ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fanfic] หัวขโมยแห่งบารามอส เรื่องราว หลังจากนั้น

    ลำดับตอนที่ #66 : ชอร์ตฟิคแรกประจำปี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.75K
      7
      12 มี.ค. 53

    Short Fic TToB

    Title : ราชินีแห่งทริสทอร์

    Time : เวลาก่อนเกิดเรื่องในฟิคที่เขียนลงเว็บเมื่อประมาณปีก่อน

    Note : เขียนเอาใจตัวเอง เรายังสนับสนุนโรอยู่ฮะ แต่อยากลองเขียนแบบนี้ดูซักครั้ง ดูเหมือนว่าพล็อตเรื่องจากฟิคที่แล้วจะใช้ได้ เพราะตอนนี้มีพล็อตขึ้นมาให้เขียนเต็มไปหมด ถ้าโชคดี บางทีเราอาจจะเอาลงอีกฟิคนึงในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้(ถ้าเขียนไหว และเขียนทัน) เขียนแล้วขัดใจนิดหน่อยที่เขียนไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็เอาเถอะฮะ ดับกระหายอยากเขียนนิยายไปได้หน่อยนึง สามวันสิบสองหน้า ก็ไม่ช้าไม่เร็วล่ะนะ และอีกเรื่องนึง สำหรับสาวกคาโลทั้งหลาย ฟิคเรื่องนี้ ไม่มีบทคาโล เชิญทัศนาฮะ

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    “ฝ่าบาท” เสียงเรียกจากเบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ ดวงตาสีมรกตเหลือบไปมองเจ้าของเสียง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

    “วันศุกร์ช่วยทำกำหนดการให้ว่างไว้ด้วยนะพะย่ะค่ะ” ริ้มฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ฟัง

    “นั่นเป็นคำสั่ง?” ชายหนุ่มย้อน ขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงถามกลับ น้ำเสียงเรียบเฉย ทว่ารอยยิ้มนั่นกับดวงตาสีมรกตแพรวพราวนั่น ทำให้คนสูงไวหวั่นใจวิบๆ กลัวว่ากษัตริย์หนุ่มตรงหน้าจะเล่นตลก

    “ใครจะไปบังอาจออกคำสั่งแก่คิงโร เซวาเรส แห่งทริสทอร์กัน” คนเป็นกษัตริย์ตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้น

    “ก็เห็นสั่งได้สังดีอยู่เรื่อยนี่นา” ว่าพลางก็หันมาใส่ใจแก่เอกสารที่อยู่เบื้องหน้าแทน แต่ก็ไม่ลืมตวัดสายตาไปพอเป็นเชิงให้รู้ว่า ที่สั่งได้สั่งดีอยู่เรื่อย นั่นน่ะ คือใคร ให้อีกฝ่ายหนาวๆร้อนๆเล่น

    “ว่าแต่ มีเรื่องอะไรอีกล่ะ” ปากก็ว่าไปนั่น แต่ก็ถามถึงสาเหตุแห่ง คำสั่ง ของอีกฝ่าย

    “เอ้อ... คือว่า วันนั้นเป็นวันนัดพบกับ...” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ ฝั่งกษัตริย์หนุ่มก็สวนขึ้นมาเสียก่อน

    “อ๋อ ดูตัวสินะ” โรว่าพลางก็วงไปที่บางจุดในเอกสารตรงหน้า ผู้มารายงานเรื่องนี้รู้สึกร้อนขึ้นมากระทันหัน เหงื่อไหลอาบเมื่อนายเหนือหัวรู้ว่าตัวเองมาพูดเรื่องอะไร แต่อีกฝ่ายกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าที่มีรอยยิ้มบางฉาบอยู่แม้แต่น้อย

    “คนที่เท่าไรแล้วล่ะ” ไม่รู้ว่าฝั่งคนเป็นกษัตริย์อยากจะยั่วคนสูงวัยคนนี้รึเปล่า ถึงได้ถามคำถามชวนหายใจวายแบบนี้ออกมา

    “เอ่อ...” ผู้สูงวัยอดไม่ได้ต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ พลางก้มมองเอกสารในมือ “คนนี้เป็นคนที่สามสิบแปดแล้วพระเจ้าค่ะ” คนฟังฟังแล้วก็ต้องผิวปากหวือ อย่างขัดกับภาพพจน์กษัตริย์

    “เยอะขนาดนี้แล้วยังไม่ถอดใจอีกนะ พวกเสนาบดีอย่างพวกท่านเนี่ย” พูดแซวแล้วก็ขยับปากกาขนนกเซ็นแกร็กลงบนเอกสาร ก่อนจะหยิบไปไว้อีกฝั่ง ในกองที่มีเอกสารมากกว่า

    “มิบังอาจหรอกพระเจ้าค่ะ” เสนาบดีสูงวัยค้อมศีรษะลงยามถูกคนอ่อนวัยกว่าค่อนเอา

    “เอาเถอะๆ เราจะพยายามก็แล้วกัน” เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่คำมั่นแบบที่ต้องการ แต่แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว

    “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอ...” ทั้งๆที่เตรียมตัวจะเผ่น แต่กษัตริย์หนุ่มกลับห้ามไว้เสียก่อน

    “อย่าเพิ่งสิ ไหนๆก็มาแล้วก็เอาพวกนี้ไปที” โรพูดพลางผลักกองเอกสารที่เรียงตั้งสูงด้านข้างตนไปให้เสนาบดีสูงวัย

    “เราเข้าใจว่าพวกท่านยุ่ง แต่นี่เป็นเอกสารบ้านเมือง ช่วยรอบคอบให้มากกว่านี้หน่อยก็จะดี” คำพูดแบบนั้นหมายความว่าอีกฝ่ายกำลังค่อนขอดเรื่องที่พวกเสนาบดีๆแก่ๆอย่างพวกเขาพยายามจับคู่ให้กษัตริย์หนุ่มหมาดๆคนนี้อย่างเอาเป็นเอาตายจนไม่เป็นอันทำอะไร

    “ตั้งแต่อ่านมานี่มีใช้ได้ไม่ถึงครึ่ง” มือเคาะลงบนกองกระดาษอีกกองข้างๆที่มีจำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด พลางโคลงหัวช้าๆ พึมพำเสียงเบา “ขนาดเฟรินยังทำได้ดีกว่า”

    “ต้องขอประทานอภัย” โรโบกมือไล่ เสนาชรารับกองเอกสารไปถือแล้วเตรียมจะออกจากห้องทรงพระอักษร แต่ก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง

    “เอ้อ แล้วคราวนี้อีกฝ่ายเป็นใครล่ะ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ออกปากถามถึงคู่ดูตัวของตน

    “หลานสาวของท่านอดีตที่ปรึกษาพะย่ะค่ะ” โรพยักหน้า

    “หลานสาวของท่านอัลเบิร์ตสินะ” เมื่อเห็นว่ากษัตริย์ที่อ่อนคราวหลานของตัวเองไม่มีอะไรแล้ว จึงหันหลังแล้วจะออกไปจากห้องทำงานส่วนพระองค์เสียที จะได้เอาความผิดพลาดกองเบ้อเร่อในมือนี้ไปแปะหัวล้านๆของผู้ร่วมขบวนการเรียงตัวด้วย

                แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู ประตูก็เปิดพรวดพราดขึ้นมาก่อน เล่นเอาคนแก่อย่างเขาแทบจะหัวใจวาย

    “อ๊ะ ขออภัยขอรับ ท่านเสนาบดีแฟรงค์” หัวหน้าทหารเวรคนใหม่ที่พรวดพราดเข้ามาขออภัยอย่างรีบร้อน แต่กษัตริย์เจ้าของห้องกลับเพียงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

    “ฝ่าบาท!” ทหารหนุ่มหมดความสนใจในตัวของคนแก่อย่างเขาทันทีเมื่อสังเหตเห็นฝ่าบาท

    “มังกรดำพะย่ะค่ะ!” ทหารหนุ่มระล่ำระลักรายงาน “ควีนเฟลิโอน่าเสด็จพะย่ะค่ะ!” คนฟังฟังแล้วก็หัวเราะพรืด โคลงหัวช้าๆ

    “มาทีเล่นเอาคนอื่นเขาหัวปั่นหมด สมกับที่เป็นเฟรินจริงๆ” กษัตริย์หนุ่มวางปากกาขนนกในมือลงแล้วลุกจากโต๊ะ ผายมือเป็นเชิงให้นายทหารเป็นผู้นำทางไป

                คนสูงวัยมองภาพนั้นเงียบๆไม่พูดไม่จา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็เพราะกษัตริย์ของพวกเขาเป็นเสียแบบนี้ ทำให้ต้องรีบจับคู่ให้ฝ่าบาทคนนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเกิดนึกอยากเล่นพิเรนทร์ไปหยามคาโนวาล ชิงควีนชาวบ้านเขามาเสียดื้อๆ

                เขาเคยเข้าเฝ้าระหว่างที่คิงแห่งทริสทอร์ของเขา และควีนแห่งคาโนวาลกำลังคุยกันอยู่บ้างหรอก เนื้อความของทั้งคู่ก็ไม่มีอะไรนอกเสียไปจากหมากรุกหนึ่งกระดาน พร้อมด้วยคำกระเซ้าเย้าแหย่ไปตามประสาคนรู้จัก แต่คนแก่อย่างพวกเขาก็ยังไม่วางใจ

                แววตาของกษัตริย์หนุ่มเจ้าของผมสีชานั่นมันชวนให้วางใจเสียที่ไหน แววตาที่บ่งบอกว่ารักเสียจนปิดไม่มิดแบบนั้น

                แม้ควีนเฟลิโอน่าจะยังไม่เล่นด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งช่วงหลังๆนี่ควีนเฟลิโอน่าเสด็จทริสทอร์บ่อยเหลือเกิน เล่นเอาพวกคนแก่อย่างพวกเขาหายใจไม่ทั่วท้อง

                ใครๆก็รู้ว่าคิงคาโล กษัตริย์องค์ปัจจุบันของคาโนวาลนั้นรักราชินีของตนเองมากเพียงใด แล้วถ้าเผื่อกษัตริย์ของพวกเขานึกสนุกอยากจะกระตุกหนวดเสือขึ้นมา แค่คิดก็หายนะแล้ว

                ถึงคิงของพวกเขาจะไม่ได้ง่อยกระรอก ได้ยินมาว่าตอนสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนพระราชาก็เก่งกาจไม่เบา ไอ้ที่ตั้งตัวเป็นปริปักษ์กับเจ้าชายคาโลแห่งคาโนวาลก็พอมีข่าวลืออยู่มา แต่ตอนนี้จะไปท้าทายคาโนวาลก็ใช่ที่

                แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เสนาบดีชราออกเดิน ด้วยความเหนื่อยใจเหลือเกิน กษัตริย์ของพวกเขาก็ใช่ว่าดูไม่ได้เสียที่ไหน ถ้าต้องการแล้วล่ะก็ จะหาผู้หญิงที่สวยแค่ไหนมาก็ได้ เขาล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฝ่าบาทถึงต้องติดใจอยู่แต่กับธิดาแห่งความมืดคนเดียวด้วย

                พวกเขาพยายามอย่างยิ่งในการจะหาควีนให้กับคิงของตน สาเหตุที่ว่ากลัวไม่มีทายาทสืบทอดมันก็ใช่ แต่ตอนนี้เขากลัวสงครามกับคาโนวาลที่สุด นี่ขนาดพยายามมาสามปีกว่าแล้ว ฝ่าบาทของเขายังไม่มีวี่แววจะถูกใจผู้หญิงที่ไหนสักคน แบบนี้ยิ่งทำให้คนแก่หนักใจเข้าไปใหญ่

    “หวังว่าหลานสาวของท่านอัลเบิร์ตคนนี้ก็มัดใจฝ่าบาทได้นะ” เสนาแฟรงค์พึมพำเสียงเบา “อา... ข้าควรจะไปโบสถ์ ไปภาวนาให้เทพเจ้าช่วยดลบันดาลให้ฝ่าบาทยอมตกลงอภิเษกกับหลานสาวของท่านอัลเบิร์ตคนนี้สินะ” ผู้สูงวัยรู้สึกราวกับตัวเองจะประสาทกิน “ก่อนที่คาโนวาลจะยกทัพมาข้อหาล่อลวงควีนของพวกเขา”

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                เมื่อหญิงสาวมาถึง อีกฝ่ายก็มานั่งจิบชารออยู่แล้วเรียบร้อย หญิงสาวมองไปรอบๆตัว สถานที่นัดหมายคือเรือนกระจก ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณหลากชนิด ท่ามกลางพันธ์ไม้สีเขียว โต๊ะกลมสีขาวขนาดกำลังดีตั้งรับแสงแดดอ่อนๆยามเช้าที่ส่องลอดผ่านบานกระจกใสเข้ามาภายในเรือนกระจกอันอบอุ่น

                เมื่อแรก หญิงสาวอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดจึงต้องมาพบกันที่เรือนกระจกด้วย แต่เมื่อได้มาแล้วก็เข้าใจ เรือนกระจกของที่นี่นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยวางเรียงรายเป็นระเบียบดูแล้วน่ารัก ที่ต่างก็พยายามชูใบเขียวสดของตัวรับแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาภายใน นอกจากนั้น อากาศในนี้ยังอบอุ่น และสว่างไสวไปด้วยแสงแดดอ่อนๆอีกด้วย

                หญิงสาวเดินเข้าไปยังโต๊ะกลมสีขาวอย่างเชื่องช้า ฝ่ายที่มารอลุกยืนขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาว แล้วโค้งคำนับเป็นการให้เกียรติหล่อน ดวงตาสีดำปรายมองชายหนุ่มที่ระบายยิ้มอ่อนๆต้อนรับขณะโค้งศีรษะลง ก่อนที่ตนจะยอมตัวทำความเคารพอีกฝ่ายบ้าง

    “ยินดีที่ได้พบเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉัน รีเดล เพคะ รีเดล ฟาน ฟีเล หลานสาวของท่านอดีตที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของวีเมย์ อัลเบิร์ต ฟาน ฟีเล เพคะ” ไม่ต้องแนะนำ เขาก็รู้จักเจ้าหล่อนดี แน่ล่ะ ก็พวกตาแก่เสนาที่นึกอยากจับคู่ให้เขาจนตัวสั่นมาโยนประวัติของแม่สาวคนนี้ไว้ให้ ต่อให้ไม่อยากรู้ก็ต้องเห็นผ่านตาบ้าง

                หล่อนเป็นคนสวย เรียกได้ว่าสวยจนเฟรินเทียบไม่ติด หล่อนมีผมสีดำสนิทป็นเงางามยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีอเมทิสต์คู่สวยนั้นฉายแววเย็นชาชัด คิ้วโก่งเรียว ริมฝีปากอิ่มสวยนั้นไม่แม้แต่จะแย้มยิ้มให้คู่ดูตัวของตนที่เป็นถึงกษัตริย์ของดินแดนตัวเอง หญิงสาวนั้นสูงโปร่ง ร่างบางระหง ทรวดทรงอวบอิ่ม หล่อนอยู่ในชุดระบายลูกไม้เรียบๆแค่พองาม กิริยามารยาทนั้นก็ชั้นหนึ่ง ดูเหมือนว่า คู่ดูตัวคนนี้ จะต่างกับคนอื่นนิดหน่อย

    “เชิญนั่งเถอะครับ เราควรจะนั่งคุยกัน อย่างน้อยก็สักครู่หนึ่ง” หญิงสาวนั่งลงตามคำเชิญ ก่อนที่กษัตริย์หนุ่มจะนั่งลงตาม แล้วเริ่มรินชาเสิร์ฟให้หญิงสาวอย่างชำนิชำนาญ และช่วงเวลานี้เอง ที่หญิงสาวได้มีโอกาสสำรวจชายคนนี้ได้ชัดๆ

                เขามีเรือนผมสีชาต่างกับพ่อของเขาที่มีผมสีทอง แต่ดวงตาสีเขียวมรกตนั้นเหมือนกัน มันเปล่งประกายวิบวับราวกับรู้เท่าทันคู่สนทนาอยู่ตลอดเวลา และรอยยิ้มบางที่มักจะประดับอยู่บนดวงหน้าอยู่เป็นเนืองนิจนั่นด้วย เขาอยู่ในชุดไปรเวทท่าทางสบายๆ ไม่ใช่ชุดเต็มยศเหมือนอย่างที่เธอคาดว่าจะเห็น ดูหน้าแล้วก็พอเข้าใจว่าทำไมพอเอาไปเล่าให้ใครฟังว่าเธอจะต้องไปดูตัวกับคิงโรแห่งทริสทอร์ถึงได้ฮือฮากันนัก แต่เธอไม่ได้หลงไหลเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ

    “เชิญครับ” เขาเลื่อนถ้วยชากระเบื้องเคลือบเนื้อดีสีขาวขลิบทองที่มีควันฉุยส่งมาให้ พลางผายมือเป็นการเชิญชวน เมื่อคนเป็นกษัตริย์อุตส่าห์ชงบริการทั้งที จะไม่แตะเลยก็คงกระไรอยู่ หญิงสาวหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วจิบน้อยๆ กลิ่นหอมของมันทำให้จิตใจของหญิงสาวสงบลง แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

    “เอาล่ะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมถามตรงๆเลยแล้วกัน” เขาเอ่ยขึ้น หลังจากมองหล่อนจิบชาอยู่ได้พักหนึ่ง

    “คุณเคยมีความรักไหม” คำถามนั้นราวเสียดแทงเข้ากลางใจจนหญิงสาวสะดุ้ง ลืมการรักษามารยาทที่ควรมีไปจนสิ้น อาการของหญิงสาวทำให้กษัตริย์หนุ่มขยับยิ้ม แล้วถามคำถามต่อไป

    “คุณเคยรักใครสักคนไหม” คำถามนี้ทำให้หญิงสาวกำหมัดแน่น เขารู้อะไรมาก่อนงั้นหรือ

    “จนถึงตอนนี้ คุณลืมความรักของคุณ คนรักของคุณได้รึยัง” คำถามนั้น ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนถาม ดวงตาสีมรกตนั้นเปล่งประกายวิบวับ รอคำตอบของหล่อน

    “ถามคุณฝ่ายเดียวคงไม่แฟร์ ผมตอบคำถามของพวกนั้นบ้างแล้วกัน” เขาว่าพลาง ยกถ้วยชาขึ้นจิบ

    “คำถามแรก แน่นอน ผมเคยมี คำถามที่สองก็แน่นอนเช่นกันว่าผมเคย ส่วนคำถามสุดท้าย ไม่ จนกระทั่งวินาทีนี้ ผมก็ยังลืมเธอไม่ลง” เขาตอบ อย่างไม่มีท่าทีว่าจะสะทกสะท้าน แม้คู่สนทนาตรงหน้านั้นคือคู่ดูตัวของตน หญิงสาวฟังคำตอบของอีกฝ่ายแล้วก็สูดหายใจลึก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    “มิน่าล่ะ ถึงมีข่าวว่าเปลี่ยนคู่ดูตัวเป็นว่าเล่น ก็ถ้าพูดจาแบบนี้ใส่ผู้หญิงคนอื่น ใครเขาจะทนได้ ยิ่งเป็นคนที่หลงไหลฝ่าบาทด้วยแล้วล่ะก็...” หญิงสาวยิ้ม เป็นยิ้มแรกของหล่อนที่เขาเห็น รอยยิ้มนั้นทำให้ดวงหน้าเย็นชาอันเป็นความประทับใจแรกดูดีขึ้นอีกเป็นกอง

    “นี่พวกเสนาบดีพวกนั้นบอกคุณเรื่องนี้ด้วยเหรอเนี่ย” กษัตริย์หนุ่มถามกลับ หัวเราะขันๆด้วยความที่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องคู่ดูตัวจำนวนมหาศาลของเขา

    “ฝ่าบาทเพคะ จะเอาแต่ทำงานอย่างเดียวไม่ได้นะเพคะ ต้องหัดเงี่ยหูฟังคนอื่นพูดไว้บ้าง เรื่องพวกนั้นหม่อมฉันได้ยินมาจากข่าวลือทั้งๆนั้นแหละเพคะ” หญิงสาวได้ทีก็สั่งสอนกษัตริย์หนุ่มเสียงนิ่ม จนฝ่ายที่ได้รับการสั่งสอนอดเลิกคิ้วแปลกใจไม่ได้ หล่อนไม่ได้วางท่าอวดดีเหมือนยามที่เฟรินชอบทำเวลาอวดตัวสั่งสอนเขา แต่อีกฝ่ายพูดนิ่มๆ เรื่อยๆ ราวกับกำลังพูดเรื่องปกติ จนเขาออกจะรู้สึกแปลกใจไม่ได้

    “สำหรับคำถามของฝ่าบาท เพคะ หม่อนฉันเคยมีความรัก เคยรักผู้ชายคนหนึ่ง และจนบัดนี้ หม่อมฉันก็ยังไม่อาจลืมเขาได้” หญิงสาวตอบคำถามของโรด้วยคำตอบแบบเดียวกัน จนคนฟังเลิกคิ้วถาม

    “ถ้าแล้วอย่างนั้น พวกตาแก่เสนาบดีจะส่งคุณมาหาผมทำไม” คำถามนั้นทำให้หญิงสาวยิ้มหวาน วางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา

    “เป็นคำตอบเดียวกันกับที่ทำไมฝ่าบาทจึงต้องมานั่งดูตัวกับหม่อนฉันไงเพคะ เขามีคนรักอยู่แล้ว” คำตอบของหญิงสาวทำให้กษัตริย์หนุ่มแปลกใจอีกครั้ง

    “รู้กระทั่งเรื่องนั้นด้วยเหรอเนี่ย”

    “ถ้าเป็นนักเรียนโรงเรียนพระราชาแล้วตาไม่บอด ก็ต้องรู้ทุกคนนั่นแหละค่ะ รุ่นพี่” หล่อนเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกเขา ข้อมูลนี้ทำให้เขาประหลาดใจ วางถ้วยชาลง แล้วขยับยิ้มถาม

    “ผมจำไม่ได้ว่าคุณเคยเป็นรุ่นน้องของผมนะ”

    “จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ” หล่อนตอบเสียงนิ่ม “ฉันเป็นคนของปราการปราชญ์ ตอนที่รุ่นพี่จบ ฉันเพิ่งอยู่ปีสามเท่านั้น” โรพยักหน้ารับฟัง

    “รุ่นพี่เฟลิโอน่าเธอสวยนะคะ” หญิงสาวเริ่มเฉออกนอกประเด็น ดวงตาสีอเมทิสต์คู่นั้นเบือนไปยังต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีรอบตัว “แถมยังเก่งมากด้วย ฝีมือเล่นหมากกระดานเกียรติยศนั่นก็ด้วย ฉันชื่นชมท่าทางที่ราวกับไม่หวั่นไหวแม้จะสถานการณ์ใดๆของเธอมากเลยค่ะ” หล่อนพูดเสียงเรื่อยด้วยรอยยิ้ม ขณะคนฟังกลั้นยิ้ม

    “ถ้าคุณรู้ดีแบบนี้ ผมคงไม่ต้องเล่าอะไรให้คุณฟังมากนักหรอกมั้ง” เขาตัดบทง่ายๆ “เล่าเรื่องคนรักของคุณให้ผมฟังหน่อยสิ”

                หญิงสาวฟังคำพูดนั้นแล้วก็ต้องขยับยิ้มบาง

    “มันเกี่ยวกับเรื่องวันนี้ด้วยงั้นเหรอเพคะ” หญิงสาวกลับมาใช้คำลงท้ายยกย่องเขาตามเดิมแล้ว

    “เกี่ยวสิ แน่นอน” โรยืนยัน รินน้ำชาเพิ่มให้แก่รีเดล

    “ถ้าอย่างนั้นก็ ตามพระบัญชาเพคะ เขาเป็นทหารเพคะ เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน หม่อมฉันรู้จักเขาครั้งแรกหลังจากกลับมาจากที่เอดินเบิร์กตอนเรียนอยู่ปีห้า ท่านพ่อต้องทำงานร่วมกับเขาในช่วงนั้น” หล่อนเงียบไป แล้วยิ้ม ราวกับกำลังรำลึกถึงความหลังอันเต็มไปด้วยความสุข

    “การได้รักใครสักคนมีความสุขมากเพคะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเราตอบก็ตาม” โรเหยียดยิ้มยามได้ฟังคำนั้นของรีเดล ดูเหมือนว่า จะเหมือนกันเกินไปหน่อยแล้วนะ

                โรลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วสาวเท้าไปยังกระถางปลูกพืชที่วางเรียงรายอยู่ แล้วค่อยๆหยิบต้นไม่แต่ละต้นขึ้นมาพินิจดูอย่างละเอียด หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่อีกฝ่ายจึงลุกขึ้นมาทำแบบนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถาม เงาสีดำขนาดใหญ่ก็พาดผ่านเหนือเรือนกระจกกว้าง เธอรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยอารามตกใจ

                มังกรสีดำขนาดใหญ่บินอยู่เหนือเรือนกระจกในระยะใกล้เกินกว่าที่มันควรจะบินอยู่ ก่อนที่มังกรตัวนั้นจะร่อนลงจอดตรงหน้าเรือนกระจก แล้วหญิงสาวร่างบางในชุกทะมัดทะแมงก็กระโดดลงมาจากหลังมังกร แล้วเดินอาดๆเข้ามาในเรือนกระจกแห่งนี้ทันที โดยที่แม้แต่ทหารองครักษ์รอบๆยังไม่ทันจะได้ย่อยข้อมูลเสียด้วยซ้ำ

    “เธอเคยมาโดยที่ไม่ทำให้คนในปราสาทแตกตื่นสักครั้งมั้ยเนี่ย” กษัตริย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกระถางปลูกพืชแล้วหันไปหาหญิงสาวที่เข้ามาใหม่ ผู้ที่ทำให้คนที่นั่งอยู่ก่อนตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้าง หากแต่ยังเก็บอาการไว้ได้ด้วยมารยาทแห่งกุลสตรี

    “นี่เรื่องด่วน แกจะให้ฉันค่อยๆมาตามขบวนเสด็จรึไงกัน” หญิงสาวคนนั้นเดินอาดๆไปโดยไม่ได้สนใจเธอเข้าไปหาคนทัก

    “แล้วไหนล่ะของ” ว่าพลางสางเรือนผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงจากแรงลมให้เข้าที่

                นายเหนือหัวของเธอยื่นกระถางใบหนึ่งให้แก่หญิงสาวผมน้ำตาลผู้นั้น เธอคนนั้นหรี่ตามอง

    “ต้องมีเงื่อนไขอะไรพิเศษมั้ย” โรโคลงหัว ยังยิ้มอยู่ แม้อีกฝ่ายจะไม่ยิ้มด้วย

    “ไม่ค่อยแน่ใจ ปลูกแบบธรรมดาที่นี่ก็งอกงามดี ฉันไม่รู้ว่าถ้าไปที่คาโนวาลแล้ว...”

    “โร ไม่ตลก ฉันมาปรึกษาแกแทนที่จะเป็นกัสเพราะฉันเชื่อว่าแกช่วยฉันได้ รู้อะไรเกี่ยวกับไอ้ต้นไม้เวรนี้ก็คายมาให้หมด” กษัตริย์คู่ดูตัวของหญิงสาวชูมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้แล้ว ก่อนจะบุ้ยใบ้กลับมาทางเธอ

    “ระวังมารยาทหน่อยเฟริน ไม่ใช่ว่าเราอยู่สองคนเหมือนปกติซะเมื่อไร” หญิงสาวคนนั้นหันขวับกลับมามองเธอแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง ตบหน้าผากเสียงดัง เป็นภาพที่ทำให้หล่อนแปลกใจมากกว่าเดิม คนคนนั้นเป็น...

    “ขอแนะนำให้รู้จักนะ นี่ควีนเฟลิโอน่า วาเนบลีแห่งคาโนวาล คุณคงรู้จักดีอยู่แล้ว” แน่นอนว่ารีเดลรู้จักเธอคนนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักตควีนเฟลิโอน่าแห่งคาโนวาลผู้เก่งกาจหรอก แต่ว่าทำไม...

    “ส่วนนี่ รีเดล ฟาน ฟีเล คู่ดูตัวของฉันวันนี้” หล่อนยังไม่ทันได้ยอบตัวทำความเคารพเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวคนนั้นก็สวนคำออกมาคำใหญ่

    “ไอ้บ้า!” รีเดลฟังคำนั้นอย่างไม่เชื่อหู นี่อีกฝ่ายกำลังต่อว่าหล่อน หรือว่ากำลัง...

    “มีคนสติดีที่ไหนเขาเรียกผู้หญิงอื่นมาหาตัวเองตอนที่ตัวเองกำลังกำลังดูตัวกันมั้ยวะ” ยิ่งแต่ละคำที่คนเป็นควีนพูดออกมายิ่งทำให้หญิงสาวที่ต่ำศักดิ์กว่าอยากจจะเป็นลม นี่ใช่คนเดียวกับคนที่หล่อนชื่นชมตอนอยู่โรงเรียนพระราชาแน่หรือ

    “เธอบอกเองว่านี่เรื่องด่วน” กษัตริย์หนุ่มตอบกลับอย่างไม่มีท่าทีเดือดร้อน แถมยังเอาคำของอีกฝ่ายมาย้อนเสียด้วย ฝ่ายหญิงฟังแล้วก็นึกอยากจับตัวไอ้เพื่อนเวรคนนี้มาเขย่านัก

    “คิดถึงใจอีกฝ่ายเขาบ้างสิวะ ต่อให้ฝั่งฉันเรื่องด่วนขนาดไหน ถ้าแกบอกว่าติดดูตัว...” หญิงสาวยังไม่ทันจะพูดจบ โรก็สวนคำออกมาทันที

    “เธอก็จะไม่มา” รีเดลเห็น เป็นครั้งแรกที่ดวงตาสีมรกตวิบวับนั่นแข็งขึ้น

    “มันก็แน่อยู่แล้ว” เฟรินยืนยัน ไม่มีสะทกสะท้านกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของฝั่งชายหนุ่ม แต่แล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจยาว ท่าทางเหนื่อยหน่าย ผละออกมาจากชายหนุ่ม แล้วเดินมาเธอที่โต๊ะกลม ทรุดตัวนั่งลงตรงแล้ว วางกระถางไว้บนโต๊ะ รินน้ำชาบริการตัวเองหน้าตาเฉย

    “ขอโทษเธอด้วยนะที่มาขัดจังหวะการดูตัวของเธอ เผอิญฉันมีธุระด่วนที่ต้องให้กษัตริย์ของเธอช่วย เธออาจจะลำบากใจ แต่ช่วยรอจนกว่าฉันจะรีดข้อมูลจากไอ้ห้องสมุดเคลื่อนที่นี่ได้ครบเมื่อไรฉันก็จะไปทันที ตอนนี้ก็ทนๆไปก่อนนะ” น้ำคำที่ควีนเฟลิโอน่าพูดกับตัวหญิงสาวนั้นหวานรื่นหูนัก ผิดจากน้ำคำที่พูดกับชายหนุ่มผู้เป็นกษัตริย์เมื่อครู่ลิบลับ หากฟังเฉพาะข้อความที่อีกฝ่ายพูดกับเธอล่ะก็ รีเดลก็เชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า นี่คือรุ่นพี่ของเธอจริงๆ

    “เอ๊ะ เธอนี่เคยเรียนอยู่ปราการปราชญ์รึเปล่า” พอถูกทักมาเช่นนั้น รีเดลก็อดสะดุ้งไม่ได้ ดวงตาสีน้ำตาลหวานสวยนั่นจดจ้องเธออย่างพินิจพิเคราะห์จนหญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าตกประหม่า พยักหน้ารับ เฟรินดีดนิ้วดังเป๊าะ

    “คนที่เป็นหนึ่งในเจ็ดลูกขุนของปราการปราชญ์สินะ ฉันจำได้ เคยเห็นครั้งนึงตอนไปดูการตัดสินคดีตอนปีเจ็ด สวยเฉียบจนเด่นออกมาเลยนี่นา” วิธีการจำคนของราชินีแห่งคาโนวาลทำเอาเธอข้องใจอยู่ไม่น้อย

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอย่างเธอจะจำเด็กคนนี้ได้ด้วย” โรเดินมานั่งลงตรงที่ว่าง เอ่ยชื่นชมหญิงสาวด้วยใจจริง เพราะขนาดตัวเองยังจำคู่ดูตัวคนนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

    “ไม่เห็นแปลก ตอนนั้นนายไม่ได้ไปด้วย ฉันไปดูกับกัสกับคาโลต่างหาก” พอได้รับชี้แจงเหตุผล คนฟังก็พยักหน้ารับ เอื้อมมือไปจะแตะกาน้ำชาเตรียมรินให้ตัวเอง แต่ถูกเฟรินมีมือดังเผียะ

    “ไม่ใช่เวลาคุยเล่น รีบๆบอกฉันเรื่องไอ้ต้นไม้เวรนี่มาซะ ฉันจะได้รีบกลับไปหาฟาลัน ทิ้งอัลเฟรย์ไว้แบบนั้นไม่รู้ว่าฟาลันจะรับมือได้แค่ไหน” ได้ยินชื่อสองชื่อแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว

    “นี่เธอทิ้งอัลเฟรย์ไว้ให้ฟาลันดูแลเนี่ยนะ” ดวงตาสีน้ำตาลตวัดไปมองคนย้อนเสียงสูง

    “เออสิวะ ถ้าห่วงเด็กสองคนนั้นก็รีบๆพูดมาซะที ฉันจะได้เอาต้นไม้นี่กลับไปได้อย่างสบายใจ” โรโคลงหัว แล้วเรียกกระดาษกับปากกาขึ้นมาจากความว่างเปล่า

    “ถ้าฉันเป็นคาโล ฉันคงหัวใจวายตายก่อน ให้เด็กสี่ขวบดูแลน้องชายอายุขวบเดียวเนี่ยนะ โอย แค่คิดก็กลัวจะแย่” บ่นพึมพำพลางเขียนข้อมูลต่างๆลงกระดาษให้อย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวความคิดพิเรนทร์ของหญิงสาวจะทำให้หลานของเขามีอันเป็นไปเสียก่อน

    “ว่าแต่เธอ... รีเดลใช่ไหม” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ “ถึงบางทีหมอนี่จะพูดจาวกวนฟังไม่ค่อยเข้าใจ ทำตัวเหมือนรู้ไปหมดว่าคนอื่นคิดอะไร แต่มันก็เป็นคนดีมากนะ” ดวงตาสีมรกตเหลือบมองคนที่พยายามจะขายเพื่อนให้หญิงอื่นแล้วก็ถอนหายใจช้าๆ ความเป็นห่วงหลานนอกไส้ของตนบังคับให้มือตนเขียนต่อไปโดยไม่คิดจะขัดหญิงสาว

    “มันเก่ง อย่างน้อยก็เอาใจสาวๆเก่งกว่าคาโล หมอนั่นวันๆเอาแต่นิ่งเป็นน้ำแข็ง ทำเป็นแต่งาน ขนาดลูกตัวเองไม่สบายยังดูไม่ออก” ชายหนุ่มฟังแล้วก็นึกอยากค้าน เขาไม่เชื่อหรอกว่าอย่างคาโลจะดูไม่ออกว่าอัลเฟรย์ป่วย ไม่งั้นเฟรินจะไปเค้นเอาวิธีรักษามาจากผีลุงหมอในคทาพิพากษาได้ยังไงกัน แต่ก็ไม่เอ่ยปากพูด

    “หมอนี่ชงชาเก่งด้วยนะ เวลาอารมณ์ไม่ดี ดื่มชาของมันแล้วจะอารมณ์ดีขึ้น อ๊ะ ถึงจะไม่ชะงัดเท่าของรุ่นพี่ลูคัสก็เถอะนะ” เฟรินยังยังดำเนินปฏิบัติการขายเพื่อนต่อไป โดยที่คนโดนขายนั่งยิ้มอ่อนๆแล้วเขียนข้อมูลเกี่ยวกับต้นไม้ที่หญิงสาวต้องการลงกระดาษไปเรื่อยๆ

                ส่วนแม่สาวรีเดล คงจะเริ่มทำใจกับภาพพจน์ของรุ่นพี่สาวที่ตัวเองชื่นชมที่ผิดแผกไปกับที่ตัวเองเคยรู้จักได้แล้ว และค่อยๆหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดแต่ละคำของเฟริน ขณะที่เฟรินก็ค่อยๆตะล่อมให้รีเดลพูดเรื่องของตัวเองออกมาได้ในที่สุด โดยที่มีกษัตริย์หนุ่มเป็นผู้ฟังที่ดี และในที่สุด โรก็ยื่นกระดาษที่มีตัวหนังสือตัวเอียดไปให้หญิงสาว เฟรินกวาดตามองกระดาษแผ่นนั้นผ่านๆแล้วก็คว้าไปทั้งกระดาษและกระถางต้นไม้ โดยไม่ลืมโค้งอำลารุ่นน้องสาวอย่างรีเดล ก่อนจะรีบเผ่นขึ้นมังกรดำบินกลับคาโนวาลไป

    “ควีนเธอน่ารักนะเพคะ” รีเดลเป็นผู้ทำลายความเงียบ หลังจากมองส่งรุ่นพี่สาวของตัวเองไปจนลับตา “หม่อมฉันถึงเข้าใจ ว่าทำไมฝ่าบาทถึงตัดใจจากควีนเฟลิโอน่าไม่ได้เสียที” โรขยับยิ้ม

    “ไว้ว่างๆคุณก็ลองแนะนำนายทหารคนนั้นให้ผมรู้จักบ้างก็แล้วกัน” โรว่าเรียบๆ เขามองหญิงสาวรุ่นน้องที่เอียงคอทำท่าเหมือนไม่เข้าใจ

    “ผมเลือกคุณ รีเดล เพราะเราเหมือนกัน” เขาเดินนำกลับไปนั่งโต๊ะกลมสีขาวตัวเอง แล้วรอให้อีกฝ่ายนั่งลงบ้าง

    “ผมจะไม่ขอให้คุณลืมคนรักของคุณแน่ เพราะผมเองก็ยังไม่ลืมเฟริน และยิ่งจะขอให้คุณมาทุ่มเทให้กับผม ผมเองก็คงไม่ทำ เพราะมันคงไม่ยุติธรรมนักในเมื่อผมไม่อาจมอบความรักให้แก่ใครคนอื่นได้” โรอธิบายอย่างใจเย็น

    “ผมเลือกคุณ เพราะคิดว่าคุณจะเข้าใจ ว่าผมรู้สึกอย่างไร” พูดถึงตรงนี้ โรก็ถอนหายใจยาว “พวกตาแก่เสนาบดีพวกนั้นก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเท่าไร เอาแต่คิดจะจับคู่ให้ผมท่าเดียว แต่ถ้าเป็นคุณล่ะก็ คงจะเข้าใจผมได้” ดวงตาสีอเมธิสต์ลงลึกลงไปในดวงตาสีมรกตคู่นั้น มันขมขื่น แม้จะยังเจือด้วยแววหวานแห่งความรัก หัวใจของเธอเจ็บแปลบ เธอรู้จักแววตาแบบนั้น

    “ผมไม่อาจมอบความรักให้คุณได้ และจะไม่เรียกร้องความรักจากคุณ ผมอยากให้สิ่งที่เรามอบให้แก่กันคือความไว้วางใจ” รีเดลไม่มั่นใจว่าเธอได้ยินนั้นถูกหรือไม่ ความไว้วางใจงั้นหรือ

    “คนที่จะมาเป็นราชินีของผม หากไม่ใช่คนที่ผมรัก อย่างน้อย ผมก็อยากให้เป็นคนที่ผมวางใจ ว่าผมสามารถปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินกับเธอคนนั้นได้ เธอคนนั้นควรจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ของผม เช่นเดียวกับที่ผมจะเข้าใจเธอ” รีเดลหลับตา เขาต่างจากที่หญิงสาวคาดไว้ นิดหน่อย

    “รีเดล ผมเลือกคุณ เพราะคุณคือคนนั้น” เธอยิ้ม ยามได้มองใบหน้าที่ยิ้มอ่อนแรงของคนเป็นกษัตริย์

    “หม่อมฉันเตรียมใจว่าจะมาปฏิเสธ หรือถูกปฏิเสธ” รีเดลกล่าวอย่างแช่มช้า

    “เพราะหม่อมฉันยังไม่อาจลืมเขาคนนั้นไปได้” โรยังนิ่ง และรับฟัง อย่างตั้งใจ

    “แต่หม่อมฉันไม่คิด ว่าตำแหน่งราชินีแห่งทริสทอร์ของฝ่าบาทนั้นจะเปิดกว้างให้หม่อมฉันขนาดนี้” หญิงสาวยิ้มอ่อน

    “ไม่กลัวหม่อมฉันจะทรยศฝ่าบาทบ้างเหรอเพคะ” โรส่ายหน้า

    “ระหว่างเรา ผมอยากจะขอให้มีข้อตกลงไว้สองข้อ ความจริง กับ เข้าใจ พูดเรื่องจริง และเรียนรู้ทำความเข้าใจอีกฝ่าย เรายังรู้จักกันไม่นานก็จริง แต่เรายังมีเวลาถมเถให้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน” รีเดลฟังแล้วก็หัวเราะคิก

    “นี่ฝ่าบาทกำลังจะเอาหม่อมฉันเป็นไม้กันหมางั้นเหรอเพคะ”

    “ไม่ต่างกับคุณเท่าไรหรอก ผมได้ยินมาว่าคุณเองก็ปฏิเสธคู่ดูตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน” โรแย้มยิ้มรู้ทัน “อย่างน้อย ถ้าคุณตกลง พวกตาแก่ทั้งหลายก็จะไม่มาวุ่นวายกับชีวิตพวกเราอีก”

    “ที่เรียกควีนเฟลิโอน่ามาเพื่อให้เขาช่วยดูตัวงั้นเหรอเพคะ” รีเดลย้อน ยังไม่ยอมรับปากตกลง โรหัวเราะหึ

    “ผมบอกไปแล้ว ผมเลือกคุณเพราะคุณน่าจะเข้าใจผมได้มากกว่าแม่สาวน้อยคนอื่นๆที่ตั้งใจจะมาจับผมอย่างเดียว” รีเดลได้ยินเสียงเหนื่อยหน่ายของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องกลั้นยิ้ม “แต่ก็ใช่ ดูเหมือนเฟรินจะชอบคุณ นั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกคุณ” รีเดลเอียงคอ

    “คุณต้องทนกับผมที่เป็นแบบนี้ไปอีกนาน ถ้าเฟรินไม่ชอบคุณ และคุณไม่ชอบเฟริน ชีวิตผมจะปวดหัวขึ้นอีก เพราะฉะนั้น การเรียกเฟรินมาที่นี่ในวันนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผม” รีเดลพยักหน้า เธอพอจะเข้าใจ

    “แต่เรื่องอัลเฟรย์ไม่สบายนั่นเรื่องจริง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเฟรินถึงตีหน้าเครียดเข้ามาหาผมในตอนแรก และเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงนัดคุณมาที่เรือนกระจก” โรอธิบายเพิ่ม รีเดลพยักหน้าอีกครั้ง

    “ผมไม่ได้คิดจะเร่งรัดคุณ คุณเก็บเรื่องนี้ไปคิดก่อนก็ได้ จนกว่าจะมีคำปฏิเสธจากผมหรือคุณ พวกตาแก่คงจะไม่มายุ่งกับพวกเราไปอีกสักพัก” รีเดลส่ายหน้า แล้วแย้มยิ้มหวาน

    “หม่อมฉันควรจะเรียกเขามาพบฝ่าบาทเมื่อไรดีเพคะ” โรเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางแปลกใจ หญิงสาวหัวเราะ

    “ตกลงเพคะ หม่อมฉันรับข้อเสนอของฝ่าบาท ราชินีที่ไร้พันธะทางจิตใจ ไม่มีข้อเสนอไหนจะดีไปกว่านี้อีกแล้วนี่เพคะ” โรกระตุกยิ้ม แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะกลม สาวเท้าเดินออกนอกเรือนกระจก

    “เอาเป็นเมื่อคุณและผม กับผู้ชายคนนั้นสะดวกแล้วกัน รีเดล”

    “รับบัญชาเพคะ ฝ่าบาท” รีเดลยอบตัวเคารพกษัตริย์หนุ่มด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเงยหน้ามองแสงแดดที่ลอดผ่านแผ่นกระจกใสเข้ามาภายใน

    “ความจริง กับความเข้าใจ” หล่อนพึมพำกับตัวเองเสียงเบา แล้วแย้มยิ้มหวาน

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                ประตูห้องทำงานเปิดผางออก ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะย่างสามขุมเข้ามาข้างใน โดยภายนอกเต็มไปด้วยผู้คนที่เบิกตากว้างมองเจ้าหล่อน

                เจ้าของห้องทำงานเหลือบตามองผู้มารบกวนเวลาทำงานแล้วก็ต้องระบายลมหายใจออก ด้วยท่าทางเหมือนราวจะหัวเราะ

    “ทะเลาะอะไรกับคาโลมาอีกล่ะ” ชายหนุ่มวางปากกาขนนกในมือลง แล้วเริ่มนั่งคุยกับหล่อน ชื่อที่เอ่ยขึ้นมาทำให้หญิงสาวยิ้มแยกเขี้ยว

    “อ๋อ เรื่องฟรีเซียสินะ” ถามเองก็ตอบเอง จนคนถูกถามนึกอยากจะกระชากคอเสื้อไอ้คนถามาเค้นถามว่า แล้วแกไปรู้เรื่องในครอบครัวชาวบ้านเขาได้ยังไง

    “ไม่เห็นยาก ถ้าเธอมาที่นี่ด้วยอารมณ์แบบนี้ ก็เดาได้อย่างเดียวว่าทะเลาะกับคาโล แล้วเรื่องที่ทะเลาะด้วย แค่เห็นเธอลากฟรีเซียมานี่ด้วยก็รู้แล้ว” ว่าพลางมือก็ชี้ไปที่เด็กสาวตรงหน้าประตูที่หน้าตาราวกับถอดพิมพ์หญิงสาวตรงหน้ามา หญิงสาวหันไปมองตาม แล้วกวักมือเรียกเด็กสาวให้เข้ามาใกล้ๆ

    “เออ ฟรีเซียอยากไปเรียนเอดินเบิร์ก” โรเลิกคิ้วขณะรับฟัง

    “แล้วยังไง คาโลคงไม่ได้คัดค้านด้วยเรื่องแค่นี้แน่” หญิงสาวถอนหายใจเฮือก

    “ใช่ ฟรีเซียอยากไป ในฐานะอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหญิงแห่งคาโนวาล” ฟังแล้วก็ต้องเบือนสายตาไปคนที่ไม่อยากไปเรียนโดยใช้ฐานะเจ้าหญิง ที่ยิ้มแห้งๆกลับมาให้

    “เข้าใจล่ะ เธอสนับสนุนฟรีเซีย แต่คาโลแล้วก็ฟาลันกับอัลเฟรย์ไม่ยอมสินะ” เฟรินยกมือขึ้นเท้ากับโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย แล้วพยักหน้าแรงๆ

    “เออสิ หาว่าไม่เหมาะบ้างล่ะ อันตรายบ้างล่ะ พวกนั้นไม่รู้จักคำว่าสนุกบ้างเลยรึไง” ชายหนุ่มเบือนหน้าไปหาเด็กสาว สบตาสีน้ำตาลใจแจ๋วของเจ้าหล่อน แล้วก็ถอนหายใจ เขาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของคาโลอยู่หรอก

    “แล้วมาหาฉันนี่คิดเหรอว่าฉันจะช่วยอะไรได้” ว่าแล้วก็ดึงกลับเข้าประเด็น  ถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายมาหาเขาถึงที่

    “นายรู้ที่อยู่พ่อมาดัสใช่มั้ย” เขาขยับยิ้มยามได้ฟังสาเหตุ เอาล่ะ พอจะเดาได้แล้ว

    “ฉันนึกภาพคาโลเดินเป็นหนูติดจั่นตอนรู้ว่าเธอเอาฟรีเซียออกมาโดยไม่บอกเขาได้เลยแฮะ” เฟรินแยกเขี้ยว

    “อย่าเปลี่ยนเรื่อง ถ้านายรู้ว่าพ่อมาดัสอยู่ไหนก็รีบๆบอกมา” เสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้องทำให้บทสนาทนาหยุดชะงัก ทุกสายตาหันไปหาต้นเสียง แล้วก็พบสาวสวยผมดำยืนยิ้มพร้อมด้วยถาดน้ำชาและของว่างยืนอยู่หน้าประตู

    “คุณรีเดล” เฟรินอุทานเรียกชื่อ ขณะที่เด็กสาวฟรีเซียยอบตัวทำความเคารพควีนแห่งทริสทอร์

    “อย่าเพิ่งใจร้อนอามณ์เสียไปเลยเพคะ ควีนเฟลิโอน่า จิบน้ำชากินขนมให้ใจเย็นก่อนเถอะนะเพคะ” หญิงสาวว่าพลางค่อยรินชาแจกจ่ายให้ทุกคน แล้วจึงเดินไปปิดประตูห้อง

    “ที่อยู่ของท่านมาดัสคงต้องรอสักสามสี่สัปดาห์นะเพคะ เพราะท่านมาดัสเปลี่ยนที่อยู่บ่อย ไม่สามารถระบุที่อยู่ที่แน่นอนได้ทันที” รีเดลอธิบายเนื้องานที่เฟรินวานมาอย่างใจเย็น คนฟังฟังแล้วก็ถอนหายใจพรืด

    “รู้ล่ะสิว่าจะโดนตามตัวน่ะ”

    “แล้วก็ ถ้าฝ่าบาทไม่ว่าอะไร หม่อมฉันอยากจะเสนอความคิดเห็นสักอย่างเพคะ” คนเป็นฝ่าบาทสองคนเงยหน้าขึ้นมองคนขออนุญาตแสดงความเห็น สบดวงตาสีอเมธิสต์เป็นประกาย กับรอยยิ้มหวานประจำตัวของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องพยักหน้า

    “ถ้าไม่ยังไงลองให้เจ้าหญิงฟรีเซียปลอมตัวเป็นผู้ชายมั้ยเพคะ” เจ้าของชื่อชื่อมือมายังตัวเอง แล้วเอียงคอเหมือนไม่เข้าใจ แต่คนเป็นแม่นั้นเบิกตากว้าง ดวงตาเป็นประกายระยับ

    “ขอบคุณมากเลยฮะคุณรีเดล” แม่ตัวดีคว้ามือของควีนแห่งทริสทอร์ไปจับแล้วเขย่าด้วยความยินดียิ่ง กษัตริย์หนุ่มโคลงหัว พลางนึกในใจว่าคราวนี้ใครจะเป็นคนมาตามเฟรินกลับ แล้วถ้ามาแล้ว เขาจะเฉไปยังไงดีถึงจะไม่ให้รู้ว่าเฟรินกำลังคิดจะทำอะไร เอาเถอะ เขาเองก็นึกสนุกกับแผนการณ์นี้ไม่น้อย จะยอมเหนื่อยช่วยให้ก็แล้วกัน

    “เธอไปรอที่เดมอสก่อนแล้วกัน อยู่ที่นี่มีแต่เธอจะโดนตามตัวเปล่าๆ ได้ข่าวอะไรแล้วฉันจะรีบแจ้ง” เฟรินพยักหน้า แล้วคว้าข้อมือฟรีเซียขึ้น แต่ก่อนที่จะออกไป เจ้าหล่อนก็ดีดนิ้วเป๊าะ แล้วกระดานหมากรุกก็ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ทุกคนไม่มีใครพูดอะไร เฟรินโบกมือลา แล้วรีบออกไปจากห้องทรงพระอักษรของกษัตริย์แห่งทริสทอร์ ขณะที่คิงและควีนแห่งทริสทอร์ยังคงจับจ้องอยู่ที่กระดานหมากรุก

    “มันแปลว่าอะไรเหรอเพคะ” รีเดลเอ่ยถาม เมื่อยามที่ควีนคนงามแห่งคาโนวาลหายไปจากห้องทรงพระอักษรแล้ว โรมองกระดานหมากรุกนั้นแล้วยิ้ม

    “ข่าวคราวของลูกน่ะ” ดวงตาสีมรกตหยิบหมากตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วพินิจอย่างใจลอย “รู้สึกว่าปีนี้ลูกก็จะต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนพระราชาสินะ” ชายหนุ่มถามลอยๆ หญิงสาวพยักหน้ายามนึกถึงลูกชายของตน

    “งั้นผมจะภาวนาให้ลูกของเราได้อยู่กับฟรีเซียก็แล้วกัน” รีเดลฟังแล้วพยักหน้า แย้มยิ้ม

                ถึงเขาและเธอจะไม่มีความรักให้กัน แต่พวกเธอก็มีความห่วงใยให้กัน และอย่างน้อย... รีเดลโอบรอบคอของกษัตริย์หนุ่ม สามีของเธอ

    “ให้ตายเถอะ ผมสู้เฟรินไม่ได้เลยจริงๆ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับแขนของภรรยา แต่อย่างน้อย พวกเธอก็รักลูกชายคนเดียวของพวกเธอ

    “เฟรินบอกว่า ลูกสบายดี และกำลังมุ่งหน้าไปเอดินเบิร์ก”

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ใครจำตาฟริงค์จากฟิคเรื่องที่แล้วได้บ้างฮะ นี่คือซีรีย์สเดียวกัน

    แต่เป็นภาคศูนย์ หรือภาคก่อนหน้า

    เล่าเรื่องการแต่งงานที่ได้ได้มาด้วยความรัก

    แต่ก็ดูเหมือนว่าก็มีความสุขดี

    เรายังสนับสนุนRxFอยู่นะฮะ ขอยืนยัน เพียงแต่เราอยากเขียน

    ว่าถ้าหากโรไม่ได้ลงเอยกับเฟรินแล้ว ควีนของโรจะเป็นคนแบบไหน

    อิมเมจแรกคือสวยกว่าเฟริน อายุน้อยกว่า ตัวเล็กกว่า เรียบร้อยกว่า

    เอาง่ายๆก็คงจะต่างกับเฟรินน่าดู

    ต่อไปก็ต้องยังไม่ลืมรักเก่า ไม่งั้นคงอยู่กับโรไม่ได้

    และต้องยอมรับเฟริน เพราะเฟรินมันเห็นทริสทอร์เป็นหลุมหลบภัย

    ถ้าคนเป็นควีนไม่ชอบเฟรินก็จบกัน

    ขอบ่นหน่อยเถอะ เราไม่ได้เขียนฟิคยารามอสมานานมากแล้ว พอมาเขียนตอนแรกสุด

    "นี่ฉันเขียนใครอยู่เนี่ย หมอนี่มันไม่ใช่โรนี่นา"

    พอทนเขียนต่อไปอีกพักนึง "พระเจ้าช่วย! นี่มันอิซายะนี่หว่า เอาโรฉันคืนมานะ!" (คนที่สงสัยว่าอิซายะคือใคร กรุณาไปโหลดดูรารารามาชม)

    ต้องเขียนไปจนจะจบเรื่องแล้วถึงได้โรคืนมา

    ให้ตายเถอะ เขียนฟิคบารามอสทีไร เหนื่อยทุกที ต้องไปหาข้อมูลเรื่องตัวละครอีก นี่ขนาดว่าเขียนตัวที่ถนัดแล้วนะ

    นั่งเปิดแผนที่ด้วย เพราะลืมเกลี้ยง ตอนแรกมีแผนจะให้บทเฟรินมากกว่านี้ แต่คิดไปคิดมา อย่าเลย แค่นี้ก็จะจบไม่ลงอยู่แล้ว

    ที่กลับมาจับฟิคบารามอสเพราะไม่รู้จะเขียนอะไรดี ไม่มีพล็อตนิยาย เลยต้องเอาฟิคมาปัดฝุ่น

    และถือว่าเป็นโชค เพราะเราเขียนเรื่องนี้เลยได้ไอเดียเขียนฟิคอีกเรื่อง

    แต่ขอลองเขียนดูก่อน ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน(และจะเป็นเรื่องสั้นรึเปล่า)

    ไม่มีอะไรจะพูดแล้วฮะ เอาเป็นว่าเจอกันครั้งหน้า

    อ่านให้สนุกนะฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×