอบในสมัยก่อนของโรงเรียนพระราชายังติดตา ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องอยู่ที่ภาพวาดบนแผ่นหนัง ขณะที่มือข้างที่ว่างก็พยายามปัดปอยผมสีน้ำตาลไม่ให้เกะกะลูกกะตา

     

    ฉันคิดว่าควรจะอย่างงั้น คำตอบสั้นๆดังมาจากเจ้าหนุ่มผมเงินใบหน้าเรียบเฉย ทว่าดวงตาสีฟ้าขุ่นของ คาร์ล อัลเลโกรนั้นเปล่งประกายยามจ้องลวดลายสายเส้นสีของภาพสีบนแผ่นหนัง

     

    ฉันคิดว่าพวกเราควรจะเอาม้วนหนังแผ่นนี้ไปไว้ที่เดิมก่อนที่ใครจะมารู้เข้า ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่มือของ รัลด์ คาทรอสกลับไม่ยอมปล่อยจากแผ่นหนัง ดวงตาสีเขียวมรกตนั้นฉายแววเคลือบแคลงระคนยินดีไปในคราวเดียวกัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมชาปรากฏรอยยิ้มประหลาด ที่จะว่ากระอักกระอ่วนก็ไม่ใช่ ดีใจก็ไม่เชิง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่

     

                    เขา เห็นภาพของท่านพ่อ ที่ทอดสายตามองควีนแห่งคาโนวาลในอดีตด้วยสายตาเกินกว่าที่จะเป็นสายตาที่ใช้ มองเพื่อนธรรมดา แม้ใบหน้าจะยังเรียบเฉย แย้มยิ้มบางกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่สามารถปิดร่องลอยหวานลึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาสีเขียวคู่นั้นได้ เขารู้ดี ดวงตาสีมรกตเหลือบไปมองหนุ่มน้อยหน้าหวานแสนโสภา เพื่อนร่วมห้อง ที่ดวงตาสีน้ำตาลของมันตอนนี้ฉายแววระริกยินดีเมื่อได้เห็นภาพในอดีตจากม้วน ภาพที่เจ้าตัวไปคุ้ยเจอโดยบังเอิญหลังจากต้องมาหมกตัวอยู่ในห้องสมุดอยู่นาน สองนาน ผู้ชายด้วยกันมักจะมองผู้ชายด้วยกันออกเสมอ

     

                    เพื่อน ร่วมห้องที่เคยคิดว่ามันเป็นผู้ชายมาตลอด แต่พอปีสามมานี่ก็เกิดอุบัติเหตุบางอย่างทำให้เขารู้ว่ามันเป็นผู้หญิง แต่ปลอมเป็นผู้ชายเข้ามาเรียน ความรู้สึกประหลาดที่กระจุกอยู่ข้างในนั้นคลายตัวลงบ้างยามรู้ว่าไอ้ตัวเล็ก เพื่อนของเขานั้นเป็นผู้หญิง แม้จะยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดีก็ตาม

     

    คาร์ล ฟริงค์ เก็บเถอะ พวกเรายังมีรายงานที่ต้องทำอีก ชายหนุ่มนักเรียนปีสามของป้อมอัศวินออกปากเตือนเพื่อนร่วมห้อง หลังจากที่ตัวเองตัดใจปล่อยมือจากแผ่นหนังได้ในที่สุด

     

                    คาร์ ลพยักหน้ารับ แล้วปล่อยมือไปง่ายๆ ในขณะที่ฟริงค์ยังทอดสายตาอาลัย มือบางของมันลูบไล้ไปที่ภาพของควีนแห่งคาโนวาลในปัจจุบัน หรือเจ้าหญิงเฟลิโอน่าในภาพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรวบแผ่นหนังม้วนแล้วเหมือนเดิม แล้วเก็บเข้าที่เดิมที่ตัวเองคุ้ยเจอ

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    จบชอร์ตฟิค

    ขอลดกะฟิคบารามอส จากเทอม(หรือปิดเทอม)ละเรื่องเหลือแค่ปีล่ะเรื่องท่าจะดี

    เอาล่ะ เดาเอาสนุก เด็กสามคนนี้เป็นใครบ้างเอ่ย

    แน่ล่ะ คนนึงเป็นลูกเฟรินแน่ๆ จากนามสกลุเดอเบอโรว์ที่เราจงใช้เอามาใช้โดยเฉพาะ ไม่ต้องเดาให้เมื่อยตุ้ม

    หรือจะลองทายชื่อจริงเจ้าหล่อนเล่นก็ได้สนุกๆ

    ที่เหลืออีกสองล่ะ ใครดี เราคิดว่าหนึ่งในนั้นคงจะเดาได้ไม่ยาก แต่คนที่เหลือนี่สิ อยากให้ทาย

    ระหว่างอ่านที่เรากำลังจะบ่นๆนี่ไปพลางก็คิดไปด้วยนะฮะ จะเฉลยตอนท้าย

    โครงเรื่องนี้คิดมาได้อย่างปุบปับตอนกำลังอ่านหรือทำอะไรอยู่ซักอย่างก็จำไม่ได้

    รู้แค่ว่าคำแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองอันเป็นหัวใจหลักของฟิคนี้ก็คือ "ขอโทษทีนะคาโล แต่ไม่ว่าเมื่อไรฉันก็อยู่ข้างเฟรินเสมอนั่นแหละ"

    เอาล่ะ ในฟิคปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อให้ครอบคลุมความหมายและบุคลิกเวลาพูดพร้อมกันสามคน

    แต่ความจริงแล้วตอนที่ได้ยิน(ก็ไม่เชิงหรอก เห็นมากกว่า)ประโยคนี้ครั้งแรกในสมอง โรเป็นคนพูดตนเดียว

    พร้อมกับยกมือชูตราประทับสีแดงขึ้นด้วยท่าทางที่เป็นโร(ห้ามถามว่ายังไง อธิบายไม่ถูก แต่เห็นภาพแล้วได้ใจมาก)

    แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆปะติปะต่อเรื่องจากแถวนั้น ขยายไปข้างหน้าแล้วก็ข้างหลังจนเสร็จสิ้นข้อสอบไปอย่างที่เห็น

    ส่วนเนื้อเรื่องของเด็กสามคนนั่นเสริมเข้ามาทีหลังสุด ด้วยอารมณ์ชั่ววูบจริงๆ

    เขียนทิ้งไว้เผื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเนื้อเรื่องขยายได้ในภายหลัง (ถ้ามีเวลาและอารมณ์)

    ดังนั้นด้วยเหตุนี้เอง ฉากที่เราประทับใจที่สุดจึงไปฉากที่พูดข้อความนั้นขึ้นมานั่นแหละ

    แต่ที่ประทับใจคือทีมเฟรินทั้งทีม เพราะเนียน (เอาล่ะ เราอาจจะเขียนไม่เนียน แต่ในฝันมันเนียนมากจริงๆ)

    โรและคิลที่ประทับตราจากเฟรินก่อนใคร แต่ไปแฝงตัวอยู่กลุ่มคาโล ตบไหล่พ่อเจ้าชายน้ำแข็งเพื่อทำทีรับตราประทับ

    กัสและนิกส์ที่มาประทับตรากับเฟรินอย่างเนียนๆ

    ซีบิลที่เนียนเป็นหัวหน้ากลุ่มมาจนเกือบจะจบเกมส์ และเกือบจะยอมออกจากเกมส์เพื่อให้ทีมชนะ

    ส่วนเฟริน เจ้าหล่อนกะโตกกะตาก ในฝันเรา เธอเนียนกว่านี้ แต่นี่ก็สุดฝีมือแล้ว ขออภัยจริงๆ

    แล้ว ถ้าถามถึงตัวละครที่ประทับใจที่สุด คงเป็นซีบิล เพราะเนียนมาก (โรกับคิลก็เนียน แถมเสี่ยงกว่าด้วย แต่ไม่รู้สิ เราเทให้ซีบิลมากกว่าแฮะ) กับอาจารย์ เพราะกวนได้ใจ

    ขอสารภาพเลยว่าตอนเขียนฟิคนี้ต้องกลับไป เช็คข้อมูลหลายรอบมาก ทั้งชื่อตัวละคร ทั้งปีศักราช ถ้าไม่ใช่ตัวละครคุ้นมือที่เขียนถึงบ่อยๆล่ะก็ จำไม่ได้เลยสักนิด

    เรื่องนี้เขียนยากตรงที่ต้องไม่บอกแต่แรกว่าที่จริงแล้วซีบิลเป็นแค่ตัวล่อ แต่ห้ามพูดโกหก

    (ตวามจริงจะเขียนให้โกหกแล้วมาเฉลยก็ได้อยู่หรอก แต่แบบนั้นมันไม่ท้าทายอ่ะ) นั้นก็คือทำยังไงก็ได้ให้เขียนแล้วเนียนที่สุด

    (ซึ่ง เอาล่ะ เราคงไม่เนียนนัก แต่นี่ก็สุดฝีมือแล้ว) แล้วต้องเขียนให้บลั๊ฟให้ได้ทั้งตัวละครฝั่งตรงข้ามเฟริน อาจารย์ และที่สำคัญที่สุดคือคนอ่าน

    ถ้าบลั๊ฟคนอ่านให้เชื่อว่าซีบิลเป็นหัวหน้ากลุ่มไม่ได้ ฟิคนี้ก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ (ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าคงไม่ประสบความสำเร็จ)

    ในเรื่องมีการเปรียบเทียบสมาชิกในทีมเป็น เรือ ม้า แล้วก็บิชอป ความจริงมีคำพูดนึงที่อยากใส่ แต่หาที่ใแทรกไม่ได้เลยตัดทิ้งไป

    คำพูดที่ว่า "ก็ทีมเราไม่มีคิง แล้วจะโดนรุกฆาตไปได้ยังไง" ไม่กำหนดแน่นอนว่าใครพูด รู้แค่อยากใส่ แต่ปรากฏว่าหาที่ลงไม่ได้เลยอด

    ตาม ความเข้าใจในช่วงแรก เรือคือนิกส์ ม้าคือกัส(หรือเฟริน แล้วแต่จะมอง) และบิชอปคือซีบิล(หรือกัส แล้วแต่จะมอง) แต่จริงๆแล้วจัดแบบนี้ เรือคือนิกส์ ม้าคือคิลกับโร แล้วบิชอปคือซีบิลกับกัส โดยมีเฟรินเป็นคนเดินหมาก(ไม่ใช่คิง)

    จัดตำแหน่งจากหน้าที่ เรือคือนิกส์ ไว้ป่วนคนอื่น ม้าคือคิลกับโร ไว้เขี่ยหมากฝ่ายตรงข้าม ส่วนบิชอปคือกัสกับซีบิล เพราะเหลี่ยมจัดกว่าใคร แล้วคนเดินหมากเป็นเฟรินนั้นคงไม่ต้องหาเหตุผลมารองรับเพิ่มเติม

    ส่วน เรื่องทำไมเฟรินไปอยู่คนละฝั่งกับคาโลนั้น... แล้วแต่จะคิด อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าเราเขียนคาโลไม่เวิร์ก ถ้าทำได้ก็อยากจะโยนมันไปไว้ไกลๆ ทำยังไงก็ได้ให้เขียนถึงมันให้น้อยที่สุด

    ในใจคิดเหตุผลมารองรับไว้ว่า เฟรินกับคาโลอาจจะทะเลาะอะไรเล็กๆน้อยๆมาก่อน หรืออะไรสักอย่าง แต่ก็แล้วแต่จะคิด

    มาๆ สุดท้ายแล้ว เรื่องเด็กสามคนนั้น ไหนๆก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เขียนถึง ก็เฉลยให้หมดเปลือกไปเลยแล้วกัน

    คนแรก ฟริงค์ เดอเบอโรว์ เห็นนามสกุลคงไม่ต้องถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่มาดูตื้นลึกหนาบางกันนิดนึงพองามแล้วกัน

    เจ้า หล่อนมีชื่อจริงว่า ฟรีเซีย วาเนบลี ปีสามป้อมอัศวิน ห้องหัวหน้าชั้นปี มีพี่ชายสองคน คนนึงอยู่ปีห้าป้อมอัศวิน ยังกำหนดชื่อไม่ได้ แต่ต้องขึ้นต้นด้วยตัว อ ดำรงตำแหน่งเสธขวาอยู่ อีกคนจบไปแล้วเมื่อปีก่อน ฟาลัน วาเนบลี อันเป็นคนที่กำหนดให้คล้ายคาโลเอามากๆ อดีตหัวหน้าป้อมอัศวิน

    อือ... เจ้าหล่อนเป็นน้องเล็ก ฟาลันกับคาโลหวงอย่างกับอะไรดี แต่ยังไงดีล่ะ เพราะมีเฟรินให้ท้าย เลยเข้ามาเรียนในรูปแบบนี้ได้ เจ้าหล่อนคล้ายเฟริน แต่สมเป็นผู้หญิงกว่าเยอะ ที่เข้ามานี่แล้วความไม่แตกได้เพราะเจ้าหล่อนเก่งดาบ แล้วก็เอาตัวรอดเก่ง แถมมีพี่ชายสองคนคอยคุ้มหัว เลยไม่เท่าไร แต่ก็อย่างที่บอกไปในเรื่อง เผอิญมีอุบัติเหตุบางประการที่ยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ทำให้เจ้าหล่อนไปความลับแตกโพละต่อหน้ารัลด์ได้ ความสัมพันธ์ภายในห้องพักหลังจากนั้น ช่วงแรกๆก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อยตอนอยู่ต่อหน้ารัลด์ แต่พอเห็นรัลด์ไม่พูดอะไร ทำตัวเหมือนปกติ ก็เริ่มดีขึ้น และหลังจากคุยเปิดใจกันไปแล้วก็กลับมาเป็นปกติ แต่ล่ะว่าเจ้าหล่อนยังไม่ได้บอกเรื่องความลับแตกนี่ให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว ฟริงค์เป็นที่เอ็นดูของทั้งรัลด์และคาร์ล แต่ไอ้ด้วยความเอ็นดูนี้บางทีก็ททำให้เจ้าหล่อนโวยว่าเหมือนถูกกีดกันบ้าง เป็นบางครั้ง แต่พอคาร์ลมาปลอบก็เงียบไปเป็นพักๆ

    คนต่อไป คาร์ล อัลเลโกร หัวเงิน ตาฟ้า ลูกใครดีเอ่ย... ถูกต้อง มันจะเป็นลูกใครไปได้นอกจากลูกชายกัส(อย่างที่เคยบอกๆไป กัสเป็นตัวละครตัวโปรดตัวหนึ่งของเรา รองๆลองมาจากโรเลยทีเดียว) และเราเดาเอาว่ากัสเป็นเจ้าชายจากกิลดิเรก(ซึ่งค่อนข้างจะชัวร์จากไข่มุกแสง จันทร์ และคำตอบของพี่แรบบิทในไกด์บุ๊ค)หมอนี่จึงมีศักดิ์เป็นเจ้าชายแห่งกิลดิเรก เช่นกัน ใส่มาโดยไม่มีเหตุผล แค่อยากจะใส่มาเป็นตัวแทนกัสเฉยๆ

    หมอ นี่เป็นนักดาบชั้นเยี่ยมเชียวล่ะ(เหมือนกับเรคส์ในฟิคเรื่องก่อน ที่ใช้ฉายาแฝงเป็นนักดาบ) แถมยังใจเย็น ทำหน้าที่คอยถ่วงดุลให้ห้องและชั้นปีอยู่อย่างสงบสุข เป็นคนที่เหมือนจะพึ่งพาได้ แต่ความจริงแล้วก็แทบจะไม่ยุ่งกับอะไรเลย ถึงจะอย่างงั้น แต่เวลารวมหัวกับรัลด์ก็เจ๋งเอาเรื่อง จัดการงานได้เรี่ยมเร้เรไรไม่มีที่ติ เป็นพ่อพระที่ฟริงค์ชอบพึ่งพาเวลาอ้อนเอากับรัลด์หรือพวกพี่ชายไม่ได้ ถึงสุดท้ายแล้วก็จะโดนคาร์ลสั่งสอนกลับไป แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่ติดใจเหมือนกับเวลาถูกพวกรัลด์กับพี่ชายขัดใจ

    และ คนสุดท้ายในเซ็ต รัลด์ คาทรอส(อ่านว่า คา-ทรอส อย่าอ่านผิด) ในเมื่อข้อมูลที่นำมาไม่ได้จัดให้โรคู่กับเฟริน ดังนั้นจึงเกิดเจ้ารัลด์(ชื่อชั่วคราว อาจเปลี่ยนได้หากคนเขียนเจอชื่อที่เหมาะสมกว่า)ขึ้นมา หัวชา ตาเขียว แบบนี้มันจะมีใครไปได้ ลูกเจ้าโรนั่นเอง พูดก็พูดเถอะ ห้องนี้มีแต่พวกบรรดาศักดิ์ปลอมตัวมาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เจ้ารัลด์ ที่เป็นลูกชายคนเดียวของโร

    รัลด์ในความคิดเรานี่เกือบจะเหมือนโร ทุกอย่าง ไม่รู้สิ เป็นโรเลยก็คงได้ เพียงแต่หมอนี่ไม่ได้มีบาดแผลในใจเรื่องพ่อ สภาพจิตใจเลยดีกว่าหน่อยนึงล่ะมั้ง ความสามารถของหมอนี่คือเวทย์มนตร์ ที่ต่างกับโรก็คงตรงที่มันใช้เวทย์มนตร์รักษาได้ดีกว่าล่ะมั้ง รัลด์เป็นหัวสมอง แล้วก็เป็นกล่องยาของห้อง แต่เห็นมันยิ้มๆแบบนี้ ความจริงมันช่างยั่วเอาเรื่อง แต่ยั่วคนและแบบกับที่ฟริงค์เป็น รัลด์เน้นยั่วปนๆกับบลั๊ฟ แต่ฟริงค์นี่ยั่วจริงจัง และเป้าหมายของรัลด์โดยส่วนมากก็คือฟริงค์นี่แหละ สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างก็ตามแต่ แล้วหมอนี่ก็หุนหันเอาง่ายๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรื่องของฟริงค์ด้วยแล้วล่ะก็ สนิทกับคาร์ลมากกว่าที่เจ้าตัวคาดไว้ ไม่ว่ามีอะไรก็ปรึกษาคาร์ลก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยรวมหัวกันตัดสินว่าเรื่องที่เอามาปรึกษานั้นเอาไปบอก ฟริงค์ได้หรือไม่ แต่ถึงจะอย่างงั้น รัลด์ก็ยังไม่ยอมบอกคาร์ลอยู่ดีว่าฟริงค์เป็นผู้หญิง ด้วยเหตุผลบางประการที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังนึกไม่ออก

    สำหรับหน้าที่ หัวหน้าชั้นปีของมันก็ทำได้ไม่เลวนัก ไม่เหมือนฟริงค์ ที่ถ้าไม่ชอบใจก็ไม่จับเลย รัลด์เป็นคนที่วนไปเวียนมาเกี่ยวกับงานของหัวหน้าป้อมมากกว่าใคร ส่วนฟริงค์มีหน้าที่รับงานที่แจกแจงเสร็จแล้วมาทำต่อ บางทีเจ้าหล่อนก็เข้าไปช่วยบ้างบางครั้งที่มีอารมณ์อยากช่วย รัลด์คลุกคลีกับสภาสูงเป็นอย่างดี และมีวี่แววว่าจะได้ตำแหน่งในสภาสูงในอนาคตด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไปทำให้ฟาลันเขม่นหน้าเข้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

    ประมาณนี้แหละฮะ โอเคนะฮะ

    อ่านให้สนุก แล้วว่างๆก็แวะไปอ่านเลทีอากันบ้างล่ะฮะ

    ขอบคุณล่วงหน้า

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×