ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fanfic] หัวขโมยแห่งบารามอส เรื่องราว หลังจากนั้น

    ลำดับตอนที่ #63 : เอาล่ะสิ ชื่อยังไม่ได้คิดเลย เอาไงดี (จบ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.64K
      8
      2 เม.ย. 51

    Short Fiction TToB
     
    Title: Secret อยากให้เรื่องนี้ ไม่มีความลับ
     
    ช่วงเวลา: ตอนนี้จะใช้ลูกๆของพวกมันเล่าเรื่อง เพราะฉะนั้นก็บวกเวลาเอาเองแล้วกันนะ
     
    Note: ฟิคที่ฝันเอาไว้ตั้งแต่ยังเขียนฟิคอยู่เลย (กรุณาคิดเอาเองว่ามันยาวนานขนาดไหน) ฝันเอาไว้ตอนที่เขียนช่วงผู้บุกรุกที่คุ้นเคยน่ะ จำกันได้มั้ยเอ่ย(ห้ามโกงด้วยการไปดูชื่อตอนนะ) เนื้อเรื่องสนองตัณหาส่วนตัวโดยเฉพาะ ดังนั้นคงรู้กันดีว่ามันจะเป็นคู่ไหน มันแน่นอนอยู่แล้วน่า เอาล่ะ เลิกลุ้นกันดีกว่า ถึงจะใช้ลูกๆมันเล่าเรื่องแต่เราก็พรีเซนต์คู่โปรดของเราได้อยู่ดี โอเค พล่ามพอแล้ว เข้าเรื่องกันเลยแล้วกัน อ่านให้สนุกนะฮะ
     
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
     
                พวกคุณรู้ไหม ว่าผมเกลียดอะไรที่สุดในชีวิตนี้... พวกคุณคงเดาไม่ถูกแน่ๆ เพราะผมเกลียดมากมายไปหมด ผมเกลียดทั้งความมืดที่น้องสาวของผมหวาดกลัว ผมเกลียดอากาศหนาวที่ทำให้แม่ของผมต้องป่วยบ่อยๆ ผมเกลียดสายเลือดธิดาแห่งความมืด เพราะนั่นยิ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการป่วยของท่านแม่มากเสียยิ่งกว่าอากาศหนาวเสียอีกแล้วยังทำให้ท่านพ่อเป็นกังวลเสมอ แต่ที่ผมเกลียดที่สุดในชีวิตนี้ คือตัวผมเอง...
     
                ผมเกลียดเรือนผมสีเงินสลวยเส้นเล็กของผม ผมเกลียดดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสของผม ผมเกลียดโครงหน้าคมเข้มของตัวเอง ผมเกลียดตัวเองที่สุด เพราะทุกครั้ง ที่ท่านแม่หันมองมาที่ผม ท่านจะยิ้มเศร้าๆแล้วทำท่าเหมือนจะร้องไห้เสมอ ผมเกลียดใบหน้านั้นของท่านแม่ และนั่นเองเป็นสาเหตุให้ผมเกลียดตัวเอง
     
                ผมนึกเสมอ ว่าทั้งๆที่ผมเป็นฝาแฝดกับแคลโรไลน์น้องสาวของผม แต่ผมกับเธอนั้นกลับไม่มีอะไรเลยที่เหมือนกัน แคลร์มีผมสีน้ำตาลยาวสลวยเป็นประกายเหมือนท่านแม่ มีดวงตาสีน้ำตาลกลมโตสดใสเหมือนท่านแม่ มีดวงหน้ากลมรูปไข่เหมือนท่านแม่ มีคิ้วโก่งได้รูปสวย และริมฝีบางหยักบางราวกับมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลาเหมือนท่านแม่ แต่สิ่งที่แคลร์ไม่มีเหมือนท่านแม่นั่นก็คือเรือนร่างสูงโปร่ง ท่านแม่เป็นผู้หญิงสูง อย่างน้อยก็ถือว่าสูงหากเทียบกับผู้หญิงด้วยกัน แต่แคลร์น้องสาวฝาแฝดของผม มีรูปร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอม แต่นอกเหนือจากนี้ แคลร์แทบจะถอดแบบท่านแม่มาทุกอย่าง นั่นรวมไปถึงนิสัยขี้กลัวด้วย
     
                แคลร์กลัวไปหมดทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องธรรมดาอย่างที่คนทั่วไปควรจะกลัวกัน ไปจนถึงกลัวการแยกจาก แคลร์มักจะตัวสั่นทุกครั้งที่ท่านพ่อไปที่อื่นโดยที่พาพวกเราไปไม่ได้ ท่านพ่อมักจะยุ่งอยู่เสมอ ทำให้ท่านพ่อต้องจากพวกเราไปไหนไกลๆบ่อยๆ แต่เมื่อท่านแม่เริ่มมีอาการไม่ดี ท่านพ่อก็จะมาอยู่ข้างกายท่านแม่ในทันที ท่านแม่กลัวการอยู่คนเดียว ทุกครั้งที่ท่านพ่อไม่อยู่ ท่านแม่มักจะมานอนกับพวกผม ท่านแม่จะกอดผมพวกไว้ โดยที่ไม่ลืมที่จะยิ้มเศร้าๆมาให้ผมเสมอ ผมไม่เคยชอบรอยยิ้มนั้นของท่านแม่เลย แต่เมื่อท่านพ่อกลับมาหาท่านแม่ ท่านแม่จะกอดท่านพ่อแล้วร้องไห้คร่ำครวญเสมอ
     
                ผมไม่เคยรู้เลยว่าท่านแม่กลัวอะไรนักหนา แต่เพราะแบบนี้ แคลร์จึงได้รับอิทธิพลจากท่านแม่มาเต็มๆ เพราะแคลร์คือคนที่ตัวติดกับท่านแม่ตลอด ส่วนผมนั้น ท่านพ่อปลูกฝังให้ดูแลผู้หญิงทั้งสองคนในบ้านเราราวกับเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต ผมจึงไม่เคยชอบเวลาที่ท่านแม่ยิ้มเศร้าๆมาให้ผม หรือเวลาท่านร้องไห้ หรือเวลาแต่เวลาที่แคลร์สะอึกสะอื้นตอนค่ำคืนฝนฟ้าคะนอง
     
                ผมเคยคิดว่าทำไมผมจึงมีหน้าตาที่ไม่เหมือนใครเลยในครอบครัว แต่ท่านพ่อก็เคยบอกผมว่า ท่านพ่อเองก็มีสายเลือดจอมภูตจากสโนว์แลนด์อยู่กึ่งหนึ่ง บางทีผมอาจจะได้สายเลือดส่วนนั้นมา แต่ก็ดูเหมือนว่า ความสามารถทางเวทย์ที่น่าจะสืบทอดมาทางผมด้วย กลับไปอยู่กับแคลร์เสียหมด ส่วนผมก็ได้แต่ฝีมือดาบมา ซึ่งท่านพ่อก็บอกไว้อีกว่า ก่อนที่ท่านแม่จะมาเป็นแบบนี้ ท่านแม่เคยเป็นนักดาบมือฉมังของโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กมาก่อน
     
                ท่านพ่อมักจะยิ้มน้อยๆเสมอเมื่อยามพูดถึงเรื่องราวในสมัยที่พวกท่านยังเป็นนักเรียน ความทรงจำนั้นช่างสวยงาม ท่านพ่อชอบพูดคำนี้ เช่นเดียวกับท่านแม่ เวลาที่ท่านพ่อคอยเอ่ยปลอบประโลม ท่านแม่มักจะสะอึกสะอื้นคำนี้ออกมาเสมอ
     
                ท่านพ่อรักท่านแม่มาก ผมรู้ดี เพราะท่านพ่อมักสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ท่านแม่เสมอ ที่ท่านพ่อคอยเอาอกเอาใจท่านแม่สารพัดด้วยเหตุผลเดียว นั่นคือท่านพ่อต้องการเห็นรอยยิ้มของท่านแม่ ท่านแม่ยิ้มสวย เวลาท่านแม่ยิ้ม โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะสดใสขึ้นมาด้วย แต่ยิ่งนานวันไป รอยยิ้มสดใสของท่านแม่ก็ค่อยๆหายไปเรื่อยๆ รอยยิ้มเดียวจากท่านแม่ที่ผมได้เห็นในช่วงหลังๆนี้ นั้นคือรอยยิ้มที่ผมมักจะได้รับเสมอ รอยยิ้มเศร้าๆเมื่อท่านแม่ทอดสายตามาทางผม
     
                ช่วงเวลาที่ท่านพ่อไม่อยู่แบบนี้ ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไรให้ท่านแม่ยิ้มออกได้ ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่กับท่านตาเอวิเดส ที่ดูแลพวกเราแม่ลูกเป็นอย่างดี เพราะท่านแม่นั้นเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นยอดดวงใจของท่านตา ท่านตาเองก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนที่จะทำให้ท่านแม่ยิ้มได้ ท่านตาชอบพูดว่าเมื่อก่อนท่านแม่ยิ้มบ่อย ทุกครั้งที่ท่านกลับมาเยี่ยมท่านตาเมื่อยามโรงเรียนพระราชาปิดภาคเรียน ท่านแม่มักจะทำให้วังเดมอสแห่งนี้อบอวลไปด้วยรอยยิ้ม
     
                คนเดียวที่ผมนึกออกในเวลานี้ที่ไม่ใช่ท่านพ่อคืออาคิล อาคิลเป็นนักฆ่าชื่อดังจากเอเดน เพื่อนสนิทของท่านพ่อกับท่านแม่สมัยที่ยังเป็นนักเรียน อาคิลเป็นคนสนุกสนาน มักจะหาเรื่องราวแปลกๆ สนุกๆมาเล่าให้พวกผมได้ฟัง แต่ความจริงแล้ว ผมคิดว่าอาคิลเองก็คงอยากเห็นรอยยิ้มของท่านแม่เหมือนกัน อาคิลก็เป็นอีกคนที่ชอบเล่าเรื่องราวในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนให้ผมฟังบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่อาคิลเล่าเรื่องราวความหลังอันสนุกสนานเหล่านั้นออกมา ท่านแม่ก็จะหัวเราะ และพูดออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง
     
    ในตอนนั้น ฉันคิดว่าจะไม่มีอะไรยากลำบากไปกว่าทางทางรอดไปจากสถานการณ์ตรงนั้นแล้วแท้ๆ แต่พอผ่านมันมา ฉันก็รู้... คิล ฉันคิดผิด ฉันมันโง่เอง ที่เชื่อหมอนั่นมากไป” ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าท่านพ่อ หรืออาคิลจะเล่าเรื่องอะไร ก็มักจะมีชื่อของคิงคาโลแห่งคาโนวาลร่วมอยู่ด้วยเสมอ แม้ว่าทุกครั้งทั้งสองคนดูจะไม่ได้ตั้งใจพูดชื่อนั้นออกมาก็ตาม แต่ถ้าคิงคาโลเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของท่านพ่อท่านพ่อจริง ทำไมผมถึงไม่เคยเห็นเขามาเยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่บ้างล่ะ
     
    เคลวิน” ผมสะดุดความคิดลง ยันตัวออกมาจากขอบหน้าต่างบานกว้างที่เผยให้เห็นถึงท้องฟ้าสีแดงฉานของยามอาทิตย์อัสดงกว้างใหญ่สุดสายตา สายลมเย็นของปลายฤดูหนาวที่ดูเหมือนจะหอบเอากลิ่นไอของฤดูไปไม้ผลิเข้ามาด้วยเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้ผมตาสว่างขึ้นมาบ้าง
     
                น้ำเสียงที่เรียกชื่อผมจากทางด้านหลังนั้นเป็นน้ำเสียงที่ผมรู้จักดี เพราะผมกำลังรอคอยเสียงนี้มาตลอดหนึ่งเดือนหลังของฤดูหนาว
     
    กลับมาแล้วหรือครับ ท่านพ่อ” ผมหันหลังกลับมาทำความเคารพเจ้าของเสียงนั้น ท่านพ่อของผมเอง ท่านพ่อของผมเป็นบุรุษที่ดูรอบรู้ทรงภูมิและเยือกเย็นกับทุกสถานการณ์ แต่ท่านก็เป็นคนอบอุ่นกับครอบครัว ท่านพ่อเป็นชายร่างสูงกับเรือนผมสีชาสลวย ที่ผมนึกอยากได้บ้าง เวลาที่ท่านแม่มองมาทางผมจะได้ไม่ทำสีหน้าแบบนั้น ดวงตาสีมรกตของท่านมองมาทางผมด้วยแววตาที่ผมไม่เคยอ่านออก แต่ก็เพียงแค่ชั่วแวบแล้วมันก็เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มบาง
     
    พ่อไม่น่าสอนให้ลูกต้องทำความเคารพคนเขาไปทั่วแบบนี้เลย” เขาพูดตัดพ้อตัวเองพลางถอนหายใจน้อยๆขณะนั่งลงบนโต๊ะใกล้หน้าต่างที่มีเอกสารกองเล็กๆตั้งอยู่
     
    ผมยินดีกับทุกสิ่งที่ท่านพ่อสอนครับ ไม่ได้คิดว่าท่านพ่อเป็นคนอื่นคนไกล” เขาแก้ตัวกับคำตัดพ้อนั้น แล้วผละออกมาจากหน้าต่างบานใหญ่นั้นมานั่งลงเผชิญหน้ากับท่านพ่อเมื่อท่านผายมือเป็นเชิงบอก
     
    ลูกดูอะไรอยู่ข้างนอกงั้นหรือ เคล” ท่านพ่อเอ่ยถามผมด้วยท่าทีสบายๆขณะเอื้อมมือมาคว้าเอกสารบางแผ่นบนโต๊ะไปดูอย่างสนอกสนใจที่ผมรู้ดีว่า ความจริงแล้วท่านพ่อก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก
     
    ผมดูท้องฟ้าครับ” ผมตอบไปตามตรง ท่านพ่อวางเอกสารลงตามเดิมแล้วใช้ดวงตาสีมรกตรอบรู้นั้นจ้องหน้าผม แล้วซักพักก็ถอนหายใจ
     
    ลูกพูดเหมือนแม่เลย” ท่านพ่อส่ายหน้า “แม่ลูกก็พูดแบบนี้ ทั้งๆที่สีหน้าบอกว่าต้องการจะบินออกไปจากที่นี่เต็มแก่” ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น
     
    ท่านพ่อไปพบท่านแม่มาแล้วหรือครับ” ท่านพ่อพยักหน้าน้อยๆ ความจริงผมน่าจะรู้ เพราะท่านพ่อเห็นท่านแม่เป็นคนสำคัญยิ่งกว่าใคร แต่เพราะผมยังไม่รู้สึกถึงเค้าไอใดๆที่บ่งบอกว่าท่านพ่อกลับมาจากธุระของท่านแล้ว ผมจึงไม่รู้สึกตัว
     
    เคล” ท่านพ่อเรียกผมให้หลุดจากห้วงความคิดอีกครั้ง ผมกระพริบตาเร็วๆสองสามครั้งแล้วหันไปมองหน้าคนเรียก ท่านพ่อขยับยิ้มเล็กน้อย
     
    เหนื่อยไหมลูก” ท่านพ่อถามด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่าจริงจัง ผมหลุบตาช้าๆ หากบอกว่าไม่เหนื่อย ก็คงเหมือนโกหก ถึงท่านตาเอวิเดสจะเป็นท่านตาแท้ๆของผม ที่เอ็นดูพวกผมและท่านแม่ดี แต่เพราะถูกท่านพ่อปลูกฝังมา ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยดีหากจะคอยแต่อยู่เฉยๆเกาะเขากิน ผมจึงอาสารับงานบางส่วนจากสภาของเดมอสมาช่วยทำบ้าง ตามแต่ที่ผมจะช่วยได้ ซึ่งนั่น มันหนักหนากว่าที่ผมคิดไว้เล็กน้อย แล้วยังไม่รวมที่ผมและแคลร์มีฝึกเวทย์มนตร์วันละสองชั่วโมง ฝึกดาบวันละสามชั่วโมง เรียนกฎหมายและมารยาทราชวงศ์อีกวันละสองชั่วโมง เวลาที่เหลือของผมมีไว้ดูแลท่านแม่ และแคลร์ เพราะท่านพ่อบอกไว้เสมอว่า เวลาที่ท่านพ่อไม่อยู่ ผมคือหลักสำคัญของครอบครัว ผมต้องดูแลให้ได้ทั้งแม่ทั้งน้องเหมือนกับที่ท่านพ่อดูแลได้
     
    เคล บางที พ่ออาจจะยัดเยียดเรื่องยุ่งยากให้กับลูกมากเกินไปซะแล้ว” ท่านพ่อเอ่ยช้าๆขณะที่ผมเงียบไปกับการใช้ความคิด ผมส่ายหน้า
     
    ไม่เลยครับ ท่านพ่อ ไม่มีเรื่องไหนที่ท่านพ่อสอนเคยเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผม” ท่านพ่อส่งรอยยิ้มอ่อนแรงมาให้ผม และวินาทีนั้นเองที่ผมเห็นว่าท่านพ่อนั้นดูมีอายุเพียงไร ท่านพ่อเลื่อนกองเอกสารออกไปจากโต๊ะ โบกมือครั้งหนึ่ง กระดานหมากรุกก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
     
    มาเล่นหมากรุกกันหน่อยเถอะเคล เราไม่ได้เล่นหมากรุกกันมานานมากแล้ว” ท่านพ่อผายมือให้ผมเริ่มเดินก่อนเหมือนกับทุกครั้งที่เราเคยเล่นหมากรุกกัน ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วเหลือบมองไปทางท่านพ่ออย่างนึกแปลกใจ
     
    ท่านพ่อไม่ไปเล่นกับท่านแม่เล่าครับ” ท่านพ่อหัวเราะเบาๆ
     
    วันนี้เราจะเล่นกัน สองคน พ่อชวนแม่เขาแล้ว แต่แม่เขาเอาแต่งอนไม่พูดอะไรกับพ่อ แถมแคลร์เองก็เป็นไปกับแม่เขาด้วย” และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความสามารถที่สืบทอดทางสายเลือด ทั้งผมทั้งแคลร์ต่างก็เล่นหมากรุกเก่งด้วยกันทั้งนั้น ดูเหมือนว่าความสามารถนี้เท่านั้นที่สามารถยืนยันได้ว่าผมคือลูกของทั้งท่านพ่อและท่านแม่
     
    ท่านพ่อโกหก” ผมมุ่ยหน้าลง ค่อนขอดท่านพ่อเสียงเบาแบบที่ผมทำไม่บ่อยนัก ท่านพ่อหัวเราะอีกครั้ง
     
    ลูกรู้ได้ยังไงกัน”
     
    ผมเป็นลูกท่านพ่อนะครับ” ผมตอบเสียงอุบอิบอย่างหงุดหงิดใจ ท่านพ่อเอาเรื่องท่านแม่มาล้อเล่นได้ยังไง ท่านพ่อเบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจในสิ่งที่ได้ฟัง แต่แล้วท่านพ่อก็แย้มรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเดียวกับที่ท่านพ่อมอบให้ท่านแม่ ท่านพ่อหัวเราะเบาๆอย่างมีความสุข ทั้งๆที่เพิ่งโดนผมค่อนขอดไป
     
    นั่นสินะ” ผมมุ่ยหน้า ท่านพ่อหัวเราะอะไรน่ะ
     
    แล้วสรุปว่าท่านพ่อจะคุยอะไรกับผมโดยที่ไม่มีท่านแม่กับแคลร์ใช่ไหมครับ” ผมถามย้ำถึงจุดประสงค์ที่แน่นอนของท่านพ่ออีกครั้ง ท่านพ่อขยับรอยยิ้มยินดี ทั้งๆที่จากที่ผมได้ยินมาจากอาคิลแล้ว ท่านพ่อไม่ค่อยยินดีนักหากมีใครมารู้ทันเข้า
     
    แล้วลูกคิดยังไงล่ะ” ท่านพ่อถามกลับ ขณะผายมือออกมาทางผมอีกครั้ง
     
    เริ่มเดินเถอะเคล เราจะเล่นไปพูดไป” ผมเหลือบมองดวงตาสีมรกตรอบรู้ของท่านพ่อช้าๆเป็นการหยั่งความคิด ก่อนที่มือจะคว้าเบี้ยตัวหนึ่งเดินเปิดกระดาน
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    เอ้า! ถึงแล้ว ลงมาได้แล้วเพื่อน” ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มผมดำที่ดูติดจะยุ่งๆกระโดดลงมาจากที่นั่งคนขับของเกวียนไม้โทรมๆที่แล่นขโยกเขยกต่อแถวมาตลอดทางเข้าเมือง จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าอาณาเขตที่ดูวุ่นวายที่สุดของเมืองเล็กๆแห่งนี้ โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก
     
                เด็กหนุ่มผมดำกอดอกขมวดคิ้วมุ่น ยืนตบเท้าอยู่ตรงหน้าเกวียนเล่มโทรมของตนเองอย่างหงุดหงิด ใบหน้าดูดีของเด็กหนุ่มมุ่ยลงเป็นผลมาจากความหงุดหงิดนั่น ดวงตาสีม่วงที่เป็นประกายสุกใสขุ่นลงเล็กน้อยด้วยแรงอารมณ์ มือขยี้เรือนผมดำที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วของตัวเองให้ยุ่งเหยิงหนักกว่าเก่า ร่างสูงของเด็กหนุ่มอยู่ชุดเสื้อกั๊กตัวหลวมโชว์เนื้อหนังตามสมควรรับกับสายลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิ กับกางเกงขายาวสีดำ และบู๊ทหนังที่สภาพบ่งบอกอายุและประวัติการใช้งาน หลังจากชั่งน้ำหนักอยู่นานสองนานเขาจึงตัดสินใจแหวกผ้าใบผืนหนาทางด้านหลังเกวียนเล่มโทรมออกเตรียมตะโกนด่าผู้โดยสารด้านหลัง แต่ทว่า
     
    ถ้านายแหกปากขึ้นมาตอนนี้ ฉันจะไม่ให้อภัย เคเรส” น้ำเสียงเย็นๆดังสวนออกมาทันทีที่เขาแหวกผ้าใบขึ้นโดยที่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรที่อยู่ในใจออกไปเลยซักคำ เจ้าของเสียงตวัดดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่แฝงแววดุมาทางเขา เรือนผมสีเงินสั้นระต้นคอส่องประกายย้อนแสงแดดจากภายนอกให้เด่นขึ้นมาในเงามืด ดวงหน้าคมเข้มขณะนี้ดูดุจัดเมื่อยามจ้องมองมาทางเขา ก่อนที่จะอ่อนลงเมื่อยามทอดมองร่างเล็กในอ้อมแขน
     
                ดวงตาสีม่วงเข้มมองตามสายตาของผู้โดยสารหมายเลขหนึ่งในเกวียนไป เด็กสาวจิ้มลิ้มพริมเพราร่างเล็กกำลังนอนนิ่งอยู่ภายในอ้อมแขนของชายหนุ่ม เขาลูบเรือนผมสีน้ำตาลยาวนุ่มมือของเด็กสาวในอ้อมแขนอย่างเบามือ เจ้าหล่อนพลิกตัวหนีสัมผัสนั้น เรียกรอยยิ้มน้อยๆให้ประดับขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม เขากระชับอ้อมแขนขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าหล่อนในอ้อมแขนอยู่ในท่าที่สบายขึ้น ร่างเล็กครางเบาๆแล้วพลิกตัวเข้ากอดร่างสูงที่ตัวเองยึดไปที่นอนอย่างไม่รู้ตัว นี่ไง สาเหตุของคำสั่งห้ามส่งเสียง ท่าทางของสองหนุ่มสาวเรียกเสียงถอนหายใจให้กับผู้สังเกตการณ์อยู่ได้เป็นอย่างดี
     
    ปล่อยเคลมันไปก่อนเถอะ แคลร์เล่นหลับไม่ตื่นขนาดนั้นไอ้เคลไม่มีวันขยับไปไหนแน่” แรงตบเบาๆที่ไหล่เรียกให้เขาเหลียวไปมอง อีกหนึ่งในผู้โดยสารของขบวนเดินทางนี้ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมยาวสีทองอ่อนถักรวบเป็นเปีย ดวงตาสีฟ้าเข้มฉายประกายขบขัน แม้ว่าใบหน้าคมจะยังดูสุภาพเป็นปกติ ชายหนุ่มอยู่ในชุดยาวสีครีมสะอาดขลิบสีกรมท่า ผู้ถูกปรามโคลงหัวน้อยๆอย่างระอา
     
    แต่นี่มันเกินไปนะ เรคส์ ไม่เอาน่า ยังไงพวกมันก็ต้องไปสมัครด้วยอยู่ดีก็ไปพร้อมกันตอนนี้ซะไม่ดีเรอะ” เคเรสออกปากเถียงชายหนุ่มเป็นชุด เจ้าของชื่อเรคส์ส่ายหน้าช้าๆ ชี้มือไปทางด้านหลังเขา เคเรสสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงจิตสังหารที่พุ่งมาจากด้านหลัง ก่อนที่จะรีบเผ่นแนบออกไปจากสายตาของสองผู้โดยสารที่ยังอยู่บนเกวียนเล่มเดิม ไม่งั้นแม้แต่ชีวิตเขาก็อาจจะไม่เหลือให้บ่น
     
    ฉันเกลียดหมอนั่นตอนอยู่ในโหมดพี่ชายของแคลร์ที่สุดเลย ให้ตายเหอะน่า” เคเรสที่ทิ้งระยะห่างออกปากบ่นเต็มเสียง เรคส์ส่ายหน้าช้าๆ
     
    นายรู้จักมันกี่ปีแล้ว...” ชายหนุ่มถอนหายใจขณะพยายามกล่อมเพื่อนหนุ่ม “นายก็น่าจะรู้ ลุงโรฝังหัวอะไรมันมา”
     
    แต่มันก็เกินไปนะเฟ้ย แคลร์เองก็เหมือนกันถ้าเกิดยังไม่ยอมปล่อยมือเคลล่ะก็ แม้แต่แค่บินออกไปด้วยปีกของตัวเองก็ไม่มีทางทำได้ แล้วถ้าขืนพวกมันยังทำอะไรเกินพอดีแบบนี้ต่อไป มันไม่มีทางมีชีวิตของมันเองแน่ๆ” ชายหนุ่มเหลือบตาเพื่อนเพื่อนตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
     
    พูดกับฉันน่ะได้ เคเรส เพราะยังไงเราทั้งสองคนก็อยู่ในฐานะเดียวกัน แต่ห้ามไปพูดให้ครอบครัวนั้นฟังเป็นอันขาด ไม่งั้นแม้แต่ปาก นายก็จะไม่เหลือให้พูดอีก” ดวงตาสีม่วงจ้องมองไปยังดวงตาสีฟ้าเข้มของเพื่อนหนุ่มตรงหน้า แน่นอน พวกเขาทั้งสองมาที่เอดินเบิร์กนี่ด้วยเหตุผลเดียวกันที่นอกเหนือจากการมาเรียน คุ้มครองฝาแฝด ลุงโรเป็นคนไปก้มหัวขอร้องพ่อๆของพวกเขามา และผลที่ได้ก็เป็นแบบนี้
     
                พ่อเขาเขา คิล ฟีลมัส ตกปากรับคำของลุงโรง่ายแค่ลุงโรเอ่ยปาก แน่นอน เดาผลได้ไม่ยากอยู่แล้ว ถ้าลองคิดจริงๆ พ่อของเขาก็เป็นเพื่อนสนิทของทั้งลุงโรและน้าเฟริน เขาซึ่งเป็นลูกก็เลยได้มีโอกาสไปมาหาสู่บ้านเกรเดเวลบ่อยๆ จึงทำให้เขารู้จักฝาแฝดมาตั้งแต่เด็ก แต่เหตุผลที่พ่อรับงานนี้ทั้งๆที่ไม่ได้รับอะไรตอบแทนนั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่พ่อของคนตรงหน้า ลุงกัส ยอมส่งเรคส์ลูกชายคนเดียวของเขามาด้วยเหตุผลที่ยากจะคาดเดา แม้ว่าเรคส์กับลุงกัสจะเคยไปเยี่ยมพวกน้าเฟรินอยู่บ้าง และพวกเขาเองก็มีโอกาสได้เจอกันเป็นบางครั้ง แต่ส่วนมากแล้ว ลุงกัสมักจะไปขลุกตัวถกปัญหายากๆอยู่กับลุงโรมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพวกนั้น น้าเฟรินไม่มีวันรู้
     
                ลุงโรก็เป็นอีกคนที่ดูแลครอบครัวมากจนเกินเหตุ พ่อบอกเขาว่าเพราะว่าลุงโรกลัว เขาเองนึกอยากจะถามต่อ ว่าลุงโรกลัวอะไร แต่พอเห็นพ่อยิ้มแปลกๆ เป็นรอยยิ้มที่ทั้งแฝงรอยเศร้า และรอยล้าในเวลาเดียวกันเขาก็ถามต่อไม่ออก
     
                ส่วนคนตรงหน้า เรคส์ ก็ดูจะรู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าตัวเขา แต่ก็ไม่เคยปริปากบอกเขาเลยซักคำ แม้ตัวเรคส์เองจะบอกว่า ตัวมันเองก็ไม่ได้รู้มากไปกว่าเขาซักเท่าไรก็ตามที
     
                ที่น่าสงสารคือตัวแคลร์ ตัวเคลเอง ด้วยความเป็นพี่ เลยพอจะรู้อะไรบ้างนิดหน่อยตามที่ลุงโรจะยอมบอก แต่แคลร์นั้นไม่เคยรู้อะไรเลย เหมือนกับที่น้าเฟริน ไม่เคยรู้เลยว่าลุงโรวางแผนอะไรไว้อยู่ อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างนั้นนะ พ่อบอกว่า การดูถูกน้าเฟรินถือเป็นเรื่องที่ผิดถนัด น้าเฟรินเป็นเสนาธิการฝ่ายซ้ายมือฉมัง เป็นคนเดียวที่สามารถคุมการเงินที่ไม่เคยมั่นคงของป้อมอัศวินให้อยู่หมัด ซ้ำลุงกัสยังเคยบอกว่า น้าเฟรินเป็นคนเดียวที่กล้าด่าเจ้าชายโรเวนในขณะนั้นซึ่งตอนนี้กลายเป็นคิงโรเวนไปแล้ว และรุ่นพี่คนอื่นๆต่อหน้า แถมยังเคยไปถึงขั้นข่มขู่เสียด้วย
     
                ฟังแล้วก็ไม่ค่อยน่าเชื่อซักเท่าไร เพราะน้าเฟรินในตอนนี้ดูไม่เหมือนว่าจะเคยทำเรื่องราวเหล่านั้นได้เลย แต่ก็นั่นแหละ คนเราไม่สามารถประเมินได้จากภายนอก บางที ภายใต้ท่าทางอ่อนแอของน้าเฟริน น้าเฟรินอาจจะรู้อะไรหลายๆอย่างที่แม้แต่พวกเขาเองก็ยังไม่รู้เลยก็เป็นได้
     
    แล้วตกลงว่า...” เขาเว้นระยะเพื่อรอให้เพื่อนหนุ่มหลุดออกจากห้วงความคิด “จะเอายังไง” เคเรสเงยหน้ามองเจ้าของคำถาม ก่อนจะไหวไหล่
     
    ยังไงก็ได้ ฉันเองก็ไม่รีบเท่าไร แค่อยากออกมายืดเส้นยืดสายเท่านั้น” เคเรสตอบง่าย เรคส์ขยับยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินเลยมาทางด้านหลัง
     
    แล้วพวกนายล่ะ เคล แคลร์” ชื่อของฝาแฝดทำเอาเขาสะดุ้งสุดตัว หวังว่าสองคนนั้นจะไม่ได้ยินอะไรที่เขาเพิ่งปากเปราะพูดไปหรอกนะ
     
                เรคส์เอื้อมมือไปช่วยเคลประคองแคลร์ที่ยังติดมึนๆเพราะความดันต่ำ พร้อมด้วยรอยยิ้มบาง แคลร์ส่งมือให้แต่โดยดี แคลร์ดูตัวเล็กลงถนัดเมื่ออยู่อยู่ระหว่างเด็กหนุ่มร่างสูงสองคน แม้ว่าตัวจะดูเล็กอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แคลร์ส่ายหัวเล็กน้อยราวกับจะสะบัดอาการมึนศีรษะให้หลุดออกไปจากตัว
     
    ขอโทษที่เผลอหลับนานไปหน่อยค่ะ” เจ้าหล่อนเอ่ยขอโทษเสียงเบาหวาน เรคส์และเคลขยับยิ้มรับ ในขณะที่เคเรสโคลงหัว เรคส์มันเก่ง ปรับสีหน้าอารมณ์ได้รวดเร็วทันใจ ในขณะที่เขายังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะแสดงสีหน้าแบบไหน
     
    เอาล่ะ พร้อมแล้วใช่ไหม” เรคส์เอ่ยถาม ขณะลองปล่อยมืออกจากมือของแคลร์ แคลร์ยืนส่ายไปส่ายมาอยู่สักพักก็ตั้งตัวได้ เธอพยักหน้ารับช้าๆ
     
    งั้นก็ไปกันเถอะ” เคเรสเอามือรองใต้ศีรษะขณะออกเดิน นึกถามตัวเองในใจ ว่าตัวเองคิดถูกมั้ยที่นำขบวนมาที่เอดินเบิร์กเลย ไม่รอพวกพ่อที่แวะทำธุระนิดหน่อย ดูเหมือนว่าในกลุ่มนี้ หากไม่นับแคลร์ เขาก็คงเป็นคนที่แสดงความคิดออกทางสีหน้ามากที่สุดล่ะมั้ง ไม่สิ ต่อให้นับแคลร์เข้าไปด้วยก็เถอะ ยังไงเขาก็คงแสดงเก็บอารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าได้ห่วยกว่าแคลร์อยู่ดี บางทีเขาอาจคิดผิดที่ปฏิเสธความหวังดีของพ่อที่บอกว่าจะผละจากขบวนของพวกพ่อๆมาส่งถึงที่
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    ...” ท่ามกลางความเงียบสงบ แพขนตายาวกระพริบช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตกวาดมองบริเวณโดยรอบ ขณะสมองกำลังประมวลผลจากภาพที่เห็นอย่างช้าๆ
     
                เบื้องหน้าที่เห็นคือภาพสลัวๆที่เต็มไปด้วยสัมภาระเกะกะ ผ้าใบผืนหน้าที่ช่วยทั้งป้องกันสายลมเย็นและแสงสว่าง ส่ายหน้าเร็วๆเพื่อสะบัดความง่วงงุนออกไปจากร่างกาย การขยับตัวเพียงเล็กน้อยทำให้ร่างกายถูกกระชับจากอ้อมแขนของผู้ที่เธอยึดเขาเป็นที่นอนอยู่
     
    ตื่นแล้วเหรอ” เสียงนุ่มกระซิบถามเบาๆ เธอพยักหน้าช้าๆ แต่ก็ยังไม่เอ่ยอะไร
     
    ตอนนี้เราอยู่คาโนวาล” เขาพูดเรื่อยๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ทันทีที่เจ้าหล่อนได้ยินคำว่า คาโนวาล หล่อนก็สะดุ้งสุดตัว พลิกตัวกลับมามองหน้าคนพูดให้ชัดๆ
     
    พวกเรามาทำธุระนิดหน่อย ไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับเขา เสร็จแล้วพวกเราจะไปส่งลูกๆเข้าเรียนกัน” เขายังอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงเดิม
     
    ลูกๆเหรอ แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน” เธอร้องถามน้ำเสียงตื่นๆขณะกวาดตามองไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นสัญญาณชีวิตใดๆนอกเหนือไปจากเขาและเธอ
     
    โร ได้โปรด ลูกอยู่ไหน” เธอร้องถามเสียงอ่อนระโหย โรกระชับอ้อมแขนให้แน่นเข้า
     
    พวกเขาว่าจะล่วงหน้าไปเอดินเบิร์กก่อน เคเรสบอกว่าไม่อยากรอพวกเราทำธุระ คงเป็นการเร่งกลายๆด้วยนั่นแหละว่าให้พวกเราทำธุระให้เสร็จเร็วๆ จะได้รีบไปดูหน้าลูกๆ” เขาตอบยิ้มๆ ขณะโอบร่างภรรยาทางนิตินัยไว้เป็นเชิงปลอบ
     
    ฝาแฝดโตแล้วนะเฟริน อย่ากังวลนักเลย”
     
    ฉันแค่อยากอยู่กับพวกเขานานๆ” เฟรินตอบเสียงสั่น
     
    แต่การกระทำของเธอที่ทำกับเคลมันไม่เห็นบอกอย่างนั้นเลย” เขาถามย้อน
     
    ฉันทำอะไร...” เฟรินดันตัวออกจากอกกว้าง เพื่อถามให้ชัดๆ
     
    เคยดูสีหน้าลูกบ้างไหม” เขาถามกลับ เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง
     
    เคยรู้มั้ยว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนให้เคลเวลาเธอมองหน้าเขา” เขาถามต่อ เฟรินนิ่งไป
     
    รู้ตัวรึเปล่าว่ารอยยิ้มของเธอเวลาที่มองหน้าเคลมันทำให้เคลเกลียดตัวเองมากแค่ไหน” เธอเม้มปากแน่น
     
    ลูกบอกเหรอ” โรส่ายหน้าช้าๆ
     
    ลูกก็เหมือนเธอ เขายังเด็ก แสดงทุกอย่างออกมาทางสีหน้าว่าเขาคิดยังไง เพียงแต่เธอมองไม่เห็นเอง”
     
    ฉันกลัวนี่นา โร ยิ่งลูกโตขึ้นเท่าไร ลูกก็ยิ่งเหมือนเขามากขึ้นไปทุกวัน จนฉันแทบบ้า มันเหมือนกับต้องเห็นหน้าเขาทุกๆวันทั้งๆที่พยายามลืม” เฟรินตอบเสียงสั่น ลูกจะเกลียดเธอบ้างรึเปล่า หากเธอถูกลูกเกลียดเธอจะทำอย่างไรดี
     
    เคลไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ เฟริน แค่นี้เคลก็กังวลมากเกินพอแล้ว ทั้งเรื่องแคลร์ เรื่องสุขภาพของเธอ เรื่องนู่นเรื่องนี่สารพัด ยิ้มให้เขาบ้างเถอะ อย่าทำให้เขากังวลเพราะความกลัวของเธอเลย” เขาลูบผมหญิงสาวที่สาวไม่สร่างด้วยเลือดปีศาจครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัว ต่างจากเขาที่แก่ตัวลงไปทุกวัน ไม่รู้ว่าเขาจะปกป้องเธอไปได้ถึงเมื่อไร คาโลเองก็เริ่มจะลงมือตอบโต้มาบ้างแล้ว หลังจากนิ่งเฉยอยู่เป็นสิบกว่าปี
     
    เอาล่ะ ทีนี้ฟังฉันนะ เรื่องนี้เธอคงรู้ดีอยู่แล้ว เพราะมันเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง” เขาดันตัวเธอออกช้าๆอย่างสุภาพ “พอส่งลูกเข้าเรียนเสร็จแล้ว เราจะไปสโนว์แลนด์กัน” ดวงตาสีมรกตจ้องลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่โต เชื่องช้า ทว่าจริงจัง
     
    ขืนรอให้เธอหายเอง ฉันคงต้องแก่ตายไปก่อนแน่ๆ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “เธอไปสงบใจอยู่ที่นั่นซักพักเถอะ” เฟรินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ช้อนตาถามคู่สนทนา
     
    คนเดียวงั้นเหรอ” รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่เหมือนกันที่ตอนนี้เธอกลัวการอยู่คนเดียว ทั้งๆที่เคยอยู่คนเดียวได้โดยไม่รู้สึกอะไร
     
                โรส่ายหน้า ฉันจะปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้ยังไงกัน” เขาตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบาง เฟรินขยับยิ้มบาง ซุกหน้าลงกับอกกว้าง
     
    นายใจดีแบบนี้เสมอเลย” เขาโอบร่างเธอไว้แน่นพลางส่ายหน้าช้าๆ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วแท้ๆ
     
    ฉันรู้แล้วว่าแคลร์ไปติดการอ้อนแบบนี้มาจากใคร” เฟรินส่ายหน้า
     
    ไม่ใช่ฉัน” เจ้าหล่อนปฏิเสธหน้าตาเฉย “อยากรู้ว่าลูกไปเอามาจากไหนก็ไปถามลูกเองสิ” เขาถอนหายใจยาว เอนหลังพิงเกวียนสีซีดอย่างระอาใจ
     
    เบื่อนักก็ไปข้างนอกไป” เสียงไล่ดังมาจากเหนือหัว ดวงตาสีมรกตกลอกขึ้นไปด้านบนตามที่มาของเสียง ก่อนขยับยิ้มกว้าง
     
    ไอ้คิลกำลังจะประสาทกินตาย มันว่ามันเกลียดคาโนวาล” เฟรินยันตัวขึ้นมามองหน้าคนพูด
     
    อยู่ส่วนไหนของคาโนวาลแล้วล่ะกัส” ดวงตาสีฟ้ากวาดมองมายังคนถาม
     
    นอนเฉยๆไปเถอะ” คำตอบที่ไม่ใช่คำตอบเล่นเอาเจ้าของคำถามหน้าเบ้ แต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำ เพราะรู้จักกันมานานเกินกว่าที่คำพูดแค่นี้จะทำให้แตกหัก
     
    ที่นี่มันสูง อากาศเลยยังไม่หายหนาว ร่างกายเธอก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว เดี๋ยวล้มไปจะวุ่นอีก” กัสอธิบายเพิ่มเติม ดวงตาคู่เรียวเปรยมองหญิงสาวที่ไม่ต่อปากต่อคำใดๆอย่างนึกสงสารในใจ ก่อนจะปิดผ้าใบที่เป็นฉากกั้นระหว่างส่วนตัวเกวียนกับที่นั่งคนขับ หลังจากได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากข้างหน้าครู่หนึ่งชายหนุ่มก็โผล่หน้าเข้ามาใหม่ พร้อมผลักร่างของนักฆ่าคนเก่งแห่งซาเรสเข้ามาทางช่องกั้นผ้าใบนั่น
     
    เอ้า โร ออกมา ฉันจะถามอะไรหน่อย” นักฆ่าหนุ่มกำหมัดแน่นเตรียมพร้อมจะตะโกนด่าเพื่อนตัวดีที่บังอาจผลักเขาเข้ามาในนี้ โรที่เตรียมตัวจะลอดผ่านผ้าใบผืนหนาออกใบเหลียวหลังมามองชั่วแวบก่อนขยับยิ้มบางให้
     
    ฉันเกลียดพวกแกที่สุด!!!” คิลกำหมัดแน่นแล้วตะโกนก้อง สายตาคู่หนึ่งที่มองเห็นการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบหันมองสลับไปมาระหว่างผ้าใบผืนหนาที่สามีทางนิตินัยของเธอเพิ่งลอดผ่านออกไปสลับกับเพื่อนรักนักฆ่าตั้งแต่สมัยเรียน
     
    เกลียดแล้วยอมมันทำไมเล่า ไอ้นักฆ่าซื่อบื้อ” ถามพลางหัวเราะเบาๆ สีหน้าที่เคยซีดเซียวด้วยความผิดปกติของร่างกายดูสดใสขึ้นมาทันตาเพียงเจ้าหล่อนหัวเราะ
     
    ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้พวกเพื่อนเวร...” กำหมัดแน่นพลางย้ำแค้นกับตัวเองเสียงเบา เฟรินส่ายหน้าช้าๆ
     
    แกฝากไว้เยอะเกินไปแล้วคิล ทั้งต้นทั้งดอกแกก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” ดวงตาสีม่วงเรืองวิบด้วยอารมณ์โกรธ ก่อนจะหันมาว้ากลั่น
     
    ฝากแค้นเว้ย ไม่ใช่ฝากเงินในธนาคาร แกอย่าทำเป็นเล่นได้มั้ยวะ!!” คิลขยี้ผมดับเครียด “โว้ย!! ให้ตายเหอะน่า ฉันไม่น่ามารู้จักกับพวกแกเลย” เฟรินส่ายหน้า ก่อนวางตบไหล่เพียงหลังหนักๆสองสามที
     
    โทษตัวเองแล้วกันที่ดันสอบได้คะแนนสูงสุดของชั้นปี”
     
    ฉันน่าจะฆ่าตัวตายไปให้รู้แล้วรู้รอดตั้งแต่ช่วงสงครามบ้านั่นเลย จะได้ไม่ต้องมาข้องแวะวุ่นวายอะไรกับพวกแกอีก ให้ตายเหอะน่า” คิลบ่นอุบอิบกับตัวเองเสียงเบาขณะนั่งขัดสมาธิกอดอกหลับตาแน่นเพื่อสะกดอารมณ์
     
    รู้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพื่อนรัก” เฟรินเคลื่อนตัวมาโอบหลังเพื่อนรักเอาไว้แล้วกระซิบยั่ว ก่อนที่สติสุดท้ายของนักฆ่าแห่งซาเรสจะขาดผึงแล้วหันมาระบายอารมณ์กับผู้หญิงอ่อนแอไร้ทางสู้(?)แทน
     
                ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักและเสียงร้องโวยวายดังลั่นจากทางด้านหลัง เสียงถอนหายใจแรงขัดบรรยากาศสนุกสนานดังออกมาจากร่างสูงของบุรุษผมยาวสีเงินยวงที่ถูกรวบไว้ง่ายเพียงแค่ไม่ให้รุงรัง เปลือกตาหลุบลงอย่างระอาใจ คิดผิดหรือคิดถูกที่ส่งคิลไปด้านหลังกันแน่นะ เพื่อนข้างตัวหัวเราะเบาๆให้กับท่าทีของเพื่อนรัก
     
    ทำเครียดไป กัส” โรว่าเบาๆเป็นเชิงขัน
     
    พวกมันทำตัวอย่างกับอายุน้อยๆ ทั้งๆที่ก็มีลูกมีเต้ากันหมดแล้ว” กัสว่าอย่างระอาใจ
     
    เอาน่า นายก็หลวมตัวคบพวกนั้นมาเป็นสิบยี่สิบปีแล้วนี่นา” โรตบไหล่เพื่อนรักเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ
     
    ก็เพราะอย่างนั้นถึงได้เซ็งไงเล่า” โรหัวเราะเบาพลางโคลงศีรษะช้าๆ
     
    เรื่องนั้นไปโวยทีหลัง ตอนนี้มาเตรียมรับมือกับเรื่องตรงหน้าก่อนเถอะ” เขาพยักพเยิดไปด้านหน้า ดวงตาสีฟ้าคู่เรียวหันมองตาม ด่านตรวจเล็กๆตั้งให้เห็นอยู่ลิบๆตรงส่วนที่แคบที่สุดของหุบเขานี้เพื่อไม่ให้เหยื่อที่ต้องการหลบหนีไปได้สะดวก อย่างน้อยคนตั้งด่านก็คิดแบบนั้น
     
    ฉันเพิ่งรู้ว่าแกเห็นด่านนั่นเป็นปัญหา” กัสถามกลับอย่างแปลกใจ โรเลิกคิ้วด้วยท่าทีแปลกใจ
     
    ฉันก็นึกว่าแกเรียกฉันขึ้นมาเพราะด่านนั่น” กัสขมวดคิ้วมุ่น เล่นไม่ดูเวลา
     
    ไม่ใช่ด่าน แต่เป็นคนที่อาจจะอยู่กับด่านนั่นต่างหาก” กัสบอกเสียงเครียด โรทำหน้าเหมือนคนเพิ่งนึกถึงเรื่องที่ลืมไปนานแล้วขึ้นมาได้
     
    ออ หมอนั่นสินะ” กัสกัดฟันกรอด ก็แล้วใครกันที่บอกให้เขาตามดูเรื่องนี้อยู่เป็นเดือนมิทราบ โรหัวเราะเบาๆกับอาการของเพื่อนรักที่อุตส่าห์ปลีกตัวเข้ามาร่วมขบวนในครั้งนี้ด้วย
     
    อย่าเพิ่งโกรธไปกัส เรากำลังจะเข้าเขตของหมอนั่น เตรียมตีหน้าตายรับมือไว้ได้เลย” กัสส่ายหัวหน่ายๆ ไม่ว่าใครก็ทำเป็นเล่นไปหมด ก่อนจะแหวกผ้าใบไปส่งสัญญาณให้คิลที่อยู่ด้านหลัง
     
    เฟริน นอนเถอะ เดี๋ยวเธอก็บ่นว่าหนาวอีก” กัสบอกหญิงสาวเพียงคนเดียวในขบวนเดินทางที่กำลังเล่นหัวอยู่กับเพื่อนนักฆ่าราวกับเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบที่แฝงความเป็นห่วงลึกๆ
     
    ก็มันตื่นเต็มตาแล้วนี่กัส ทำไงได้” เฟรินขยับยิ้มกว้างให้เพื่อนหนุ่มอดีตเสนาธิการฝ่ายขวา คิลที่จับความบางอย่างในน้ำเสียงได้พยักหน้ารับคำพูดของเพื่อนหนุ่ม
     
    นอนเหอะ เชื่อฉัน ตอนนี้เราอยู่ในคาโนวาล ฉันไม่อยากให้มันมีเรื่อง” คิลอธิบายโดยใช้หลักเหตุผลรวมๆ เฟรินเริ่มหน้าเสียเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด แต่ก็ยังขมวดคิ้วมุ่น
     
    แต่นั่นไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าฉันจะต้องนอนด้วยเลยไม่ใช่เรอะ”
     
    เกี่ยวเต็มๆ เฟริน” โรให้คำตอบเสียงนิ่ง โดยที่ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาให้เห็น มือหนาหวดแส้บังคับให้ม้าพ่วงพีวิ่งให้เร็วขึ้น
     
    เพราะเรากำลังจะเจอด่านตรวจในอีกสามกิโลข้างหน้า” เฟรินยืดตัวขึ้นแล้วแหวดังลั่น
     
    อย่าบอกนะว่านั่นคือธุระของแกน่ะ!!!” สองบุรุษที่กำลังจะเข้ามาร่วมวงทะเลาะของสามีภรรยามองหน้าเป็นเชิงถาม ก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่
     
    เฟริน ฉันรับประกันว่าธุระครั้งนี้จะไม่มีอาการเอาเธอไปเผชิญหน้ากับคาโล เพราะฉะนั้นนอนลงซะก่อนที่พวกเราจะโดนข้อหาลักพาตัวราชินีแห่งคาโนวาล”
     
    อย่าพูดถึงผู้หญิงคนนั้น!!” เฟรินแหวดังลั่นใส่ผ้าใบผืนหนา คิลที่เห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบกดร่างของเพื่อนสาวให้นอนราบลง
     
    เฟริน! ใจเย็นๆ แกคิดว่าคนอย่างไอ้โรจะเอาแกเข้าไปพัวพันกับเรื่องหมอนั่นรึไง นอนลงซะ ทำตามที่โรบอกเถอะ” เฟรินสะดุดคำพูดและท่าทีต่อต้าน สมองกำลังประมวลข้อมูลต่างๆเพื่อนำมาปะติดปะต่อเรื่องราว
     
    ฉันจะไม่ทำร้ายเธอ จำได้ไหม เพราะฉะนั้น ได้โปรด นอนลง แล้วฉันสัญญาว่าพอเธอตื่นขึ้นมา เธอจะได้เห็นหน้าลูกๆ” หญิงสาวหลุบตาลงชั่วครู่ แต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาใหม่แววตาที่เห็นกลับทำให้เพื่อนหนุ่มที่กดร่างหญิงสาวอยู่เจ็บปวดขึ้นมา
     
    ปล่อยสิคิล ฉันจะนอนแล้ว” เฟรินพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวดังเช่นทุกครั้งที่เขาเห็นเจ้าหล่อนเวลาไปดูอาการที่เดมอส คิลคลายมือออกช้าๆ เฟรินยันตัวลุกขึ้น มือคว้าผ้าผืนบางใกล้ตัวมาคลุมทับไว้ชั้นหนึ่ง ก่อนจะเอนตัวrbงกับเกวียนที่ส่ายไปส่ายมาด้วยความเร็วแล้วหลับตาลงช้า คิลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ โร ดูท่าแกจะทำเสียเรื่องซะแล้ว
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆของยามบ่ายในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนรอบตัวเดินสวนกันไปมาวุ่นวายเต็มทางเดิน เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายกำลังตบเท้ากับพื้นเป็นจังหวะเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังก่อเกิดอยู่ภายในตัว หลังจากที่ยืนรอบริเวณจุดนัดพบมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบนาทีมาแล้ว แต่ยังไม่เห็นหน้าของคนที่ตัวเองนัดเอาไว้แม้แต่เงา
     
    นั่นไงๆ รออยู่ก่อนแล้วจริงๆด้วย” แว่วเสียงหวานร้องบอกดังขึ้นมาจากที่ไกล เด็กสาวตัวเล็กชี้ไม้ชี้มือมายังทิศทางที่เขายืนรออยู่โดยไร้ซึ่งทีท่าของความสำนึกผิด
     
                ดวงตาสีม่วงตวัดฉับไปตามทิศทางของเสียง ประกายในดวงตาคู่สวยวาวโรจน์ขณะมองภาพที่เห็น เชื่อเขาเลย พวกมันสามคนเดินกันมาพร้อมหน้า ในขณะที่ทิ้งเขายืนแกร่วตากแดดรออยู่เป็นเป้าสายตาคนเดียว เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นสะกดอารมณ์โกรธ ก่อนที่เด็กสาวตัวเล็กจะพุ่งเข้ามาหาเขาก่อนใคร
     
    เคเรส มาทางนี้เถอะ พวกพี่เขาไม่สนใจ แต่ฉันว่าเคเรสต้องเห็นด้วย” เจ้าหล่อนคว้าข้อมือเขาแล้วออกแรงลากไปยังทิศทางที่ต้องการด้วยเรี่ยวแรงอันไม่น่าเชื่อว่าภายใต้รูปร่างบอบบางจะมีเรี่ยวแรงได้อย่างที่เห็น
     
                เขาตีสีหน้าประหลาดใจอย่างนึกไม่ถึง ด้วยว่าเขากะเตรียมด่ากราดเข้าใส่ทันทีที่พวกมันเข้ามาประชิดตัว แต่พอหันหน้าไปถามอีกสองคนที่เดินตามหลังมาต้อยๆราวกับเป็นทาสก็ไม่ปาน พวกมันทั้งคู่ไหวไหล่บอกว่า เรื่องนี้ช่วยไม่ได้ เขาก็เริ่มเห็นเค้าลางของความน่ากลัวขึ้นมาได้ตงิดๆ
     
    เดี๋ยวสิ แคลร์ นี่พวกเราไม่ได้มาเที่ยวเล่นกันนะ พวกเราต้องซื้อของจำเป็นสำหรับการเข้าเรียน แล้วยังมีนัดกับพวกพ่อไว้ในอีกครึ่งชั่วโมงอีกต่างหาก” เขาพยายามแย้งเจ้าหล่อนด้วยเหตุผล ทันทีที่สมองประมวลแล้วพบว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย แต่เจ้าหล่อนส่ายหน้าวืดๆ
     
    ฮื้อ ไม่เอาน่า พี่เคเรส แปปเดียวค่ะ น้องอยากให้พี่เห็น” เด็กสาวร้องปฏิเสธอย่างเอาแต่ใจ ซ้ำยังใช้สรรพนามที่เจ้าหล่อนใช้ประจำในสมัยเด็กเวลาต้องการอ้อน
     
                เคเรสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด แคลร์อาจจะเป็นคนเดียวที่พวกเขาทั้งหมดไม่มีใครปราบได้ สุดท้ายเขาก็ยอมใจอ่อน แล้วก็ปล่อยให้เจ้าหล่อนลากไปตามต้องการ มีหวังได้ถูกเคลกับเรคส์ด่าเอาว่า ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง
     
                จะให้ทำไงได้ เขาก็เหมือนเคล ผูกพันกับยัยแคลร์นี่มาอย่างกับเป็นน้องสาวจริงๆ จนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่พวกพี่ๆแดกดันเอาว่า ไปขลุกอยู่แต่กับน้าเฟรินจนจะกลายเป็นลูกน้าเฟรินไปจริงๆแล้ว ตอนนั้นก็ไปติดโรคใจอ่อนกับคำอ้อนแบบน้องสาวมาอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็โดนงานด่วนเข้ามาให้จนทำให้ไม่มีเวลาไปมาหาสู่เดมอสกับพ่อเหมือนเคย จนตอนนี้นึกว่าจะหายแล้ว แต่ที่ไหนได้
     
    พ่อ พี่ๆ ดูเหมือนว่าจบงานนี้คงต้องของานด่วนให้ห่างไอ้ฝาแฝดนี่ไปยาวๆอีกแล้วล่ะ” พึมพำเสียงเบาพลางถอนหายใจยาว เคเรสเงยหน้ามองท้องฟ้ายาวบ่ายอย่างอ่อนใจ
     
    อย่าถอนหายใจสิ มันจะทำให้ไม่มีความสุขนะ” ยัยหนูแคลร์ของเขาขมวดคิ้วขณะหันหน้ามาเตือนเขาเสียงเข้มด้วยท่าทีตำหนิเอาเรื่อง แต่ด้วยเสียงหวานๆของเธอมันก็เลยทำให้ไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร
     
                เจ้าหล่อนเองก็กำลังจ้ำๆๆอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ทั้งๆที่ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ ผู้คนพลุกพล่าน มาก ถึงมากที่สุด จนขนาดเขาแค่เห็นยังเวียนหัว ไม่นับที่ต้องเดินแหวกฝูงชนเหล่านี้นะ แถมแสงแดดแรงที่ไม่น่าจะมีในช่วงนี้กลับแผดแสงเสียแรงกล้า ซ้ำเจ้าหล่อนยังดูเหมือนกับว่าจะผ่านการเดินมาก่อนแล้วเสียด้วย อา... แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ
     
    ไม่หันไปมองทางเดี๋ยวก็ไปผิดทางหรอก เอ้า แล้วจะเดินชนชาวบ้านเขาด้วยนะ” เขาพยักพเยิดไปทางด้านหน้า แคลร์จึงหันไปมองทางตามเดิม
     
    แล้วไอ้ที่พูดตะกี้มันอะไรกันน่ะ เคเรส จะไปไหนไกลๆอีกงั้นเหรอ” น้ำเสียงฟังดูเอาแต่ใจสุดๆ ฟังแล้วให้ความรู้สึกว่า ถ้าตอบเจ้าหล่อนไม่ดี เจ้าหล่อนอยากจะกรี๊ดดังออกมาด้วยความขัดใจก็ได้ ถึงแม้ว่าแคลร์จะไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อนเลยก็ตามที
     
    เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แล้วไอ้ของที่ว่าน่ะ อีกไกลมั้ยกว่าจะถึง” เขาถามด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ จะว่าไปแคลร์เลิกใช้สรรพนาม พี่ กับ น้อง ไปตั้งแต่เมื่อไรนะ รู้สึกตัวอีกที ไอ้ที่เรียกคนอื่นว่าพี่ เรียกตัวเองว่าน้องก็มีไว้ใช้กับเคลคนเดียวซะแล้ว
     
    อีกนิดเดียว ทั้งท่านพี่ ทั้งเรคส์ บอกว่าไร้สาระ แต่ฉันว่าเคเรสต้องชอบแน่ๆ” นั่นไง เห็นมั้ยล่ะ ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาใช้สรรพนามฉันแทนซะแล้ว เอาเถอะ อย่าเรียกเขาว่าแกก็แล้วกัน
     
                จากสภาพที่ผู้คนพลุกพล่านก็เริ่มบางตาลงไปถนัด ดูเหมือนว่ายัยหนูแคลร์ของเขาจะลากเขามาในที่เปลี่ยวซะแล้วไง เคลและเรคส์ที่เดินตามหลังมาห่างๆด้วยความหนาแน่นของผู้คนก็ตามพวกเขามาทัน จนในที่สุด พวกเขาทั้งสี่ก็สามารถเดินเรียงแถวหน้ากระดานได้อย่างไม่มีสายตาตำหนิมามอง
     
    ก็เตือนแล้ว แคลร์เคยฟังกันบ้างซะที่ไหน” เรคส์บอกเพื่อนหนุ่มหน่ายๆ เขาเลิกคิ้วขึ้น นี่คงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมสามคนจึงอยู่กันพร้อมหน้า เคลกับแคลร์คงไปด้วยกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรคส์นั้นแยกไปอีกที จนสุดท้ายเคลเกิดเผลอละสายตาไป แคลร์ก็หายไปตัวแล้ว ต้องเดือดร้อนเรคส์ที่บังเอิญอยู่ใกล้ๆไปช่วยตามหาแล้วคุ้มกันกลับมา ส่วนเขาที่แยกไปอีกทางก็หมดสิ้นรับรู้เรื่องพรรค์นี้ เคเรสเริ่มร่างเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเป็นฉากๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันตรงกับความเป็นจริงกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ มันติดนิดเดียว ตรงที่แคลร์ไม่ได้เป็นฝ่ายเดินหายไป แต่ลากเคลไปด้วยเลยต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าอย่างเคลน่ะเหรอ จะขัดบัญชาพระองค์หญิงได้ ส่วนเรคส์นั้นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเลยทำท่าจะไปห้ามแล้วใช้กำลังบังคับให้กลับ แต่ก็แน่นอนว่า เคลไม่อนุญาตให้ใช้กำลังใดๆกับพระน้องนางเป็นอันขาด
     
    ไม่เห็นเกี่ยวเลย ฉันดูแลตัวเองได้น่า” เจ้าหล่อนปฏิเสธคำกล่าวหาที่ไม่มีทั้งเนื้อทั้งน้ำของเรคส์งอนๆ
     
    แถมท่านพี่ก็อยู่ด้วย ไม่เป็นไรหรอก” ไม่วายยกชื่อพี่ชายฝาแฝดสุดที่รักขึ้นมาเป็นข้ออ้างเสียด้วย
     
    พี่จะอยู่หรือไม่มันไม่เกี่ยว ถึงยังไงน้องก็ไม่น่ามาในที่แบบนี้อยู่ดี” เคลเตือนน้องน้อยของเขาเสียงเข้มแฝงแววตำหนิอย่างชัดเจน ดวงตาสีฟ้ากระจ่างหรี่มองสองข้างทางอย่างไม่ไว้ใจ
     
                บ้านเรือนที่เคยตั้งเว้นระยะห่างเริ่มขยับติดกันเข้ามา สกปรกขึ้น มืดขึ้น และ ไร้ซึ่งผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆจนน่าหวั่นใจ มันแน่อยู่แล้วที่พื้นที่แบบนี้ถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของผู้หญิง แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อน น้องน้อยของพวกเขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด
     
                แคลร์มุ่ยหน้าที่ถูกพี่ชายฝาแฝดที่ช่างเอาใจสารพัดดุเอาอย่างที่มีไม่บ่อย แต่ก็พยายามทำไม่ใส่ใจแล้วลากเคเรสให้เดินให้เร็วขึ้น
     
    ใกล้ๆนี่ล่ะ อย่าใจฝ่อไปหน่อยเลย” จะว่าไป เขาเองก็เคยได้ยินจากพ่อเหมือนกันว่าน้าเฟรินเองก็กร่างๆแบบนี้เหมือนกัน แล้วแคลร์ที่แทบจะก็อบปี้น้าเฟรินมาทั้งตัวเองก็น่าจะเหมือนกัน แต่มันดูจะขัดกับนิสัยขี้กลัวของแคลร์ไปหน่อย แล้วนี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่จะทำให้ไอ้เคลได้เป็นไมเกรนด้วยความวิตกจริต
     
                สองข้างทางดูเหมือนชุมชนแออัดที่ไม่น่าพิสมัยแม้แต่น้อย น่านับถือที่แคลร์ยังสามารถเดินอยู่ได้โดยไม่รู้สึกอะไรกับแววตาแปลกๆที่ผู้คนแถวนี้มองมา ผิดกับพวกเขาสามคนที่เริ่มจะรู้สึกไม่ดีมากขึ้นทุกที
     
    ขออนุญาตนะคะ” เจ้าหล่อนเอ่ยเสียงเบาขณะผลักบานประตูเก่าๆโกโรโกโสให้เปิดออกช้าๆ เสียงบานพับเสียดสีกันลั่นผ่านความมืดอันเงียบงันจากบริเวณโดยรอบ ส่งผลให้เคเรสชักรู้สึกใจเสียขึ้นทุกที น่าแปลกที่แคลร์ที่น่าจะกลัวเรื่องพรรค์นี้กลับยังเฉย แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าหวานของเด็กสาวข้างตัวก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด แคลร์เองก็ดูท่าจะกลัวน่าดู ซ้ำมือที่จับข้อมือเขาไว้ก็กำแน่นขึ้นเสียด้วย ก็แล้วถ้ากลัวจะมาทำไมเล่า
     
    คุณลุงคะ อยู่มั้ยคะ” แคลร์ตัดสินใจส่งเสียงร้องถามไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
     
    ออ นึกว่าใครมา ที่แท้ก็คุณหนูนั่นเอง” เสียงแหบแห้งที่อยู่ๆก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เล่นเอาพวกเขาสะดุ้งกันไปแถบๆ ชายชราผู้มีใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยกระและฝ้าตัวใบหน้าปรากฏขึ้นภายใต้แสงเทียนจากเขียนไขเล่มเล็กในมือ ดูๆไปแล้วชวนให้นึกถึงเรื่องราวสยองขวัญ ที่อยู่ๆผีก็โผล่ขึ้นมาจากด้านหลังตัวเอกเพื่อหลอกให้ตกใจตายกันไปข้างหนึ่ง
     
                แคลร์เผลอปล่อยมือเขาออกด้วยความตกใจแล้วไปคว้าเอาตัวเคลไปกอดไว้แน่นแทน แต่ก็นั่นแหละ ขนาดเขายังเผลอผงะถอยหลัง แถมเรคส์ที่นิ่งเสมอยังตีสีหน้าขวัญเสีย แล้วเจ้าหล่อนที่ขี้กลัวไปซะทุกอย่างจะไม่กลัวมันก็แปลกเกินไปหน่อย
     
                ชายชราหัวเราะหึๆอย่างพึงพอใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเดินเลยพวกเขาไปต่อเทียนที่แขวนไว้ตามกำแพงอิฐเก่า เทียนไขเล่มน้อยส่องสว่างขึ้น จนทำให้พอจะเห็นสภาพโดยรอบของภายในบ้านโย้ๆโกโรโกโสแห่งนี้ แล้วจึงเลยไปยังเคาน์เตอร์ไม้ด้านในสุดของพื้นที่แคบๆของในกระต๊อบโทรมๆแห่งนี้
     
                กำแพงอิฐสีส้มดูเก่าแก่ผิดกับอาคารของภายในตัวเมืองที่ถูกสร้างด้วยอิฐสีขาว สภาพอิฐนั้นหาก้อนที่สมบูรณ์ได้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่แล้ว หากไม่กะเทาะไป ก็ต้องแตกร้าว หรือไม่ก็หักออกจนกลายเป็นช่องให้ลมพัดผ่านไปสบาย น่าคิดนักว่าเวลาฤดูหนาวจะทำยังไง
     
                โต๊ะไม้เก่าๆผุๆสีมอๆถูกวางไว้โดยทั่วๆ แม้จะมีเพียงสองตัว แต่ก็ดูสมดุลดีกับสภาพความกว้างของบ้านหลังนี้ เครื่องมือโลหะหลากหลายชิ้นถูกวางไว้ระเกะระกะเต็มโต๊ะ ไม่นับรวมที่มีแขวนกับกำแพงอยู่อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งเครื่องมือบางชิ้นนั้นนอกจากจะมีคราบสนิมแล้ว เขาสาบานได้ว่าเขาเห็นบางชิ้นมีคราบเลือดติดอยู่ด้วยอีกต่างหาก
     
    กระต๊อบโทรมของกระผมคงไม่มีอะไรเหมาะกับคนอย่างคุณหนู กรุณากลับไปเถอะครับ” ทั้งๆที่ชายชราคนนั้นพูดเรียบๆด้วยน้ำเสียงโมโนโทน แต่ทำไมมันฟังดูเป็นการไล่เชิงข่มขู่กันนะ
     
    แปปเดียวค่ะ ตะกี้โดนท่านพี่ลากออกไปก่อนเลยไม่ได้ดูให้ละเอียด แต่หนูเห็นดาบดีๆเล่มนึงอยู่” แคลร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ไม่วายแอบแขวะผู้เป็นพี่ ขณะผละตัวออกจากเคล แฝดผู้พี่ แล้วหันมาจับข้อมือเขาแล้วลากเข้าไปใกล้ๆโต๊ะผุๆตัวใหญ่ที่ที่สุดที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของโถงแคบๆแห่งนี้ อย่างกล้าๆกลัวๆ
     
                เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ แคลร์ดูใจกล้ากว่าที่คิด ทั้งๆที่ยังกลัวจนตัวสั่นแท้ๆ เขาคิดอย่างชื่นชม ก่อนจะสูดหายใจลึกเพื่อทำใจ ถ้าแคลร์จะทำ ใครกันจะขัดได้
     
                นิ้วบางเลื่อนขึ้นมาลูบริมฝีปากบางอย่างใช้ความคิด คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่นิ้วจะเลื่อนลงมาชี้วนๆอยู่เหนือกองเครื่องมือโลหะๆโทรมๆสนิมเขรอะที่ระเกะระกะเต็มโต๊ะ แล้วควานมือลงไปหยิบดาบสนิมเขรอะขึ้นมาเล่มหนึ่ง
     
    เล่มนี้ไง” เจ้าหล่อนร้องอย่างยินดี ในขณะที่เขาทำหน้าเหยเกอย่างผิดหวัง
     
    สนิมกินแบบนี้เนี่ยนะ” เขาบ่นเบา แคลร์สะบัดมือเขาทิ้ง ขมวดคิ้วมุ่นที่โดนดูถูก ก่อนจะเอานิ้วลูบบนใบดาบช้าๆ
     
    ทำไมถึงไม่คิดจะดูก่อนมั่งเลยนะ เคเรสนี่เป็นพวกตัดสินทุกอย่างจากภายนอกไปตั้งแต่เมื่อไรน่ะ” หล่อนบ่นให้เขาฟังราวกับจะทำตัวเป็นแม่เขา แต่ท่าทางงอนๆน่าเอ็นดูนั่นมันก็ทำให้คำบ่นดูไม่ขลังเท่าไรนัก
     
                ใบดาบที่แคลร์ลูบนิ้วผ่านค่อยๆสว่างเรืองขึ้นช้าๆ ก่อนที่สนิมเกรอะกรังที่ติดแน่นอยู่บนตัวดาบจะค่อยๆสลายไปเป็นโลหะเนื้อดีเงางามราวกับถูกดูแลมาเป็นอย่างดีมาเป็นเวลายาวนาน เขายิ้มแหยๆอีกครั้ง แคลร์พูดถูก ดาบเล่มนี้ดูเป็นดาบที่ดีจริงๆ กลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างเฝื่อนคอ แคลร์ตาดีจริงๆเหอะ ให้ตายสิ
     
    ว่าไงคะ พี่เคเรส สนใจขึ้นมาบ้างรึยัง” หล่อนพูดด้วยรอยยิ้มของคนที่เหนือกว่าขณะควงดาบเล่มขนาดเหมาะมือที่สลักเสลาลวดลายบนตัวดาบเรียวราวกับลงอาคมบางอย่างไว้ ด้ามดาบเมื่อไม่มีสนิมจับแล้วจึงทำให้เห็นชัดขึ้นว่ามันถูกประดิดประดอยขึ้นมาอย่างประณีต เส้นเงินถูกถักพันเป็นเกลียวแปลกตาล้อมรอบด้านจับ แม้จะไม่มีอัญมณีหรือหินสีประดับตามแบบสมัยนิยม แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นดาบที่สวยมาก มันไม่ยาวไม่สั้นจนเกินไป แถมยังดูเรียวลู่ลมเหมาะกับพวกใช้ความเร็วแบบเขา สายตาแคลร์นี่มันดีจริงๆให้ตายสิพับผ่า
     
                ชายชราเจ้าของร้านหัวเราะหึๆอย่างพึงใจอะไรบางอย่าง เด็กสาวรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะ ด้วยความลืมตัวจึงเผลอขยับถอยหลังออกมาจากจุดที่ยืนอยู่
     
    เล่มนั้นไม่ขายครับ คุณหนู” ชายชราเอ่ยดักคอ เด็กสาวเริ่มหน้าเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะเสียอีก
     
    ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายของนะครับ ถ้าคุณหนูไม่ทราบ” น้ำเสียงโมโนโทนแหบแห้งของชายชราบั่นทอนความมั่นใจของเด็กสาวให้เหลือน้อยลงทุกที และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ดีเสียด้วย
     
                เคเรสมองดาบในมือแคลร์ที่ถูกกำแน่นเหมือนไม่อยากวาง เขาเองก็เข้าใจอยู่ เจ้าหล่อนอุตส่าห์เจอของดีทั้งที แถมยังตั้งใจว่าจะซื้อเสียด้วย แต่อยู่ๆก็ถูกบอกว่าไม่ขายนี่มันก็น่าเสียใจอยู่
     
    ลุงครับ ขายมันเถอะครับ เท่าไรพวกผมก็จ่าย ขายมันให้พวกเราเถอะครับ” เคลคือคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาแก้สถานการณ์น่าอึดอัดของแฝดผู้น้อง
     
    กระผมบอกแล้วยังไงครับ ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายของ ของทุกชิ้นที่นี่ไม่ขายครับ” ชายชราคนนั้นยืนยันคำเดิม แคลร์กอดดาบเล่มนั้นไว้กับตัว
     
    ได้โปรดเถอะค่ะ แคลร์อยากให้พี่เคเรสได้ไปจริงๆ ขายมันให้แคลร์เถอะค่ะ มันจะต้องเหมาะกับพี่เคเรสแน่ๆ” แคลร์ขอร้องเสียงอ่อน ด้วยความกลัวระคนใจเสีย
     
                ชายชราส่ายหน้าช้าๆแล้วผลุบหายเข้าไปในความมืดด้านหลังกระต๊อบ แคลร์ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเสียใจ มือทั้งสองข้างยังกอดดาบเล่มนั้นไว้กับตัวแน่น
     
    โธ่! ทั้งๆที่มันต้องเหมาะกับพี่เคเรสแท้ๆ” แคลร์ไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่ได้มาก่อน แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ให้เจ้าหล่อนได้รู้จักผิดหวังซะบ้าง และเป็นโชคดีของพวกเขาที่แคลร์ไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าอารมณ์ไร้เหตุผลที่มีอะไรไม่ได้ดังใจจะต้องกรี๊ดบ้านแตก แต่จะว่าไป....
     
    แคลร์รู้ได้ยังไงว่าที่นี่มีดาบดีๆ” เขาถามหล่อนดีๆด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ดูใจดีที่สุดเท่าที่ตอนนี้จะทำได้
     
    ก็แคลร์รู้สึก” แคลร์ตอบด้วยเสียงสูงๆคล้ายจะร้องไห้ คงเป็นเวทย์มนตร์อะไรซักอย่างที่ติดตัวแคลร์มาล่ะมั้ง เขาคาดการณ์
     
                เรคส์หันไปมองหน้าเคลเป็นเชิงถาม แต่เคลก็เพียงยักไหล่แล้วส่ายหน้าแทนคำว่าไม่รู้
     
    เอาล่ะคุณหนู ส่งดาบเล่มนั้นมาให้กระผมด้วยครับ” เสียงแหบแห้งของชายชราที่อยู่ๆก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาพวกเขาสะดุ้งกับไปตามๆกัน ดวงตาสีน้ำตาลของแคลร์เปล่งประกายรั้น ส่ายหน้าแรงๆ
     
    ให้แคลร์เถอะค่ะ ดาบเองก็อยากได้เจ้าของที่เหมาะกับมันมากกว่าที่จะทิ้งไว้เฉยๆให้สนิมจับ ได้โปรด ให้ดาบนี่กับแคลร์เถอะค่ะ” ชายชราขยับยิ้มบาง
     
    ก็กระผมจะเอามันมาห่อให้ไงครับ แล้วถ้าคุณหนูกอดมันอยู่อย่างนั้น กระผมจะห่อให้ได้ยังไง” ชายชราพูดง่ายๆ แต่เล่นเอาช็อคกันไปเป็นแถบ
     
    ก็ไหนคุณลุงบอกว่าไม่ขาย” เรคส์ทวนคำช้าๆ ชายชราขยับยิ้ม มันคงเป็นรอยยิ้มใจดี แต่เมื่ออยู่บนหน้าของชายชรา มันก็ดูน่ากลัวชวนขนลุกได้ไม่ยาก
     
    กระผมไม่ขายครับ ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายของ” ชายชราย้ำคำเดิม
     
    อ้าว ลุง แล้วจะห่อให้ทำไมถ้าไม่ขายล่ะ” เคเรสถามกลับ เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเรื่อยๆ ไอ้นี่มันกวนส้นนี่หว่า
     
    ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายของ กระผมจึงไม่ขายดาบเล่มนั้น แต่เมื่อคุณหนูท่านนั้นเจอดาบเล่มนั้น มันก็กลายเป็นของคุณหนูท่านนั้น แล้วกระผมจะเอามันมาห่อให้คุณหนูท่านนั้นมันแปลกตรงไหนกันหรือครับ” เขารู้สึกเหมือนกับว่าโดนตบหัวอย่างแรง ก่อนจะโดนขยี้หัวซ้ำ ให้ตายเหอะน่า อย่างมันเรียกว่ารวนคำพูดชัดๆเลย
     
    จะให้ฟรีๆเหรอคะ แต่ว่า...” แคลร์ทำท่าลังเล เคลขึ้นต่อคำพูดที่หายไปของแคลร์ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
     
    โลกนี้ไม่มีคำว่าฟรี คุณต้องการอะไร” จะบอกว่ายังไงดีล่ะ แต่เคลนี่เจ๋งไปเลย แค่พูดคำเดียวก็ทำให้สถานการณ์ที่เพิ่งโดนบลั๊ฟมาหมาดๆกลับมาอยู่ในมือตัวเองได้
     
    นั่นไงครับ ค่าตอบแทนของกระผม” ชายชราชี้มือเหี่ยวย่นไปยังด้านหลังพวกเขา บานประตูเก่าๆแง้มออกช้าๆ ก่อนที่ร่างๆหนึ่งจะค่อยๆก้าวเดินเข้ามา
     
    ลุง อยู่มั้ย ผมถามอะไรหน่อย” เสียงถามนั้นหวานสูงบ่งบอกว่าเป็นผู้หญิงโดยแท้ แต่คำพูดที่ใช้กลับเป็นคำพูดของผู้ชาย
     
    ถ้าจะตามหาเด็กกลุ่มหนึ่งล่ะก็ ที่นี่มีครบเลย จะเอาอะไรเป็นค่าตอบแทนล่ะ หือ พ่อหนูเฟริน” ชายชราตอบเจ้าของเสียงนั้นไปอย่างสนิทสนมราวกับเป็นลูกหลานก็ไม่ปาน
     
    ที่อยู่ของท่านมาดัสได้มั้ยครับ พวกผมเพิ่งไปสืบได้มาเมื่อเดือนก่อน” เสียงของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งดังตามเข้ามา เขาถามกลับด้วยเสียงสุภาพ
     
                ขณะที่เด็กๆทั้งสี่ค่อยเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ
     
    ที่นี่มืดกว่าครั้งที่แล้วที่เคยมารึเปล่าน่ะ ลุง เปลี่ยนไปใช้ตะเกียงเหอะ” น้ำเสียงดูจะไม่ใส่ใจกับความหมายของสิ่งที่พูดนักดังตามเข้ามาติดๆ พื้นที่โถงที่แคบอยู่แล้วก็เลยยิ่งแคบลงไปถนัด เมื่อบุรุษคนสุดท้ายปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง
     
    ที่นี่ทำความสะอาดครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน” บุรุษสุดท้ายพึมพำเบาๆอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก ก่อนจะโบกมือครั้งหนึ่ง ฝุ่นผงทั้งหลายก็สลายไปในพริบตา
     
    ท่านพ่อ.... ท่านแม่....” ฝาแฝดครางอย่างไม่เชื่อสายตา เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในนี้
     
    ที่นี่มีทุกอย่างบนโลกนี้จริงๆเว้ยเฮ้ย เฟริน” คิลเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างไม่อยากเชื่อเท่าไรนัก
     
    บ้านสารพัดนึกรึไงน่ะ” กัสพึมพำถามเบาๆ
     
    ประมาณนั้นแหละ” เฟรินตอบง่ายๆ ก่อนจะเดินเข้าไปโอบร่างลูกสาวสุดที่รักไว้แน่น หลังจากที่กอดลูกสาวจนพอใจก็หันไปกอดลูกชายบ้าง
     
    ที่อยู่มาดัสเมื่อเดินก่อนมันเก่าไปแล้ว พ่อหนุ่ม เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น” ชายชราพูดกับโรด้วยน้ำเสียงรื่นเริงกว่าปกติ โรส่ายหน้ายิ้มๆ
     
    งั้นเป็นผลึกบูชาของวิหารบนยอดเขาสูงที่คาโนวาลได้มั้ยล่ะครับ” โรต่อรองเปลี่ยนสินค้า คิลฟังแล้วเบ้หน้า
     
    แกเอาจริงเหรอ นั่นแทบเลือดตากระเด็นเลยนะ กว่าจะได้มา” กัสเองก็ส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เห็นด้วย
     
    ฟังดูน่าสนใจ ขอดูหน่อยซิ” ชายชรายื่นมือมาด้วยสีหน้ายินดีที่ดูดีกว่าตอนที่ยิ้มให้พวกเด็กๆทั้งสี่มากโข
     
    ลุง เกินไปแล้ว ที่นี่รับแต่โลหะไม่ใช่เรอะ อย่าเอาของศักดิ์สิทธิ์ไปใช้เล่นๆสิ” เฟรินปล่อยมือจากลูกชายแล้วหันมาต่อรองกับชายชราแทน ในขณะที่พวกเด็กๆทั้งสี่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก
     
    เอากำไลนี่ไป แค่นี้พอมั้ย” เฟรินโยนกำลังทองขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยอัญมณีสีแดงสดให้ชายชราอย่างส่งๆ ซึ่งชายชราก็รับได้อย่างไม่มีพลาด หลังจากพลิกดูอยู่ระยะหนึ่ง ก็โยนมันไปกองรวมกับเครื่องโลหะบนโต๊ะเก่าๆอย่างไม่ใส่ใจ
     
    จ่ายได้ครึ่งเดียว ไอ้หนู หามาอีกครึ่งนึง” ชายชราบอกราคาสินค้าง่ายๆ ขณะที่คิลอ้าปากค้าง
     
    เกินไปแล้วลุง นั่นกำไลทองที่ได้มาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ จ่ายได้ครึ่งเดียวอะไรกันน่ะ นี่มันจะเรียกแพงเกินไปแล้วนะ” ชายชราบุ้ยใบ้ไปยังดาบเงินที่ยังอยู่ในมือแคลร์
     
    คุณหนูคนนั้นจะเอาดาบเล่มนั้น กำไลตะกี้จ่ายค่าตามหาคน แต่ยังไม่ได้จ่ายค่าดาบเลย” เคเรสผู้ฟังบทสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบเริ่มรู้สึกตงิดๆ ไหนบอกว่าพวกพ่อแม่คือค่าตอบแทนไม่ใช่เรอะ
     
    อ้าวลุง ไหนบอกว่าค่าตอบแทนคือพวกพ่อแม่ไง แล้วไหงมาเรียกกันงี้ล่ะ” ด้วยความลืมตัวเพราะความที่ต้องจ่ายอะไรแพงเกินตัว จึงทำให้ลืมคำว่าสัมมาคารวะออกไปจากจิตใจ ซ้ำร้ายพวกพ่อแม่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีเสียด้วย
     
    เปล่าครับ กระผมบอกว่าค่าตอบแทนอยู่นั่น ไม่ได้บอกว่าเด็กพวกนี้คือค่าตอบแทนเสียหน่อย” เคเรสเริ่มหัวเสียที่มีความรู้สึกว่าโดนคนแก่ปั่นหัว
     
    ใจเย็นเคเรส เรื่องแค่นี้เอง” โรปลอบเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปเสนอของชิ้นมั้ย
     
    งั้นก็หมวกเหล็กอันนี้ล่ะครับ” โรหยิบหมวกเหล็กสนิมเขรอะของอัศวินโบราณขึ้นมาจากความว่างเปล่า ชายชราพิจารณาอยู่นานสองนาน ก่อนจะพยักหน้าตกลง เป็นอันว่าแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น
     
    ดาบนี่ล่ะ” กัสหยิบดาบสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมาจากกองเครื่องโลหะบนโต๊ะผุๆซึ่งอยู่คนละด้านกับจุดที่ทุกคนยืนอยู่ แต่จะว่าไป กัสไปเดินดูของพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
     
                คิลขมวดคิ้วมองดาบอย่างพินิจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาลูกชายตัวเอง แล้วดึงดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวลูกชายออกจากฝัก
     
    เฮ้ย! พ่อ จะทำอะไรน่ะ” เคเรสร้องโวยวายที่อยู่ๆดาบของตัวก็โนหยิบไปเสียอย่างงั้น แต่ดูเหมือนคิลจะไม่ใส่ใจกับเสียงโวยวายของลูกชาย
     
    ลุง เล่มนี้พอมั้ย” ถามพลางโยนดาบไปให้ชายชรา ซึ่งรับไว้ได้อย่างสวยงาม ชายชรามองดาบสั้นสนิมเขรอะในมือกัสสลับการดาบของเคเรสในมือตัวเอง ก่อนจะพยักหน้าตกลง
     
    โอเค ตกลงได้แล้วก็ไปกันเถอะ” โรสรุปท้ายแล้วเดินนำออกไปจากกระต๊อบโย้เย้ใกล้พัง
     
    ขอโทษที่ต้องมารบกวนนะครับ” โรโค้งศีรษะขออภัยขณะกำลังจะออกประตูไป ชายชราพยักหน้ารับน้อยๆ
     
    เออ อย่ามาบ่อยๆก็แล้วกัน” ชายชราโบกมือส่งๆก่อนจะหายกลับไปในความมืดเบื้องหลังอีกครั้ง ทุกคนเคลื่อนขบวนออกมาจากกระต๊อบแคบๆหลังนั้นแล้วพากันเดินออกจากย่านนั้นในทันทีโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรทั้งสิ้น
     
                ใช้เวลาไม่นาน พวกเขาทั้งแปดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าโรงแรมที่นัดกันเอาไว้แต่ต้นอย่างปลอดภัยไร้ร้อยขีดข่วน เคลถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อตัวเองถึงที่หมายเสียที โรขยับยิ้มเอ็นดูให้กับลูกชายคนโปรด ก่อนจะลูบหัวเบาๆ
     
    พวกท่านพ่อมาถึงนานแล้วหรือครับ” เคลเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะหากไม่แล้ว พวกท่านคงไม่ออกตามหา โรส่ายหน้า ก่อนจะชี้ขึ้นไปด้านบน แทนการบอกว่าให้ขึ้นไปพักข้างบนกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน เคลพยักหน้ารับง่ายๆก่อนจะเดินเข้าไปในโรงแรงกลางเก่ากลางใหม่ที่สภาพพอดูได้ โดยมีท่านแม่คนสวยเดินนำเข้าไปก่อนโดยไม่แม้แต่จะเหลียวตามามองท่านพ่อด้วยซ้ำ เคลถอนหายใจยาวอย่างอ่อนใจ ท่าทางคงได้พูดคุยทำความเข้าใจกันอีกยาว
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    ฟังนะ” เฟรินพูดด้วยสีหน้าจริงจังอันหาได้ยาก หลังจากความวุ่นวายในการปรับความเข้าใจของคู่สามีภรรยาทางนิตินัยจบลงด้วยคำสัญญาของฝ่ายชายว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก ซึ่งกว่าจะยอมตกลงด้วยดีได้ก็เล่นใช้เวลาไร้สาระไปกว่าสามชั่วโมง ส่วนคนอื่นๆก็ใช้เวลาสามชั่วโมงนั่นหมดไปกับการนินทาเนื้อหาข้อสอบและอาจารย์ต่างๆที่ยังสละเวลาสอนอยู่ในโรงเรียนพระราชา ขณะที่กัสกำลังขัดดาบสั้นในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ สลับกับเอาเข็มปลายแหลมที่ถูกทำให้ร้อนจนแดงด้วยเวทย์มนตร์จี้ลงไปขีดๆเขียนๆอะไรซักอย่างบนตัวดาบ ทำแบบนี้สลับไปสลับมา โดยที่ปากยังคงร่วมวงนินทาไปกับเพื่อนนักฆ่าด้วย เป็นเรื่องที่น่าซูฮกที่อดีตนักบวชคนนี้สามารถแยกประสาทได้เก่งจนน่ายกย่อง
     
    มีเรื่องเดียวที่ฉันขอร้องจากใจ” น้ำเสียงเรียบทว่าจริงจังอันผู้เป็นเด็กๆนั้นแทบไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนั้นฟังดูขลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่โดยปกติแล้วคำพูดของเฟรินจะดูไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไร
     
    พวกเธอทุกคน ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ห้ามทำลายทรัพย์สินใดๆของป้อมอัศวินโดยเด็ดขาด” พวกผู้ใหญ่ที่รอฟังด้วยความตั้งใจต่างหัวเราะพรืดออกมาอย่างนึกไม่ถึง แม้แต่คนมาดนิ่งอย่างกัส แถมยังหัวเราะไม่หยุดเสียด้วยสิ
     
    ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” เฟรินแหวเสียงดัง ด้วยสีน้ำตาลคู่โตเปล่งประกายวาว
     
    แกไม่ใช่เสธซ้ายแล้ว อย่าทำหวงไปหน่อยเล้ย” คิลตบไหล่เพื่อนสาวเบาๆเป็นเชิงบอกให้รีบปลงซะ แต่ก็โดนตาคมๆของเฟรินตวัดเข้าใส่หนึ่งดอก
     
    ไม่เอาน่า เธอคิดเหรอว่าป้อมที่เธอจบไปแล้วเป็นสิบกว่าปียี่สิบปีจะยังอยู่ในสภาพเดิมตอนที่เธอยังอยู่” กัสถามกลับด้วยเสียงหัวเราะเบาๆอย่างขบขัน
     
    ไม่สนโว้ย อย่าให้มันเป็นริ้วรอยเป็นพอ” กัสโคลงหัวอย่างเหนื่อยใจ เชื่อเถอะ ถ้ามันไปเห็นสภาพเข้าคงจะเป็นลมแหงๆ นี่ขนาดเขายังไม่เห็นสภาพป้อมนะ ไม่รู้ว่ามันจะเละไปแล้วขนาดไหนแต่เรื่องหวังให้มันคงสภาพดีเหมือนตอนที่เฟรินทุ่มเทแรงกายแรงใจบูรณะน่ะ เป็นเรื่องที่ฝันเสียยิ่งกว่าฝันเสียอีก
     
    แล้วท่านแม่รู้ได้ยังไงว่าพวกผมจะได้อยู่ป้อมอัศวิน” เคลถามเสียงเรียบด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าพวกท่านพ่อหัวเราะอะไรกัน
     
    ได้อยู่แล้ว เชื่อขนมกินได้เลย” เฟรินตอบง่ายๆ เคลขมวดคิ้ว นี่อย่างกับไม่ใช่ท่านแม่ที่เขารู้จักแน่ะ
     
    แม่เขาดีใจนิดหน่อยที่ได้กลับมาเอดินเบิร์กน่ะ อย่าใส่ใจเลยเคล” โรปลอบลูกง่ายๆ เคลขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนเป็นพ่อนั้นเป็นอย่างไร
     
    ไม่ใช่ว่าทำไมถึงรู้ แต่เป็นถ้าไม่ได้อยู่เนี่ยสิ มีปัญหา” คิลตอบด้วยคำตอบที่ไม่ใช่คำตอบ ยิ่งทำไมลูกๆทั้งหลายหน้าเข้มหนักขึ้นไปอีก
     
    ไม่ใช่หรอก พวกลูกจะได้อยู่ป้อมอัศวินแน่ๆ เพราะพวกลูกเป็นลูกของพวกเราไง” โรตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม เคลกุมขมับ ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า นั่นไม่ใช่เหตุผลซะหน่อย
     
    ว่าแต่กัส แกจะทำอีกนานมั้ย ดาบมันเล่มแค่นั้นเอง” คิลหันไปหาเพื่อนอดีตนักบวชที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดการดาบสั้นในมือ ถึงจะบอกว่ามันเล่มแค่นั้น แต่ก็ยาวเกือบแปดสิบเซนต์ แล้วการที่เขาค่อยๆใช้เวลาทำให้มันดูดีขึ้นอย่างช้าๆมันจะผิดตรงไหนกัน
     
    เอ้อ ผมว่าจะถามท่านพ่อตั้งแต่อยู่ที่นั่นแล้ว ท่านพ่อจะเอาดาบนี่ไปทำไมกันครับ” เรคส์ถามอย่างสนอกสนใจ เพราะดาบเล่มนี้ จะว่าท่านพ่อเอาไปใช้เองมันก็สั้นเกินไป ไม่เหมาะกับตัว แถมท่านพ่อเองก็ยังมีดาบประจำตัวเล่มยาวอยู่แล้วด้วย
     
    ใช่ๆ ดาบเล่มนั้นมันทำไมกัน ทำไมพ่อต้องเอาดาบผมไปแลกด้วยอ่ะ” เคเรสได้ทีออกปากแทรกขึ้นมาสนับสนุนคำพูดเพื่อน ก่อนที่จะโดนดีดหน้าผากไปทีหนึ่งโดยฝีมือผู้เป็นพ่อ
     
    ก็แคลร์เลือกดาบใหม่ให้แกแล้วไม่ใช่รึ” เคเรสมุ่ยหน้า มือลูบหน้าผากบริเวณที่ถูกดีดป้อยๆ
     
    พ่อรู้ได้ไงว่าแคลร์เลือกให้ผม”
     
    ก็ดาบแบบนั้นมันเป็นดาบแบบของแกชัดๆ หรือมันไม่จริง” เคเรสยิ่งมุ่ยหน้าลงกว่าเดิมเมื่อผู้เป็นพ่อยิ่งพูดยิ่งถูก
     
    แล้วพอแกได้ดาบใหม่แล้วจะไปหวงดาบเก่าทำไมกันเล่า” คิลส่ายหน้าอย่างระอาที่คนเป็นลูกชายคนเล็กเรื่องแค่นี้ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
     
    ของแคลร์น่ะ” กัสตอบลูกชายเรียบๆ เจ้าของดาบกะทันหันชี้มือมาทางตัวเองอย่างงงๆ
     
    ของแคลร์เหรอคะ” เด็กสาวตัวเล็กกระพริบปริบๆ กัสพยักหน้าน้อยๆให้เด็กสาว ก่อนจะหันไปจัดการกับดาบสั้นต่อ
     
    แต่มันจะไม่สั้นไปหน่อยรึ” เฟรินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยอย่างสนอกสนใจ เมื่อรู้ว่าดาบเล่มนั้นเป็นคนลูกสาวสุดที่รัก
     
    ไฮ้! แคลร์เป็นผู้หญิงนะ แถมยังตัวเล็กแค่นั้น เล่มแค่นี้ก็เกินพอแล้ว” คิลตอบแทนเพื่อนที่กำลังง่วนอยู่กับการบูรณะดาบสั้น แคลร์มุ่ยหน้าที่ถูกผู้ใหญ่บอกว่าตัวเล็ก แต่ก็ไม่เอ่ยอะไร เฟรินขมวดคิ้วมุ่น
     
    ทีฉันยังถือผ่าปฐพีเล่มเบ้อเร่อไม่เห็นเป็นไร”
     
    แกมันเป็นข้อยกเว้น” คิลสวนขึ้นเสียงเรียบโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ
     
    อะไรวะ” เฟรินเกาหัวแกรกๆอย่างไม่ค่อยพอใจ ส่วนเด็กๆนั้น เมื่อได้ยินว่าเป็นดาบของแคลร์ก็พากันกรูเข้าไปดูดาบสั้นเล่มนั้นใกล้ๆอย่างสนอกสนใจ
     
                ดาบสั้นสนิมเขรอะที่เห็นในกระต๊อบโทรมๆแห่งนั้นขณะนั้นสนิมได้ถูกขัดออกไปกว่าครึ่ง แถมยังมีการสลักอะไรบางอย่างไว้บนตัวดาบด้วยฝีมือกัสอย่างประณีตบรรจง ด้ามดาบขนาดเหมาะมือ แม้จะยังเต็มไปด้วยสนิม แต่กระนั้นผลึกสีแดงที่ถูกฝังอยู่ตรงกลางกลับเด่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนว่ากัสเองจะจงใจปล่อยไว้ให้ด้ามดาบขึ้นสนิมไปแบบนี้
     
                ข้างตัวของกัสมีอุปกรณ์สำหรับบูรณะซ่อมแซมดาบอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่ผ้าเช็ดดาบ น้ำยาเคลือบกันสนิม เครื่องมือสำหรับกำจัดริ้วรอยบนตัวดาบ ไปจนถึงอุปกรณ์ตกแต่งกันเลยทีเดียว
     
                แถมกัสเองยังทำงานอย่างใจเย็น ดาบสั้นดาษๆในมือจึงเริ่มกลายสภาพเป็นดาบดูดีมีราคาได้ภายในเวลาสามชั่วโมง แม้ว่าจะยังทำการบูรณะไม่เสร็จก็ตาม
     
    แล้วทำไมลุงกัสถึงไม่ทำแบบแคลร์ ที่ลูบครั้งเดียวก็กัดสนิมออกหมดล่ะครับ” เคเรสถามผู้มีศักดิ์เป็นลุงอย่างสุภาพ กัสสลักอักษรประหลาดบางอย่างลงบนตัวดาบ โดยที่มีโรเป็นผู้ตอบคำถามแทน
     
    ทำแบบนี้มันจะได้ประสิทธิภาพดีกว่าน่ะ” กัสพยักหน้าให้กับคำตอบของโร ขณะที่เด็กๆต่างก็พยักหน้ารับคำตอบ
     
    เออ ฉันลืมไป กัสมันเป็นช่างฝีมือนี่นาสมัยเรียน” เฟรินเอากำปั้นทุบฝ่ามืออย่างนึกขึ้นได้ สมัยเรียน กัสผู้เป็นคนมือเย็น ใจเย็น จะทำอะไรออกมามันก็ดูประณีตสวยงามไปหมด จนเธอเผลอเรียกมันไปว่าเป็นช่างฝีมือประจำป้อม
     
    ไม่เห็นแปลกเลย กัสมันเป็นยอดนักดาบเชียวนะ สมัยเรียนน่ะ กะอีแค่เรื่องแค่นี้มันเห็นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” คิลเสริมคำพูดของเพื่อนสาว ดวงตาสีฟ้าเข้มตวัดมองคนพูดมาก ก่อนจะหันไปสนใจงานของตัวเองต่อ
     
    ลุงกัสไม่น่าเสียเวลาทำแบบนี้ให้แคลร์เลย แคลร์ทำเองก็ได้ค่ะ” เด็กสาวตัวเล็กเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ ในขณะที่ผู้เป็นแม่กลับปัดความเกรงใจของลูกสาวทิ้งอย่างไม่มีชิ้นดี
     
    กัสมันอยากทำ ปล่อยมันทำไปเถอะ” กัสถอนหายใจยาวอย่างระอากับคำพูดของเพื่อนสาว แต่ก็ต้องแบบนี้แหละ ถึงจะเรียกว่าสมกับเป็นเฟริน
     
    เอาล่ะ เด็กๆ ดึกแล้ว รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องรีบไปรายงานตัวแต่เช้า” โรปรบมือสองสามครั้งเรียกความสนใจก่อนจะออกปากไล่เด็กๆทั้งหลายให้ขึ้นนอน เพราะขณะนี้ก็ดึกมากแล้ว
     
                เคลลุกขึ้นเป็นคนแรกอย่างว่าง่าย ในขณะที่คนอื่นๆยังไม่ขยับตัว เพราะกำลังสนอกสนใจอยู่กับกรรมวิธีปรับปรุงดาบของกัส
     
    ไปนอนเถอะ อย่างที่โรว่านั่นแหละ พรุ่งนี้พวกเธอมีเรื่องต้องลุ้นอีกเยอะ ไปนอนเอาแรงไว้เถอะ ดาบนี่อีกเดี๋ยวก็คงเสร็จ” กัสเอ่ยสำทับกับคำพูดของเพื่อน โดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากตัวดาบ เคลออกแรงฉุดน้องสาวฝาแฝดขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะเจ้าหล่อนนั่งตัวแข็งคอยดูการขัดสนิมออกของกัสอย่างสนใจอกสนใจ ก่อนจะเอาด้ามดาบของตัวเอง ที่เรียกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบไปกระทุ้งเพื่อนอีกสองคนอย่างละทีเป็นการบอกว่า ไม่ไป มีเรื่อง เพื่อนอีกสองคนจึงต้องจำใจเดินออกไปจากห้องพักของเหล่าพ่อๆแม่ๆอย่างเสียไม่ได้ เคลค้อมศีรษะให้กับผู้ใหญ่ทุกคน ก่อนจะเอ่ยอย่างสุภาพด้วยความที่ถูกฝึกมาดี
     
    ราตรีสวัสดิ์ครับ ท่านพ่อ ท่านแม่ ลุงคิล ลุงกัส” พวกผู้ใหญ่ทั้งหลายพยักหน้ารับง่ายๆ ในขณะที่แคลร์กำลังไปหอมแก้มคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเคยชิน เคลรอให้น้องน้อยของตัวเองผละออกจากร่างของท่านพ่อแล้วเดินตามออกไปก่อน แล้วจึงปิดประตูไม้บานใหญ่ไป
     
                ทันทีที่มั่นใจว่าเด็กๆทั้งสี่เข้าห้องนอนไปกันหมดแล้ว ห้องใหญ่ที่เงียบมาตลอดตั้งแต่เด็กๆผละออกไปจึงเริ่มบทสนทนาขึ้นอย่างสบายๆ
     
    พวกแกเลี้ยงฝาแฝดมายังไงน่ะ ปกติฝาแฝดมันต้องเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” คิลถามกลั้วหัวเราะ โรไหวไหล่
     
    ไม่จำเป็นซะหน่อย” เขาเลือกตอบเฉพาะบางคำถาม แต่ผู้ถามก็ไม่ว่าอะไร
     
    กัส ฉันอยากรู้ แกจะสลักอาคมอะไรนักหนาน่ะ” เฟรินถามอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นเพื่อนหนุ่มใหญ่เริ่มสลักอักษรประหลาดถี่ขึ้นเรื่อยๆ
     
    อาคมแก้คำสาปน่ะ” โรตอบง่ายๆ “ใช่มั้ย กัส” กัสพยักหน้าครั้งหนึ่ง ขณะที่เฟรินร้องลั่น
     
    หา!! แกจะเอาดาบต้องสาปมาให้ลูกสาวฉันใช้ งั้นเรอะ” คิลโคลงหัวช้าๆ กลับไปเป็นเฟรินคนเดิมที่พูดก่อนคิดอีกแล้ว
     
    ใครเขาจะทำอย่างงั้นกันฟะ แกไม่ได้ยินที่โรบอกว่ากัสมันกำลังลงอาคมแก้คำสาปเรอะ” ดวงตาสีน้ำตาลคมตวัดเข้าใส่เพื่อนรักอีกหนึ่งดอก
     
    นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันคือ แกคิดบ้าอะไรถึงเลือกดาบต้องสาปออกมาต่างหากเล่า!!” คิลถอนหาใจยาว เออดี การแก้คำสาปบอกไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่การเลือก ก็แล้วถ้าเลือกได้ดาบปลอดคำสาปแต่คุณภาพห่วยขึ้นมามันจะว่าไงล่ะเนี่ย
     
    เอ้า เรื่องนั้นต่างหากไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ตอนใช้งานไปจะโดนคำสาปรึเปล่า” โรสวนภรรยาทางนิตินัย ซึ่งเฟรินก็พยักหน้ารับประเด็นขึ้นมาพิจารณา แต่ไม่ทันที่จะได้แหวอะไรเกี่ยวกับประเด็นใหม่ กลับถูกสามีคนดีลากตัวออกไปจากห้อง
     
    เรื่องนั้นให้กัสจัดการ มันเป็นทั้งนักดาบชั้นเยี่ยม แล้วก็นักบวชชั้นยอด เป็นกษัตริย์ใจเย็นที่ตัดสินใจได้ยอดเยี่ยม มันคงไม่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ด้วยการเอาดาบต้องสาปไปให้หลานสาวสุดรักของท่านจ้าวเอวิเดสใช้หรอกน่า” กัสตวัดหางตามองคนที่พูดมากเกินเหตุอย่างคาดโทษ ขณะมือกำลังลงอาคมอย่างต่อเนื่อง
     
    ไม่เกี่ยว!” เฟรินปฏิเสธคำอธิบายเสียงแข็ง โรพยักหน้ารับ
     
    ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่ตอนนี้ปล่อยให้กัสมันทำงานไป ส่วนเธอก็ไปนอนซะ ตื่นเช้าไม่ค่อยได้ไม่ใช่รึไง พรุ่งนี้เด็กๆเขาเช้านะ เดี๋ยวเธอตื่นไม่ทันอย่าหาว่าไม่เตือน” เฟรินเบ้หน้าอย่างหงุดหงิดที่ว่าไม่มีใครฟังคำพูดเธอซักคน แต่ก็ยอมออกไปนอนตามคำพูดสามี โดยไม่ลืมปิดประตูกระแทกใส่หน้าเปื้อนยิ้มสามีสุดที่รักอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธ
     
                คิลส่ายหน้าช้าๆอย่างระอา ไอ้ตอนไม่พูดก็ไม่พูดซะจนฉันกลัว ไอ้โดนพูดก็จ้อเอาแหวเอาซะจนฉันปวดหัว นี่แกทนมันไปได้ยังไงน่ะ” โรไหวไหล่
     
    เฟรินก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่รึไง” คำพูดของมันสื่อได้ว่า จะยังไงมันก็รับได้ ว่างั้นเหอะ คิลถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องที่ค้างคามานาน
     
    แกจะไปสโนว์แลนด์กับเฟริน แล้วทริสทอร์แกจะเอายังไง” โรขยับยิ้มบางให้กับคำถามของเพื่อนรักนักฆ่า
     
    ฉันจัดการได้” คิลถอนหายใจ เออ จัดการได้ของมันน่ะสิ ขนาดว่าเฟรินอยู่ที่เดมอสตามปกติ มันยังแบ่งภาคมาไปทริสทอร์ที มาเดมอสทีไม่ค่อยจะได้ แล้วนี่ต้องไปสโนว์แลนด์เกือบปี คงจะจัดการได้อยู่หรอก
     
    ฉันเพิ่งรู้ว่าแกเป็นห่วงฉันด้วย” โรถามกลับยิ้มๆ คำถามที่คิลขนลุกซู่ก่อนจะแหวกลับเสียงดัง
     
    ห่วงเฟรินหรอกเว้ย กลัวแกจะไปซ้ำรอยไอ้คาโลมัน” สวนกลับไปอย่างไม่ทันคิด จนทำให้ห้องกว้างกลับมาเงียบลงอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนกำลังอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
     
                เรื่องที่คิลพูดหมายถึงตอนที่เฟรินแต่งงานกับคาโลใหม่ๆ แล้วเกิดสงครามขึ้น คาโลไปรบแล้วไม่กลับมาพร้อมกับกองทัพ นั่นก็ทำให้เฟรินร้องไห้แทบเสียสติอยู่เป็นอาทิตย์ แต่พอเริ่มจะทำใจได้ มันก็กลับมา แถมยังพาผู้หญิงหน้าตาเหมือนเฟรินยังกับแกะจากที่ไหนไม่รู้กลับมาอีก ซ้ำร้ายยังทำเหมือนกับจะเสียความทรงจำ จำเฟรินไม่ได้เสียอย่างงั้น สุดท้ายเฟรินที่เคยอยู่ดูแลคาโนวาลให้มาเกือบครึ่งปีก็ทนไม่ได้และออกมาจากคาโนวาลในที่สุด ทั้งที่ยังมีเลือดเนื้อของคาโลครึ่งหนึ่งอยู่กับตัวมันด้วย
     
    แล้วตอนนี้มันก็จะมาตามหาเฟรินเนี่ยนะ” กัสถามเสียงเบาโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากดาบสั้นของหลานสาว
     
    ก็งั้นแหละ ถึงต้องรีบเอาตัวเฟรินออกมาทั้งจากเอเดน ทั้งจากเดมอส” โรตอบเสียงเบา
     
    ทั้งที่อยากจะถามมาตั้งนาน แต่ก็ไม่เคยได้ถามซะที เพราะไม่อยากเห็นหน้า แต่ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าตอนนั้นมันเป็นอะไรของมัน” คิลเอ่ยเสียงเบา แต่มันดังก้องไปทั่วทั้งหัวใจ ใช่ ทุกคนอยากรู้ถึงเหตุผลที่คิงแห่งคาโนวาลทรยศราชินีของตัวเอง
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                อย่างที่พวกท่านพ่อพูดไว้ พวกเราได้อยู่ป้อมอัศวินจริงๆและหลังจากที่ทนเบื่อฟังบรรยายเรื่องสำคัญๆต่างๆที่ได้ยินมาพวกท่านพ่อหมดแล้วมานานสองนาน ตอนนี้ก็กำลังจะถึงช่วงเวลาสำคัญที่แบ่งเป็นแบ่งตาย นั่นคือ การแบ่งห้องพัก แต่ก่อนหน้านั้น....
     
    ...ป้อมอัศวินของเรามี เดนเซล เคโนเอลล์ เป็นหัวหน้าป้อม แต่ตอนนี้ไปปฏิบัติภารกิจที่อื่น เสนาธิการฝ่ายซ้าย เจ้าหญิงเรเวน ฮาเวิร์ด แห่งเจมิไนจึงมารักษาการณ์แทนไปก่อน พวกเธอคงเห็นอยู่แล้วเมื่อเช้า” เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อได้ยินชื่อเจ้าหญิงแห่งเจมิไน ผู้ที่ได้ยินมาว่าเจนจัดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ พวกเราหันมองหน้ากันเองโดยอัตโนมัติ ถ้าคนเมื่อเช้าที่มาต้อนรับพวกเขาเข้าสู่ป้อมอัศวินคือเจ้าหญิงเรเวนล่ะก็ คงต้องะวังตัวไว้หน่อย เพราะอาคิลกับลุงกัสต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สมัยเรียน บุคคลที่อันตรายเป็นอันดับหนึ่งก็คือโรเวน ฮาเวิร์ดแห่งเจมิไน เพราะสายตาที่มองอะไรทะลุไปหมดทำให้การทำอะไรๆก็ลำบากขึ้นสามเท่าตัว (อันนี้ท่านแม่พูด) เคลวินถอนหายใจเล็กน้อย แต่รุ่นพี่บอกว่า รุ่นพี่กับรุ่นน้องจะไม่ก้าวก่ายกันนี่นะ คงไม่เท่าไรหรอก
     
    ส่วนอาจารย์ประจำป้อม อันนี้ก็ช่วยๆกันจำไว้หน่อย แต่ถึงอยากจะทำลืมก็คงยากล่ะนะ...” ไม่รู้จะรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่ท้ายคำของรุ่นพี่นั้นฟังดูเสียงเบาลงราวกับกลัวอะไรซักอย่าง
     
    อาจารย์ลอเรนซ์ ดอร์น กับอาจารย์ลูคัสซาโดเรีย พวกเธอคงได้เห็นใครคนใดคนหนึ่งไปแล้วตอนสอบสัมภาษณ์ ฉันขอเตือนในฐานะรุ่นพี่นะ...” รุ่นพี่คนที่อุตส่าห์เสียเวลามาอธิบายเรี่ยวราวสำคัญๆให้ฟังหรี่น้ำเสียงลงจนเกือบจะเป็นกระซิบกระซาบ
     
    ...อย่าไปทำให้พวกเขาต้องตาต้องใจเป็นอันขาด” เขาเกือบจะยกมือถามแล้วเชียวว่ามันทำไมกัน แต่เมื่อนักเรียนหญิง อันเป็นทรัพยากรที่มีอยู่น้อยนิดในนักเรียนรุ่นนี้ยกมือถามคำถามเดียวกันกับในใจหลายๆคน รุ่นพี่ก็ส่ายหน้าวืด ส่งสายตาเหมือนต้องการจะบอกว่า เดี๋ยวพวกเธอก็รู้เอง เด็กปีหนึ่งหน้าใหม่มองหน้ากันเองเหมือนต้องการจะถาม แต่ก็ยอมปล่อยผ่านไป เพราะคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็คงจะได้เจอ
     
    ป้อมอัศวินได้รับสิทธิพิเศษนิดหน่อยที่อาจารย์สองคนนี้เกิดยื่นเจตุจำนงค์ว่าต้องการเป็นอาจารย์ประจำป้อมอัศวินพร้อมกัน ปราชญ์เลโมธี ผู้มีอารมณ์ขันตลอดเวลาจึงสนองความต้องการให้อาจารย์ทั้งคู่ด้วยการให้ประจำที่นี่ด้วยกันซะเลย” ไม่ว่าเขาจะรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่ดูเหมือนกับว่า ท้ายท่อนนั้น เสียงของรุ่นพี่มันฟังดูแข็งๆแห้งๆราวกับต้องการประชดยังไงอย่างงั้น
     
    อาจารย์ลอเรนซ์พวกเธอจะได้พบในวิชาประวัติศาสตร์ ส่วนอาจารย์ลูคัสพวกเธอจะได้พบในวิชาเวทย์มนตร์” ซักพักหนึ่ง หลังจากที่รุ่นพี่ทำใจได้กับการประชดที่เพิ่งผ่านพ้นไปก็เริ่มพูดเข้าเรื่องต่อ
     
    เอาล่ะ อันนี้สุดท้ายแล้ว อดทนฟังกันอีกหน่อย” รุ่นพี่ปรบมือเรียกความสนใจของรุ่นน้องที่ทำท่าจะเริ่มเข้ากระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ด้วยตัวเอง พลางถอนหายใจ ก่อนจะรีบพูด
     
    ต้องบอกไว้ก่อนว่าป้อมอัศวินของเราสนับสนุนคนเก่ง เพราะฉะนั้นขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า สามคนแรกที่จะพูดต่อไปนี้ คือสามคนที่สอบเข้าได้คะแนนสูงสุดของป้อมอัศวิน” เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่พวกเขาทั้งสี่แทบจะต่อคำพูดของรุ่นพี่ได้ เนื่องจากอาคิล อากัส และท่านแม่ท่องให้ฟังตั้งแต่เมื่อวานตอนยังนินทาป้อมอัศวินอยู่ แถมยังบอกอีกว่า จะได้คะแนนสูงสุดหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ใครจะเป็นคนกุมอำนาจในชั้นปีหรอก แล้วก็ห้ามอุตริไปท้าชิงตำแหน่งด้วย การตอกหน้าคนอื่นแบบเจ๋งที่สุดคือการสอบให้ได้คะแนนดีกว่าคนอื่นทุกวิชาต่างหาก (จากคำพูดของท่านพ่อ) ส่วนท่านแม่กับอาคิลบอกว่า ถ้าชั้นปีนั้นมีผู้หญิงอยู่ ผู้หญิงจะเป็นคนกุมอำนาจสูงสุดของชั้นปี โดยผู้ชายไม่มีสิทธิ์โต้แย้งๆใด ไม่ว่าพวกเธอเหล่านั้นจะเป็นหัวหน้าชั้นปีหรือไม่ก็ตาม (ไม่รู้ว่าทำไมในตอนนั้นพวกเขาจึงได้หันไปมองหน้าแคลร์เป็นตาเดียว ส่วนแคลร์ที่รู้สึกตัวก็ยิ้มหวานตอบเสียด้วย) ลุงกัสบอกว่า คำพูดของพวกท่านพ่อท่านแม่เชื่อไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะต้องตัดสินใจก็จะต้องเป็นคนใดคนหนึ่งของหัวหน้าชั้นปีอยู่ดี เขานึกอยากจะถามนักว่า สรุปว่าพวกท่านพ่อท่านแม่เรียนป้อมเดียวกัน ชั้นปีเดียวกันมาก่อนรึเปล่า ทำไมรายละเอียดมันถึงไม่ค่อยเหมือนกันนัก
     
                เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบทิศเมื่อรุ่นพี่หยิบรายชื่อออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พวกเขาทั้งสี่มองหน้ากันแล้วถามเบาๆ
     
    แกว่าใครจะได้บ้าง” เคเรสชิงถามก่อนใครเพื่อน เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อสังเกตท่าทางของเพื่อนร่วมชั้นปีทั้งหมด ก่อนจะชี้
     
    นักดาบสีดำตรงนั้น จอมเวทย์หัวขาวตรงโน้น กับเรคส์” ผู้ถูกเสนอชื่อขยับยิ้ม ก่อนจะเสนอรายชื่อตัวเองบ้าง
     
    นักบวชผมทองนั่น กับพวกนายฝาแฝด” เคเรสนิ่วหน้าบริภาษเสียงเบา “นี่พวกแกไม่มีใครคิดว่าฉันจะได้มั่งเลยรึไงวะ” แคลร์กระตุกเสื้อนักฆ่าหนุ่มเบาๆ
     
    พี่เคเรส กับแม่มดตรงนั้น แล้วก็พี่เรคส์” เคเรสส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยรายชื่อของตัวเอง
     
    พวกแกนี่ไม่คิดถึงตัวเองบ้างเลย ฉันเสนอ ฝาแฝด กับตัวฉันเอง” รายชื่อที่ทำให้เพื่อนอีกสามคนต้องเหล่ตามองอย่างสมเพช เคเรสรีบหุบรอยยิ้มก่อนที่จะถูกประทุษร้ายทางร่างกาย โทษฐานหลงตัวเอง ก่อนที่รุ่นพี่จะเอ็ดเข้าให้
     
    ตรงนั้นพูดอะไรกันน่ะ ฉันจะประกาศรายชื่อแล้วนะ สามคนแรกมี สเตลลา แวนชูไทน์ แอนนา วิลเลนดอร์ฟ และแคลร์โรไลน์ เดียโบล ปีนี้ผู้หญิงทั้งหมดอยู่ด้วยกันเป็นหัวหน้าชั้นปี เพราะฉะนั้นเรื่องห้องพักอื่นๆก็ไม่มีปัญหาอะไร” แม่สาวสองคนแรกที่โดนเรียกชื่อคว้ากระเป๋าเดินฉับๆไปรับกุญแจจากรุ่นพี่ก่อนจะลับหายเข้าห้องไป ในขณะที่แคลร์มองหน้าพวกเขาทั้งสามด้วยดวงตารื้นๆราวกับจะร้องไห้ หน้าตาบอกยี่ห้อมากว่าเจ้าหล่อนกำลังจะกรีดร้องคำว่า “ไม่” ออกมา
     
    แคลร์ กฎข้อที่สอง ห้ามเอาแต่ใจ” เรคส์เตือนสติแคลร์ด้วยรอยยิ้ม ปากย้ำถึงกฎสามข้อที่เพิ่งถกกันสดๆร้อนๆมาเมื่อคืน ข้อหนึ่ง ห้ามทำให้ใครรู้ว่าพวกมันฝาแฝดเกี่ยวข้องกันยังไง กฎข้อสอง ห้ามเอาแต่ใจ และกฎข้อสาม ห้ามให้ใครรู้ว่าพวกมันเป็นลูกน้าเฟรินเด็ดขาด สองมือคว้าไหล่บางมาบีบให้กำลังใจ ก่อนจะผลักร่างบางให้ออกเดิน แคลร์ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ทันทีที่ได้ยินว่าจะต้องแยกจากพี่ชายฝาแฝด แคลร์ส่ายหน้าช้าๆ
     
    ฉันทำผิดรึเปล่าเนี่ย” ทั้งๆที่เขาพูดกับตัวเอง แต่เพื่อนอีกสองกลับพยักหน้าอย่างแรง “แกน่ะ ผิดเต็มๆ”
     
                ทันทีที่สามสาวเข้าห้องพักไป รุ่นพี่ก็เดินถัดออกมาอีกห้องหนึ่ง ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเรียบ ราวกับต้องการขู่
     
    สำนึกตัวไว้ซะ พวกผู้ชายทั้งหลาย การแพ้ให้ผู้หญิงถือเป็นความอัปยศของพวกเราป้อมอัศวินเลยล่ะ ระวังตัวไว้ให้ดี” พวกผู้ชายทั้งหลายที่มีชนักติดหลังกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกันอย่างไม่รู้ตัว ทำไมอยู่ๆรุ่นพี่ถึงดูน่ากลัวขึ้นมาซะอย่างงั้นล่ะ
     
    ต่อไป เคลวิน ฟอร์ซ เรคส์ เอลเวีย และ เคเรส ฟีลมัส” พวกเขาตบมือกันกลางอากาศเมื่อได้ยินรายชื่อสามคนเรียงติดกันโดยไม่ถูกแยกห้อง ถึงแม้จะผิดต่อแคลร์ก็เถอะ สามหนุ่มรีบคว้ากระเป๋าของตัวเองก่อนจะลากมันเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว โดยมีเรคส์รวบกุญแจทั้งสามดอกมาจากมือรุ่นพี่เป็นการปิดท้าย แบบนี้อะไรๆมันจะได้ง่ายขึ้น
     
                ประตูปิดลงอย่างรวดเร็วเมื่อสมาชิกคนสุดท้ายของห้องที่สองเข้าไปจนครบคน นักเรียนอีกร่วมสิบชีวิตมองภาพเมื่อครู่อย่างงุนงง พวกมันรู้จักกันมาก่อนด้วยเรอะ
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    เคล!!” เสียงหวานตะโกนก้องร้องเรียกชื่อ เจ้าของเสียงถลาเข้าโอบรอบคอของผู้ถูกเรียกอย่างรวดเร็วและแสนรัก
     
    ไม่เห็นรอเลย ไหนบอกว่าจะรอไง” เธอส่งเสียงหวานตัดพ้อ เคลเงยหน้ามองสาวน้อยร่างเล็กที่ถือสิทธิ์โอบคอเขาไว้แล้วแย้มรอยยิ้มหวานให้อย่างอบอุ่น
     
    เธอชักช้านี่ พวกนี้มันรอไม่ไหว ฉันเลยต้องลงมาก่อน” เขาตอบง่ายๆ ดวงตาสีฟ้าใสทอประกายอ่อนโยนและอบอุ่น ก่อนที่จะเอื้อมมือไปแกะมือของสาวน้อยของเขาออก แล้วพาให้มานั่งข้างตัว
     
    หวานไปแล้วพวกแก” ‘พวกนี้’ ในคำพูดของเคลกำลังส่งสายตาล้อเลียนมาให้คู่หนุ่มสาวที่กำลังแสดงความรักอย่างร้อนแรงท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตาของป้อมอัศวินในตอนเช้า ณ โรงอาหารดราก้อนอันเลื่องชื่อ (จากคำนินทาของพวกพ่อๆแม่ๆทั้งหลาย) เคลส่ายหน้าช้าๆอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะใช้ช้อนตักน้ำซุปเข้าปากอย่างไม่เดือดร้อน ก่อนจะบิขนมปังในถาดอาหารของตัวเองเป็นชิ้นขนาดพอคำแล้วป้อนเข้าปากสาวน้อยที่กำลังต่อปากต่อคำอยู่กับ ‘พวกนั้น’ ที่เคลจำกัดความไว้อย่างออกรส
     
    กินซะ เดี๋ยวก็บ่นหิวอีก ที่นี่เขาไม่อนุญาตให้เอาของกินเข้าไปในห้องเรียนนะ อย่าลืมสิ” แม่สาวน้อยสงบปากสงบคำแล้วเคี้ยวหยับๆไปอย่างว่าง่าย เรคส์ขยับยิ้มบางเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนถาดอาหารที่มีอาหารมังสะวิรัติพูนจานให้
     
    นี่ของเธอ เคลมันเตรียมไว้ให้แล้ว” ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตเปล่งประกายสดใสเมื่อเห็นอาหารในถาดอาหารของตัวเอง ก่อนจะโน้มหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มผู้จัดการให้ไปเสียทุกอย่าง
     
                เหล่าหนุ่มๆสาวๆทั้งหลายที่เห็นภาพหวานแหววของหนุ่มสาวคู่นี้เป็นของแปลกผิวปากหวือให้กับความไวไฟของหญิงสาวร่างเล็ก แม้ว่าจะเห็นมาร่วมสามสี่เดือนแล้ว แต่การแซวก็ยังไม่หมดไป ซ้ำร้าย ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันเสียด้วย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนจะไม่สนใจเสียงเหล่านั้น
     
    ขอบคุณค่ะ แล้วก็อรุณสวัสดิ์นะคะ ท่านพี่” ท้ายคำเธอลดเสียงเบาลงเป็นเสียงกระซิบที่ให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน เคลแย้มยิ้มบางอบอุ่นตอบรับ แล้วลูบผมน้องน้อยของตัวเองอย่างเบามือ
     
    รีบกินเถอะ คนเขามองใหญ่แล้ว” แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยินเสียงของชายหนุ่ม เพราะกำลังก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งๆที่เธอก็เป็นคนบ่นเรื่องรสชาติของอาหารที่โรงอาหารแห่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
     
    แคลร์...” น้ำเสียงหวานๆครางอย่างอ่อนใจดังขึ้นจากด้านหลังของสาวน้อยเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางชายหนุ่ม เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวร่างโปร่งหน้าหน้าหมดจด เรือนผมสีดำขลับที่ตัดสั้นแค่ประบ่าของหล่อนถูกตวัดปลายให้ขึ้นไปขมวดด้านบนเพื่อไม่ให้เกะกะรำคาญ ในมือเรียวมีถาดอาหารที่พอมีอาหารแค่พออิ่ม ดวงหน้าหวานของ แอนนา วิลเลนดอร์ฟนิ่วลงด้วยความเหนื่อยใจ ดวงตาสีอำพันฉายแววระอา นี่เพื่อนเธอยังเป็นผู้หญิงอยู่รึเปล่าเนี่ย อย่าทำแบบนี้กับผู้ชายต่อหน้าผู้คนจะได้ไหม
     
    อ้าว แอนนา นั่งด้วยกันไหม พวกเธอลงมาช้า คงหาที่นั่งลำบาก” เรคส์เอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยความหวังดี เด็กสาวเหลือบตามองไปรอบๆตัวก่อนจะต้องเห็นด้วยตามคำพูดของเด็กหนุ่ม เรคส์ขยับยิ้มสุภาพ แล้วผายมือออก
     
    เชิญตามสบายครับ แม่หญิง” แอนนาตวัดสายตาคมไปค้อนเจ้าของเสียง ก่อนวางถาดอาหารลงข้างตัวเพื่อนสาวร่างเล็ก แต่ก็ยังไม่ยอมนั่ง
     
    นั่งเถอะ แอนนา สเตลลารู้อยู่แล้วล่ะ” เคเรสว่าบ้างเมื่อเห็นเพื่อนสาวยังไม่ยอมนั่งลง อ้างชื่อไปถึงเพื่อนสาวร่างสูงท่าทางกระฉับกระเฉงและมีความเป็นผู้นำจัดคนนั้น
     
    นั่นไง พูดถึงก็มาเลย” เรคส์ชี้ไปยังผู้ถูกพูดถึงเมื่อครู่พร้อมรอยยิ้มบางประจำตัว เคลขยับที่นั่งตัวเองไปนั่งฝั่งเดียวกับเพื่อนอีกสองคนทันทีที่ได้ยินว่าเพื่อนร่วมห้องคนสุดท้ายของน้องสาวมาถึงแล้ว
     
    นั่งสิ สเตลลา ร่วมโต๊ะกับพวกเราคงไม่มีปัญหาใช่ไหม” เคลเชื้อเชิญอย่างสุภาพ ก่อนจะกองถาดอาหารของตัวเองไปตั้งไว้รวมกับของเพื่อนอีกสอง เมื่อกินขนมปังชิ้นสุดท้ายหมดลง
     
    แทบจะต้องนั่งกับพวกนายทุกวันเลยสินะ” สเตลลา แวนชูไทน์ สะบัดเรือนผมยาวสีกรมท่า กลืนไปกับชุดนักเรียน ดวงตาสีเงินเปล่งประกายขบขันระคนเหนื่อยหน่าย ดวงหน้าหวานขยับยิ้มที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ให้กับสามหนุ่มผู้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ แอนนาส่งสายตาประหลาดไปยังเพื่อนสาวสุดมั่น ก่อนจะยอมแพ้แล้วนั่งลงเคียงข้างเพื่อนสาว
     
    พวกเธอก็ทำธุระเร็วๆกันหน่อยสิ จะได้มีที่นั่ง คุณหัวหน้าชั้นปี” เคเรสประชดอย่างสุภาพ สเตลลาขยับรอยยิ้มคมกลับไปให้แทนคำตอบ เป็นอันให้หนุ่มน้อยผู้ประชดต้องเงียบไปกับการตอบกลับของแม่มดสาวแห่งวิทช์คนนี้
     
                แอนนาตักอาหารเข้าปากอย่างเงียบเชียบ เธอชอบเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคน และยิ่มชื่นชมเมื่อเพื่อสาวทั้งคู่สนิทสนมกับเพื่อนเด็กหนุ่มอีกร่วมสิบชีวิตภายในชั้นปีของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เพราะเธอไม่มีความมั่นใจในการเข้าหาเพศตรงข้ามในแบบของเพื่อนสาวทั้งสอง เธอนิยมที่จะอยู่ในหมู่เพื่อนสาวด้วยกันเองเสียมากกว่า แต่ยิ่งนานวันไป เหตุที่ต้องเป็นอันให้เธอต้องมาร่วมโต๊ะกินข้าว หรือหันหน้าเข้าหากันในเรื่องงานกับสามหนุ่มตรงหน้าก็เริ่มมีมากขึ้นบ่อยครั้ง จนบางครั้งเธอเริ่มไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี ก็ในเมื่อทั้งสามหนุ่มนั้นทั้งสุภาพ และยังอ่อนโยนกับพวกเธออีกต่างหาก
     
    แอนนา เธอมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า” เคลวิน ฟอร์ซ นักเดินทางแห่งทริสทอร์คนนั้นเอ่ยถามเธอขึ้นมากลางวงขณะที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ สายตาที่เหลืออีกสี่คู่พุ่งมาทางเธอในทันที
     
    ทำหน้ายุ่งๆเหมือนมีเรื่องคิดไม่ตกเลย เรื่องสอบย่อยวิชาการเงินพรุ่งนี้รึเปล่า” เขาคาดถึงความเป็นไปได้ เพราะเพื่อนสาวคนนี้เป็นคนจริงจัง แอนนาส่ายหน้าเร็วๆ
     
    ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ” ดวงตาสีเงินของสเตลลาฉายแววแปลกใจ ก่อนจะทาบมือลงกับหน้าผากของเธอ สายลมเย็นพัดผ่านครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่สาวมั่นจะขยับยิ้ม
     
    ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” สเตลลาเอามือออกจากหน้าผากของเธอเมื่อรับรู้อาการของเพื่อนสาว ก่อนจะลงมือจัดการมื้ออาหารตรงหน้าต่อ แอนนาเอ่ยคำขอบคุณเสียงแผ่วเบา แล้วจึงจัดการกับอาหารเช้าของตัวเองต่อไป
     
    เออ แกพูดขึ้นมาเลยนึกขึ้นได้ ฉันจะทำยังไงกับสอบย่อยวันพรุ่งนี้ดีวะ” เคลและเรคส์ถอนหายใจพรืดแล้วส่ายหน้าพร้อมกัน สองหนุ่มเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างไม่ค่อยจะทำ
     
    ฉันล่ะเหนื่อยใจกับแกจริงๆ ขอร้องล่ะ แกตั้งใจเรียนซักครั้งให้ลุงคิลภูมิใจหน่อยเหอะ” เรคส์อบรมอย่างระอาใจ ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายวาววับอย่างถูกใจในคำอบรม
     
    ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญนะเรคส์ เคล” เด็กหนุ่มเว้นช่วงให้ผู้ฟังรอลุ้นว่านักฆ่าหนุ่มคนนี้จะพูดอะไรออกมา
     
    พ่อกับน้าเฟรินน่ะ กว่าจะทำใจตั้งใจเรียนได้ก็ปาเข้าไปปีเจ็ดช่วงปลายๆแล้ว” เคเรสขยับยิ้มกว้าง
     
    ในชั้นปีของพวกพ่อ คนที่ตั้งใจเรียนเสมอต้นเสมอปลาย ก็มีพวกผู้หญิงสามคนในชั้นปี แล้วก็ลุงโร ลุงกัส กับคิงคาโลเท่านั้นเอง” เคเรสขยับตัวลุกขึ้นแล้วคว้าเอาถาดอาหารที่ซ้อนกันอยู่สามถาดออกไปเก็บโดยที่ปล่อยให้ลูกของสองในหกคนขยันของนักเรียนป้อมอัศวินรุ่นที่เลื่องลือกันกุมขมับอย่างปวดสมอง
     
    เพราะมันถือว่ามีเซลล์หัวดีติดตัว หรือว่าเพราะมันเห็นว่าเรื่องเรียนนี่เป็นเล่นๆกันแน่นะ” เคลส่ายหน้าช้าๆพลางถอนหายใจยาว เป็นเชิงบอกว่าไม่อยากจะรับรู้เรื่องอะไรอีกแล้ว
     
    อยากให้ช่วยมั้ยล่ะ” สเตลลาถามสองหนุ่มที่ยังนั่งอยู่กับโต๊ะอาหารอย่างเหนื่อยหน่ายด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
     
                เรคส์ถอนหายใจยาว ความช่วยเหลือของสเตลลามีหวังได้เป็นคำสั่งแปลกๆอีกตามเคย ทั้งเขาทั้งเคลต่างส่ายหน้าปฏิเสธ
     
    ปล่อยมันไปเหอะ เรื่องของมัน” เคลว่า เด็กสาวไหวไหล่
     
    ตามใจพวกนาย ไปเถอะ แคลร์ แอนนา เดี๋ยวเข้าเรียนสาย” สเตลลายันตัวลุกขึ้นยืน ในมือมีถาดอาหารสังกะสีบางๆที่ไร้วี่แววของอาหาร ก่อนจะเดินตัวปลิวไปเก็บถาดเข้าที่ก่อน จึงสวนกับเคเรสที่จะมาเข้าที่พอดี
     
                แอนนาลุกขึ้นตาม แต่ยังไม่เดินไปไหน เพราะสาวน้อยร่างเล็กยังไม่ยอมลุกขึ้นเสียที เจ้าหล่อนกำลังกินอาหารในถาดอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง เคลส่ายหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยเร่งน้องสาว
     
    เร็วเถอะ แคลร์ เขาจะไปกันแล้วนะ” แคลร์ดื่มน้ำซุปจนหมดถ้วยแล้วเงยหน้ามองพี่ชายฝาแฝด
     
    ยังไม่ได้กินของหวานเลย” เรคส์หัวเราะเบาๆให้สาวน้อยกินจุ แคลร์ตวัดสายตาค้อนขวับไปให้เพื่อนสมัยเด็ก ซึ่งยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้
     
    อยากจะไปกินของหวานกับอาจารย์ลอเรนซ์กับอาจารย์ลูคัสมั้ยล่ะ” สเตลลาที่กลับมาจากเก็บถาดอาหารแล้วบังเอิญได้ยินคำประท้วงของสาวน้อยเพื่อนร่วมห้องเข้าเลยยื่นข้อเสนอมาให้ ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายสดใส
     
    ไปได้เหรอ สเตลลา อาจารย์มาชวนหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ได้ไปเพราะเกรงใจพวกเธอ แต่ถ้าไปได้ล่ะก็...” ฝ่ายเพื่อนสมัยเด็กและพี่ชายฝาแฝดขยับยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นสาวมั่นหัวหน้าชั้นปีมีสีหน้าอึ้งๆไปกับคำตอบของสาวน้อยร่างเล็ก พวกเขาส่ายหน้าให้กับสเตลลาที่เลือกประชดผิดคน กับคนอื่นก็อาจจะกลัวอาจารย์สองคนนั้นอยู่หรอก แต่สำหรับพวกเขาน่ะ แค่เรื่องเข้าไปคุยกับอาจารย์น่ะ เรื่องเล็ก
     
    เอาเป็นว่า ตอนนี้ยังก่อน ไว้ตอนไหนว่างๆ เดี๋ยวพวกเราค่อยแวะไปกินของหวานกับพวกอาจารย์กัน” เรคส์สรุปให้กับแคลร์ที่ดวงหน้าสวยฉายแววยินดีที่เพื่อนสาวจะยอมอนุญาตให้ไปกินขนกับอาจารย์ ก่อนจะมุ่ยลงเมื่อโดนเพื่อนหนุ่มขัด
     
    เห็นใจแอนนากับสเตลลาหน่อยเถอะแคลร์ พวกเธอเป็นหัวหน้าชั้นปีนะ” คำพูดของเคเรสทำให้สาวน้อยกินจุต้องยอมลุกขึ้นเอาถาดไปเก็บอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะเคลต้องยิ้มเจื่อนๆให้กับแม่สาวมั่นเป็นการขอโทษ
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                การสอบกลางภาคผ่านไปด้วยดี ขณะนี้จะพวกเขากำลังเริ่มเรียนส่วนของครึ่งปีหลัง ซึ่งมีไว้เพื่อเตรียมการเกี่ยวกับงานหมากกระดานเกียรติยศล้วนๆ(น้าเฟรินบอกมาแบบนั้น) และขณะนี้ ตัวเก็งที่จะเป็นคนเดินหมากกำลังหลับในอยู่บนคาคบต้นไม้ใหญ่ด้านนอกป้อมอัศวินอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่คนทั้งชั้นปีกำลังตามหา เจ้าของฉายานักดาบหนุ่มแห่งกิลดิเรกส่ายหน้าแล้วปีนขึ้นไปหาเพื่อนหนุ่มที่ยึดเอาต้นไม้ใหญ่เป็นพื้นที่นอนส่วนตัว ซึ่งที่เป็นเรื่องน่าชื่นชมที่มันไม่ตกลงไปแม้จะหลับอยู่
     
    เคล ตื่นได้แล้ว สเตลลาถามหาแน่ะ” เคลเวลาจะหลับก็หลับจริงๆ จะไม่ตื่นจนกว่าร่างกายจะบอกให้ตื่น ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่เคลก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องหลับในเวลาเรียน หรือการตื่นสาย แต่ไอ้การหลับนอกเวลาเรียนนี่ถือเป็นข้อยกเว้น
     
                เด็กหนุ่มผมเงินกำลังหลับคาหนังสือเล่มเหมาะมือที่วางแผ่หลาไว้บนตัก ไม่รู้ว่าหมอนี่หลบมุมมานั่งอ่านหนังสือตั้งแต่เมื่อไร เพราะปกติ ถ้ามันไม่ได้อยู่กับพวกเขา ก็ต้องไปอยู่กับแคลร์ มีบ้างที่แวบไปคุยกับอาจารย์ประจำป้อมทั้งสอง แต่การที่อยู่ๆมันแยกเดียวมาอ่านหนังสือคนเดียวแบบนี้เขายังไม่เคยเจอ สงสัยจะเป็นสัญชาตญาณในการหลบเรื่องยุ่งยากของมัน
     
    เคล เฮ้ ตื่นเถอะ เขาจะเริ่มประชุมกันแล้ว” มือเขย่าร่างของเพื่อนหนุ่มเบาๆด้วยกลัวว่ามันจะตกลงไป แต่ไอ้การเขย่าเบาๆน่ะ มันใช้ได้ผลกับครอบครัวนี้เสียที่ไหนกัน เขาถอนหายใจด้วยรู้ดีว่าผลมันจะเป็นยังไง
     
    เฮ้ เคล ตื่นเหอะ แกมีหน้าที่ต้องไปกันเรื่องยุ่งยากออกไปจากตัวแคลร์ไม่ใช่รึไงกัน” ท่านพ่อเคยบอกว่า สำหรับผู้หญิงบ้านนี้ ต้องให้ผู้ชายเป็นคนปลุก แต่สำหรับผู้ชายบ้านนี้ แค่เอ่ยชื่อผู้หญิงคนสำคัญของบ้านเดี๋ยวมันก็ตื่น ซึ่ง มันได้ผลจริงๆดังคำพูดของท่านพ่อ เดี๋ยวกลับไปต้องไปขอบคุณเสียหน่อย
     
    แคลร์อะไรนะ...” เสียงตอบรับกลับมาอย่างงัวเงียด้วยความที่ยังหลับไม่เพียงพอ และตื่นไม่เต็มตา เคลส่ายหัวช้าๆเพื่อสลัดความง่วงงุน ดวงตาสีฟ้าปรือขึ้นมองเพื่อนที่เข้ามาปลุก
     
    ว่าไง เรคส์... แคลร์ทำไม” แม้จะยังตื่นไม่เต็มตา แต่ดูเหมือนว่าสมองมันจะเต็มไปด้วยเรื่องของพระน้องนาง เขาถอนหายใจมองพ่อเจ้าชายที่พ่อเขาสั่งให้มาช่วยคุ้มครองอย่างระอา เจ้าตัวก็คงรู้ดีว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย แต่มันจะรู้รึเปล่า ว่าตัวมันเป็นเจ้าชายของประเทศอะไรกันแน่
     
    แคลร์กำลังจะโดนพวกสาวๆเชือด ถ้าแกยังไม่โผล่หัวไปห้องนั่งเล่นรวมเพื่อเตรียมตัวประชุม” เขาตอบยิ้มๆ เคลยกมือขึ้นนวดเปลือกตาเบาๆก่อนจะพยักหน้ารับ
     
    แค่ไปห้องนั่งเล่นรวมใช่มั้ยล่ะ” เขายังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ มันก็กระโดดลงไปจากคาคบที่ตัวเองยึดเป็นที่นอนอยู่นอนสองนานแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา
     
                เขาส่ายหน้ากับตัวเอง ก่อนจะกระโดดลงไปตามเพื่อนหนุ่มคนสำคัญ แค่ไปห้องนั่งเล่นรวมน่ะ มันยังไม่พอหรอกนะ เคลวิน
     
    เฮ้! เรคส์ นายเจอ...” เสียงเคเรสตะโกนถามดังมาจากมุมตึก “อ้อ อยู่นี่เอง เร็วเข้า ปลีกตัวออกมาแบบนี้มันไม่ค่อยปลอดภัย แถมพระน้องนางของแกก็กำลังโดนพวกสาวๆต้อน ถ้าแกไม่รีบเข้าไปล่ะก็ มีหวังเป็นเรื่อง...” เสียงระเบิดดังลั่นมาจากด้านหลังของสามหนุ่ม ขัดคำของเคเรสไม่ให้จบคำพูด “...แหงเลย” เรคส์ยกมือก่ายหน้าผากอย่างหนักใจ
     
    เรียกอาวุธ เพื่อน!...” เรคส์ยื่นมือไปด้านหน้า ดาบเล่มยาวเรียวก็ปรากฏขึ้นในมือ เพื่อนๆอีกสองคนทำตาม “... ดูท่านี่จะเป็นแขกของพวกเรา”
     
                เคลโดนเคเรสผลักไปให้ยืนอยู่ด้านหลังสุดของขบวน ดวงตาสีฟ้าคมที่ยังตื่นไม่ค่อยเต็มตาตวัดมาดุเพื่อนหนุ่มนักฆ่า
     
    ไม่ต้องมาดุ” เคเรสสวนกลับโดยไม่แม้แต่จะหันมองร่างสูงเพื่อนเพื่อนหนุ่มที่เขาเพิ่งจะผลักมันไปด้านหลังระหว่างที่แทรกตัวขึ้นมายืนอยู่ด้านหน้าเคียงคู่กับเรคส์
     
    แกยังไม่ตื่นดี แถมพวกฉันยังมีหน้าที่คุ้มครองแกอีก” เคเรสให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ทางที่ดีนะเคล แกรีบเข้าไปหาพระน้องนางของแก แล้วเตรียมกางเขตอาคมไว้รอเลยจะดีกว่า”
     
    แต่ว่า...” เคลทำท่าจะเถียงกลับ เขาจึงรีบพูดแทรก เพราะไม่งั้นหมอนี่ไม่มีวันยอมง่ายๆ
     
    ฟังนะเคล เดี๋ยวซักพักรุ่นพี่ก็คงมา...” เงาคนจางๆปรากฏขึ้นท่ามกลางฝุ่นควันที่เป็นผลมาจากการระเบิด ดวงตาสีฟ้าเข้มจับจ้องไปที่เงาคนนั่นอย่างไม่วางตา มือขยับดาบเตรียมพร้อม
     
    เป้าหมายของพวกมันเดาได้สี่อย่าง... หนึ่ง ทำลายป้อมอัศวิน สอง ตามล่าแก สามตามล่าแคลร์ หรือไม่ก็สี่ ตามล่าพวกนายฝาแฝด” เงาคนเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เคลเก็บดาบแล้วเรียกคทาขึ้นมาแทน เรคส์ขยับยิ้มเครียด
     
    ไม่ว่าข้อไหน ให้ตายยังไงรุ่นพี่ก็ต้องเห่กันมาที่นี่เพื่อดูสาเหตุการระเบิดแน่ๆ แล้วยังไงเขาก็ต้องมาช่วยพวกเรา แต่มันจะไม่มีใครไปช่วยพวกที่อยู่ข้างใน เข้าใจไหม” เคเรสเสียบดาบลงในปลอกที่เหน็บไม่กับเข็มขัด มือสองข้างเลื่อนมาซ้อนกันตรงกลางลำตัว ก่อนจะแยกออก สายฟ้าจำนวนมากกำลังวิ่งอยู่ระหว่างมือของนักฆ่าหนุ่ม
     
    ไม่มีเถียง นายเข้าไปดูพวกข้างใน ก่อนที่พวกมันจะยกขบวนออกมา หรือไม่ก็ก่อนที่พวกนี้จะยกขบวนเข้าไปข้างใน” เคลไม่ได้ฟังคำพูดของเขา หมอนั่นตั้งแต่เห็นเงาคนก็เริ่มร่ายเขตอาคม หวังว่ามันจะรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่
     
    นายกำลังทำให้การต่อสู้นี้ยุ่งยากขึ้น” เรคส์เอ่ยเสียงเครียด มือตวัดดาบในมือฟันเงาคนเบื้องหน้าที่เริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
     
    ถ้าเป็นรุ่นพี่ ฉันจะให้เข้ามา ถ้าเป็นคนอื่นฉันจะกันออกไป โอเคไหมล่ะ” เคลยื่นข้อเสนอ ดูท่าว่ามันจะตื่นเต็มตาแล้ว เคเรสเขวี้ยงสายฟ้าในมือที่ถูกอัดให้เป็นรูปลูกบอลเข้าไปในกลุ่มเงาคนประหลาด
     
    ไม่โอเคเฟ้ย!! ที่เรคส์ต้องการจะบอกแกก็คือให้แกไปอยู่กับเคลร์ แค่นั้น ไม่ได้อยากให้แกมาอยู่ตรงนี้ ทีนี้ก็ออกไปจากเขตอาคมนี่ซะ ใช้สมองฉลาดๆของแกคิดซะหน่อยว่าแคลร์จะเป็นยังไงตอนนี้” ดูเหมือนว่าเคเรสจะพูดได้เคลียร์กว่าเขา เพราะเคลหยุดชะงักไปชั่วครู่ด้วยแวววิตกกังวล แต่ทว่า...
     
    แคลร์ดูแลตัวเองได้ แถมข้างในยังมีพวกเพื่อนๆกับพวกอาจารย์อยู่ คงไม่เป็นไร” เจ้าของฉายานักเดินทางหนุ่มเรียกคทาเก็บ แล้วเรียกดาบออกมาใหม่อีกครั้ง ก่อนพุ่งตัวรวดเดียวเข้าไปแทงร่างของคู่ต่อสู้ให้ล้มลง
     
    พวกนั้นเป็นแค่นักเรียนปีหนึ่ง!! แถมอาจารย์ลอเรนซ์ กับอาจารย์ลูคัสเองก็ไม่รู้อยู่ไหน แกจะมั่นใจได้ไงว่าแคลร์จะไม่เป็นไร!!” เขาแหวเข้าให้อย่างลืมตัว มือคว้าคอเสื้อเพื่อนหนุ่มแล้วออกแรงเขวี้ยงไปด้านหลังเต็มแรง เพราะเงาคนเหล่านั้นเริ่มงัดเอาของมีคมออกมา และทำท่าจะแทงเพื่อนของเขา
     
    เข้าไปในป้อม ไปอยู่กับแคลร์ พวกแกจะเป็นอะไรไปไม่ได้!!” เขาตวาดเพื่อนหนุ่มเสียงลั่น ก่อนจะขยับมือแทงร่างของศัตรูที่มองไม่เห็นหน้า ข้อมือตวัดขึ้น ดาบในมือกรีดร่างของผู้บุกรุกเป็นทางยาว หยดเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
     
    ฉันต้องอยู่นี่ เขตอาคมนี่เป็นของฉัน ถ้าฉันไป พวกแกจะเอาใครเข้ามา หรือแม้แต่จะออกไปก็ไม่ได้” เคลแย้งด้วยเหตุผล เคเรสข้างสายฟ้าที่ถูกยืดออกให้ยาวเหมือนเชือกไปรัดผู้บุกรุกสองคนเข้าด้วยกัน ก่อนจะใช้ดาบใหม่ที่แคลร์ไปเลือกมาให้แทงเข้าไปเต็มรัก
     
    นั่นล่ะที่ฉันต้องการ! ไม่ให้ใครเข้ามา และไม่ให้ใครออกไป” เคเรสโพล่งเสียงดังด้วยไม่รู้ว่าประชดหรือพูดจริง
     
    ออกไป...” เรคส์เคลื่อนตัวถอยลงมาบังหน้าเขา แล้วยกดาบขึ้นกันร่างของผู้บุกรุกที่ทำท่าจะเงื้อดาบเข้ามาฟันร่างสูง “เดี๋ยวนี้!!”
     
    ในนามของผู้รับใช้แห่งความมืด ข้าขออาจหาญอัญเชิญสายฟ้าสีดำ อาวุธแห่งจ้าวสายฟ้า...” สามเด็กหนุ่มหันขวับไปตามเสียงร่ายเวทย์ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัว
     
    ...ดาบสีดำ ด้วยอำนาจแห่งความมืด จงกระจายวงให้ทั่ว ฟาดฟันศัตรูผู้อาจหาญมาลองดีให้สิ้นฤทธิ์ แบล็ค ไลท์นิ่ง!!” ดาบสายฟ้าสีดำกระจายวงไปล้อมรอบร่างของเหล่าผู้บุกรุกเบื้องหน้าที่นับจำนวนไม่ถ้วน พวกมันเงยหน้าขึ้นไปมองดาบสายฟ้าสีดำราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ดาบนั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ ก่อนจะกระหน่ำแทงลงใส่ร่างของเหล่าผู้บุกรุกในฝุ่นควันทั้งหลาย สามหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนที่คนหนึ่งซึ่งเร็วกว่าใครจะพุ่งถลาเข้าไปหาแล้วเขย่าร่างบางตรงหน้าอย่างลืมตัว
     
    ออกมาที่นี่ทำไม ทำไมไม่อยู่ข้างใน รู้มั้ยว่ามันอันตราย แค่เคลคนเดียวฉันจะก็รับมือไม่ไหวอยู่แล้ว แล้วเธอยังจะออกมาเพิ่มภาระให้พวกเราอีกงั้นเหรอ กลับเข้าไปข้างใน!! ได้ยินรึเปล่า ฝาแฝด!!” เขาไม่เพียงตะคอกแค่แคลร์ที่สู้อุตส่าห์เดินฝ่าเขตอาคมเข้ามาช่วย แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงแฝดผู้พี่ที่ไม่ฟังคำเขาซักคำ สองฝาแฝดมองหน้าเขาด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย มันรวดร้าว และตัดพ้อไปในเวลาเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจ ดาบยาวในมือเขาตวัดแทงร่างของผู้บุกรุกที่ยังไม่มีท่าทีท้อถอยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
     
    เข้าไป ข้างใน เดี๋ยวนี้” เขาเอ่ยน้ำเสียงเรียบขณะผลักร่างบางไปยังทิศทางของเคลวิน
     
    เรคส์” เคเรสน้ำลายเฝื่อนคอ หมอนี่...
     
    รับมือ” เรคส์เอ่ยเสียงเรียบ ร่างสูงชี้ดาบไปข้างหน้าด้วยท่าเตรียมพร้อม ก่อนจะลงมือฟาดฟันผู้บุกรุกอีกหนึ่งร่างที่พุ่งเข้ามาหาพวกเธอ
     
    เดี๋ยวสิ... ทำไมพวกนี้มัน...” เคเรสหันกลับไปสู่การต่อสู้ดั่งเพื่อนหนุ่มนักดาบ แต่ความแปลกใจก็แล่นริ้วขึ้นมาสะกิดใจ
     
    มันไม่ตาย” เรคส์ต่อคำให้เสียงเรียบ ผมทองยาวสลวยปลิวลู่ไปตามแรงพุ่งไปข้างหน้า มันรู้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ....
     
    ถ้าไม่ใช่เวทย์มนตร์ แล้วจะหยุดมันยังไงล่ะ เรคส์” เคเรสถามเบาๆ ขณะที่ฝาแฝดจ้องเพื่อนหนุ่มทั้งสองอยู่ด้านหลังสุด
     
                เดอะ ซอร์ดแมน ออฟ กิลดิเรก อยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้บุกรุกที่ไม่มีทางตาย เคเรสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันโกรธใหญ่แล้ว ไม่หันมามองเลยวุ้ย นักฆ่าหนุ่มเหลือบมองฝาแฝดอย่างลำบากใจ ก็แน่อยู่แล้ว เรคส์เพิ่งเคยโกรธเป็นจริงเป็นจังก็ครั้งนี้ครั้งแรก ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปช่วยเพื่อนหนุ่มในวงล้อม โดยทิ้งท้ายให้กับฝาแฝด
     
    พวกนายก็ออกไปอย่างที่เรคส์ว่าซะเถอะ” แคลร์ที่ตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเคลปาดน้ำตาทิ้งแล้วเอ่ยเสียงสั่น
     
    ไปไม่ได้ค่ะ” เคลหันมองน้องสาวฝาแฝดอย่างไม่เชื่อสายตา แคลร์เข้ามาได้เพราะมีสายเลือดเดียวกับเขา แล้วทำไมถึงจะออกไปไม่ได้
     
    พี่เรคส์ พี่เคเรส แคลร์ไม่ได้ล้อเล่น” แคลร์ขยับตัวเข้ามาชิดกับพี่ชายฝาแฝดมากขึ้นไปอีก
     
    หมายความว่ายังไง แคลร์” เคลถามเอาเรื่อง
     
    ก็ข้างนอกน่ะ...” ไม่ทันที่แคลร์จะได้ตอบ แฝดผู้พี่ก็ผลักร่างของเธอให้ออกไปจากอ้อมแขนในทันที ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตเบิกกว้าง เมื่อเจ้าผู้บุกรุกที่ไม่มีวันตายในคราบของซากศพพุ่งตัวเข้ามาเสียบดาบโค้งแบบโจรสลัดเข้าที่ท้องเขาเคลเต็มแรง ร่างสูงของหนุ่มผมเงินค่อยๆล้มลงไปช้าๆ ซากศพนั้นดึงดาบออก เคเรสใช้มือที่มีไฟฟ้าวิ่งอยู่โดยรอบคว้าเจ้าซากศพนั้นออกให้ห่างฝาแฝดแล้วเขวี้ยงไปสุดแรงจนไปนอนพังพาบอยู่ห่างๆ หยดเลือดไหลเป็นทางออกมาจากร่างที่สติเลือนรางของเคลวิน แคลร์มองภาพตรงหน้าด้วยแววตื่นตระหนก ก่อนที่เจ้าหล่อนจะกรีดร้องลั่น
     
                เรคส์ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของแคลร์หันหลังกลับมามองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็วด้วยความหวั่นกลัว ภาพเคลที่กำลังล้มลงไปเป็นผลให้เขาเบิกตากว้าง ต่อจากนั้นเขาทำอย่างไรเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำจึงหลุดออกมาจากวงล้อมได้ แต่ด้วยรวดเดียวเขาก็พุ่งเข้าไปประชิดร่างของเพื่อนหนุ่มที่นอนจมกองเลือดในทันที
     
    ทำใจดีๆไว้เคล นายจะไม่เป็นไร ฉันจะรักษาให้...” เขาระล่ำระลักพูดออกมารวดเดียวหมด ก่อนจะเขวี้ยงดาบยาวในมือไปปักศีรษะของซากศพเดินได้ที่ทำท่าจะลุกขึ้นมาซ้ำเคลอีกรอบหนึ่ง
     
    เคเรส นายเคลียร์พื้นที่!!” เขาตะโกนสั่งโดยไม่หันไปมองเพื่อนนักฆ่าด้วยซ้ำ มือสองข้างของเขากดลงที่บาดแผลที่ถูกแทงทะลุ ก่อนจะร่ายมนตร์รักษาเร็วปรื๋อ มือสองข้างของเขาเรืองแสงสีขาวนวลขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะร่ายมนตร์นานเท่าไร บาดแผลของเคลก็กลับไม่ทุเลาลง
     
                แคลร์ที่กรีดร้องลั่นเมื่อครู่กำลังยืนตัวสั่น ท่านพี่ ท่านพี่ถูกแทง ท่านพี่ของเธอ...
     
                วงล้อไฟขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นล้อมรอบกลุ่มของซากศพเดินได้ ก่อนจะรัดมันเข้าด้วยกันทั้งหมด ผู้บุกรุกที่ไม่มีวันตายทั้งหมดติดไฟขึ้นมาในทันที เคเรสมองภาพเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง นักฆ่าหนุ่มหันกลับมามองเบื้องหลังอย่างเชื่องช้า แคลร์กำลังยืนร่ายเวทย์อยู่ตรงจุดเดิมที่ถูกผลักออกและ และเป็นจุดเดียวกับที่เจ้าหล่อนกรีดร้อง แต่ทว่า วงเวทย์ที่ปรากฏขึ้นล้อมรอบเจ้าหล่อนนั้นทวีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมพื้นที่จนมาถึงบริเวณที่เขายืนอยู่ ซ้ำยังเปล่งแสงสว่างจ้าจนน่ากลัวว่าจะดูดพลังชีวิตของผู้ร่ายไปจนหมดอีกต่างหาก
     
                นักฆ่าหนุ่มแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าซากศพหน้าไหนก็ไม่สามารถเข้าใกล้กลุ่มของพวกเขาไปมากกว่าจุดที่เขายืนอยู่ได้ หรือพูดอีกที จุดที่วงเวทย์กระจายตัวไปถึงต่างหาก เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่เคยเห็นแคลร์ใช้เวทย์มนตร์บทใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่แน่ว่าที่อันตรายกว่าเจ้าพวกผู้บุกรุกพวกนี้อาจจะเป็นเจ้าหญิงผู้สืบสายเลือดของธิดาแห่งความมืดมาก็เป็นได้
     
    เรคส์...” เขาเรียกเพื่อนหนุ่มเสียงสั่น แคลร์เริ่มน่ากลัวมากขึ้นทุกที เมื่อเคลไม่อยู่ในสภาพที่จะขึ้นมาห้ามน้องสาวฝาแฝดของมันได้ คนเดียวที่นึกออกตอนนี้ก็คือเพื่อนหนุ่มคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
     
    ห้ามแคลร์สิ!!” เรคส์ตวาดกลับ เขากำลังเร่งมือรักษาเคลอย่างเต็มกำลัง ก่อนที่จะสายเกินไป แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไร เลือดก็ไม่ยอมหยุด บาดแผลไม่ยอมปิด ราวกับมีอะไรบางอย่างดูดพลังรักษาของเคลไป
     
                เคเรสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ให้ห้ามแคลร์เนี่ยนะ จะบ้ารึเปล่า แค่เข้าใกล้ยังยากเลย พายุสายฟ้าขนาดย่อมเกิดขึ้นท่ามกลางวงล้อมของศัตรู สายฟ้าสีขาวกลุ่มใหญ่ฟาดเปรี้ยงลงกลางวง ซากศพหลายร่างลุกติดไปและหมดสภาพ แต่ส่วนมากแล้วยังสามารถยันตัวลุกขึ้นมาได้
     
    ฉันว่า...” เคเรสกลืนน้ำลายมองภาพตรงหน้า “ให้แคลร์อาละวาดจนพอใจก่อนดีกว่ามั้ง” นักฆ่าหนุ่มนึกภาพไม่ออกว่าตัวเองจะสามารถจัดการกับสาวน้อยร่างเล็กที่กำลังสติแตกนี่ได้อีท่าไหน แถมถ้าจัดการได้แล้วจะทำยังไงให้สามารถจัดการไอ้พวกซากศพระยำนั่นได้อีก วิธีเดียวที่เขานึกออกคือให้แคลร์อาละวาดจนสะใจ กวาดพวกซากศพให้เกลี้ยง แล้วค่อยหาทางห้าม
     
                เวทย์ชุดใหญ่อีกชุดกำลังถูกร่ายอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าแคลร์เก่งเวทย์ แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแคลร์จะสามารถร่ายเวทย์ติดต่อกันได้โดยไม่มีการหยุดพักแบบนี้ แถมยังร่ายสองตัวไปในเวลาเดียวกันเสียอีก หนึ่งก็คือวงเวทย์ที่กำลังเรืองแสงอยู่ใต้เท้าของเขาอยู่ตอนนี้ ข่ายเวทย์ปฏิเสธ ปฏิเสธทุกอย่างที่จะเข้ามาในเขตวงเวทย์นี้ ส่วนสอง ก็คือเวทย์โจมตีบทหนักๆที่เจ้าหล่อนกระหน่ำร่ายอย่างไม่เสียดายชีวิตตัวเองนั่นไง
     
    ทางเดียวที่จะกำจัดไอ้พวกเวรนั่นได้คือใช้ไฟเผา...” เขาพึมพำเสียงเบากับตัวเอง แต่เรคส์ที่กำลังหัวเสียและหวาดหวั่นในเวลาเดียวกับกลับได้ยินเสียงกระซิบเบาๆท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมของเวทย์โจมตีขึ้นมาเสียได้
     
    งั้นก็หาทางจัดการเผามันให้วอดซะเลยสิ!!!” เรคส์ตวาดออกคำสั่งด้วยท่าทีหัวเสียเป็นที่สุด กะอีแค่บาดแผลถูกแทง ทำไมเขารักษาให้เคลไม่ได้กัน
     
                เคเรสหันมองไปทางแคลร์ที่กำลังร่ายเวทย์จู่โจมอย่างต่อเนื่อง แต่เวทย์ไฟบทใหญ่ที่เจ้าหล่อนร่ายนั้นแทบไม่ปรากฏ นอกไปจากวงล้อไฟครั้งแรกแล้ว ก็แทบไม่มีอีกเลย ส่วนใหญ่เจ้าหล่อนจะร่ายเวทย์สายความมืดเสียมากกว่า เขาหลับตาแน่น ก่อนตัดสินใจเคลื่อนตัวเข้าไปหาสาวน้อยร่างเล็ก
     
    แคลร์... ได้โปรด ได้ยินเถอะนะ เรคส์กำลังหัวเสีย ส่วนเคลกำลังจะตาย ทางเดียวที่จะกำจัดพวกมันได้มีแต่ต้องพึ่งพลังเวทย์มนตร์ของเธอ ร่ายเวทย์ไฟซะ เอาบทใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่สร้างความเดือดร้อนมาถึงพวกเรา” ฟังดูเป็นคำขอที่เอาแต่ใจดี ทั้งๆที่เขาเป็นคนพูดแท้ๆ แคลร์ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงกระหน่ำร่ายเวทย์ไม่มียั้ง แต่ก็ล้วนเป็นเวทย์สายความมืดเช่นเดิม เขาหันไปมองภาพของเหล่าผู้บุกรุกเบื้องหน้าให้เต็มสองตาอีกครั้ง เพื่อจะหาทางจัดการ แต่แล้วเขาก็เริ่มผิดสังเกต
     
                จำนวนมัน... ลดลงไปรึเปล่านะ ดวงตาสีม่วงหรี่ลงอย่างไม่มั่นใจ แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะมาใส่ใจแล้ว นักฆ่าหนุ่มเก็บดาบในมือ แล้วเรียกคทาออกมาแทน ก่อนจะลงมือร่ายเวทย์ไฟเข้าโจมตีพวกซากศพเดินได้พวกนั้น
     
    เรคส์!!” นักฆ่าผมดำตะโกนถามนักดาบผมทองเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่ ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่า ตัวเองทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงที่สุดในชีวิตลงไปเมื่อดวงตาสีฟ้าเข้มโชนแสงกล้าตวัดกลับหามองเขา เคเรสสะอึก
     
    เอ้อ... คือว่า”
     
    จะพูดอะไรก็พูดมา!!” เรคส์ตวาดลั่น แต่ก็ยอมละมือจากร่างของเคลแล้วเดินมาหา ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้ว มันจะห้ามเลือดเคลได้ในที่สุด
     
    นั่นไง” เคเรสเฉลยเสียงเจื่อนๆ พยักพเยิดไปทางของสาวน้อยร่างเล็กซึ่งสติแตกไปแล้วก่อนหน้า
     
                เรคส์อ้าปากค้าง ก่อนสบถลั่น เด็กหนุ่มผละออกไปจากเพื่อนหนุ่มนักฆ่าในทันที แล้วปราดเข้าไปคว้าร่างของแคลร์โรไลน์ไว้ในทันที
     
    เคเรส!!” เขาตะโกนลั่นเป็นเชิงสั่ง เมื่อเห็นว่าร่างของเด็กสาวที่เขาไม่มีปัญญาห้ามได้ถูกเพื่อนหนุ่มตรึงไว้แล้วเขาก็เข้าไปรับช่วงต่อในทันทีจากเด็กสาวในทันที
     
    อย่าทำบ้าๆนะยัยบ้า!!” เขาตะคอกเสียงลั่นแล้วดันร่างเล็กให้ไปชิดกำแพง มือใหญ่รวบข้อมือเล็กทั้งสองขึ้นเหนือหัว ขาข้างหนึ่งใช้ดันขาเล็กเพื่อไม่ให้เจ้าหล่อนออกฤทธิ์
     
                เคเรสสะดุ้ง ทั้งๆที่ยังมีหน้าที่รับมือกับศัตรูตัวจริงเจ้าของซาดศพเดินได้ ผู้บุกรุกที่ไม่มีวันตายพวกนั้น ดวงตาสีม่วงเหลือบหลังมามองคู่เพื่อนหนุ่มสาวชั่วแวบ ก่อนต้องรีบเอี้ยวตัวหลบดาบที่ตวัดผ่านหน้า
     
    รู้มั้ยว่าพวกฉันมีหน้าที่อะไร!! คุ้มครองพวกเธอไม่ให้โดนใครฆ่า และไม่ให้ไปฆ่าใคร!!” เรคส์ตะโกนลั่น หวังให้คำพูดเหล่านั้นซึมเข้าไปในหัวสมองของเจ้าหล่อน แคลร์สะบัดตัวแรงอย่างคนเสียสติ ปากออกเสียงร่ายเวทย์หวังทำร้ายคู่ต่อสู้ที่เคเรสกำลังรับมืออยู่ให้ถึงขั้นปางตาย
     
    มองฉัน! ฟังฉัน!” เรคส์กัดฟันกรอด ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเจ้าหลอนไม่สะท้อนภาพของเขาแม้แต่น้อย ต้องเป็นเคลคนเดียวรึไงกัน เจ้าหล่อนถึงจะยอมฟัง ดวงตาสีฟ้าเข้มเหลือบไปมองร่างไร้สติของเพื่อนรักที่นอนจมกองเลือดอยู่ห่างออกไป ถ้าไม่รีบ เคลตายแน่ เขากำหมัดแน่นจะตัดตัดสินใจ
     
                ร่างสูงก้มลงไปประกบริมฝีปากบางของสาวน้อยร่างเล็กที่กำลังร่ายเวทย์ไม่หยุด เขาไม่สนแม้ว่าอาการปฏิเสธหรือต่อต้านของเจ้าหล่อน ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่อเริ่มรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ร่างบางพยายามออกแรงผลักเด็กหนุ่มร่างสูงให้ออกไปให้พ้น แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไร ก็ไม่อาจสู้แรงของเขาที่รวบเธอไว้ด้วยมือข้างเดียวได้
     
                ฝ่ายนักฆ่าหนุ่มที่กำลังรับมือคู่ต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นเสียงโวยวายเงียบไปจึงเหลือบมองกลับมา ก่อนจะต้องตกใจจนเกือบเสียท่า ดาบเล่มเรียวปัดอาวุธลับของฝ่ายศัตรูได้ทันหวุดหวิดทั้งๆที่ดวงตาสีม่วงยังจับจ้องอยู่ที่ภาพของเพื่อนทั้งสอง เคเรสผิวปากหวือ ดวงตาสีม่วงเลยไปมองร่างของเพื่อนหนุ่มที่นอนไร้สติอยู่สลับกับภาพของสองหนุ่มสาวด้านหลังเขา ก่อนจะพึมพำเสียงเบาขณะตั้งท่าเตรียมรับมือศัตรู
     
    ถ้าเคลรู้เข้า แกโดนฆ่าแน่ เรคส์”
     
                เด็กหนุ่มถอนริมฝีปากออกเมื่อเห็นว่าร่างบางเริ่มนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตนั่นจ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่เอ่ยอะไร ดวงหน้าสวยของเจ้าหล่อนขณะนี้แทบจะถูกเขียนไว้ว่า ขอโทษมา เดี๋ยวนี้ เขาขยับยิ้มเยาะ
     
    สงบได้แล้วก็ดี ฉันจะบอกอะไรเธอให้อย่างนะ แคลร์โรไลน์” ดวงตาสีฟ้าเลื่อนลงมาที่ระดับเดียวกับสายตาของเจ้าหล่อน
     
    เคลจะตายเพราะเธอกำลังดูดพลังเขา” ขาเรียวที่เขาให้ขาดันไว้ขยับยุกยิกราวกับจะเตะเขาสักเปรี้ยง เขาขยับยิ้ม ก่อนจะค่อยๆคลายแรงมือที่รวบข้อมือบางเอาไว้ และในชั่วพริบตา มือบางก็พุ่งกระทบใบหน้าเขาเต็มแรง ดวงหน้าสวยขณะนี้ปรากฏทั้งแววโกรธ เสียใจ ตัดพ้อ และหวาดกลัว ผสมปนเปกันไปหมด ดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวกำลังทอประกายต่อว่าเขา และนั่นทำให้ความอดทนของเขาขาดไม่มีชิ้นดี
     
                แคลร์ใช้สองมือที่เพิ่งเป็นอิสระออกแรงผลักเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังถือสิทธิ์กระทำอุกอาจกับหล่อนให้ออกไปให้ห่าง แต่ทว่า ยิ่งหล่อนออกแรงผลักเขามากเพียงไร เขาก็ยิ่งขยับเข้ามาแนบชิดหล่อนมากขึ้นเท่านั้น สัมผัสนั้นทั้งรุนแรง ทั้งกราดเกรี้ยว ราวกับไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เธอเคยรู้จัก เขากำลังทำให้หล่อนกลัว
     
                เขาผละตัวออกเมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ดวงตาสีฟ้าเข้มเบิกกว้างด้วยความตกใจ ดวงตาสีน้ำตาลสวยของร่างเล็กในอ้อมแขนั้นกำลังสะท้อนภาพเขา แต่แววตาที่มองนั้นเต็มไปด้วยแววตัดพ้อ และรื้นไปด้วยน้ำตา เขาเม้มปากแน่น สายตาของเธอสะท้อนภาพเขา แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการเลยสักนิด เขาปล่อยมือจากตัวเธอในทันที
     
                แคลร์ถอยกรูดไปด้านหลังในทันที มือบางยกขึ้นปิดริมฝีปากบาง แขนทั้งสองข้างกอดตัวเองไว้แน่นราวกับจะปกป้องตัวเองจากเขา ดวงตาสีน้ำตาลของเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยหวาดระแวงระคนหวั่นกลัว เรคส์กัดฟันกรอด หันหลังกลับไปหาเพื่อนนักฆ่า มือกระชากคอเสื้อเพื่อนหนุ่มให้ลอยหวือไปหาสาวน้อยร่างเล็ก ส่วนมืออีกข้างก็คว้าหมับเข้ากับดาบเล่มยาวของเพื่อนหนุ่มแล้วรับมือกับคู่ต่อสู้แทน
     
    ปลอบแคลร์ แล้วทำยังไงก็ได้ให้มันเจาะเขตอาคมของเคล” เคเรสอ้าปากค้าง คำด่าพุ่งขึ้นมาจุกที่คอ ทำท่าจะด่าอยู่สองสามที แต่ก็กลับไม่มีเสียงใดเล็กลอดออกมาจากลำคอของเขา เคเรสอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะหันไปสนใจแม่สาวน้อยตามคำสั่งเพื่อนหนุ่มแทน โดยไม่ลืมที่จะบ่นพึมพำเสียงเบาตามนิสัย
     
    ตอนแรกสั่งให้ไปรับมือ ตอนนี้มาโยนชาวบ้านเขาออกจากคำสั่ง แล้วสั่งให้ไปปลอบคนที่ตัวเองเพิ่งไปทำเขาร้องไห้เนี่ยนะ บ้ารึเปล่าวะ” ร่างสูงของนักฆ่าหนุ่มหมุนตัวกลับไปหาสาวน้อยร่างเล็ก น้องน้อยของทุกคน เขาถอนหายใจแรง ให้นักฆ่ามาปลอบคนเนี่ยนะ บ้ารึเปล่า
     
    แคลร์” เอาวะ ลองซักตั้ง “ทำใจเย็นๆแล้วฟังพี่นะ” เขาพยายามจะใช้สรรพนามให้นิ่มนวลที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าหล่อนขวัญเสีย
     
    เรคส์มันหัวเสียมากไปหน่อย เลยไปเอ้อ...” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ “...นั่นล่ะ แต่ตอนนี้ตั้งสติให้ดีแล้วฟังพี่” เคเรสสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ร่างบางที่กำลังสั่นเป็นลูกนก
     
    เจาะเขตอาคมนี้ซะ แล้วเราจะพาเคลออกไปรักษา ได้โปรดเถอะ เคลกำลังจะตายนะ... แคลร์”
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากนั้นเป็นยังไงมายังไงเขาเองยังนึกไม่ออกเลย แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
     
                เคลตอนนี้นอนแบบอยู่กับเตียง ยังลุกไม่ได้เพราะมีคำสั่งห้ามขยับตัวจากเรคส์และพระน้องนางของมัน ไอ้หมอนี่รอดตายหวุดหวิดจากการเสียเลือดมาก ดีที่แคลร์หายจากอาการช็อกแล้วรีบกรีดแขนตัวเองให้เลือกเคล ไม่งั้นมันไม่มีทางได้มานอนยิ้มแห้งๆสำนึกผิดให้พวกเขาได้อยู่แบบนี้หรอก
     
                ส่วนเรคส์กับแคลร์ที่ยังมีคดี... เอ่อ นั่นล่ะ... กันอยู่ ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็มองหน้ากันไม่ติด ตอนนี้ก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว เวลามันมาเยี่ยมเคลก็ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างก็จะชิงเอาช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไม่อยู่ห้อง และถือเป็นโชคดีของเรคส์ที่เคลมันยังไม่รู้เรื่อง เพราะมันยังจับพิรุธไม่ได้ แถมเขาเองก็ยังไม่กล้าปากโป้งบอกไป เพราะเดี๋ยวจะอยู่ร่วมห้องกับพวกมันไม่ได้อีกต่อไป
     
                ส่วนตัวเขาน่ะเหรอ ตอนนี้ก็มีหน้าที่ตีหน้าเซ่อเป็นตัวกลางส่งต่อคำพูดและดัดแปลงเล็กน้อยเพื่อให้เข้าหูคนฟัง ถ้าไม่เห็นว่าเพราะพวกมันเป็นเพื่อนล่ะก็ ให้ตายชาตินี้ก็ไม่มีวันทำให้หรอก นึกอยากจะถามพ่อชะมัด ว่าพ่อเคยทำเรื่องพรรค์นี้ตอนสมัยพ่อเรียนอยู่บ้างรึเปล่า
     
                แล้วหน้าที่อีกอย่างก็คือเป็นนักแต่งเรื่อง แต่งเรื่องสารพัดให้กับอาการของเคล เรื่องผู้บุกรุก แล้วก็อีกสารพัดเรื่องที่พวกคนในป้อมอยากได้ข้อมูล ส่วนที่เหลือน่ะเหรอ...
     
                เพราะเคลขยับไม่ได้(ความจริงก็ได้อยู่ แต่เรคส์กับแคลร์ห้ามไว้ก่อน) เรคส์กับแคลร์เลยต้องไปทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆนานาให้กับอาจารย์ประจำป้อมที่รักทั้งสองคนฟัง ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหน หน้าที่ของพวกมันก็ง่ายกว่าเขาทั้งนั้น มันมีหน้าที่บอกความจริง ส่วนเขาต้องมานั่งโกหก ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
     
                ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาปั้นไปมันจะดูน่าเชื่อมากแค่ไหนในสายตารุ่นพี่(เพราะในปีหนึ่งด้วยกันนี่ดูเหมือนว่าทุกคนจะเชื่อสนิท ทั้งๆที่พวกมันก็อยู่แถวเขตอาคมนั่นแหละ ตอนแคลร์เจาะเขตอาคมออกนี่ถ้าไม่ติดว่าเคลมันจะตายเอา เขาคงเหงื่อแตกพลั่กทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้นไปแล้ว
     
    แล้วนั่นแกจะทำอะไรน่ะ” เขาหรี่ตามองไปยังร่างของเพื่อนหนุ่มที่น่าจะนอนแบบอยู่บนเตียงของมันเพราะคำสั่งของพระน้องนาง เคลยันตัวลุกขึ้นมานั่งตั้งสติกับเตียงของมันแล้วค่อยๆกระพริบตาเร็วๆเพื่อปรับระดับความดัน รู้สึกว่าจะไม่ค่อยมีใครรู้ แต่พวกมันทั้งสองฝาแฝด ความดันต่ำทั้งคู่
     
    ทั้งเรคส์ทั้งแคลร์ไม่อยู่ทั้งคู่ แกก็เงียบๆไว้” หลังจากที่เคลปรับระดับความดันได้เข้าที่เข้าทาง มันก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่แววตาจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ
     
                เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันเล่นพูดชื่อทั้งสองคนออกมาพร้อมกันอย่างงี้เขาก็ต้องเสียวสันหลังอย่างช่วยไม่ได้ ก็ไอ้เรคส์มันยังมีชนักติดหลังอยู่เลย
     
    เคเรส ฉันจะถามนายจริงๆนะ” ไอ้คำว่าถามจริงๆของแกน่ะ มันเป็นคำพูดที่ใช้กับเพื่อนเล่นที่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใช้คู่กับสายตาพิฆาตแบบนั้นแล้วด้วย มันหมายความว่า ถ้าแกโกหก ตายสถานเดียว ให้ตายเถอะน่า ชักสงสัยซะแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นนักฆ่า
     
    เรคส์กับแคลร์เป็นอะไรไป” เขาสะอึกเมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนหนุ่ม นั่นไง คำถามที่ว่า ตอบก็ตายไม่ตอบก็ตาย เอาไงดีฟระ
     
    เคเรส” เคลวินกดเสียงเข้มเค้นถามเพื่อนนักฆ่า เหวยๆ มันกำลังจะฆ่าเขาทางสายตา เรคส์ แคลร์ ขอโทษที ฉันคงช่วยอะไรพวกแกไม่ได้แล้วล่ะ
     
    ตอบมา ตามตรง ไม่งั้นฉันจะเหมาเอาว่านายมีส่วนเอี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตามที่สองคนนั่นปิดฉันไว้” เขากำลังจะถูกฆ่าทางสายตา เขากำลังจะถูกหมอนี่ฆ่าทางสายตา เรคส์ แคลร์ งานศพคืนที่สองของฉันของเลี้ยงเอาเป็นข้าวต้มกุ้งนะ
     
    เคเรส จะตอบหรือไม่ตอบ” โอเค เปลี่ยนใจแล้ว เรคส์ แกห้ามเป็นเจ้าภาพร่วมกับแคลร์ในงานศพฉันเป็นอันขาด
     
    เคเรส” ตายแน่ นักฆ่าหนุ่มเหงื่อแตกพลั่ก สูดหายใจลึก พ่อ แม่ พี่ๆ น้าเฟริน ลุงโร ลุงกัส ขอโทษด้วย ผมคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้แล้ว
     
    เอ่อ... คือ นายแน่ใจนะว่าอยากฟังจากปากฉัน...” เคเรสออกปากถามกลับอย่างตะกุกตะกัก เคลส่ายหน้า เฮ้ยๆ นั่นแกหมายความว่าไงน่ะ
     
    ฉันไม่ได้อยากฟังเรื่องโกหกจากปากแก แต่ฉันอยากรู้สิ่งที่แกรู้ทั้งหมดระหว่างที่ฉันไม่ได้สติต่างหาก” เหวย มันเอาจริง เรคส์ แคลร์ พวกแกไปทำอะไรอยู่ที่ไหน!!!
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    “…แคลร์” น้ำเสียงเรียกชื่อของหล่อนแว่วหวานดังมาจากที่ไกลๆ เสียงใครกันหนอ
     
    ... แคลร์” เสียงใครกัน แล้วทำไมถึงเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้นล่ะ
     
    แคลร์ ตื่นเถอะ” อบอุ่นดีจัง เหมือนท่านพ่อเลย
     
    ท่านพ่อหรือเพคะ” หล่อนเพ้อน้ำเสียงหวาน ผู้เอ่ยเรียกชื่อหล่อนชะงักไป ดวงตาสีฟ้าเข้มทอดมองสาวน้อยร่างบาง
     
    หรือท่านพี่เพคะ” เจ้าหล่อนพยุงตัวขึ้นมา แพขนตางอนค่อยๆปรือขึ้นเพื่อมองเจ้าของเสียงเรียกอันอ่อนหวานนั่น หล่อนกระพริบตาอยู่สองสามที และนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ซักพักหนึ่ง ถึงจะรู้สึกว่า คนที่ร้องเรียกเธอนั้นไม่ใช่ทั้งท่านพ่อและท่านพี่ของเธอ
     
    เรคส์...” หล่อนยืดตัวขึ้นจนสุดด้วยความตกใจที่ได้เห็นหน้าคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ และยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรมากกว่านั้น เขาก็ต้องรีบคว้าร่างของเธอที่กำลังจะร่วงลงสู่พื้นเบื้องร่างไว้แน่น
     
    ให้ตายสิ พวกเธอฝาแฝดนี่จะหัดหาที่งีบที่มันติดพื้นบ้างจะได้ไหม” เขาถามด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง แต่ดูเหมือนร่างบางที่เขาคว้าเอาไว้ได้จะไม่ยอมเล่นด้วย
     
    ปล่อยเถอะค่ะ” เธอปัดมือเขาออกอย่างสุภาพ ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตนั่นหลุบลงและไม่ยอมแม้แต่ที่จะสบตากับเขา ก่อนจะค่อยๆขยับกายเข้าไปชิดลำต้นใหญ่ของต้นไม้ใหญ่
     
    แคลร์” เขาเอ่ยปากร้องเรียกเจ้าหล่อนไว้ เมื่อเธอทำท่าจะลงไปยังพื้นเบื้องล่างโดยไม่คิดจะทักทายเขาแม้แต่คำเดียว
     
    เราต้องคุยกัน” ดวงตาสีฟ้าจ้องหล่อนนิ่ง แต่เจ้าหล่อนไม่มีทีท่าว่าจะสู้สายตา
     
    จำเป็นด้วยหรือคะ” ร่างบางถามกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยคุยกัน เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกขโมยหายไปทั้งดวง
     
    แคลร์” เขาคว้าข้อมือหล่อนไว้แน่น ให้ตายเขาก็ไม่ปล่อยเด็ดขาด จนกว่าจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง “เธอหลบหน้าฉันมาเป็นอาทิตย์แล้ว ถ้าเรายังไม่คุยกัน แล้วเคลรู้เรื่องนี้เข้า...”
     
    อ้อ... นี่คุณห่วงว่าท่านพี่จะทำอะไรกับคุณหากท่านพี่รู้เรื่องนั้นแค่นั้นหรือคะ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นเย็นชาเสียจนเขารู้สึกราวกับถูกเจ้าหล่อนตบหน้าอย่างแรง เขากัดฟันกรอด
     
    ปล่อยเถอะค่ะ ถ้าคุณกลัวขนาดนั้นล่ะก็ ดิฉันจะไม่บอกใคร และดิฉันเองก็มั่นใจว่าพี่เคเรสเองก็จะไม่บอกใครถึงการกระทำเหล่านั้นของคุณ” เขากัดฟันกรอด เจ้าหล่อนกำลังรวนเขา
     
    แคลร์” เขาบังคับเสียงที่เอ่ยออกมานั้นให้เรียบเหมือนปกติ แต่ก็พบว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน เมื่อดวงตาสีน้ำตาลของเจ้าหล่อนนั้นจ้องมองมายังเขาอย่างเย็นชา
     
    เราไม่มีธุระต่อกันอีกต่อไปแล้วค่ะ กรุณาปล่อยดิฉันด้วย” คำพูดของเจ้าหล่อนราวกับใบมีดน้ำแข็งที่กรีดลงบนใจช้าอย่างช้าๆ เธอกำลังจะฆ่าเขาทางอ้อม ดวงตาสีฟ้าเข้มไหววูบไปชั่วขณะ เด็กสาวหลุบตาแน่น แล้วพยายามกระชากตัวออกจากการเกาะกุม หากแต่ว่า ยิ่งกระชาก แรงจับก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปทุกที
     
    เอาสิ ถ้าเธอไม่ยอมคุยกันดีๆ ต่อให้ตาย พี่ก็ไม่มีทางปล่อยมือจากเธอ แคลโรไลน์” เขากระตุกยิ้มมุมปากกรุ้มกริ่มท้าทาย ถ้าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ก็ต้องใช้ไม้แข็งกันล่ะ
     
                ลมหายใจของเด็กสาวกระตุก เขาไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับหล่อน ไม่เคยยิ้มแบบนั้นให้หล่อน และไม่เคยใช้สายตาแบบนั้นกับหล่อน เขาไม่ใช่พี่เรคส์ที่หล่อนรู้จัก
     
    ปล่อยค่ะ” แคลร์แข็งใจกระชากแขนออกอีกครั้ง แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม เขายังไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยหล่อนออกจากพันธนาการ ดวงตากลมโตที่เมื่อครู่สายแววเย็นชาวูบไหว เมื่อดวงตาสีฟ้าเข้มของชายหนุ่มที่จ้องกลับมานั้นเย็นชายิ่งกว่า เขากำลังทำให้หล่อนกลัวอีกครั้ง
     
    ปล่อยเถอะค่ะ” เธอลองอีกครั้ง แต่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่ากว่าเดิม ดวงตาสีฟ้าคู่สวยนั่นอ่อนลงด้วยแววเจ็บปวดระคนอดกลั้นอยู่ชั่วขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แต่แล้วก็กลับมาเป็นเช่นเดิม
     
    ปล่อยแคลร์เถอะค่ะ พี่เรคส์...” น้ำเสียงนั้นหวานสูงและสั่นเครือ ราวกับกำลังสะกดอารมณ์บางอย่างเอาไว้ ซึ่งหล่อนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าอารมณ์นั้นมันคืออะไร
     
    เจ็บ...” หยาดน้ำตาคลอหน่วงดวงตา เด็กหนุ่มขบกรามแน่น แต่ก็ยอมคลายแรงยึดออกเล็กน้อย
     
    ได้โปรดเถอะค่ะ ปล่อยแคลร์” หล่อนเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา หวังให้ใจอ่อนดังเช่นที่เคยได้ผลมาตลอด
     
    พี่แค่อยากคุยกับเธอ แค่แปปเดียวเท่านั้น” เขาพึมพำเสียงเบา แต่เพราะระยะห่างอันน้อยนิด ทำให้อีกฝ่ายที่เขาหวังจะให้จะได้ก็ได้ยินดังใจหวัง
     
    แต่แคลร์กลัวนี่คะ” เธอตอบกลับเสียงหวานเบา มือข้างหนึ่งที่ยังเป็นอิสระยกขึ้นแนบหน้าอก
     
    ตัวแคลร์เป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ พอเห็นหน้าพี่เรคส์ มันก็ร้อนไปหมดทั้งตัว แต่ว่า...” น้ำเสียงหวานเบานั้นสะดุดด้วยความไม่มั่นใจ แต่เพียงแค่นั้น เขาก็ยอมคลายมือที่ยึดข้อมือหล่อนออก แล้วยกขึ้นไปสัมผัสอย่างแผ่วบา
     
    พี่ขอโทษ” สัมผัสนั้นทั้งแผ่วเบา และสุภาพ ก่อนที่เขาก็กระโดดลงไปจากคาคบต้นไม้ที่ใช้เป็นที่พำนักอยู่นาน เขาปล่อยเธอดังคำพูด แค่เธอคุยกับเขา เขาก็ปล่อยเธอไป และทิ้งเธอไว้ กับความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้รู้สึกเลยว่า ข้อมือที่เคยเจ็บด้วยแรงบีบนั้น บัดนี้ไม่มีหลงเหลือแม้แต่รอยแดงที่โดนบีบ
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                บรรยากาศมาคุ ใช่เลย! ไม่มีคำไหนที่จะบรรยายสภาพห้องพักของเขาได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ดวงตาสีม่วงของนักฆ่าหนุ่มกลอกไปมาอย่างหน่ายใจ เขากำลังอยู่ท่ามกลางเจ้าชายสองคน จากสองเมือง กำลังเล่นสงครามเย็นกัน พวกมันไม่คุยกันมาชาติกว่าได้แล้ว ดูเหมือนว่าเรคส์จะเคลียร์กับแคลร์เรียบร้อย เพราะมันไม่ได้ดูกระวนกระวายเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันติดจะดูลอยๆซะมากกว่า
     
                ส่วนไอ้เคลน่ะเหรอ เหอะ อย่าให้พูดถึงมัน เขากำลังจะอึดอัดตายก็เพราะความบ้าของมันนั่นแหละ มันแทบจะฆ่าเรคส์อยู่แล้วตอนที่เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกตัดใจยอมแพ้เล่าเรื่องให้มันฟัง ดีที่เขาห้ามไว้ทัน ตอนนี้มันก็เลยมานั่งสร้างบรรยากาศมาคุอยู่นี่ไง
     
                เขาไม่รู้ว่าแคลร์เป็นไงบ้าง เพราะตอนนี้แค่เอาตัวให้รอดระหว่างไอ้เพื่อนบ้าสองตัวนี่ก็แทบตายอยู่แล้ว แล้วแถมแคลร์ก็แทบไม่มาเข้าใกล้พวกเขาอีกเลยซะอีก เลยยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ จนตอนนี้ทั่วทั้งป้อมอัศวินมันเอาไปลือกันมั่วๆแล้วว่าคู่รักสุดหวานอย่างพ่อนักเดินทางหนุ่ม กับแม่สาวน้อยคนพเนจรกำลังทะเลาะกันร้ายแรงจนเข้าหน้ากันไม่ติด
     
                ซึ่ง... จะว่าไปแล้ว มันก็มีส่วนจริงอยู่นิดหน่อย เพราะไอ้ตาวาวๆของเคลน่ะมันน่าเข้าใกล้ซะที่ไหน ตอนนี้จากที่ใครๆในชั้นปีต่างก็กล่าวหาว่าพวกเขายึดสาวๆไปเป็นของตัวเองก็เลยเริ่มไม่ค่อยมีมูลขึ้นมา ส่วนผู้ร่วมโต๊ะแทนที่สาวๆนั้นก็เปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำแต่ล่ะวัน แถมบางทีพวกเขาสามคนยังต้องนั่งแยกโต๊ะกันอีกต่างหาก สงครามเย็นของไอ้เจ้าชายสองตัวนี่กำลังทำเขาจะคลั่งตาย
     
                แล้วตอนนี้เขาก็เลยต้องมานั่งเงียบกลอกตาดูปฏิกิริยาของพวกมันสองคนอยู่นี่ไง ทั้งๆที่ถ้าเป็นตอนปกติล่ะก็ ป่านนี้นั่งคุยไร้สาระกันไปสบายใจเฉิบไปแล้ว เชื่อเถอะ ภายในปีนี้เขาจะต้องสติแตกขึ้นมาสักวันแหงๆ นี่ยังไม่รวมถึงการจะเป็นบ้าตายเพราะไอ้งานจริงๆที่ได้รับต่อมาจากพวกพ่อหรอกนะ นึกสงสัยชะมัดว่าพ่อจะเคยเจอเหตุการณ์จำพวกนี้บ้างมั้ย
     
                เขาถอนหายใจยาวเพื่อเป็นการเรียกความสนใจอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยจะได้ผล ดวงตาเหลือบไปมองยังเพื่อนทั้งสองอย่างไม่ผิดสังเกต จึงพอเห็นได้ว่าพวกมันแค่ชะงักไปนิดหนึ่ง แต่แค่นิดเดียวจริงๆนะ แล้วมันก็หันไปทำธุระคั่งค้างมหาศาลงานช้างของพวกมันต่อ นั่นก็คือ ทำเหมือนไม่มีใครอยู่ในห้องนี้ร่วมกับพวกมัน
     
                ในที่สุด เคลก็เปลี่ยนอิริยาบถ มันลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือตัวกว้างเพียงตัวเดียวในห้อง(ซึ่งจะมองยังไงก็ใช้ไม่พอสามคนในครั้งเดียว) พร้อมกับหนังสือในมือมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง และอย่างกับปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ เรคส์ลุกขึ้นจากเตียงที่มันกำลังจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเอาเป็นเอาตายไปหยิบหนังสือเล่มใหญ่ที่ไม่น่าอ่านเลยสักนิดแล้วไปทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือแทน
     
                ใช่เลย! พวกมันเป็นแบบนี้กันมาได้ชาติกว่าแล้ว พอคนหนึ่งเปลี่ยนอิริยาบถ อีกคนก็จะเปลี่ยนบ้าง แถมจะไม่ยอมอยู่ใกล้กันเด็ดขาด และถ้าพวกมันยังจะเป็นแบบนี้ต่อไป เชื่อเถอะ ซักวันเขาจะบ้าตายเอาจริงๆ มีอะไรก็หัดพูดๆออกมาเซ่!!
     
                เอาล่ะๆ สูดหายใจลึกๆ เขาบอกตัวเองช้าๆ ให้ทำใจอย่างง่ายๆ เตรียมตัวเตรียมใจจัดการซะ ถึงไอ้ตาสีฟ้าๆคมๆของมันทั้งคู่จะไม่ใช่อะไรที่น่าพิสมัยนักก็เถอะ
     
    เอาล่ะ” เขาพูดอย่างนิ่ง เรียบ และช้า หวังให้มันซึมเข้าไปในสมองพวกมันสองคน “พอกันที” เขาเอามือยันฟูกเตียงจนเกิดเสียง เคลและเรคส์หันมามอง
     
    พวกแกเป็นบ้าอะไรกันน่ะหา! มีปากกันรึเปล่า! รู้มั้ยว่าพวกแกกำลังจะทำให้ฉันประสาทกินน่ะหา!” เคเรสตะคอกเต็มเสียง ดวงตาสีม่วงส่องประวายวิบวับอย่างเอาเรื่องเต็มที่
     
    เรคส์ แกออกไปก่อน ฉันจะเคลียร์กับแกทีหลัง ส่วนเคล แกอยู่นี่ แกต้องมาเคลียร์กับฉัน!” นักฆ่าหนุ่มหรี่ตามองอย่างเอาเรื่องเมื่อคำสั่งไม่ได้รับปฏิบัติการ
     
    อ้อ ฉันลืมบอกไปว่าฉันไม่รับฟังคำปฏิเสธหรืออาการต่อต้านใดๆของพวกแกทั้งสิ้น ไม่งั้นล่ะก็ฉันจะเป็นคนเดินออกไปจากชีวิตพวกแกจริงๆซะที” เขาเอ่ยคำขู่เสียงเรียบ ไร้สัญญาณตอบรับจากเพื่อนหนุ่มอีกสองคน โดยที่เขากอดอกรอ จนในที่สุด เรคส์ก็ยอมออกไปจากห้อง ดวงตาสีม่วงมองไล่หลังเพื่อนหนุ่มที่ยอมลงให้แล้ว ก่อนจะตวัดกลับมามองเพื่อนหนุ่มอีกคนที่ยังคงนั่งนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ เขาหรี่ตาลงมองไอ้คนที่ไม่สะทกสะท้านอย่างเอาเรื่อง เอาสิ เวลาพวกมันรวน เขาเนี่ยแหละที่คอยช่วยน้าเฟรินรับมือ ให้มันรู้กันไปว่าอาการเป็นใบ้ของมันจะทำให้เขาง้างปากมันไม่ได้
     
    แกกะจะเปลี่ยนฉายาไปเป็นเจ้าชายใบ้ใช่มั้ย เคลวิน” รู้สึกเหมือนตากระตุก ตั้งแต่รู้จักกันมา เพื่อนหนุ่มนักฆ่าไม่เคยเรียกชื่อจริงของเขามาก่อน
     
                ไม่มีคำตอบจากเพื่อนหนุ่ม นักฆ่าผมดำยังคงนั่งนิ่งคอยคำตอบอย่างใจเย็นราวกับเขามีเวลาทั้งวันเพื่อมานั่งคอยคำตอบ
     
    ถามจริง เคลวิน เรคส์มันไม่ดีตรงไหนกัน ในสายตาฉัน เรคส์ยังดีกว่าผู้ชายคนไหนที่เคยทำท่าจะเข้ามาจีบแคลร์ด้วยซ้ำ” เอาสิ ทนเงียบได้ก็เงียบไป เขาจะยั่วมันไปแบบนี้แหละ
     
    ฟังนะ เออ รึจะไม่ฟังก็เรื่องของแก แต่ฉันจะพูด” เขาดักคอไว้ก่อนเผื่อมันบอกว่ามันจะไม่ฟังและห้ามเขาพูด “เรคส์น่ะ จริงจัง ฉันรู้ นายเองก็รู้นิสัยมัน ถ้ามันตกลงปลงใจเรื่องอะไรแล้ว ให้ตายมันก็ไม่เปลี่ยนใจ แถมมันยังใจเย็น ทนน้องแกได้อย่างที่หาไม่ได้ง่ายๆอีกแล้ว” เพื่อนหนุ่มชะงักไปนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆนั่นแหละ แต่มีเหรอจะรอดสายตาเขาไปได้ กล่อมเรคส์ดูยังไงก็ง่ายกว่ากล่อมเคลเห็นๆ เพราะไอ้เรคส์มันเห็นฝาแฝดสำคัญมาอันดับหนึ่ง พูดอะไรที่จะหาทางให้มันดีกันก็พูดง่าย แต่ไอ้หัวดื้อตรงหน้าเขานี่มันน่าโมโหชะมัด
     
    ถามจริง แกไม่คิดจะเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างเลยใช่มั้ย” เขาถอนหายใจแรงแล้วขยี้หัวอย่างหนักใจ เอาวะ ลุยต่อ
     
    เรคส์มันผิดเหรอ ในสายตานาย” เหมือนกับจะได้ยินคำว่า ผิด ลอยเข้ามาในหู แต่ช่างมัน เขาจะทำเป็นไม่ได้ยิน
     
    ผิดรึไงที่ไปชอบน้องสาวแก” ถามเข้าไปตรงประเด็น แม้ว่าจะได้ยินคำตอบแว่วเข้ามาในหูว่า เออ ผิด แต่ก็ยังทำหูทวนลมไป “แกก็รู้เรื่องพรรค์นี้มันห้ามกันได้ที่ไหนกัน” ยังคงไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เคเรสถอนหายใจ แล้วลองเลี้ยวประเด็นดูบ้าง
     
    แกสังเกตแคลร์พักหลังนี่บ้างมั้ย” เขาพูดไปเรื่อยๆ ทำเป็นไม่สนใจอาการสะดุ้งของเพื่อนหนุ่ม “แกเห็นสายตาที่แคลร์มองเรคส์รึเปล่า” เขาลองชิ่งไปพูดเรื่องแคลร์ เผื่อมันจะเข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้นบ้าง
     
    มันแปลกๆ ไม่เหมือนกับสายตาที่แคลร์เคยใช้มองพวกเรา” เขาหยุดคำ สังเกตอาการของไอ้เจ้าพี่ชายตรงหน้า
     
    มันต่างออกไป แบบที่...” เขาเหลือบตาไปมองเคลวิน ที่ตอนนี้วางหนังสือลงแล้วนั่งนิ่งคอยฟังคำพูดของเขา
     
    ถ้านายไปเห็น นายจะเข้าใจเอง” เขาจบบทสนทนาเกี่ยวกับตัวแคลร์ไว้แค่นั้น แล้วยันตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนของตัวเอง
     
    ส่วนเรื่องเรคส์...” ดวงตาสีม่วงเหลือบมองไปยังเพื่อนหนุ่มที่ยังถือทิฐิไม่แม้แต่จะยอมปริปากใดๆ “มันเห็นพวกแกฝาแฝดสำคัญที่สุด แล้วแกล่ะ ให้ความสำคัญของมันไว้แค่ไหน” พูดทิ้งท้ายเสียงเรียบ ก่อนจะปลีกตัวออกไปจากห้องพักของตัวเองอย่างเงียบเชียบ ทิ้งเพื่อนหนุ่มคนสำคัญไว้คนเดียว เผื่อว่าความเงียบจะช่วยทำให้มันฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                เขากำลังเดินตระเวนออกมาที่ระเบียงหอนอนของป้อมอัศวิน หลังจากที่เพิ่งถูกเพื่อนหนุ่มนักฆ่าไล่ออกมาจากห้องพักอย่างสดๆร้อนๆ มันคงอึดอัด เขาเองก็เข้าใจ เพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับมัน เคลเป็นหนึ่งในเพื่อนรักที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของเขา เขาให้ความสำคัญของมันมากที่สุดเท่าที่เขาจะให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าแค่เขาสติหลุดไปไม่กี่นาที ความสัมพันธ์ของเขากับหมอนั่นกับดูเหมือนวาจะขาดสะบั้นลงอย่างง่ายดาย
     
                เรคส์ถอนหายใจยาว เท้าแขนลงกับที่กั้นระเบียงกับชานระเบียง แล้วเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเลื่อนลอย เขารู้ว่ามันดูบ้าๆ แต่เขาคิดกับแคลร์อย่างจริงจัง ทั้งๆที่รู้ว่าเคลมีความคิดยังไงกับคนแบบนี้ เขาไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะมันดูเหมือนเป็นการปัดความรับผิดชอบ ทั้งๆที่ไม่มีใครผิด เขารู้ว่ามันห้ามไม่ได้ แต่ยังไงมันก็เก็บเอาไว้ได้ ถ้าเพียงแต่เขาคุมสติไว้ให้ดีๆในตอนนั้น เขากับเคลคงไม่ต้องมาผิดใจกันแล้วปล่อยให้เคเรสมาอึดอัดจนแทบคลั่งแบบนี้หรอก
     
                พระจันทร์เสี้ยว ดวงตาสีฟ้าเข้มเหลือบมองเห็นขณะหมู่เมฆกำลังเคลื่อนผ่านพอดี แต่สว่างอย่างกับคืนพระจันทร์เต็มดวง เคเรสมันเป็นเพื่อนที่ดี ที่สามารถทนพวกเขามาได้อย่างตลอดรอดฝั่งทั้งๆที่พวกผู้ใหญ่หลายๆคนยังไม่อาจทนกับเขาได้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่อยากจะทำให้มันลำบากใจ เช่นเดียวกับฝาแฝด ถ้าความรู้สึกของเขาทำให้ทุกคนต้องลำบากกัน เขาก็คิดจะเก็บมันไว้จนตาย แต่ไม่คิดว่ามันจะระเบิดออกมาตอนที่แคลร์ทำท่าเหมือนจะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างโง่ๆ เขานั่นแหละที่ผิด
     
                แม้จะรู้ว่าไม่ดี แต่ตอนนี้ ยิ่งอยู่คนเดียวเงียบๆแบบนี้ เขายิ่งคิดถึงแคลร์ขึ้นมา แคลร์นอกจากจะมองหน้าเขาไม่ติดแล้ว ยังไม่สามารถมองหน้าเคลได้สนิทอีกด้วย เขาควรจะไปขอโทษทั้งคู่อย่างจริงๆจังๆ แต่ว่า...
     
    ห้ามพูดว่าไม่มีโอกาส โอกาสน่ะมีถมเถ แต่แกไม่ยอมทำเองไม่ใช่รึไง” เขาด่าตัวเองเสียงเบาให้ได้ยินแค่เพียงคนเดียว เผื่อว่าการได้ยินจะช่วยให้ตัวเองมีสำนึกที่ดีขึ้นได้บ้าง ดวงตาคู่สวยหลุบลงช้าๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกต่างๆที่กำลังขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆภายในใจของเขา
     
    อ้าว เรคส์นี่” น้ำเสียงหวานร้องทักมาจากด้านหลัง เขาหลับตาแน่นแล้วสูดหายใจลึก การปรับอารมณ์ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่เขาจะต้องทำให้เป็นและทำให้คล่อง ท่านพ่อสอนมาว่าอย่าให้มีใครรู้เด็ดขาดว่าเรารู้สึกอย่างไรในเวลาแบบไหน ก่อนจะหันไปขยับยิ้มบางให้กับเจ้าของเสียงทัก สเตลลา แวนชูไทน์ แม่มดสาวแห่งวิทช์ หัวหน้าชั้นปีของพวกเขา ก่อนที่เขาจะต้องชะงักไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นอีกสองคนที่ตามหลังแม่มดสาวหัวหน้าชั้นปีมา
     
                หนึ่งคือแอนนา วิลเลนดอร์ฟ นักดาบสาว เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของสเตลลา และอีกคนหนึ่ง คือสมาชิกคนสุดท้ายของห้องห้องหน้าชั้นปี แคลร์โรไลน์...
     
    มาทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะ นี่ใกล้จะสองทุ่มแล้วนะ” ดูเหมือนว่าสเตลลาจะไม่ทันสังเกตอาการชะงักของเขา หรืออาจจะสังเกต แต่ไม่ได้สนใจ เขาก็ไม่มีทางรู้ แต่ที่รู้ก็คือเจ้าหล่อนยังคงทักเขาอย่างเป็นเรื่องปกติ เขาขยับยิ้มสุภาพระคนเหนื่อยใจไปให้เพื่อนสาว
     
    โดนเคเรสไล่ออกมาน่ะ มันสติแตกนิดหน่อย ดูเหมือนว่าฉันจะไปกระตุกต่อมมันมากเกินไป” เขาพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว แน่ล่ะขืนบอกอะไรๆไปหมดมีหวังความลับได้แตกเป็นพลุ
     
                สเตลลาเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก เขาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
     
    แล้วพวกเธอ มาทำอะไรอยู่แถวนี้” เขาพูดขณะกวาดตามองทั้งสามสาวอย่างรวดเร็ว โดยพยายามบอกตัวเองไม่ให้ทำอะไรผิดสังเกตไปมากกว่านี้ สเตลลาถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายที่เขายกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด
     
    นายลืมไปแล้วล่ะสิท่า” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม สเตลลาจึงยอมเฉลยออกมาเมื่อเห็นว่าเขาลืมไปจนหมดสิ้นจริงๆ
     
    จัดผังหมากกระดานเกียรติยศไง แล้วนี่ก็ว่าจะไปจัดผังการเดินเวรยามในงานหมากด้วย” เขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้จริงๆ แต่ก็อย่างว่า ตัวเองยังมีเรื่องกับเพื่อนรัก เวลาจะมาคิดเรื่องพรรค์นี้คงไม่มี
     
    ไม่ลองไปถามเคลดูล่ะ” เขาลองเสนอชื่อเพื่อนหนุ่มที่ฝีมือเรื่องงานพรรค์นี้เข้าขั้น สเตลลาส่ายหน้า แต่แอนนาเป็นคนพูด
     
    เคลวินยังทำท่าเหมือนไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเลยไม่ใช่รึไง จะไปรบกวนเขาคงไม่ดี” คำพูดของแอนนาทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า ช่วงนี้เคลเองก็คุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ แม้จะกับพวกสาวๆก็เถอะ
     
    หมอนั่นน่ะ ช่วงนี้ทำท่าเหมือนแบกรังต่อหัวเสือไว้กับตัว ขมวดคิ้วตลอดเวลา แถมยังไม่ยอมพูดอะไรดีๆกับใครด้วย แม้แต่กับแคลร์ก็เถอะ แล้วจะให้ไปขอให้มันช่วยเนี่ยนะ พวกฉันทำเองดีกว่า” สเตลลาได้ทีก็ใส่ซะ อาจจะด้วยความอัดอั้นบางประการ
     
    เอ้อ จะว่าไป ถามหน่อยเหอะเรคส์ ตอนนี้เคลกับแคลร์มีปัญหากันรึไง” เมื่อพูดถึงชื่อเพื่อนหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ถึงปัญหาอีกอย่างใกล้ๆตัว แคลร์สะดุ้งสุดตัวอย่างห้ามไม่อยู่
     
    เดี๋ยวนี้มันทำตัวแปลกๆ แถมทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกับมาตั้งนานแล้ว น่าอึดอัดจะตาย แถมยัยนี่ ยัยนี่ก็เอาแต่ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้มีอะไร แต่ไอ้อาการแบบนี้ใครจะไปเชื่อ” สเตลลาพูดเอาๆอย่างไม่สนใจอาการของเพื่อนสาวเจ้าของเรื่อง ดวงตาสีอำพันของแอนนาเหลือบไปมองยังเพื่อนสาวตัวเล็กอย่างหวาดๆ
     
                เรคส์ยิ้มเจื่อนๆให้แทนคำตอบ จะบอกว่ามีมันก็เหมือนจะมี แต่จะบอกว่าไม่มีมันก็ใช่ คนที่แคลร์มีปัญหาด้วยน่ะ มันเขามากกว่า แต่เขายังไม่อยากพูดออกไป ดวงตาสีเงินของสเตลลาสังเกตอาการของเพื่อนหนุ่มแล้วตีความเองเสร็จสรรพ
     
    สรุปว่ามีสินะ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” นักดาบหนุ่มยิ้มแห้งๆให้แทนคำตอบ ที่ไม่ทั้งตอบรับและปฏิเสธ ไปตีความเอาเองแล้วกัน
     
    เรคส์ ฉันถามจริง มันปัญหาอะไรใหญ่โตนักหรือไง ถึงได้ไม่ยอมพูดกันน่ะ นี่ป้อมเราจะกลายเป็นป้อมสงัดอยู่แล้วนะ พอพวกนายแต่ละคนหันหน้าเข้ากันที” สเตลลาพูดอะไรเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม ที่เจ้าหล่อนว่ามามันก็ใช่ ความจริงแค่ลำพังพวกเขามีปัญหากันมันไม่เท่าไร ปัญหามันอยู่ที่เคลมัน เอ่อ... ออกจะหงุดหงิดเกินขนาด เลยออกไประบายใส่คนรอบทางด้วยสายตาและท่าทางโดยไม่รู้ตัว ทำให้หลายๆคนไม่กล้าพูดอะไรไปด้วย
     
    ขอร้องล่ะ ช่วยสงบศึกกันทีเหอะ นี่ก็ใกล้งานหมากอยู่แล้ว ฉันไม่อยากให้ชั้นปีเราชวดเพราะคนในชั้นปีไม่สามัคคีหรอกนะ” พูดอะไรได้ตรงประเด็นสมกับเป็นแม่สาวมั่นที่ใครๆยังต้องเกรงดี แต่ว่าเรื่องพรรค์นั้นมันง่ายซะที่ไหน เขาน่ะ พร้อมจะสงบศึกตลอดเวลา แต่อีกฝ่ายน่ะสิ เขาเหลือบตามองไปยังแม่สาวน้อยที่ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตากับเขา ก่อนจะเบนสายตาหนี แค่จะสบตาด้วยยังไม่ยอม ดูเหมือนว่าคำขอโทษคงต้องเลื่อนออกไปก่อนอีกแล้ว หรือว่า...
     
    เอางี้ สเตลลา ฉันจะดูให้ แต่ขอตัวแคลร์แปปนึงสิ มีอะไรอยากจะปรึกษาหน่อย” นักดาบหนุ่มผมทองตอบตกลงเงื่อนไขพลางยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยน ซึ่งแม่มดสาวแห่งวิทช์ก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดด้วยซ้ำ
     
    ได้สิ เอาไปเลย แต่นายต้องทำให้ไอ้สงครามเย็นระหว่างพวกนายจบลงซะที แล้วรีบเอาตัวสาวน้อยของพวกเรามาคืนก่อนสองทุ่มด้วยล่ะ อ่ะ ฉันเลตให้สองทุ่มครึ่ง ไม่รบกวนแล้ว รีบคิดรีบปรึกษาล่ะ” พูดรวดเดียวจบแล้วก็รีบผละออกไป โดยไม่ลืมลากแขนแอนนาที่ทำท่าอยากจะค้านแม่สาวมั่นแห่งป้อมอัศวินแต่พูดไม่ทันเสียทีออกไปจากบริเวณด้วย
     
                แคลร์ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอื้อมมือออกไปยังแผ่นหลังของเพื่อนสาวอีกสองคนเหมือนจะบอกว่าอย่าเพิ่งไป ก่อนที่มือจะตกลงข้างตัวอย่างหมดหวัง ใจคิดว่าไม่น่าเอาเรื่องอาการแปลกๆของเธอไปปรึกษากับเพื่อนสาวอีกสองคนเลย โดยเฉพาะกับสเตลลา
     
                ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตเงยขึ้นมองนักดาบหนุ่มร่างสูงข้างตัว ดวงตาสีฟ้าเข้มคูสวยของเขาที่สบกลับมาทำให้เจ้าหล่อนต้องรีบหลบตา ที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้สาเหตุ เรคส์ขยับยิ้มบางให้หล่อนเหมือนกับทุกที มือใหญ่เอื้อมมาหาหล่อน
     
    จะทำให้เธอลำบากใจรึเปล่า ถ้าพี่บอกว่าอยากให้เธอไปที่ที่หนึ่งด้วยกัน” เขาถามหล่อนอย่างสุภาพเช่นเคย แต่ก็เช่นเดียวกับในระยะหลังๆมานี่ ที่เขามักจะไม่ค่อยได้รับคำตอบใดๆจากสาวน้อยคนนี้
     
    แคลร์...” เขาเรียกชื่อเธอเสียงหวานอย่างที่เคยได้ยินในความฝัน ดวงตาคู่สวยช้อนมองด้วยความตัดพ้อ ดวงตาสีน้ำตาลของเธอหลุบลงอย่างหวั่นกลัวในความรู้สึกบางอย่างภายในตัวที่เธอเองก็ไม่รู้จัก
     
    ถ้าไปแล้ว จะปล่อยแคลร์ไปใช่ไหมคะ” เธอถามเสียงหวานเบา รู้สึกเหมือนดวงตากระตุก แต่ทว่าก็ยังแย้มยิ้มให้สาวน้อยข้างตัว
     
    ทันทีที่เราคุยกันเสร็จ พี่จะปล่อยแคลร์ไป” เขาเอ่ยตอบเสียงสุภาพ ก่อนจะคว้าเอาข้อมือบางแล้วจูงให้เดินตามไปด้วยกันอย่างช้าๆ
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    สเตลลา” น้ำเสียงหวานของหญิงสาวร้องเรียกเพื่อนสาวที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ
     
    สเตลลา จะดีเหรอ” ลองอีกครั้ง แต่คราวนี้เพิ่มคำถามเข้าไปด้วย ได้ผล เพื่อนสาวยอมตอบกลับมา
     
    ดีสิน่า แอนนา ฉันไม่ส่งแคลร์ไปเข้าปากเสือหรอก” ตอบง่ายๆ นักดาบสาวคิดอย่างปลงตก ไม่มีอะไรรับประกันซะหน่อย
     
                เมื่อรู้สึกว่าเพื่อนสาวไม่เห็นด้วยกับความคิด จึงจะหันกลับไปอธิบายความคิดของเธอให้เจ้าหล่อนฟัง เผื่อว่าจะเข้าใจอย่างเดียวกันขึ้นมาบ้าง ก็โดนทักขึ้นมาเสียก่อน
     
    อ้าว สเตลลา แอนนา” น้ำเสียงห้าวคุ้นหูดังขึ้นมาพร้อมการปรากฏร่างสูงของหนุ่มน้อยนักฆ่า ดวงตาสีม่วงกวาดมองไปรอบๆแล้วไม่เห็นบุคคลที่น่าจะอยู่ด้วยจึงเอ่ยถาม
     
    แล้วแคลร์ล่ะ” ดวงตาสีเงินและทองสบกันด้วยแววบางอย่าง ก่อนที่สเตลลาจะตัดสินใจ
     
    เคเรส พวกฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษานายหน่อย อยากให้นายตอบตามความเป็นจริง” หัวหน้าชั้นปีสาวพูดเสียงเรียบ ดวงตาสีม่วงของนักฆ่าหนุ่มสบมองยังสองสาว ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ขยายความต่อ
     
    เรื่องของ... แคลร์น่ะ” แอนนาลองเอ่ยหยั่งเชิง เคเรสตีสีหน้าเคร่งขึ้นทันที เป็นอันว่ารู้เรื่อง
     
    พูดตรงนี้ไม่ดี ลองเป็นที่ห้องประชุมของพวกหัวหน้าชั้นปีได้ไหม” น้ำเสียงของนักฆ่าหนุ่มที่ทำเป็นเล่นตลอดเปลี่ยนโทนให้จริงจังขึ้น เช่นเดียวกับแววตา ก่อนจะรีบอธิบายเพิ่ม
     
    ห้องฉันไม่สะดวก ห้องพวกเธอก็ดูไม่ดี แถมเรื่องนี้จะให้ใครรู้ก็ไม่ได้” สองสาวมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา ก่อนที่ทั้งคู่จะพยักหน้าพร้อมกัน เป็นอันว่าตกลง
     
    เตรียมคำถามไว้ ฉันจะตอบให้เฉพาะเรื่องที่ตอบได้ เวลาไม่มีแล้ว ถ้าเกินสองทุ่ม พวกผู้คุมกฎจะออกเดินตรวจ แล้วถ้ามาเจอพวกเราอยู่ด้วยกันล่ะคงมีเรื่อง” เขาอธิบายอย่างรวดเร็วและจริงจัง ดวงตาสีม่วงเคร่งเป็นพิเศษเมื่อเริ่มจะสะกิดว่าเพื่อนสาวทั้งสองอาจจะรู้อะไรมากกว่าที่คิด ดวงตาสีเงินและสีทองสบกันอีกครั้ง นักฆ่าคนนี้ดูเหมือนว่าจะรู้ระบบของที่นี่เป็นอย่างดีกว่าที่คิด
     
    นายพูดเหมือนรู้ทุกอย่างดีไปหมดทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไร” สเตลลาถามหยั่งเชิง ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายลึกลับล้อแสงดาวของยามรัตติกาล ที่ขับให้นักฆ่าหนุ่มดูอันตรายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
     
    แล้วพวกเธอคิดว่าไงล่ะ” คำตอบที่ทำให้ทั้งสองสาวขนลุกซู่ รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไปถนัดที่มาถามนักฆ่าหนุ่มคนนี้
     
    เอ้า สาวๆ เชิญนำไปเลย” นักฆ่าหนุ่มขยับยิ้มพรายขณะค้อมตัวลงแล้วผายมือออก แม่มดและนักดาบสาวหัวหน้าชั้นปีแอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่านักฆ่าหนุ่มคนนี้คงไม่ได้เอาแต่เล่นอย่างเดียวเสียแล้ว
     
                ขบวนสองสาวกับหนึ่งหนุ่มเคลื่อนตัวมุ่งไปยังห้องประชุมหัวหน้าชั้นปีอย่างเงียบกริบ ทั้งๆที่บรรยากาศดูสงบ แต่กลับรู้สึกอันตราย บางที่พวกเธออาจคิดผิดที่คิดจะมาหลอกถามข้อมูลจากนักฆ่าหนุ่มคนนี้
     
    จะว่าไปแล้ว...” เขาเป็นคนแรกที่พูดทำลายความเงียบสงบอันน่าอึดอัด ท่าทีของเขาดูสบายๆอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่พวกเธออึดอัดจนอยากจะเป็นบ้า
     
    หัวหน้าชั้นปีอย่างพวกเธอมาเดินร่อนอะไรในเวลาแบบนี้” สองสาวหันมองหน้ากันอีกครั้ง บรรยากาศไม่เหมือนกับบรรยากาศที่เคยพูดคุยกับนักฆ่าหนุ่ม
     
    ฉันไม่ต้องการคำโกหกนะสาวๆ บอกไว้ก่อน” เขาเสริมคำขึ้นเมื่อเห็นว่ายังไม่ได้รับคำตอบ
     
    ...” แอนนากลืนน้ำลาย เหงื่อกาฬไหลอย่างห้ามไม่อยู่
     
    พวกเราจะคุยกันเมื่อถึงห้องประชุมไม่ใช่เหรอ” สเตลลาตอบกลับไปด้วยความสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ แอนนาแอบสูดหายใจลึก บางทีอาจจะเป็นเธอเองที่ทำตัวเป็นคนธรรมดาเกินไป
     
                พวกเขาเคลื่อนตัวมาถึงหน้าห้องประชุมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ บานประตูไม้สองบานธรรมดาที่ไร้การสลักเสลาใดๆ อาจจะเป็นเพราะไร้งบประมาณหลังจากการทำพังไปจนนับครั้งไม่ได้ ที่จับทองเหลืองที่หมองจนน่าสมเพชกำลังสะท้อนสีหน้าหวาดหวั่นของแอนนาเอาไว้ จนคนขู่รู้สึกผิด แต่ก็ยังรักษาสีหน้านิ่งไว้อย่างเป็นปกติ ทั้งสามเคลื่อนตัวเข้าไปในห้องประชุมอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่สเตลลาจะปิดบานประตูไม้ลง
     
                เคเรสทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมสีม่วงหนึ่งในสามตัวที่มีในห้องประชุมนี้อย่างวางมาด ดวงตาสีม่วงส่องประกายวิบวับขณะทอดสายตามองผู้มีสิทธิในห้องประชุมนี้ทั้งสอง
     
    เอาล่ะ สาวๆ ว่ามา” นักฆ่าหนุ่มผายมือออกเชื้อเชิญ สองสาวมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองสาวจะนั่งลงลงบนเก้าอี้นวมที่เหลืออยู่คนละตัว สเตลลากลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
     
    ประเด็นหลักก่อนแล้วกัน เคล แคลร์ เรคส์ สามคนนี้มีปัญหาอะไรกัน” ตรงประเด็นไม่มีอ้อมค้อม สมกับที่เป็นสาวมั่นแห่งป้อมอัศวินปีหนึ่ง ดวงตาสีเงินของแอนนาเหลือบมองเพื่อนสาวอย่างทึ่งๆ
     
    เคลมีปัญหากับเรคส์นิดหน่อย เรื่องแคลร์ แล้วเรคส์เองก็มีปัญหากับแคลร์จนทำให้เข้าหน้ากันไม่ติด แล้วก็กลายเป็นว่าเข้าหน้าเคลไม่ติดไปด้วย เพราะคอยหลบหน้าเรคส์ แล้วเรคส์ก็หลบหน้าเคล พวกเธอไม่รู้หรอกว่าเวลาเคลจะเอาจริงมันน่ากลัวแค่ไหน” ตอบตรงๆดี ตรงประเด็นด้วย แต่ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่าง ผู้ฟังทั้งสองขมวดคิ้ว นี่ก็แทบไม่ต่างจากที่พวกเธอรู้เลยซักนิด
     
    ไม่ครอบคลุม ตอบใหม่” น้ำเสียงเป็นเชิงออกคำสั่งอย่างเคยชิน เคเรสกระตุกยิ้ม พอเข้าอาณาเขตตัวเองก็เลยมีกำลังใจสินะ
     
    ตอบไม่ได้”
     
                ดวงตาสีทองของแม่มดสาวเรืองขึ้นในทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ไม่ใช่คำตอบ เอาล่ะ งานเข้าแล้ว
     
    ที่ฉันตอบได้จะตอบให้ ที่ฉันตอบไม่ได้ ฉันก็ไม่ตอบ มันผิดตรงไหน” นักฆ่าหนุ่มย้อนคำน้ำเสียงเรียบ
     
                สองสาวหัวหน้าชั้นปีสะอึก เขาพูดถูก สิ่งที่ตอบไม่ได้ ก็ไม่ตอบ เขาไม่ผิด แต่ว่า...
     
    ถ้าไม่บอกสิ่งที่เป็นตัวปัญหา แล้วพวกเราจะช่วยแก้ปัญหาได้ยังไง” แอนนาถามกลับอย่างมีเหตุผล คิ้วเรียวเลิกขึ้น อื้ม เลือกคำถามได้ถูก
     
    ก็ปล่อยมันไป” แต่เขาจะตอบแบบนี้ ใครมีปัญหาอะไรรึเปล่า
     
                สองสาวฉุนกึก จะบอกว่าให้พวกเธอปล่อยแคลร์ไปอย่างนี้น่ะเหรอ พูดอะไรบ้าๆ สเตลลาทำท่าจะขึ้นเสียงใส่ แต่นักฆ่าหนุ่มขัดขึ้นกลางลำมาเสียก่อน
     
    ไม่ต้องท้วงอะไรทั้งนั้น ฉันถามจริงๆ ระหว่างฉันกับพวกเธอ ใครรู้จักพวกนั้นมานานกว่ากัน” คราวนี้ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เคเรสพูดถูก พวกเขารู้จักกันมาก่อนหน้าที่จะเข้าโรงเรียน แล้วต่อให้พวกเธอใช้เวลาร่วมกับแคลร์ทั้งวันทั้งคืน พวกเธอก็ไม่มั่นใจว่าจะสู้เคเรสได้
     
    ฟัง แล้วคิด สาวๆ ฉันรู้จักพวกมันมานานมาก แล้วคิดเหรอว่าฉันอยากจะอยู่ในบรรยากาศแบบนี้” เขาหยุดคำ ทำหน้าเมื่อยเมื่อนึกถึงสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่ “ฉันมีหน้าที่ช่วยพวกมันในแบบของฉัน พวกเธอเองก็อยากช่วยในแบบของเธอ แต่การช่วยเหลือของพวกเธอมันจำเป็นที่จะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของพวกมันทั้งหมด แล้วฉันเป็นเพื่อนพวกมัน จะถูกเหรอถ้าฉันจะเอาเรื่องพรรค์นั้นมาจาระไนให้พวกเธอฟัง” หัวหน้าชั้นปีสาวทั้งสองกำหมัดแน่น ใช่ เขาพูดถูกทุกประการ
     
    พวกเธออยากช่วย ฉันรู้ ฉันเข้าใจ แคลร์มันดูน่าสงสาร แต่ปัญหานี่เป็นเรื่องส่วนตัวของแคลร์ เป็นเรื่องระหว่างฝ... เคล แคลร์ แล้วก็เรคส์ พวกเธอจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงมันไม่ดีหรอก” เคเรสแทบจะกัดลิ้นตัวเอง เกือบจะหลุดปากพูดว่าฝาแฝดไปแล้วมั้ยล่ะ
     
                หัวหน้าชั้นปีสาวทั้งสองจนด้วยคำพูด เหตุผลของเขาถูกต้อง ตามหลักการความเป็นจริง การจะยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของชาวบ้านมันไม่ใช่วิสัยของอัศวิน
     
    แต่ว่า... เรามีสิทธิ์ที่จะรับรู้ปัญหาของเพื่อนของเราไม่ใช่เหรอ” สเตลลายังไม่ยอมแพ้ ดวงตาสีม่วงของนักฆ่าหนุ่มเปล่งประกายขึ้น
     
    ไม่มีสิทธิ์” คำตอบเสียงเด็ดขาด “เด็ดขาด” ดวงตาสีม่วงส่องประกายมั่นใจ
     
    สาวๆ ฉันถามเธอหน่อย สมมติว่าเธอมีปัญหา แล้วเรื่องนั้นเธอไม่อยากจะบอกใคร เธอจะรู้สึกยังไงถ้าปัญหานั้นถูกนำไปบอกต่อโดยที่เธอไม่ต้องการ” สเตลลาสะอึก เขากำลังหาว่าเธอสอด
     
    ถ้าพวกเธออยากช่วย สาวๆ ฉันอยากจะขอให้พวกเธอช่วยจับตาดูแคลร์ไว้หน่อย” เขาเลื่อนมือมาประสานไว้ที่หน้าตักราวกับกำลังถือไพ่เหนือกว่า คำขอให้ช่วยของเขานั้นถูกขอด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แต่ทว่าจริงจัง ดวงตาสีม่วงของนักฆ่าหนุ่มกวาดมองไปยังหัวหน้าชั้นปีสาวทั้งสองอย่างเชื่องช้า ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
     
    รับปากฉันสิ ช่วยจับตาดูแคลร์ไว้ อย่าให้มันหายไปไหนคนเดียว ถ้าเกิดอะไรผิดปกติ ไม่ชอบมาพากลให้รีบมาบอกพวกฉัน จะฉัน จะเคล หรือจะเรคส์ก็ได้ ไม่ต้องสนใจว่าปัญหาของพวกมันจะเป็นยังไง แค่มาบอก แค่นี้ พวกเธอทำได้อยู่แล้ว” น้ำเสียงของนักฆ่าหนุ่มเน้นหนักขึ้นเพื่อพวกเธอยังไม่ตอบรับ หัวหน้าชั้นปีสาวทั้งสองพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง แคลร์มีอะไรผิดปกติรึไง
     
    เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” เคเรสตัดบทเปลี่ยนบรรยากาศอึมครึมที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาเองด้วยการลุกขึ้นยืนแล้วขยับยิ้มอย่างที่เคยยิ้ม รอยยิ้มของนักฆ่าอารมณ์ดีแห่งป้อมอัศวิน
     
    ไปนอนเถอะสาวๆ ถ้าพวกผู้คุมกฎเริ่มเดินตรวจแล้วจะซวยกันหมด” ว่าแล้วก็ผลักบานประตูแล้วก้าวออกไปจากห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่น ทั้งแม่มดและนักดาบสาวไว้กับความเงียบงัน
     
                เสียงฝีเท้าดังก้องสะท้อนกำแพงหินภายในป้อมอัศวิน เด็กหนุ่มนักฆ่าเอามือระกำแพงเย็นหินแล้วในที่สุดก็หยุดมือแล้วเอนตัวพิงกำแพงนั่น มือที่เคยระกำแพงเล่นก็กลับมาก่ายหน้าผากอย่างเหนื่อยใจ
     
                ให้ตายเถอะน่า การเก๊กหน้าจริงจังนี่มันเมื่อยจริงๆสิน่า เรคส์ ฉันว่าจะมาเคลียร์กับแก กลายเป็นว่าต้องมานั่งจูนคลื่นกับสาวๆแทน คอยดูเถอะต่อไปตาแกแน่ เรคส์

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                ดาดฟ้าป้อมอัศวินนั้นมือสนิท ยิ่งขึ้นมาด้วย ทางลับ’ ของเรคส์ด้วยแล้ว มันเลยยิ่งทั้งมืด ทั้งเงียบ ทั้งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
     
                เด็กสาวตัวเล็กเดินกอดแขนเด็กหนุ่มตัวโตเสียแน่น ทั้งๆที่ตอนแรกหล่อนคิดว่าจะไม่แสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นแท้ๆ
     
                เด็กหนุ่มผมทองแอบหัวเราะในใจเบาๆ แคลร์ก็ยังเป็นแคลร์อยู่ดี ไม่ว่าจะพยายามทำตัวเข้มแข็งยังไง สุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
     
                สาวน้อยร่างเล็กค่อยๆคลายมือที่กอดแขนเด็กหนุ่มตัวสูงไว้เสียแน่นออกด้วยความกระดาก ก่อนจะขยับตัวออกห่างจากเขาออกไประยะหนึ่ง
     
                เขาไม่ว่าอะไร เพียงแต่จับจ้องไปยังความมืดบริเวณที่เด็กสาวน่าจะยืนอยู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา สายลมแรงยามค่ำคืนกำลังกระหน่ำพัด มือใหญ่ยกขึ้นรวบผมสีทองอ่อนยาวสลวยของตนให้เข้าที่ ก่อนจะก้าวถอยหลังจากจุดยืนอยู่อีกสองสามก้าวเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างเขากับเธอให้มากขึ้น เพื่อว่าหล่อนอาจจะสบายใจขึ้น
     
    แคลร์” เขาร้องเรียกหล่อนเมื่อยังไม่มีใครยอมพูดเสียที
     
    อย่ามัวแต่ก้มหน้าสิ เงยหน้าขึ้นพูดกับพี่หน่อย” ไร้ซึ่งสัญญาณตอบรับ เขาถอนหายใจอีกครั้ง
     
    อย่างน้อย ถ้าไม่อยากพูด ก็เงยหน้าขึ้นมองพี่สักนิดก็ยังดี” ดูเหมือนนั่นจะเป็นเรื่องที่ยากพอๆกับคำขอแรก เจ้าหล่อนยอมปฏิบัติตามคำขอของเขาเลยสักนิด ลองดูสักตั้งแล้วกัน
     
    แคลร์” เขาเรียกหล่อนอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเดิมที่เคยเรียก
     
    พี่อยากจะรู้ ทำไมแคลร์ถึงหลบหน้าพี่” คำถามเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงระคนตัดพ้อ ดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวเหลือบมองร่างสูงที่อยู่ห่างออกไป แต่ในความมืดแบบนี้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ถนัดนัก
     
    แคลร์ ขอร้อง ตอบพี่สักคำ” คำขอร้องเสียงแผ่ว ผู้ถูกขอร้องใจหาย ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว
     
    ...” คำตอบกลับไปเสียงแผ่วเสียงจนสายลมแรงบนดาดฟ้าแห่งนี้หอบเอาไปจนหมด สาวน้อยร่างเล็กกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาจะโกรธไหม
     
    หือ” เขายังคงรอคอยคำตอบอย่างใจเย็น แคลร์สูดหายใจลึก
     
    ไม่รู้ค่ะ” คำตอบที่ได้รับทำเอาเขานิ่งค้าง ไม่รู้... งั้นเหรอ
     
    แคลร์แค่... กลัว เท่านั้นเองค่ะ” กลัวงั้นหรือ กลัวอะไรล่ะ
     
                เกิดความเงียบขึ้นมาท่ามกลางพวกเขา ไม่มีใครเอ่ยอะไรแก่กัน สาวน้อยร่างเล็กห่อตัวก้มหน้าหลบสายตา นึกอยากจะถอยออกไปให้พ้นระยะสายตาของเขา แต่ก็ไม่อยากจะยืนอยู่ห่างไปกว่านี้ หล่อนกลัว แต่กลัวอะไรล่ะ แม้แต่หล่อนเองยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เลยด้วยซ้ำ
     
    กลัว... งั้นหรือ” ถามย้ำด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ดวงตาสีน้ำตาลหลุบแน่น
     
    ไม่รู้ค่ะ... แม้แต่แคลร์เอง ยังไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นเบาหวิว แหลมสูงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
     
                เขาทอดสายตัดพ้อแม่สาวน้อยตรงหน้าแทนคำพูดใดๆ แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น เม้มปากแน่น ทรมาน แค่คำว่ากลัวของหล่อนคำเดียวก็ทำเอาเขาทรมานได้ถึงขนาดนี้
     
                เขาสูดลมหายใจลึก เพื่อบรรเทาความรู้สึกกลวงว่างที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ อึดอัด อาจจะเพราะว่าความมืดของยามค่ำคืน เลยทำให้เขามีความรู้สึกว่า บริเวณที่เขากำลังยืนอยู่นั้นอึดอัด เขาไม่คิดจะถามต่อ เมื่อเจ้าหล่อนเองก็ไม่อยากจะตอบ
     
    ถ้าความรู้สึกของพี่... ทำให้แคลร์รู้สึกลำบากใจล่ะก็...” เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างยากเย็น น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นทั้งเบาหวิว ทั้งแหบพร่า ชวนให้รู้สึกใจหาย ดวงตาสีฟ้าเข้มทอดมองร่างบางที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดไม่ยอมแม้แต่จะสบตาเขา เขาเม้มปากแน่น ดวงตาหลุบลงช้า ราวกับนั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
     
    ลืมมัน... ซะเถอะ” ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจ ทั้งๆที่มันเป็นเพียงคำพูดแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน คนฟังมองคนพูดตาค้าง ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยสดใส บัดนี้ไหวระริก ร้อนผ่าว หัวใจกรีดร้องว่า ไม่!! อย่างสุดกำลัง ทว่า... กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นเข้าหากัน ร่างกายสั่นระรัว แขนทั้งสองข้างกอดตัวเองแน่น ด้วยแรงลมที่มาปะทะ และด้วยความกลัวว่าตัวเองอาจจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดท่าในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ร่างบางมองร่างสูงที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ในขณะที่ตัวเองกำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด เขาดูว่างเปล่า และเจ็บปวด แต่เธอเองนั้นไม่รู้เลย ว่าสายตาที่เธอใช้มองเขานั้นมีร่องรอยของการตัดพ้อ
     
    เรารีบกลับลงไปกันเถอะ เดี๋ยวพวกสเตลลาจะเป็นห่วง แล้วฉันก็มีเรื่องจะกลับไปพูดกับพวกเคลด้วย” เขาหลุบตาเพียงครั้งเดียว ก็กลับมาน้ำเสียงปกติพูดกับเธอได้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอ แต่เธอรู้ดี มันไม่เหมือนเดิม หัวใจเธอร้องบอก เขาไม่มีรอยยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงนุ่มนวล เขาไม่ได้ยื่นมือมายังเธอดังเช่นทุกครั้ง สรรพนามการเรียกตัวเองก็เปลี่ยนไป ไม่ได้ใช้ พี่ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เป็นคำว่า ฉัน ด้วยน้ำเสียงเรียบที่เขาไม่ใช้กับเธอ เขาไม่ แม้แต่จะยิ้ม หรือใช้ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่สวยของเขาทอดมองเธออย่างตั้งใจเหมือนดังทุกครั้งด้วยซ้ำ เขากำลังทำตามคำพูดของเขาเอง ลืม
     
                เขาไม่รอปฏิกิริยาตอบรับของเธอด้วยซ้ำ ร่างสูงของเจ้าของฉายานักดาบหนุ่มหมุนตัวกลับไปยังบานประตูเหล็กหนา เตรียมกลับลงไปสู่ห้องพักของตัวเอง หัวใจของเธอกำลังกรีดร้อง แต่ มันกำลังกรีดร้องว่าอะไรกัน มือเลื่อนขึ้นมาเกาะกุมบริเวณหัวใจที่กำลังปวดแปลบ
     
    ...เดี๋ยวก่อน...” ร้องห้ามเสียงเบา เธอก้มหน้าลงกับพื้น ทรมาน เหมือนหัวใจกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
     
                เรคส์ชะงักไป เหมือนกับกำลังลังเลอะไรสักอย่าง ร่างสูงหลับตาแน่น เขากำลังชั่งน้ำหนักของสิ่งสองสิ่งอยู่ในใจ
     
                เธอใจชื้นขึ้น เมื่อเขายังได้ยินคำพูดของเธอ อยากจะเดินเข้าไปหา อยากจะให้เขากลับมายิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม
     
    มันไม่ใช่แบบนั้น” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นพร่า แต่ทว่า มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
     
                แล้วมันแบบไหนกันล่ะ เรคส์กำหมัดแน่น เขากำลังรออะไร เขากำลังหวังอะไร ยังจะเอาอะไรอีก ลืมมันซะ ทุกอย่างมันจะทำให้เคลและแคลร์ลำบากใจ
     
    ...อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ” ดวงตาคู่หวานเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเขาไม่ยอมแม้แต่หันมอง น้ำเสียงสั่นพร่าอย่างห้ามไม่อยู่ เจ็บปวด ทรมาน ต้องทำอย่างไร เธอควรจะต้องทำอย่างไร
     
                เขากัดฟันกรอด พอกันที เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับไปหาร่างบางของสาวน้อยที่กำลังห้ามเสียงสะอึกสะอื้น ก่อนจะรั้งร่างบางของสาวน้อยเข้ามาในอ้อมแขน
     
    พอกันที อย่าทำแบบนี้ อย่าร้องไห้ พี่ไม่ได้อยากให้เธอร้องไห้แบบนี้” เขาซบหน้าลงกับไหล่บาง พึมพำเสียงเบาปลอบประโลม
     
                เธอร้องไห้ เธอทำได้เพียงร้องไห้เท่านั้นเอง สุดท้ายแล้ว เธอก็เป็นแค่เด็ก ที่ทำได้เพียงร้องไห้เรียกร้องความสนใจ แม้แต่จะคิดด้วยตัวเอง ถามสิ่งที่อยู่ภายในใจของตัวเอง เธอยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
     
    พูดกับพี่สิ เธอคิดอะไร เธอรู้สึกยังไง อย่าทำแบบนี้ อย่าร้องไห้แบบนี้เลย” มือใหญ่ลูบผมร่างบางในอ้อมแขน เอ่ยปลอบน้ำเสียงนุ่มหู อย่าทำแบบนี้เลย รู้ไหม มันทรมาน
     
    ไม่รู้ค่ะ...” เธอระล่ำระลัก กลัวว่าเขาจะไม่สนใจเธออีก “ไม่รู้เลย พอเห็นเรคส์กำลังจะไป...” เธอเอามือปิดปาก ราวกับคำพูดต่อไปนั้นยากเหลือเกินที่จะเอ่ยออกมา มือใหญ่เลยลงมาลูบหลังปลอบประโลม
     
    ... มันเจ็บไปหมด... มันทรมาน... ข้างในมันร้องว่าอย่าไป แต่แคลร์พูดไม่ออก” ร่างบางระล่ำระลักออกมารวดเดียวหมดปนเสียงสะอื้น อ้อมแขนแกร่งรัดร่างบางแน่นขึ้นเล็กน้อย
     
    อย่าไปเลยนะคะ... อย่าทิ้งแคลร์” หล่อนโอบรัดเขาที่กำลังกอดปลอบประโลมตัวเองไว้แน่น ราวกับกลัวที่จะสูญเสีย
     
    แคลร์กลัว... อย่าทำแบบนั้นอีก... ยิ้มให้แคลร์นะคะ” เขาคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย ให้แคลร์ได้พักหายใจ ดวงตาสีฟ้าเข้มทอดมองแม่สาวน้อยที่กำลังสะอึกสะอื้นอย่างห้ามไม่อยู่ มือเลื่อนขึ้นปาดน้ำตาอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม ก่อนจะบรรจงประทับจุมพิตลงที่หน้าผากมน
     
    ไม่ทิ้งหรอก” เขาขยับยิ้มอ่อนโยนให้หล่อนเหมือนกับทุกครั้ง “พี่สัญญา จะไม่ทำอีก จะไม่ทิ้งแคลร์ แน่นอน”

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    เคเรสนายออกไปก่อนเลย” เขาเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาสีฟ้าวาววับขณะจ้องมองคู่กรณีตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง พ่อหนุ่มนักฆ่ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือทั้งสองข้างยกขึ้นเหนือเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนจะหมุนตัวออกไปง่ายๆ
     
                ดวงตาสีฟ้าของเด็กหนุ่มเจ้าของฉายานักเดินทางกวาดมองคู่กรณีอีกสองคนที่เหลือ ที่เขาเพิ่งตัดสินใจไปลากตัวขึ้นมาตัดสินคดีได้ในวันนี้ ด้วยความร่วมมือของเจ้าหนุ่มนักฆ่าที่เพิ่งหมุนตัวออกไปนั่นไง ฉะนั้น ไอ้การแสดงท่าทียอมจำนนของหมอนั่นจึงเป็นการล้อเลียนเขาอย่างเห็นได้ชัด และเขาจะไปชำระความกับมันทีหลัง
     
                หลังจากที่โดนเคเรสเทศนาสั่งสอนไปเมื่อคืนนี้ และนอนคิดอีกค่อนคืน เขาได้ตัดสินใจที่จะไปลากตัวผู้ต้องหาขึ้นมาสอบสวนให้เป็นเรื่องเป็นราวให้สิ้นเรื่องไป
     
                เขากับเคเรสจัดการต้อนเหยื่อ คือไอ้เจ้าเรคส์ กับแคลร์ให้จนมุมไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย หลังจากที่สาวๆจัดการประชุมเกี่ยวกับงานหมากกระดานเกียรติยศเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะจัดการรวบหัวรวบหางลากมันขึ้นมาถึงนี่
     
    เอาล่ะ เรคส์ นายทีหลัง ออกไปข้างนอก ฉันจะคุยกับแคลร์ก่อน” เขาชี้นิ้วสั่งเพื่อนหนุ่มด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ บ่งบอกว่า เขาเอาจริง และถ้าคำสั่งไม่ถูกปฏิบัติตามในสามวินาที เป็นเรื่อง ซึ่ง แม้ไอ้ตาสีฟ้าๆของมันจะทอดมองแคลร์ที่ซ่อนแววแปลกๆเอาไว้นิดหน่อย เขาก็บอกตัวเองให้เย็นเอาไว้ และตบเท้ารอให้มันจัดการอัปเปหิตัวเองออกไปจากห้องนอนของพวกเขาทั้งสามซะ เพื่อจัดการทำให้ห้องนี้กลายเป็นห้องปิด และจะได้ทำการสอบสวนน้องสาวฝาแฝดของเขาเป็นการส่วนตัว
     
                ดวงตาสีน้ำตาลคู่หวานมองมายังเขาอย่างไม่ค่อยวางใจนัก ให้ตายเถอะ เขาเป็นพี่ชายฝาแฝดของแคลร์นะ เขาไปทำอะไรกับเจ้าหล่อนให้เจ้าหล่อนกลัวรึไง เปล่าเสียหน่อย ไอ้ที่เขาทำน่ะ มันกับเรคส์คนเดียวต่างหาก แล้วแม่สาวน้อยของเขาเกิดกลัวอะไรเขาขึ้นมา นึกอย่างวุ่นวายใจ จนต้องมือขยี้ผมดับเครียด ก่อนจะเลยไปนวดปวดตาและขมับเพื่อปรับอารมณ์เสียใหม่ทั้งหมด
     
    แคลร์ พี่ไม่ใช่ยักษ์มารที่ไหน พวกเราเป็นฝาแฝดกันนะ อย่าทำแบบนั้นสิ พี่แค่อยากคุยอะไรกับเธอนิดหน่อยเท่านั้น” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มบางเพื่อทำให้เจ้าหล่อนอุ่นใจ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้ผล เขายื่นมือออกไปหาเจ้าหล่อน ซึ่งเจ้าหล่อนก็ยื่นมือออกมาจับกับเขา แม้จะอย่างกล้าๆกลัวก็เถอะ
     
                เขาจัดการรวบตัวเจ้าหล่อนมานั่งตักเหมือนกับที่ทุกครั้งพวกเขานั่งคุยกันสองคน เขาโอบรอบเอวเจ้าหล่อนไว้อย่างหลวมๆ ก่อนจะเริ่มคุยอะไรสัพเพเหระไปเป็นการปูพื้นก่อน
     
    จะว่าไปแล้ว พวกเราไม่ได้มานั่งคุยกันแบบนี้นานแล้วนะ” เขาเอ่ยถามเสียงเบา รอยยิ้มบางยังประดับอยู่ที่มุมปากเหมือนทุกครั้ง แคลร์แค่พยักหน้าน้อยๆรับ ไม่ได้เอ่ยตอบรับใดๆ เขาถอนหายใจ
     
    แคลร์ พี่เรียกน้องมานี่เพื่อคุยกับน้องนะ ถ้าน้องไม่พูดซักคำ การคุยกันครั้งนี้ก็ไม่มีวันจบลงหรอก”
     
    ก็น้อง...” แคลร์รีบสวนคำขึ้นมา เคลพยักหน้ารับตัดคำ
     
    เอาล่ะ อย่างน้อยก็ยอมพูดแล้ว ไหนเรามาคุยกันหน่อยดีกว่า คิดว่าเป็นยังไง เอดินเบิร์ก” เขารวบรัดตัดคำเข้าคำถาม ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเล่นตัวไม่ยอมพูดอีก แคลร์แอบถอนหายใจ พี่ไม่ได้ซักเรื่องเธอกับเรคส์เสียหน่อย แม่สาวน้อยในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มแย้มยิ้มหวาน แล้วเริ่มออกปากพูดเสียงเจื้อยแจ้ว
     
                เขาพยักหน้ารับเป็นจังหวะ ซึ่งก็เป็นเหมือนทุกครั้งเวลาที่พวกเธอสองคนฝาแฝดคุยกัน พี่จะเป็นคนฟัง แล้วเธอจะเป็นคนพูดเสมอ เธอจึงไม่ได้สะกิดใจใดๆเลยแม้แต่น้อย
     
    ...แล้วก็นะ แอนนาน่ะ น่ารักเป็นบ้าเลย พี่รู้มั้ย เห็นแอนนาอย่างงั้นน่ะ แอนนาน่ะ ทำอาหารเก่งด้วยนะ เขาเคยทำคุกกี้มาแบ่งให้น้องกับสเตลลากิน อร่อยมากเลยล่ะ น้องว่าจะเก็บไว้ให้พี่กินด้วย แต่เพราะมันอร่อยมาก ก็เลยเผลอกินหมด” เจ้าหล่อนเล่าอย่างออกรสออกชาติ คนฟังอมยิ้มไปพลาง พยักหน้ารับไปพลาง เมื่อเห็นได้จังหวะเหมาะ จึงวกเข้าเข้าประเด็นหลักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
     
    แล้วมีเรื่องอะไรกับเรคส์เหรอ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังมาตลอดหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินคำถาม เคลขยับอ้อมแขนเป็นการกระตุ้นให้ตอบ เขายังคงแย้มยิ้มอบอุ่นอยู่เลย
     
    ...อ...เอ๋ พี่... หมายความว่าอะไรน่ะ” พี่ชายฝาแฝดแย้มยิ้มรับคำถามย้อนแกล้งไม่รู้เรื่อง
     
    ก็หมายความตามที่ถาม น้องกับเรคส์มีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกพี่รึเปล่า” เขาถามยิ้มๆ แต่กลับทำให้หล่อนอึดอัด
     
    พ... พี่ไปเอามาจากไหนกันคะ” แม้น้องสาวฝาแฝดยังคงทำเป็นแกล้งไม่รู้เรื่อง แต่ไม่เนียนนัก เขายังคงแย้มยิ้มอยู่เหมือนเดิม แล้วรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น
     
    พี่รอฟังอยู่ พูดมาเถอะ”
     
                ทั้งๆที่ไม่ได้มีอาการใดๆเลยที่บ่งบอกว่าเคลกำลังกดดันเธอ แต่ทำไมถึงรู้สึกกดดันได้ขนาดนี้กันนะ
     
    พี่... จะไม่โกรธใช่มั้ยคะ” หล่อนถามเสียงแผ่วอย่างกล้าๆกลัวๆ เคลขยับยิ้มกว้างมากขึ้นอีก
     
    แล้วพี่จะโกรธแคลร์ทำไมล่ะ” ใช่ เขาจะไปโกรธแคลร์ทำไม ไอ้คนที่น่าโกรธน่ะ มันอีกคนต่างหาก
     
                แคลร์แอบถอนหายใจยาว แล้วเหลือบมองพี่ชายฝาแฝดอย่างไม่แน่ใจนัก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาช้าๆ
     
    คือว่า...” เขาพยักหน้ารับฟังคำพูดของน้องสาวฝาแฝดด้วยรอยยิ้มกว้าง
     
    ...........................
     
                เสียงถอนหายใจยาวดังมาจากหนึ่งในสองหนุ่มที่ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้องพักของตัวเอง คนหนึ่งยืนกอดอกพิงกำแพงมองเหตุการณ์อย่างสงบ ขณะที่อีกคนกำลังเดินวนไปวนมาราวกับกำลังรอคำตัดสินของตุลาการที่จะมาตัดสินชีวิตของตัวเองยังไงอย่างนั้น
     
    อยู่นิ่งๆสักแปปนึงมันจะตายมั้ย ไอ้งี่เง่า เคลมันไม่ทำอะไรแม่สาวน้อยสุดที่รักของมันหรอกน่า” เขาออกปากด่าเพื่อนหนุ่มออกมาในที่สุก หลังจากอดรนทนไม่ได้อีกต่อไปที่จะต้องมานั่งดูมันเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นแบบนี้ โดยที่ไม่ลืมเปลี่ยนสรรพนามการเรียกแคลร์ให้เหมาะกับฐานะของคนทั้งคู่ในตอนนี้
     
                ดวงตาสีฟ้าเข้มมองตามคนพูดอย่างไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรตอบ แต่ก็ขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย นักฆ่าหนุ่มไม่สนใจ ก่อนจะเริ่มสอบสวนขั้นต้นในแบบของตัวเองก่อนที่จะต้องส่งตัวผู้ต้องหาให้กับสารวัตรใหญ่ที่กำลังสอบสวนอีกหนึ่งจำเลยที่อยู่ในห้อง
     
    ว่าแต่แกเหอะ คิดเหรอว่าจะรอด แกใจตรงกับกับแคลร์มันก็ดี ฉันสนับสนุน แต่ไอ้เคลมันจะคิดเหมือนฉันเหรอวะ” ดวงตาสีฟ้าของเพื่อนหนุ่มเจ้าของฉายานักดาบหรี่มองเพื่อนหนุ่มนักฆ่าอย่างเอาเรื่อง เหมือนต้องการจะบอกว่า ปากแกมันอัปมงคล แต่เขาสนใจที่ไหนกัน ขืนมาสนใจพวกมันทั้งหมดทุกเรื่องมีหวังได้ประสาทเสียตาย คิดว่าเขาเป็นใครกัน เขาสามารถเอาตัวรอดจากความอารมณ์แปรปรวนของไอ้พวกนี้มาได้หลายปีดีดักด้วยฝีมือล้วนๆ แล้วกะอีแค่สายตาขุ่นเขียวของมันคิดเหรอว่าจะทำให้เขารู้สึกอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาไม่มีความผิดติดตัวอยู่เสียหน่อย ทำไมต้องไปกลัวมัน
     
                ยังไม่ทันสอบสวนได้ความอะไร ประตูห้องพักของพวกเขาก็เปิดผลัวะออกมา แคลร์เดินออกมาจากห้องโดยมีเคลคอยยืนส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้ยังทิศทางของเรคส์เป็นระยะๆ ผิดกับตัวแคลร์ที่เดินออกมายังเป็นปกติสุข เคลยืนพิงบานประตูแล้วชี้มือมายังเรคส์ ส่งสัญญาณเป็นการบอกว่า ตาแกแล้ว เข้ามาได้ เตรียมตัวตายเอาไว้เลย (ข้างหลังนี่เขาต่อให้เอง)
     
                เขาเหลือบตามองไปยัง แคลร์ เรคส์ และเคลสลับกันไปมา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขอให้อยู่รอดปลอดภัยวะเรคส์
     
                เรคส์เหลือบมองไปยังสาวน้อยเพียงหนึ่งเดียว สบตากันเพียงชั่วครู่ ที่แย้มยิ้มหวานบางๆกลับมาให้ ซึ่งแน่นอนว่า แม้จะเป็นอากัปกิริยาเพียงชั่วครู่ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของสารวัตรใหญ่ผู้กำลังควบคุมคดีนี้อยู่ไปได้ เคลจ้องเขม็งไปยังเจ้าเพื่อนหนุ่มผู้ต้องหาอันดับหนึ่งที่ส่งยิ้มบางกลับไปเช่นเดียวกัน ก่อนจะยอมเดินตรงมายังทิศทางของตัวเขา ดวงสีฟ้าของสารวัตรใหญ่จ้องเป๋งเป็นการตีตราลงโทษล่วงหน้าเอาไว้ก่อน เคลเบี่ยงทางหลบให้เรคส์สามารถเดินเข้าห้องไปได้ โดยไม่ลืมส่งสายขุ่นเขียวไปให้เป็นการเตือนอย่างโจ่งแจ้ง ก่อนที่บานประตู จะปิดลง

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                เขากำลังเดินไล่ตามไอ้หนึ่งในสองเพื่อนเอาแต่ใจนี่ให้ทัน ก่อนที่พวกมันจะทิ้งเขาไว้ข้างทางแล้วไปกัดกันเองในที่ลับตาแคลร์
     
                เขาถอนหายใจยาว ให้ตายเหอะ นี่มันกะจะไปแข่งเดินเร็วทีมชาติใช่มั้ย นี่แค่มาเดินเวรยามในงานหมากกระดานเกียรติยศธรรมดาพวกมันยังเขม่นกันแทบตาย แข่งกันเดินเร็วเป็นว่าเล่น
     
                พูดอีกที เป็นเคลคนเดียวมากกว่า ที่สร้างบรรยากาศความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัดกับเรคส์ เอาล่ะ พูดในแง่ดี อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทำสงครามเย็นกันแล้ว แต่ไอ้การออกอาการอย่างโจ่งแจ้งนี่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องดีขึ้นสักเท่าไร เพราะยังไงบรรยากาศมาคุในห้องพักของเขามันก็ยังไม่หายไปอยู่ดี
     
                เรคส์ดูเหมือนจะช็อกไปเล็กน้อย หลังจากถูกเคลสอบสวนซักไซ้ไล่เรียงเสร็จ แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไร แต่จากหน้าตา พฤติกรรมและรอยดาบสี่ห้ารอยในห้องพักแล้วทำให้เขาเดาได้ไม่ยาก มันคงถูกเคลสั่งห้ามเข้าใกล้พระน้องนางของมันในรัศมีสามเมตร เพราะมันไม่เคยเข้าใกล้แคลร์เกินกว่ารัศมีที่ว่าเลยตราบใดที่ยังอยู่ในสายตาของเคลแน่นอนว่าที่เรคส์ยอปฏิบัติตามมันคงจะไม่ใช่ด้วยคำขอร้อง แต่คงเป็น ด้วยกำลังเป็นแน่แท้
     
                เขาไม่รู้ว่าลับหลังเคล จะเป็นยังไง แต่อย่างไรก็ตาม แคลร์และเรคส์ก็ดูไม่ค่อยสะทกสะท้านอะไรเท่าไร ส่วนตัวแล้วเขาคิดว่าเคลรับรู้ในเหตุผล แต่มันยังไม่อยากยอมรับมากกว่า ซึ่ง จะยังไงก็ตามก็คงได้แต่รอเวลา
     
                และตอนนี้...
     
    แกจะมาเดินเวร หรือมาแข่งเดินเร็ว เคล” เขาถามเสียงเย็น ขณะกำลังพยายามไล่ตามความเร็วของไอ้เพื่อนรักนักเดินเร็วนี่ให้ทัน
     
                ซึ่ง คำตอบที่ได้กลับมาก็มีเพียงสายตาขุ่นเขียวฉบับประจำตัวของมันนั่นแหละ แต่ใครสนล่ะ หน้าที่เขาตอนนี้คือตามประกบไม่ให้มันก่อเรื่องต่างหาก
     
    แกนี่มันจริงๆเลยวุ้ย” เอาสบถเบากับตัวเองอย่างหัวเสีย เวลางานพวกมันยังมาปั้นหน้าเขม่นกันได้อีก เชื่อเขาเลย ก่อนจะยอมตัดใจ คอยเดินตามประกบเหมือนเดิม โดยมีเรคส์ยืนหัวเราะเบาๆรั้งท้าย
     
                ไอ้หมอนี่ก็อีกคน ไม่สะทกสะท้านอะไรกับเขาเลย รู้ทั้งรู้แท้ๆว่าประธานงานหมากกระดานเกียรติยศรอบนี้เป็นใคร และอาจจะสร้างผลกระทบอะไรตามมา ตอนนี้ก็คงเหลือเขา กับพวกพ่อทำงานกันอยู่แค่นี้
     
                ใช่เลย! พวกคุณคิดว่าใครกันล่ะที่จะมาเป็นประธานงานหมากกระดานเกียรติยศ ความจริงแล้วมันจะเป็นคิงคนไหนก็ได้ ต่อให้เป็นคิงโรเวนที่รับมือยากที่สุดในเอเดนก็เถอะ แต่มันต้องไม่ใช่คิงคาโล แห่ง คาโนวาล บุคคลต้องห้ามสำหรับครอบครัวเกรเดเวล และคิลมัส ฟีลมัส พ่อของเขา
     
                เขาไม่รู้สาเหตุ แต่พ่อแอนตี้เขาเอามากๆ ถึงดูเหมือนว่าคิงคาโลจะเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเองด้วยก็เถอะ แต่ปัจจุบัน แค่ชื่อยังห้ามพูดถึงเลย ซึ่ง พอเขาออกไปสังเกตการณ์ตรงบริเวณปะรำพิธีมาถึงได้พอเข้าใจในทันที ว่าทำไมถึงแอนตี้นัก
     
                หน้าของไอ้เพื่อนรักนักเดินเร็วที่กำลังเดินประชดเพื่อนของมันอยู่ตอนนี้น่ะ หน้าเหมือนคิงคาโล บุคคลต้องห้ามของพ่อกับบ้านเกรเดเวลไม่มีผิด และ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าพ่อต้องการจะสื่ออะไร
     
                สิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้คือทำยังไงก็ได้ให้ต้อนไอ้เพื่อนเวรคนนี้ให้ออกห่างจากบริเวณปะรำพิธีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โชคดีของชีวิตสองชั้น ที่พวกเขาได้มาเดินเวรในจุดที่ห่างไกลกับปะรำพิธีคนละโยชน์ และชั้นปีหนึ่งป้อมอัศวินยังไม่มีแข่งมากรุกในตอนนี้
     
                ส่วนแคลร์ ตอนนี้สาวๆกำลังประกบตัวอยู่ ซึ่งเขาเองก็หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นในวันแบบนี้ แม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีที่เงื่อนไขของเรื่องเลวร้ายมาปรากฏให้เห็นจนครบก็เถอะ
     
                เคลกับเรคส์รักษาระยะห่างของกันและกันไว้ โดยเขาต้องทำหน้าที่เป็นคนกลาง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนนึกเบื่อตัวเองอยุ่เหมือนกัน แต่ทำไงได้ มันเป็นเพื่อนนี่นา
     
                พวกเขากำลังเดินลาดตระเวนในบริเวณด้านหลังอาคารเรียน ซึ่ง แน่นอนว่าห่างไกลผู้คนสุดๆ จนถึงขนาดที่ว่าได้ยินเสียงโห่ร้องเป็นเพียงเสียงแว่วๆเท่านั้นเอง
     
    นึกอยากดูบ้างมั้ย” เขาถามเล่นๆพลางชี้มือไปยังฝั่งที่มาของเสียง ขณะมองหาที่นั่งอู้ แน่นอนว่า ต่อให้พวกมันบอกว่าอยากดู เขาก็ไม่มีวันพาเข้าไปใกล้ๆบริเวณงานหรอก
     
                ซึ่ง แน่นอนว่าในอารมณ์แบบนี้ เคลมันคงจะอยากเข้าไปใกล้ฝูงชนหรอก เขาถามกระตุ้นบรรยากาศเท่านั้น ไม่ได้หวังคำตอบอะไร
     
    ก็คิดอยู่” เคลตอบเรียบๆ ขณะทิ้งตัวนั่งลงอู้งานเดินเวรลงบนสนามหญ้าใกล้ๆ เล่นเอาเขาต้องเหลียวกลับมามองหน้ามันอีกรอบ
     
    แกป่วยรึเปล่าเคล” เคลถอนหายใจยาว แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้าง
     
    ได้ยินว่าคิงคาโลจะมา” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูเลื่อนลอย ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเหม่อไปยังทิศทางของเสียงโห่ร้อง “ฉันอยากรู้ว่าเขาจะเป็นคนยังไง เป็นเพื่อนสนิทกับท่านแม่จริงรึเปล่า แล้วทำไมถึงไม่ยอมมาเยี่ยมท่านแม่บ้าง” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ จะให้ตอบว่าไง เป็นคนที่หน้าตาเหมือนนายเปี๊ยบเลยล่ะ แต่ดูน้ำแข็งกว่าหน่อย งั้นเรอะ ขืนพูดไปคงได้ถูกพ่อจับคว้านท้อง
     
    ถามจริง เพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ” เขาถามย้ำเสียงหลงอย่างไม่เชื่อหู น้ำเสียงมันฟังดูลอยลมชอบกล
     
    ฉันแค่อยากรู้...” มันกำลังลอยไปไกลแล้ว คงคิดถึงน้าเฟริน เคยนอนแผ่ลงกับพื้นหญ้า ดวงตาสีฟ้ากระจ่างจับจ้องไปยังท้องฟ้ากว้างอย่างไร้จุดหมาย มือข้างหนึ่งยื่นออกไปจนสุดเหมือนกับต้องการจะเอื้อมคว้าบางอย่างไว้
     
    ฉันไม่มั่นใจเลย...” น้ำเสียงของเพื่อนรักนั้นทำให้พวกเขาต้องเหลียวกลับมามองเจ้าของเสียงอย่างตั้งใจ ทุกอย่างดูปกติดี นอกไปเสียจากแววตาของเคล มันดูแปลกไป มันไร้จุดหมาย ไม่มุ่งมั่นและนิ่งสงบเหมือนเคลที่เป็นปกติ
     
    นายกลัวอะไร” เรคส์ถามเสียงนิ่ง เขายันตัวขึ้นนั่งหลังตรง เตรียมพร้อม ดวงตาสีฟ้ากระจ่างของเคลสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าเข้มของเรคส์ ทั้งคู่เงียบไปนาน ก่อนจะเคลจะเป็นฝ่ายตอบ
     
    ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีตั้งแต่เช้าแล้ว ข้างในมันรู้สึกกลวงไปหมด ฉันกลัวว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”
     
                ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นในความคิดของทั้งสามคนคือ แคลร์ สิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้คือแคลร์ที่แยกกลุ่มออกไป แม้จะถูกประกบไว้ด้วย สเตลลา และ แอนนา แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าแคลร์จะปลอดภัย
     
                อีกด้านหนึ่ง บนระเบียงทางเดินชั้นหนึ่งของปราสาทเอดินเบิร์ก สามสาวหัวหน้าชั้นปีที่หนึ่งกำลังเดินลาดตระเวนเป็นรอบสุดท้ายของกะนี้
     
    รอบสุดท้ายแล้วนะ จบจากนี่แล้วจะได้ไปดูพิธีกันซะที” สเตลลาว่าขึ้นด้วยความยินดีที่จะได้พ้นไปจากการเดินเวรอันแสนน่าเบื่อและห่างไกลผู้คน
     
    คิงคาโลอุตส่าห์มาเป็นประธานพิธีด้วย เห็นเขาว่าทั้งๆที่เคยเชิญมาตั้งหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เคยมาเลย มีปีนี้เป็นปีแรกเลยที่ยอมมา” ดวงตาสีน้ำตาลของสาวน้อยร่างเล็กกลอกไปมาราวกับกำลังทำความเข้าใจกับข้อมูล
     
    คิงคาโลนี่ยุ่งมากเลยเหรอ” แคลร์ถามอย่างใคร่รู้ สองสาวที่เดินเวรอยู่เคียงข้างหันมามองอย่างไม่เชื่อหู ราวกับแคลร์ได้พูดอะไรแปลกประหลาดขึ้นมา
     
    นี่เธอไม่รู้จริงๆเหรอ ไปอยู่ที่ไหนมา” สเตลลาแทบจะคว้าตัวเพื่อนสาวมาเขย่าแรง
     
    คิงคาโลไม่เคยยอมไปร่วมงานเปิดพิธีอะไรเลยตั้งแต่ขึ้นเป็นคิงมา ไม่ว่าจะให้ใครเป็นคนไปเชิญก็ถูกปฏิเสธกลับมาทั้งหมด จนแทบไม่มีใครเคยได้เห็นหน้าของพระองค์เลยด้วยซ้ำ” แอนนาเริ่มออกปากพูดบ้างเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวร่างเล็กของเธอนั้นเอ๋อจนถึงขั้นไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว
     
    อ้าว แล้วเขาไม่ออกไปดูและประชาชนบ้างหรือ” แอนนาส่ายหน้าทันที
     
    ท่านช่วยประชาชนกที่ได้รับความลำบากก็จริง แต่ก็ไม่เคยลงไปดูด้วยตัวเองเลยซักครั้ง แถมที่ยังพอได้เห็นหน้าบ้างก็คือองค์ราชินีเท่านั้นล่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มส่องประกายให้ความสนใจมากขึ้น เริ่มนึกเปรียบเทียบคิงคาโลกับกษัตริย์สองสามคนที่ตนรู้จักเป็นอย่างดี
     
    แล้วราชินีคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ” เพื่อนสาวทั้งสองส่ายหน้าในทันที
     
    พวกเราไม่ไปได้คาโนวาลกันบ่อยๆนี่” แคลร์ทำหน้าผิดหวังทันทีที่ได้ยิน แต่สเตลลาก็รีบเสริมขึ้นมาในทันที
     
    แต่เขาว่ากันว่า ท่านสวย ร่างสูงโปร่ง ผมยาวสีน้ำตาลสลวย ดวงตาสีน้ำตาลนั้นเปล่งประกาย ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน” สาวน้อยร่างเล็กนึกภาพตาม ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นมาในมโนภาพคือภาพของท่านแม่ของเธอ แต่ก็รีบปัดทิ้งไปในทันที เพราะท่านแม่ของเธอไม่ใช่ราชินีแห่งคาโนวาลเสียหน่อย
     
    แหม อยากเห็นจังเลยน้า” แคลร์เปรย เพื่อนสาวทั้งสองหัวเราะคิกคัก
     
    งั้นปิดเทอมไปเที่ยวคาโนวาลกันมั้ยล่ะ” สเตลลาเอ่ยชวน น้ำเสียงรื่นเริง แอนนาขยับยิ้มรับแล้วพยักหน้า ดวงตาสองคู่หันมองมายังแคลร์เป็นตาเดียว คาดหวังคำตอบที่จะได้รับ
     
    อืม... ไม่รู้สิ คงต้องลองปรึกษาคนอื่นดูก่อน” นิ้วเรียวแตะปลายคางอย่างใช้ความคิด เพื่อนสาวทั้งสองส่ายหน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
     
    นี่ สาวน้อย เธอตัดสินใจเองไม่เป็นรึไง” ว่าพลางดุนหลังให้แม่สาวน้อยเดินออกไปยังทางเดินแคบๆที่ปลอดคน เพื่อเตรียมไปผลัดเวร
     
                แม่สาวน้อยคนที่ว่าหันกลับมามองค้อนเพื่อนสาว
     
    แหม... ก็มัน...” ว่าได้แค่นั้นแล้วก็เงียบไป จะบอกได้ยังไงว่ามติไปเที่ยวนี้ต้องผ่านตั้งหลายคน ทั้งท่านพี่ ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็เรคส์กับเคเรสด้วย แค่คิดยังลำบากเลย
     
    ถ้ามันลำบากขนาดนั้น เอาพวกเคลวินไปด้วยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา” แอนนาเสนอความคิดเห็น สเตลลาค้อนขวับ
     
    ตาพวกนั้นได้ทำงานกร่อยหมดน่ะสิ เดี๋ยวแทนที่จะได้เพื่อนเที่ยวเพิ่ม ได้กลายเป็นตัวป่วนสร้างปัญหา อ้อ หรือบางทีอาจจะได้อาจารย์คุมประพฤติมาแทน” แม่มดสาวรีบแย้ง ก่อนจะพูดขัดคำพูดตัวเองไปในคราวเดียวกันเมื่อนึกถึงพ่อคนจริงจังขึ้นมาได้
     
    แหม เขาคงไม่ถึงขนาดนั้นล่ะมั้ง” แคลร์รีบแก้ต่างแทนผู้ถูกพาดพิง เพื่อนทั้งสองหัวเราะคิกคัก ให้แก่กัน
     
    แหม แก้ตัวแทนใครอยู่รึเปล่าจ๊ะ” แคลร์สะดุ้ง ตวัดดวงตาสีน้ำตาลค้อนไปให้เพื่อนสาวทั้งสองที่ล้อขึ้นมาอย่างไม่ดูสถานการณ์
     
    ก็พูดรวมๆให้ทุกคนนั่นแหละ ไม่ได้มีใครเป็นพิเศษซะหน่อย” แต่แม่มดสาว และนักดาบสาวก็ยังไม่เลิกหัวเราะคิกคัก สาวน้อยผู้กำลังถูกล้อเลียนจึงเดินลิ่วนำหน้าไปไม่หันกลับมามอง ดวงตาสีทองและสีเงินมองสบกันแล้วยิ้มกว้าง ก่อนที่รีบไล่ตามสาวน้อยขี้งอนที่เพิ่งลับมุมตึกไปให้ทัน
     
                แต่ยังไม่ทันที่จะเลี้ยวพ้นมุมตึก และระเบิดก็ดังขึ้นใกล้ตัว แรงระเบิดส่งผลให้เด็กสาวทั้งสองกระเด็นออกไปจากบริเวณมุมตึกนั่น
     
                โดยที่ไม่ทันได้เห็น ภาพสาวน้อยร่างเล็กที่น่าจะอ่อนแอที่สุด กำลังกำคทาด้ามยาวในมือแน่น หัวลูกแก้วสีอำพันส่องประกายจ้ายิ่งกว่าครั้งใด ดวงตาสีน้ำตาลนั้นจ้องไปยังผู้บุกรุกเบื้องหน้าด้วยแววตานิ่งสงบ แม้หัวใจกำลังเต้นระรัว แขนเล็กปาดเลือดจากแผลที่เกิดจากการระเบิดเมื่อครู่ออกจากขมับ
     
                หล่อนถอยหลังไปให้ใกล้กับเพื่อนสาวทั้งสองที่โดนแรงระเบิดผลักกระเด็นออกไป สเตลลาและแอนนาแม้จะไม่ถึงกับหมดสติ แต่ก็คงจะช่วยตัวเองไปไม่ได้อีกหลายนาที
     
                สาวน้อยร่างเล็กจ้องตรงไปข้างหน้าเพื่อความไม่ประมาท แม้ว่าจะห่วงเพื่อนสาวทั้งสองคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่ด้านหลัง
     
                สมองกำลังใช้ความคิดชั่งน้ำหนักอย่างหนัก แม้ว่าสมองจะเริ่มพร่ามัวไปหมดก็ตามที หล่อนยืนตั้งท่าเตรียมร่ายเวทย์ได้ทุกนาทีเพื่อคุมเชิง เช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้ามที่ยังไม่ขยับเขยื้อน เสียงระเบิดเมื่อครู่คงทำให้ทางพิธีเปิดงานหมากกระดานเกียรติยศชะงักไปแล้ว และเดี๋ยวสักพักก็คงมีคนมาที่นี่ เพราะฉะนั้นก็ช่วยอดทนอีกนิดเถอะ
     
                แสงสีขาวเรืองขึ้นรอบตัวเด็กสาวร่างเล็ก สมาธิเท่าที่ยังหลงเหลือถูกรวมไปยังหัวลูกแก้วที่กำลังเรืองแสงจ้า แต่ทั้งๆที่กำลังยืนร่ายเวทย์ แต่กลับไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับผู้บุกรุก
     
                แล้วคำตอบก็ปรากฏ เมื่อร่างของเพื่อนสาวทั้งสองที่โดนแรงระเบิดเริ่มกลับสู่สภาพเดิม สเตลลาและแอนนายันตัวค่อยๆยืนขึ้น เมื่อร่างกายกลับมาขยับได้อีกครั้ง แต่แล้วดวงตาสีเงินและสีทองที่กำลังงุนงงอยู่นั้นกลับเบิกกว้าง
     
    อันตราย!!!”
     
                แล้วเสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้น
     
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                สามหนุ่มปีหนึ่งแห่งป้อมอัศวินที่หน้าซีดตัวแข็งกันมาตั้งแต่ได้ยินเสียงระเบิด เมื่อยิ่งได้ยินเสียงกรีดร้องยิ่งใจเสีย เคลทำท่าจะวิ่งออกไปตามหาแคลร์ตั้งแต่ได้ยินเสียงระเบิด แต่ติดที่พวกเขาไม่รู้ว่าแคลร์อยู่ที่ไหน เพราะนี่เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยว และยังไม่สามารถมั่นใจได้อีกว่าเคลจะไม่ถูกใครหมายเอาชีวิตไว้เหมือนเมื่อที่มาบุกรุกกันครั้งก่อน
     
                ไม่มีการห้ามปรามอีกต่อไป เมื่อเสียงกรีดร้องนั้นดังขึ้น พวกเขาทั้งสามทะยานออกจากจุดที่แอบมาอู้งานอยู่เพื่อมุ่งไปยังจุดที่เป็นไปได้มากที่สุดว่าแคลร์น่าจะอยู่ โดยใช้เส้นทางที่เร็วที่สุดเท่าที่พวกเขารู้จัก โดยที่ไม่สนอะไรทั้งสิ้น ไม่สนแม้แต่ว่า จะให้เคลไปพบใครคนหนึ่งไม่ได้
     
                พวกเขาวิ่งตัดผ่านบริเวณปะรำพิธีไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจความโกลาหลรอบข้าง พวกรุ่นพี่สมาชิกสภาสูงกำลังออกคำสั่งกันอย่างคร่ำเคร่ง และยังดูเหมือนจะออกคำสั่งอะไรบางอย่างมายังพวกเขาอีกด้วย แต่พวกเขาไม่สนใจ อันที่จริง พวกเขาไม่ได้ยินอะไรเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวในตอนนี้คือเรื่องของแคลร์เท่านั้น เคเรสกัดฟันกรอด พวกผู้หญิงเอาไม่อยู่จริงๆด้วย เขามันประมาทเองที่ฝากแคลร์ไว้ให้อยู่ในสายตาของพวกสาวๆ
     
                บริเวณระเบียงชั้นหนึ่งที่น่าจะมีร่างของสามสาวหัวหน้าชั้นปีหนึ่งห้องอัศวินอยู่กลับไม่มีใคร เคลวินเริ่มใจเสียหนัก ยืนหันซ้ายหันขวากวาดมองให้ทั่วทุกบริเวณอย่างคนวิตกจริต เคเรสหน้าซีดจนแทบจะเป็นกระดาษ ขณะที่เรคส์กำหมัดแน่น กัดฟันกรอด
     
                แต่แล้วจู่ๆ เคลก็หมุนตัวกลับ แล้วเริ่มวิ่งหลบหายไปยังทิศทางที่น่าจะเป็นทางตัน เคเรสที่มองตามเพื่อนหนุ่มคนสำคัญไปก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
     
                และดูเหมือนว่าเรคส์ที่นึกอะไรขึ้นมาได้พร้อมๆกันกับเขาก็เริ่มออกวิ่งไปยังทิศทางเดียวกับเคลเมื่อครู่ เคลลับสายตาไปกับเส้นทางแคบๆที่ใช้กันเฉพาะคนเดินเวรแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็กำลังวิ่งตามหลังไป
     
                ภาพที่เห็นทำให้เขาหัวขาวโพลนไปหมด สเตลลากับแอนนาทรุดตัวอยู่กับพื้นโอบร่างของกันและกันไว้แน่น เนื้อตัวเปื้อนเลือดนั้นสั่นเทา เบื้องหน้าพวกหล่อน ร่างเล็กอาบเลือดของแคลร์นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้น โดยมีร่างของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สลบอยู่ไกลออกไปและมีใครคนหนึ่งเหยียบอกชายฉกรรจ์คนนั้นอยู่ด้วยบรรยากาศเย็นเยียบ แต่สภาวะแวดล้อมนั้นทำให้เขาแปลกใจ เพราะมันถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง
     
                แต่ดูเหมือนเคลจะไม่เห็นอย่างที่เขาเห็น ภาพเดียวที่เคลเห็นคงจะเป็นเพียงภาพของแคลร์ที่นอนอาบเลือดอยู่กับพื้น เด็กหนุ่มผมเงินปราดเข้าไปใกล้ร่างของน้องสาวฝาแฝดในทันที
     
                เขาประคองร่างบางขึ้นในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีน้ำตาลใสของน้องสาวฝาแฝดจ้องกลับมาด้วยรอยยินดีแล้วดวงหน้านวลจะซูบซีดไร้สีเลือด มือบางพยายามยกขึ้นอย่างยากลำบาก เขาคว้ามือเล็กนั้นไว้แล้วเอามาแนบกับใบหน้า
     
    น้องจะไม่เป็นไร” เขากระซิบเสียงเบาเสียจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ราวกับว่ากำลังพูดกับตัวเองเสียมากกว่า แคลร์ยิ้มหวานอย่างยากลำบาก เมื่อสมองนั้นขาวโพลน และดวงตานั้นพร่ามัว แค่ลืมตามองพี่ชายฝาแฝดของตัวเองก็ยังลำบาก แต่ลึกๆแล้ว หล่อนยินดี ที่ยังเห็นเขาปลอดภัย ไม่ใช่เป็นฝ่ายที่เห็นเขาจมลงไปกับกองเลือดเหมือนอย่างคราวก่อน
     
    พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ” เขาก้มหน้าลงซบกับร่างบางในอ้อมแขน กระซิบเสียงแผ่วในลำคอ เขาแทบจะไม่มีเสียงหลงเหลืออยู่ด้วยซ้ำเมื่อได้เห็นสภาพของแคลร์ นึกสมเพชตัวเองที่เอาแต่เห็นปัญหาเล็กๆน้อยๆจากทิฐิมาเป็นเรื่องใหญ่บังตาเรื่องสำคัญเช่นเรื่องที่พวกเขาฝาแฝดกำลังถูกคนหมายเอาชีวิตอยู่ นึกขอโทษท่านพ่อท่านแม่ และนึกขอโทษแคลร์ ที่ไม่ได้มาอยู่ปกป้อง
     
                เรคส์และเคเรสเมื่อแรกต่างก็จับจ้องไปยังร่างของแคลร์ที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นเช่นเดียวกับเคล แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวที่นอกเหนือไปจากพวกเขา และสองสาวเบื้องหลัง เขาก็พบเรื่องที่ชวนให้น่าหวั่นเกรงกว่า
     
                คิงคาโลอยู่ไม่ห่างไปบริเวณจุดที่ฝาแฝดอยู่มากนัก พูดให้ถูกต้อง เขายืนอยู่ในจุดที่ร่างของผู้บุกรุกซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่ทำร้ายแคลร์ คทาสีดำสนิทยังอยู่ในมือ หัวลูกแก้วสีขาวสว่างจ้า เคเรสและเรคส์เรียกอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อม พวกเขาไม่รู้ว่าคิงคาโลคิดอะไรอยู่ในใจ หรือแม้แต่พวกพ่อคิดอะไรกันอยู่ แต่เมื่อพวกเขาห้ามไม่ให้ฝาแฝดและคิงคาโลพบกัน พวกเขาซึ่งรับคำสั่งมาก็ไม่มีหน้าที่ที่จะขัด
     
                แต่ดูเหมือนคิงคาโลจะไม่เห็นเด็กอย่างพวกเขาไม่อยู่ในสายตา เพราะดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องไปยังที่ที่เดียว นั่นก็คือจุดที่ฝาแฝดอยู่ กษัตริย์แห่งคาโนวาล ก้าวตรงเข้าไปหาฝาแฝด
     
    ไม่ทันเหรอเนี่ย” เสียงพึมพำเบาดังขึ้นมาจากด้านบน เป็นผลให้กษัตริย์หนุ่มหยุดฝีเท้าลง
     
    หยุดอยู่แค่ตรงนั้นนะ คาโล” ดาบสั้นจ่อคออยู่ที่ท้ายทอยของกษัตริย์ในชั่วพริบตา พวกเขาสองคนได้แต่ยืนตัวแข็งมองเท่านั้น คิลมัส ฟีลมัส ปรากฏขึ้นมาในชั่วขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด นักฆ่าหนุ่มขู่เสียงเข้ม ดวงตาสีม่วงฉายประกายกล้า
     
    คิล” คาโลเรียกชื่อเพื่อนสนิทเสียงเบาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ทันที่จะมีใครเอ่ยคำพูดใดๆ กัสก็กระโดดลงมาจากด้านบน มือใหญ่ของกัสแตะไหล่เพื่อนนักฆ่าเป็นเชิงเตือน ก่อนจะเลยไปด้านหลัง ตบไหล่เคเรสและเรคส์เพื่อปลอบขวัญ แล้วจึงเลยไปดูอาการของสตลลาและแอนนา
     
    ถอยออกไป คาโล อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” คิลขยับดายสั้นให้เข้าใกล้ท้ายทอยของคาโลมากขึ้น เป็นการเตือนว่า หากขยับแม้แต่เพียงนิดเดียว เขาจะแทงดาบลงไปที่ท้ายทอยอย่างไม่ลังเล
     
                กัสจัดการดูอาการของสองสาวอย่างลวกๆ ก่อนจะค่อยพยุงให้ลุกขึ้น แล้วดุนหลังให้เดินออกไปจากบริเวณนั้นในทันที
     
                ทันทีที่มั่นใจแล้วว่าสองสาวจะไม่กลับมายังบริเวณนี้อีกเป็นอันขาด กัสจึงเดินเข้าไปหาแคลร์ที่นอนบาดเจ็บเจียนตาย เคลที่อยู่ใกล้แคลร์มากที่สุดถูกกัสตบไหล่เรียกสติ แต่ทว่าเด็กหนุ่มนั้นส่ายหน้า
     
                กัสถอนหายใจให้กับความดื้อของหลานชาย แต่ก็ไม่ว่าอะไร เขาทรุดตัวนั่งลงข้างๆร่างของโชกเลือกของแคลร์ ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์รักษา
     
                เรคส์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เขาเดินเลี่ยงภาพของอาคิลกำลังทำท่าเหมือนจะลงมือฆ่าคิงคาโลจริงๆออกมายังจุดที่ท่านพ่อของเขากำลังลงมือรักษาแคลร์
     
    คิล”
     
    ไม่ต้องมาเรียกชื่อ!!” คิลตะโกนลั่นตัดบทสิ่งที่กษัตริย์หนุ่มต้องการจะสื่อ “แค่ถอยออกไป และอย่ามายุ่งกับเด็กสองคนนี้ หรือเฟรินอีก”
     
    ฉันมีสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ” เขาถามกลับน้ำเสียงเรียบ ดวงตาสีม่วงของนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งซาเรสเรืองขึ้นทันทีที่ได้ยินคำสุดท้ายของอดีตเพื่อน
     
    มีสิทธิ์งั้นเหรอ คาโล ถ้าแกยังยืนยันว่าหลังจากที่แกได้ทำกับเฟรินแบบนั้นแล้วยังบอกว่าแกยังมีสิทธิ์ล่ะก็ ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะหยุดแกไว้ตรงนี้เหมือนกัน”
     
    คิล!!” กัสตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังจะทำเกินกว่าเหตุ สีหน้าที่ปกติมักจะนิ่งสงบเข้มขึ้นจนน่าหวาดหวั่น
     
    แคลร์ต้องการความช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วนที่สุด” คิลจ้องตาลึกลงไปในดวงตาของอดีตเพื่อนรัก ก่อนจะผละออกมาดูอาการของหลานสาวคนสำคัญ
     
                ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เพียงแค่เห็นสภาพก็ทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นดี
     
    ห้องพยาบาลของโรงเรียนคง...” กัสหยุดคำพูดของตนไว้เพียงแค่นั้น ก่อนที่คิลจะรีบตัดบทเพื่อนหนุ่มก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา
     
    งั้นก็พาไปห้องของไอ้พวกนี้ มันต้องมีซักวิธีที่เราสามารถทำได้” ได้รับการตอบรับในทันที เคลประคองร่างของน้องสาวฝาแฝดไว้ในอ้อมแขนอย่างเบามือ ก่อนจะปล่อยให้เพื่อนอีกสองคนนำทางพวกผู้ใหญ่ทั้งสองคนไป โดยไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่จะเหลียวกลับไปมองยังกษัตริย์หนุ่มแห่งคาโนวาล

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                พวกเขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องพักมาเป็นเวลาร่วมสามชั่วโมงแล้ว เขาจัดการไปขอความร่วมมือจากอาจารย์ประจำป้อม และบรรดาพวกผู้ที่คุมป้อมอยู่ ณ ปัจจุบัน ก่อนจะแทบช็อกเมื่อเห็นหน้าอาจารย์ประจำป้อม ให้ตายเหอะ ถ้าเฟรินอยู่ป่านนี้กระโดดกอดไปแล้ว
     
                ดูเหมือนรุ่นพี่ เอ่อ ตอนนี้ต้องเป็นอาจารย์แล้วสินะ จะไม่ว่าอะไร พวกเขาแค่หน้าถอดสีแล้วก็เงียบไปพักใหญ่ แต่ก็รับปากว่าจะหาทางจัดการเรื่องที่พวกเขามาอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งให้
     
                แต่ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดมันไม่ใช่เรื่องพรรค์นั้น แต่เป็นเรื่องของแม่หลานสาวคนดีที่นอนไม่ได้สติอยู่ข้างนั่นต่างหาก
     
                กัส กับเรคส์ลูกชายมัน อ้อ แล้วก็เคลด้วย อยู่ในในนั้นมาเป็นชาติแล้ว โดยที่ยังไม่มีใครแม้แต่คนเดียวคิดจะมาบอกผลให้กับคนที่ยืนลุ้นอยู่ข้างนอกนี่ฟังเลยสักคน
     
                เอาเถอะ เขาเองก็มีเรื่องที่จะต้องเคลียร์กับเจ้าลูกชายตัวดีนี่เหมือนกัน ดวงตาสีม่วงหันขวับไปยัง เจ้าลูกชายตัวดีที่ว่า นัยน์ตาสีม่วงเปล่งประกายเสียจนคนเป็นลูกชายคนเล็กที่หน้าซีดอยู่แล้วตั้งแต่เห็นสภาพของแคลร์ ซีดลงไปอีก
     
    ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้” น้ำเสียงเข้มเอาเรื่อง เจ้าลูกชายตัวดีหัวใจกระตุกวูบ เผลอตัวก้าวถอยหลังไปสองก้าวเมื่อเห็นแววตาเอาจริงของคนเป็นพ่อ
     
    พ่อส่งจดหมายมาเตือนก่อนแล้วตั้งแต่เมื่อคืนก่อนไม่ใช่เรอะ! แล้วทำไมไม่เตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อน!!” นึกอยากจะแย้งว่าก็เตรียมไว้แล้ว แต่มันผิดพลาด แต่ขืนพูดออกไปมีหวังพ่อฆ่าตายตรงนี้แน่ๆ
     
    ฝาแฝดมีสองคน แต่ผมมีแค่คนเดียว แล้วจะให้ผมท...” ยังไม่ทันจะแก้ตัวได้ครบประโยค คนเป็นพ่อก็ตวาดกลับมาเสียก่อน
     
    เรคส์ก็อยู่ไม่ใช่รึไง!! ทำไมไม่แบ่งไปล่ะ ให้คนนึงอยู่กับเคล อีกคนอยู่กับแคลร์ ไปประกบเคลทำไมตั้งสองคน หา!! รู้อยู่ไม่ใช่เหรอว่าไม่ว่าจะแฝดคนไหนก็ลูกเฟริน และถูกหมายหัวเหมือนกัน!” เคเรสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พ่อไม่เคยน่ากลัวขนาดนี้นี่ อาการของพ่อทำให้เขากลืนเรื่องที่เคลโดนแทงจนสาหัสไปเป็นเดือนลงไปในลำคอ
     
    ตอบ เคเรส! สมองอย่างแกไม่น่าจะคิดไม่เป็น” คิลเค้นคำต่อ เมื่อเห็นลูกชายตัวดีกลืนคำพูดบางอย่างลงคอไป
     
    คือ...” เคเรสเงยหน้าผู้เป็นพ่อเพื่อดูสถานการณ์เพียงแวบเดียวก็ต้องก้มหน้าลงหลบตาใหม่ เพราะดวงตาสีม่วงของพ่อนั้นยังไม่เลิกฉายแววเอาเรื่องนั่น
     
    เคลมัน...” พูดไม่ออกจริงๆ ขืนบอกไปว่าเคลเคยโดนแทงไปล่ะก็ กลับบ้านไปโดนพ่อทำโทษจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแน่ๆ ไม่นับเรื่องที่พวกพี่ๆจะเข้ามาซ้ำเติมอีกนะ
     
    เคลทำไม” เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กเริ่มอึกอักหลุดอะไรออกมาทีละนิดก็เริ่มจี้ เขาไม่ได้ส่งไอ้ลูกชายคนนี้มาเพื่อให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
     
                เคเรสสะอึก พ่อน่ากลัวกว่าที่เคย ขนาดพวกพี่ทำงานใหญ่พลาด พ่อยังไม่น่ากลัวเท่านี้
     
    ตอบ เคเรส!” คิลเค้นคำลูกชายหนักข้อขึ้น เคเรสหลับตาแน่น แน่ล่ะพ่อไม่เคยสอนให้เขาหนีปัญหา แต่พ่อไม่ได้สอนว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกจะให้ทำยังไง
     
    !!เผียะ!!
     
                เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังขึ้นเมื่อผู้เป็นลูกไม่มีคำตอบมาให้ แรงตบนั้นแรงเสียจนเคเรสลงไปกองอยู่กับพื้น ก้มหน้านิ่ง
     
    นี่ถือเป็นการลงโทษของเรื่องที่แกทำผิดพลาด” เคเรสลูบผิวแก้มบริเวณที่ถูกตบเบาๆเพื่อให้ความเจ็บปวดนั้นค่อยๆซึมลึกเข้าไปในจิตใจ พ่อไม่เคยตบใครมาก่อนในชีวิต อย่าว่าแต่ลูกเลย หากพ่อจะลงโทษใครสักคน มันจะเป็นบทลงโทษที่มีหลักการหว่านี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตบ แต่นี่...
     
    ผมขอโทษ...” เคเรสพึมพำขอโทษเสียงเบา คิลสบถเบาในลำคอ
     
    ฉันน่าจะส่งพี่แกมาสแตนบายเผื่อไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่น่าวางใจส่งแกมาแค่คนเดียวเลย” น้ำเสียงของพ่อบ่งบอกถึงความผิดหวังระคนเจ็บใจ เขาไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของเขา
     
                บานประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ กัสเดินออกมาจากห้องพักของพวกเคลด้วยสีหน้าที่ถูกปรับให้นิ่ง แต่ทว่าก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคิลไปได้ กัสพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้ทั้งคู่เข้าไปดูอาการได้ คิลรีบเดินตัวปลิวเข้าไปดูอาการของแคลร์ในห้องพักทันทีโดยไม่มีทีท่าจะสนใจลูกชายที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนพื้นแต่อย่างใจ กัสปรายสายตามายังจุดที่เคเรสนั่งนิ่งอยู่ เพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องพัก โดยที่ยังเปิดประตูทิ้งไว้
     
    ว่ามา” คิลเอ่ยกับพวกที่ยังอยู่ในห้องเสียงเข้ม ดวงตาสีฟ้าเข้มของเรคส์เงยขึ้นมองหน้าของผู้มีศักดิ์เป็นอาด้วยแววตาเจ็บปวด ก่อนจะค่อยๆพูดอาการของแคลร์ออกมาอย่างเชื่องช้า
     
    บาดแผลทั่วทั่งร่างเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นจากของมีคม ลึกอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต...” เรคส์หยุดคำแล้วชี้ไปยังบาดแผลขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณต้นแขน
     
    แผลนั่น มาจากเวทย์มนตร์ อาจจะเป็นเวทย์สายฟ้าบางอย่างที่เรายังไม่รู้แน่นชัด ผลของมันทำให้เซลล์บริเวณนั้นตาย พวกเราช่วยไว้ได้ทันก่อนที่จะต้องถูกตัดแขนทิ้งก็จริง แต่ก็อาจจะเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ หรืออาจจะมีอาการเจ็บปวดหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น...” เรคส์หลุบตาลงไปแล้วหยุดพูด กัสที่กลับเข้ามาในห้องพักจึงเอ่ยต่อคำให้
     
    แผลมันลึกไปจนตัดเส้นประสาท เส้นเลือดแดงใหญ่ ทำให้แคลร์เสียเลือดมาก เราเชื่อมมันไว้ได้ทันก็จริง แต่เลือดที่เสียไปแล้วก็ไม่อาจเรียกกลับคืน ตอนนี้ เคลกำลังใช้พลังเท่าที่มีช่วยประคองแคลร์เอาไว้ แต่เราต้องได้เลือดมาให้เร็วที่สุด ไม่งั้น แคลร์อาจจะไม่รอด” เรคส์หลุบตาลงอย่างเจ็บปวด เมื่อต้องมาฟังอาการของแคลร์อีกครั้ง ขณะที่เคลนั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยด้วยซ้ำ คิลที่เพิ่งรับรู้อาการนั้นใบหน้าไร้สีเลือดไปเสียแล้ว นักฆ่าหนุ่มกัดฟันกรอด
     
    ถ้าซีบิลอยู่ด้วย เราอาจจะช่วยให้อาการของแคลร์ดีขึ้นมากกว่านี้ แต่นี่ก็สุดกำลังของฉันแล้ว” กัสเสริมความคิดเห็นเสียงเบา คิลสบถในลำคอ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงกับเตียงว่าง มือกุมขมับอย่างจนปัญญา
     
    เราบอกเรื่องนี้กับใครไม่ได้ นายก็รู้” เขาพึมพำตอบเพื่อนหนุ่มอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหันมาเข้าประเด็นที่ฉุกคิดขึ้นได้เมื่อครู่
     
    แล้วเราใช้เลือดของเคลไม่ได้รึไง”
     
                กัส เรคส์ หรือแม้แต่เคเรสที่เพิ่งเข้ามาใหม่ต่างก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
     
    เลือดเคลใช้กับแคลร์ไม่ได้ ถึงเลือดแคลร์จะใช้กับเคลได้ แต่ในกรณีนี้ มันไม่ยอมเข้ากัน” กัสอธิบายอย่างใจเย็น เขาสบถ ก่อนจะเดินออกจากห้องพักอย่างหัวเสีย
     
    แล้วใครล่ะ ที่จะมีเลือดเข้ากันกับแคลร์ได้”
     
                กัสมองสภาพในห้องพักอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามคิลออกไปบ้าง คำตอบของคำถามนั้นมันมีอยู่แล้ว
     
    อาคิล ลุงกัส” เคลร้องเรียกผู้ใหญ่ทั้งสองคนไว้ก่อนที่จะพ้นบานประตูห้อง ด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ถือเป็นการพูดครั้งแรกหลังจากที่เขาได้เห็นสภาพของแคลร์
     
                คิลและกัสเหลียวกลับมามองคนเรียก ดวงตาสีฟ้ากระจ่างของเคลนั้นเอ่อล้นด้วยความเจ็บปวด
     
    ท่านพ่อ ยังอยู่ที่สโนว์แลนด์ใช่ไหมครับ” เคลเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า ราวกับการเอ่ยคำพูดแต่ละคำนั้นเป็นเรื่องยากลำบาก
     
                คิลพยักหน้า เคลหลุบตาลง มือบีบมือบางของน้องสาวฝาแฝดให้แน่นขึ้นไปอีก ราวกับกำลังร้องขอกำลังใจ
     
    เรียกท่านพ่อมาที่นี่เถอะครับ” คำขอนั้นราวกับหยุดเวลาภายในห้องพักนั้นให้หยุดนิ่ง ดวงตาสีฟ้ากระจ่างก้มลงมองร่างของน้องสาวฝาแฝดที่นอนนิ่งไม่ไหวติง
     
    ถึงจะผิดต่อท่านพ่อ ผิดต่อท่านแม่ แต่มันเป็นทางเดียวที่จะช่วยแคลร์ได้” น้ำเสียงของเคลที่มักจะมั่นใจในตนเองอยู่เสมอนั้นสั่นพร่า
     
    ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะช่วยแคลร์ เพราะฉะนั้น... เรียกท่านพ่อมาที่นี่เถอะครับ”
     
    โรยังอยู่สโนว์แลนด์ ต่อให้เร่งเดินทางแค่ไหน...” คิลทำท่าจะแย้ง แต่เคลกลับขัดคำขึ้นมาเสียก่อน
     
    ผมจะเปิดประตูมิติ” คำตอบของทางออกแห่งปัญหานั้นดังขึ้น ขโมยลมหายใจของทุกคนไปจนหมด คิลทุบผนังห้องเสียงดัง
     
    อย่า... แม้แต่จะคิด เป็นอันขาด” คิลกระซิบห้ามเสียงเครียด แววตาของเคลไหววูบไปชั่วครู่ แต่เมื่อมันลืมขึ้นใหม่ ก็กลับมาสงบลง แม้จะไม่ใช่แววตาของเคลที่เป็นปกติก็ตาม
     
    แล้วจะปล่อยให้แคลร์ตายงั้นหรือครับ” เคลถามกลับเสียงเบา มือข้างหนึ่งบีบมือแคลร์ไว้แน่น ขณะที่อีกข้างหนึ่งนั้นกำแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ
     
                ทุกสายตาจ้องมองไปยังเคลเป็นตาเดียว ทั้งห้องตกในอยู่ความเงียบสงัด ชั่วเวลาหนึ่งที่ราวกับยาวนานไปจนชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ทว่ากลับเป็นพวกเด็กๆที่ชิงทำลายความเงียบนั้นเสียก่อน
     
    พวกผมจะช่วยเคล” กัสและคิลหันมองลูกชายของตัวเองทั้งสองคนราวกับต้องการจะดูให้แน่ใจว่านั่นใช่เสียงของลูกชายตัวเองหรือไม่
     
    รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” กัสสาวเท้ากลับมาคว้าไหล่ลูกชายคนเดียวแล้วบีบแน่น ถามกลับเสียงเครียด ดวงตาสีฟ้าเข้มนั่นบอกได้ถึงความหัวเสีย เรคส์หลุบตา แล้วตอบกลับไปอย่างช้าๆ
     
    ผมจะช่วยเคลครับ ต่อให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านพ่อ หากการเรียกลุงโรมาที่นี่เพื่อให้เลือดแคลร์เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยแคลร์ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม ผมก็จะทำครับ”
     
                คิลกำหมัดแน่น กัดฟันกรอด ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปนอกห้องพัก กระแทกฝีเท้าเสียงดังไปตามทางเดิน
     
                กัสเหลียวมองเพื่อนนักฆ่า ก่อนจะหันมามองพวกเด็กๆอีกครั้ง
     
    อย่า – ทำอะไร – จนกว่า – พวกเรา – จะกลับมา” กัสคว้าไหล่ลูกชายมาเขย่าและกำชับเสียงเข้ม ก่อนจะวิ่งตามหลังคิลออกไป
     
                คิลกัดฟันกรอด สบถลั่นอย่างไม่สนอีกต่อไปว่าใครจะมาได้ยิน เขาสาวเท้าออกไปจากป้อมอัศวิน มุ่งหน้าตรงไปยังปราสาทเอดินเบิร์ก
     
    เด็กพวกนั้นยอมแลกทุกอย่างเพื่อช่วยแคลร์ แล้วผู้ใหญ่อย่างพวกเรามัวทำอะไรอยู่” คิลพึมพำอย่างหัวเสียระคนเจ็บใจไปตลอดทาง กัสมองเพื่อนหนุ่มอย่างไม่เชื่อหู ทิศทางที่คิลมุ่งไปนั้นบ่งบอกถึงการตัดสินใจของเขาได้เป็นอย่างดี
     
    พวกเราจะต้องช่วยแคลร์ ไม่ว่าต้องจะแลกกับอะไรก็ตาม” กัสเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาวิ่งไปยังจุดหมายปลายทาง

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    อย่าทำอะไรเกินกว่าที่บอก แกจะเรียกร้องอะไรก็ได้ที่ฉันเห็นว่าสมควรเป็นการตอบแทน แต่ตอนนี้รีบๆกรีดข้อมือแกแล้วถ่ายเลือดให้เด็กคนนั้นซะ” คิลกอดอกออกคำสั่งแก่กษัตริย์แห่งคาโนวาลเสียงเข้ม ดวงตาเปล่งประกายวาววับกับความหัวเสียที่จะต้องไปก้มหัวขอร้องไอ้คนพรรค์นี้มาเพื่อให้มันยอมช่วยลูกสาวของตัวเองที่มันไม่คิดแม้แต่จะเหลียวแล แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็มาร้องสิทธิ์ทวงคืน
     
    พวกเธอออกไปก่อน” กัสออกปากไล่พวกเด็กให้ออกไปจากห้องพักน้ำเสียงเรียบ เรคส์และเคเรสมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองยังผู้ออกปากไล่ แล้วจึงเลยไปยังนักฆ่ามือฉมัง สุดท้ายจึงไปหยุดอยู่ยังบริเวณเตียงที่มีทั้งฝาแฝดและคิงแห่งคาโนวาลอยู่ตรงนั้น
     
    เคล” เรคส์ออกปากเรียกเสียงเบา เคลเห็นคิงคาโลแล้ว โดยที่พวกเขาไม่อยากให้เคลเห็นมากที่สุด แต่เมื่อเห็นแล้ว สิ่งที่สำคัญคือปฏิกิริยาของเคลต่างหาก
     
                เคลบีบมือน้องสาวฝาแฝดแน่น ก่อนจะค่อยๆยอมคลายมือออกอย่างช้าๆ แล้วทำท่าจะผละออกมา แต่คาโลกลับคว้ามือเด็กหนุ่มไว้แน่น
     
    เธอ อยู่นี่ก่อน คนอื่นออกไปได้” ดวงตาสีม่วงของคิลวาวขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของอดีตเพื่อนรัก เคลมองหน้าคิงแห่งคาโนวาลด้วยแววตาประหลาด ก่อนจะเลยไปยังคิลและกัส สุดท้ายจึงมาหยุดลงที่เพื่อนทั้งสอง
     
    ถ้างั้นพวกเราก็ไม่ออก” เคเรสออกปากท้วง เคลที่เริ่มเห็นเรื่องจะยืดเยื้อจึงคว้ามือของแคลร์มากุมไว้อีกครั้ง ก่อนที่แคลร์จะเป็นอะไรไป
     
                กัสหรี่ตามองทุกคนในห้องอย่างหัวเสีย ก่อนจะขู่เสียงเข้ม
     
    จะเรื่องอะไรก็ว่ากันทีหลัง ตอนนี้ก็ถ่ายเลือดให้เด็กคนนั้นซะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
     
                ดูเหมือนว่าคิงคาโลจะถนัดกับเรื่องพรรค์นี้ เพราะเขาจัดการมันได้อย่างคล่องแคล่ว เคลที่อยู่ใกล้ที่สุดเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด เขาดูเหมือนว่าจะเตรียมพร้อมกับสถานการณ์เหล่านี้อยู่เสมอ
     
                การกรีดข้อมือ ทดสอบความเข้ากันของเลือด ลงอาคมถ่ายเลือด เป็นไปอย่างราบรื่นเสียจนน่ากลัว ได้ยินมาว่าตอนที่แคลร์ถ่ายเลือดให้แก่เขามันก็ยังไม่ราบรื่นขนาดนี้
     
                คิลและกัสยืนพิงกำแพง เม้มปากแน่น แต่ตาก็กำลังจับจ้องอยู่ที่กระบวนการถ่ายเลือดของคาโลให้แก่แคลร์ มันแน่นอนอยู่แล้ว่าเลือดของคาโลจะเข้ากันได้กับแคลร์ เพราะมันเป็นพ่อลูกกัน ปกติ ในกรณีแบบนี้ คนถ่ายเลือดให้จะเป็นโร แม้จะไม่เข้ากันถึงระดับที่เรียกว่าสมบูรณ์ แต่ก็เรียกได้ว่า ใช้แทนกันได้เป็นอย่างดี ความลับเรื่องของฝาแฝดจึงยังไม่แตก แต่เมื่อตอนนี้ โรไม่อยู่ พวกเขาเองก็ไม่มีทางเลือก เมื่อเลือดของคนที่จะมาเข้ากับแคลร์นั้นหายากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร คราวของโรถือเป็นโชค แต่คราวนี้ไม่ใช่ เมื่อการรักษาชีวิตแคลร์จะต้องแลกกับความลับที่สู้อุตส่าห์รักษามานาน พวกเขาก็ต้องแลก
     
                การถ่ายเลือดเสร็จสิ้นลงในเวลาไม่นาน คาโลเหลือบมองเด็กสาวที่น่าจะเป็นลูกสาวที่เขาไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้าด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหน มือใหญ่ลูบหัวเด็กสาวเบาๆเมื่อการลงอาคมครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นลง เขาปาดเลือดที่ยังไหลไม่หยุดจากบาดแผลที่ข้อมือ ก่อนจะลงมือร่ายเวทย์รักษาอย่างคล่องแคล่ว ขณะเบือนสายตามามองยังเด็กหนุ่มอีกคนที่น่าจะเป็นลูกชาย
     
                เคลนั้นไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกมอง เพราะดวงตาสีฟ้าของเคลนั้นกำลังทอดมองน้องสาวฝาแฝดที่ใบหน้าเริ่มมีสีเลือดขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
     
    คิล” คาโลเบือนสายตาไปจากร่างของเด็กหนุ่ม หันกลับไปยังร่างของเพื่อนรักนักฆ่า
     
    ฉันขอแค่เวลา ครู่เดียว” คำขอนั้นหนักแน่นและจริงจัง คิลยืนกอดอกแน่น นิ่งสงบรอฟังคำขอของกษัตริย์แห่งคาโนวาลอย่างตั้งใจ
     
    ฉันขอคุยกับเด็กสองคนนี้ อย่างเป็นส่วนตัว แค่ครู่เดียว” คิลเม้มปาก ชั่งน้ำหนักเหตุและผลอยู่ในใจ แต่คนที่ตัดสินใจ กลับไม่ใช่คิล ที่เป็นคนตัดสินใจมาตลอด
     
    ห้านาที ไม่มากไปกว่านี้ สถานที่และเวลาคือที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ถ้านายไม่รับ ก็ไม่ต้องรับตลอดไป” กัสยื่นข้อเสนอกลับอย่างหนักแน่น ดวงตาสีฟ้าเข้มเปล่งประกายเด็ดขาด คาโลจ้องตากลับ แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน
     
    ตกลง”
     
                กัสพยักหน้ารับ ก่อนจออกแรงผลักไอ้เจ้านักฆ่าเรื่องมากที่กำลังจะร้องค้านให้ออกไปจากห้อง โดยที่ไม่ลืมชี้มือไปยังเคเรสและเรคส์ให้เดินตามออกมา ด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า หากไม่ปฏิบัติตาม มีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกยาว
     
                เด็กหนุ่มทั้งสองเบือนสายตามายังเคล ที่ถูกรั้งตัวไว้ สบสายตาให้กำลังใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ
     
                บานประตูไม้ปิดลง เมื่อเรคส์ที่เดินรั้งท้ายหันกลับมามองจุดที่แคลร์นอนอยู่เป็นครั้งสุดท้าย คาโลมองบานประตูที่ปิดสนิท ก่อนจะหันกลับมายังเด็กหนุ่มที่เขารั้งตัวเอาไว้
     
    การพบกันขอเรา ดูเหมือนว่า จะไม่ประทับใจเธอสักเท่าไร แต่ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฉัน คาโล วาเนบลี...” ยังไม่ทันพูดได้ครบประโยค เคลก็ขัดคำขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ
     
    เกล้ากระหม่อมทราบ ฝ่าบาทคือกษัตริย์แห่งคาโนวาลองค์ปัจจุบัน เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กแห่งนี้ของพวกท่านพ่อท่านแม่ และอาจจะรวมไปถึงลุงกัสกับอาคิลด้วยเมื่อมองถึงความสัมพันธ์ของลุงกัสกับอาคิลที่มีต่อท่านพ่อท่านแม่” การพูดแทรกนั้นทำให้คาโลเลิกคิ้วขึ้น เคลโค้งตัวทำความเคารพด้วยมารยาทที่ถูกสั่งสอนมา
     
    พวกเขาบอกเธอมางั้นรึ”
     
    ไม่ฝ่าบาท ท่านพ่อ ท่านแม่ อาคิล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลุงกัส แทบจะไม่พูดอะไรถึงฝ่าบาทเลยด้วยซ้ำ แต่เกล้ากระหม่อมทราบเองจากการพูดคุยของพวกท่าน”
     
    แล้ว... เธอรู้อะไรอีก” เขาลองถามต่อ เด็กหนุ่มที่น่าจะเป็นลูกชายของเขานี่เฉลียวฉลาดกว่าที่เขาคิด
     
    ไม่กระหม่อม เกล้ากระหม่อมทราบเพียงแค่นี้ ที่พวกท่านพ่อยอมให้หม่อมฉันทราบได้ตามสมควร หากฝ่าบาทมีอะไรที่ต้องการคุยกับแคลร์แล้วล่ะก็ ขอเสียมารยาทให้ฝ่าบาทคุยกับเกล้ากระหม่อมแทนไปก่อนกระหม่อม”
     
                ดวงตาสีฟ้าของเขาจ้องลึกลงไปในดวงตาสีเดียวกันของเด็กหนุ่มรุ่นลูกที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คงจะเป็นลูกชายของเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
     
    แล้วเธอ... ไม่คิดจะแนะนำตัวกับฉันหน่อยหรือ” ถามถึงการแนะนำตัวอันเป็นมารยาทพื้นฐานอันดีเวลาจะมีปฏิสันถารกับคนอื่น เมื่อตั้งแต่เริ่มพูดกันมาเด็กหนุ่มยังไม่แนะนำตัวแก่เขาเลยสักนิด
     
    ขออภัยที่เสียมายาทกระหม่อม เกล้ากระหม่อม เคลวิน เกรเดเวล แห่ง เดมอส” เคลค้อมตัวลงคำนับด้วยความนอบน้อมราวกับไพร่สามัญชนมอบให้แก่กษัตริย์เหนือหัว
     
    ยศ” เขาลองถามถึงยศที่เด็กหนุ่มควรได้รับ เคลส่งยิ้มเฝื่อนแทนคำตอบ
     
    เกล้ากระหม่อมมาอาศัยท่านตาอยู่เท่านั้นฝ่าบาท ไม่อาจเอื้อมขอมียศของเดมอสหรอกระหม่อม ขณะนี้เกล้ากระหม่อมเป็นเพียงนักเดินทางเท่านั้น” น้ำเสียงที่ใช้ตอบคำนั้นฟังดูเฝื่อนหู กษัตริย์หนุ่มแทบไม่เชื่อหู ระดับอย่างเด็กหนุ่มตรงหน้าแค่เจ้าชายยังน้อยไปด้วยซ้ำ แต่ก็เพียงเก็บอาการแล้วส่งคำถามถัดไป
     
    เธอ... คิดยังไงกับเรื่องเหล่านี้” เคลค้อมศีรษะ แล้วถามซ้ำ
     
    ขออภัยฝ่าบาท ฝ่าบาทหมายถึงเรื่องไหนกัน”
     
    เธอรู้ดีอยู่แล้ว มันอยู่ในจิตใจของเธอ ความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น” คาโลไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่ประเด็นคำถาม แต่ตอกย้ำถึงปมภายในจิตใจของเคล
     
    หากฝ่าบาทต้องการให้เกล้ากระหม่อมตอบตามตรง เกล้าหระหม่อมขอตอบว่า เกล้ากระหม่อมข้องใจกับเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆของฝ่าบาทกับพวกท่านพ่อท่านแม่มากที่สุด แต่หากท่านพ่อและท่านแม่ไม่อยากให้พวกเกล้ากระหม่อมรู้แล้วล่ะก็ เกล้าหระหม่อมจะไม่เอ่ยถามใดๆ”
     
    ทั้งๆที่เธอเองก็ข้องใจ”
     
    กระหม่อม ท่านพ่อมีเหตุผลของท่านเสมอ” เคลตอบรับอย่างสุภาพ
     
    โร เซวาเรสงั้นหรือ” เขาพึมพำเสียงเบา
     
    กระหม่อม ฝ่าบาทคงรู้จักดี คิงโรแห่งทริสทอร์” คาโลเลิกคิ้วขึ้น
     
    เธอรู้กระทั่งเรื่องนั้น”
     
    เกล้ากระหม่อมรู้ ตราบใดที่ท่านพ่อเห็นสมควรว่า เกล้ากระหม่อม ‘จำเป็น’ จะต้อง ‘รู้’ กระหม่อม”
     
    เหมือนหุ่นกระบอกงั้นหรือ รับรู้ตามที่พวกเขาต้องการให้รับรู้ แสดงออกตามที่พวกเขาต้องการให้แสดงออก” คาโลเปรย เคลรีบแย้งคำ
     
    ฝ่าบาทกำลังเข้าใจท่านพ่อผิด ท่านพ่อไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น”
     
    แล้วทำไมเขาถึงบอกความจริงทั้งหมดแก่เธอไม่ได้ล่ะ” เคลก้มหน้าลง เพราะเขายังเด็ก หากรู้เรื่องราวพรรค์นี้เมื่อก่อนหน้า คงจะแสดงออกทางสีหน้าไปจนหมดและอาจจะเผลอทำให้ท่านแม่เสียใจ
     
    เธอก็ตอบไม่ได้” เขาเปรยอย่างผู้เหนือกว่า
     
    เกล้าหระหม่อมมีคำตอบ สำหรับหม่อมฉัน ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ” เคลแย้งอย่างเชื่องช้า
     
    เขาไม่ได้พูดความจริงทุกอย่างกับเธอด้วยซ้ำ” คาโลยังเสริมคำ
     
    เกล้าหระหม่อมทราบดี” เขายอมรับ บางอย่างที่ท่านพ่อพูดก็เป็นคำโกหก แต่ก็เพื่อความสบายใจของทุกคน
     
    แม้กระทั่งเรื่องที่ฉันเป็นพ่อของเธอ” เคลหลุบตาแน่น เขาเริ่มรุกแล้ว
     
    เกล้าหระหม่อมทราบดี” เขายังตอบรับอย่างสุภาพ แต่ด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด คาโลเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
     
    ตั้งแต่เมื่อไร” เคลเม้มปาก ความจริง เจ็บปวดเสมอ
     
    ตั้งแต่เมื่อเกล้าหระหม่อมได้พบฝ่าบาท แค่หากลองมองในมุมที่ว่า เกล้ากระหม่อมเป็นลูกของฝ่าบาท ทุกอย่างก็จะเข้าล็อก ถึงเหตุผลที่เกล้ากระหม่อมถึงได้มีหน้าตาหรือลักษณะใดๆที่เหมือนกับท่านพ่อหรือท่านแม่เลย สีผมแบบนี้ ดวงตาแบบนี้ โครงหน้าแบบนี้ มันไม่ได้มีเกลื่อนกลาดเหมือนบุคคลทั่วไป แล้วผู้ที่มีสายเลือดของจอมภูตแห่งสโนว์แลนด์ก็มีเพียงหยิบมือ แต่เมื่อท่านพ่อไม่ได้แสดงถึงลักษณะเด่นเหล่านั้นออกมา แม้จะเป็นไปได้ที่เกล้าหระหม่อมอาจจะรับลักษณะเหล่านั้นมา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่หน้าตาของเกล้าหระหม่อมจะเหมือนกับฝ่าบาทถึงขนาดนี้” เขาอธิบายความคิดเห็นของตัวเองอย่างยากลำบาก มันเจ็บปวด ที่อยู่ๆก็ต้องมารับรู้ว่าตัวเองเป็นลูกของคนอื่น ไม่ใช่เป็นลูกของคนที่ชุบเลี้ยงเขาเองมาถึงสิบห้าปี บางที ท่านแม่อาจจะเคยรู้สึกแบบนี้ก็เป็นได้
     
    แม้จะรู้แบบนี้ เธอก็ยังจะเชื่อเขา” เขายังรุกต่อ คาโล วาเนบลี ต้องการอะไรกันแน่ เพียงแค่นี้ยังไม่เพียงพองั้นหรือ
     
    เขาเป็นท่านพ่อของเกล้าหระหม่อม ฝ่าบาท แม้จะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่เขาก็ ชุบเลี้ยงเกล้าหระหม่อมจนเติบโต ดูแลเกล้ากระหม่อมและแคลร์เป็นอย่างดีทั้งๆที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวดองกันเลยแม้แต่น้อย เกล้ากระหม่อมไม่มีทางเชื่อว่าท่านจะทำเรื่องแบบนี้โดยที่มีผลประโยชน์ใดๆแอบแฝง ท่านต้องมีเหตุผลของท่าน” เขายังอดทนชี้แจงความคิดเห็นของตัวเองอย่างสุภาพต่อไป แม้ว่ามันจะเริ่มยากลำบากขึ้นทุกที
     
    นั่นหมายความว่า เธอจะยังเชื่อเขาต่อไป” เคลพยักหน้ารับ
     
    กระหม่อม” คาโลจ้องหน้าลูกชายนิ่ง ดวงตาสีฟ้านั้นจ้องลึกราวกับจะทะลุเข้าไปให้ถึงจิตใจของเขา ซึ่งบางที เขาอาจจะทำได้ เมื่อเวลานี้เขาอ่อนแอเหลือเกิน นาน กว่าเขาจะยอมเบือนสายตาออก แล้วเบือนไปยังแคลร์แทน
     
    แล้วเด็กคนนั้นล่ะ หล่อนรู้อะไรบ้าง”
     
    แคลร์เท่านั้น ฝ่าบาท ที่เกล้ากระหม่อมไม่อยากให้เข้ามาพัวพันกับเรื่องเหล่านี้” เคลตอบเลี่ยงประเด็น ดวงตาสีฟ้ากระจ่างนั้นหม่นมัวเมื่อนึกถึงความยุ่งยากที่อาจตามมาเมื่อเจ้าหล่อนรู้เรื่องเข้า
     
    เกล้ากระหม่อมขอขอบพระทัย และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทมากที่ยอมช่วยแคลร์ แต่แค่เกล้ากระหม่อมก็เพียงพอแล้ว หากฝ่าบาทต้องการอะไร ขอให้เอาสิ่งนั้นไปจากเกล้าหะรหม่อมเพียงคนเดียว ปล่อยแคลร์ไป ให้เธอมีชีวิตของเธอ” เคลเอ่ยเสียงแผ่วเบา แคลร์ต้องรับไม่ได้แน่ๆ หากรู้เรื่องเข้า แคลร์รักท่านพ่อมาก มากจนอาจจะถึงขั้นเทิดทูน
     
    หมายความว่าเธอจะยอมเสียสละงั้นหรือ”
     
    ทุกอย่างฝ่าบาท แม้แต่ชีวิต เกล้าหระหม่อมก็ยอมสละให้ แค่ให้แคลร์มีชีวิตอย่างปกติ” เคลหลุบตาลง ทอดสายตามองน้องสาวฝาแฝด ก่อนจะลูบผมของหล่อนอย่างอ่อนโยน
     
    เขาสอนเธอมาอย่างนั้นหรือ”
     
    เพราะผมทำให้ท่านแม่ยิ้มไม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่างน้อย แค่แคลร์เท่านั้น ให้ผมได้ปกป้องรอยยิ้มของเธอ แค่นั้นก็พอแล้ว” เคลพึมพำเสียงเบาในลำคอ ดวงตานั้นทั้งอ่อนโยน ระคนเจ็บปวด
     
                สายลมเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเข้ามาในห้องพัก ราวกับต้องการจะประชดบรรยากาศภายในห้อง ที่ทั้งแห้งผาก และหนาวเย็น จนจับขั้วหัวใจ ความรู้สึกบางอย่างจุกขึ้นมาที่ลำคอ แต่ทว่าไม่อาจระบายออกไปได้ เขาทำได้เพียงกลืนมันลงไป และยอมรับทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น ทุกอย่าง เพียงเพื่อปกป้องแคลร์
     
                คาโลทอดมองไปยังทั่วทั้งบริเวณห้องพัก มันไม่ใช่ห้องพักของหัวหน้าชั้นปีอย่างที่เขาคุ้นเคย แต่เป็นห้องของนักเรียนธรรมดาที่แคบกว่าที่เคยรู้จัก หน้าต่างบานเล็กนั้นถูกเปิดออกเพื่อระบายอากาศ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศอึดอัดนี่ดีขึ้น โต๊ะเขียนหนังสือก็มีเพียงตัวเดียว แม้จะใหญ่กว่าโต๊ะที่ห้องพักของหัวหน้าชั้นปีที่มีถึงสามตัว แต่ก็คงไม่เพียงพอต่อการใช้งานถึงสามคนอยู่ดี
     
                เขาไม่เคยคาดคิดว่าเหตุการณ์จะมาอยู่ในลักษณะนี้ ลูกชายของเขาก้มหน้านิ่งทอดสายตามองเพียงน้องสาวฝาแฝด เขากำลังพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง ที่เขาไม่สามารถได้ยินได้ ลูกชายคนนี้ไม่พร้อมรับเหตุการณ์เหล่านี้ ความจริง เด็กคนนั้นไม่ยอมรับเขาเลยด้วยซ้ำ สรรพนามที่ใช้นั้นห่างเหินราวกับสามัญชนใช้พูดกับกษัตริย์สูงส่ง
     
    ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ ฉันจะขอเพียงอย่างเดียว...” เคลเงยหน้ามองยังผู้ที่เป็นพ่อแท้ๆ เตรียมรับฟังคำขอของเขา ด้วยดวงตาที่หม่นหมองอย่างที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ คาโลจ้องมองดวงตาคู่นั้น ที่เหมือนกับของเขาราวกับเป็นคู่เดียวกันอย่างเจ็บปวด ก่อนจะตัดสินใจ

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
                ไม่เงียบ แต่ก็ไม่วุ่นวายจนเกินเหตุ ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งท่ามกลางผู้คนโดยรอบ สมกับที่ท่านพ่อเป็นคนเลือกร้าน บรรยากาศกำลังเหมาะให้แฝงตัวโดยที่ไม่มีใครผิดสังเกต
     
                ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเหลือบมองไปยังบุรุษผู้เลือกร้านเหล้าให้มานั่งคุยกันแทนที่จะตรงกลับเดมอสในทันทีที่พบพวกเขา ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
     
                เหมือนกับไม่ใช่เอดินเบิร์กวันปิดเทอม เพราะร้านเหล้ากลางเก่ากลางใหม่ที่ว่านี่แทบจะไม่เห็นหัวนักเรียนโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กเลยสักคน ไม่รู้ท่านพ่อไปรู้จักร้านนี้ได้ยังไง
     
                ทุกคนกำลังพูดคุย ทุกคนกำลังหัวเราะ ราวกับว่าผมกำลังมองภาพนี้อยู่วงนอกเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ก็นั่งอยู่ด้วยกัน ผมไม่มีอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศภายในโต๊ะนี้เลยสักนิด
     
                แคลร์ที่เพิ่งฟื้นได้เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าพึมพำขอโทษเสียงเบาที่ทำให้ผมเป็นห่วง และยังขอโทษที่ทำให้งานหมากกระดานเกียรติยศของชั้นปีของเราล้มไม่เป็นท่า พอรู้ว่าผมไม่ได้ว่าอะไรเจ้าหล่อนนัก เจ้าหล่อนก็ยิ้มร่าดีใจ แล้วมาเลียบๆเคียงๆถามถึงโปรแกรมเที่ยวคาโนวาลของเจ้าหล่อนทันที แน่นอนว่าผมตัวแข็งไปทันทีที่ได้ยินคำว่าคาโนวาล แต่คำอธิบายที่มาของโปรแกรมนี้ดูเหมือนจะสูบชีวิตของผมไปมากกว่าตัวสถานที่เที่ยวของเจ้าหล่อนเสียอีก
     
                แคลร์ว่า เธอวางแผนเอาไว้กับพวกสาวๆก่อนถูกเล่นงาน เล่นเอาผมแทบลมจับ เพราะอย่างงี้น่ะสิถึงได้เป็นซะอย่างนั้น และไม่ต้องลุ้นเสียให้ยาก ผมบอกปัดเจ้าโปรแกรมเที่ยวนั่นทิ้งไปในทันทีอย่างไม่ต้องคิด ด้วยเหตุผลที่ผมคิดได้เดี๋ยวนั้นเอง คือ ไม่ว่าง
     
                แน่นอนว่าเจ้าหล่อนหงอยไปหลายวันหลังจากที่ผมยื่นคำขาดกลายๆว่าไม่ให้ไป แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสู้ฤดูกาลสอบปลายภาค เจ้าหล่อนจึงไม่มีเวลาให้หงอยได้นานนัก เพราะต้องเตรียมสอบ
     
                และดูเหมือนอาการบาดเจ็บและอาการขาดเลือดจะไม่ใช่อุปสรรคของแคลร์ เพราะแม่น้องสาวฝาแฝดของผมก็คว้าอันดับหนึ่งของวิชาเวทย์มนตร์มาได้จากอาจารย์ลูคัส และยังไม่รวมท็อปเท็นวิชาการเดินหมากฯเบื้องต้น ซึ่งแน่นอนว่า วิชานี้ ผมกินเต็ม สภาพของแคลร์ไม่เต็มร้อย และแน่นอนว่าผมเองก็ไม่เต็มร้อย หลังจากที่ต้องมานั่งสังเคราะห์เรื่องต่างๆนานาที่ต้องมารุมเร้าเอาในช่วงนี้ แต่ก็ถือว่าสภาพดูดีกว่าแคลร์แน่นอน และยังสภาพดีมากพอที่จะไปชิงชัยในวิชาดาบได้ ผม เรคส์ แอนนา และไอ้หนุ่มจากหออื่นที่ผมไม่ได้ใส่ใจ เพราะผมจัดการคว่ำมันทิ้งในชั่วอึดใจ หลังจากที่มันมาขวางทางผมที่จะหาทางฟาดดาบใส่เจ้าเรคส์เพื่อทำการระบายอารมณ์ และหลังจากที่ผมจัดการเล่นงานเจ้าเรคส์จนพอใจ เรคส์กับผมก็จัดการเอาตัวเองออกจากระบบการสอบ และยกตำแหน่งอันดับหนึ่งในแอนนาไป โดยที่ไม่ลืมไปเล่นกับแอนนาพอกล้อมแกล้ม และสำนึกได้ว่าตัวเองฟาดดาบใส่เจ้าหล่อนไม่ลง  สำหรับวิชาประวัติศาสตร์ของอาจารย์ลอเรนซ์ ก็เป็นตัวผม เรคส์ และเด็กของปราการปราชญ์คนหนึ่งที่เขาไม่ค่อยจะชอบขี้หน้า เพราะมันบังอาจมายุ่งกับแคลร์ ผมจึงไม่ไว้หน้ามันเช่นกันในศึกการชิงชัยครั้งนี้ สุดท้ายแล้ว ก็จึงเป็นตัวผมเองที่คว้าอันดันหนึ่งมาครอง ส่วนวิชาอื่นก็ถัวเฉลี่ยกันไป และแน่นอนว่า แม้ว่าป้อมอัศวินจะมีพวกผมคอยถัวเฉลี่ยอันดับดีๆมาแปะไว้กับป้อมบ้าง แต่สุดท้ายคะแนนรวมก็อยู่อันดับโหล่อยู่ดี ด้วยคะแนนเฉลี่ยที่เฉือนกับแผ่นดินประชาชนไปกะผีกเดียว ผมมีความรู้สึกว่า ถ้าเคเรสยอมลงมาร่วมศึกชิงอันดับนี้ด้วยล่ะก็ ป้อมอัศวินคงไม่อยู่อันกับสุดท้ายแบบนี้ แต่ก็อย่างว่า เคเรสแค่ยอมรักษาอันดับให้อยู่ช่วงกลางๆแบบนี้ให้ก็บุญโขหนักหนาแล้ว ยิ่งช่วงนี้มันยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยดีจากการโดนอาคิลดุเพราะเรื่องพวกผมฝาแฝดอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
     
                ไม่ต้องพูดถึงสภาพอาจารย์ประจำป้อมว่าจะทำหน้ายังไงเมื่อได้เห็นอันดับคะแนนของป้อมเรา อาจารย์ลอเรนซ์ทำหน้าราวกับว่าตรงหน้าของอาจารย์ไม่ใช่นักเรียน แต่เป็นกองอะไรประหลาดๆบนโลกนี้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ส่วนอาจารย์ลูคัสแค่ยิ้ม ใช่ ยิ้ม นั่นแหละ แค่ยิ้มอย่างเดียวก็เล่นเอาป้อมนักเรียนปีหนึ่งซีดกันจนแทบสลบเหมือดกันไปหลายคน นี่ไม่นับว่าเจ้าหญิงเรเวนมายิ้มเย็นแล้วประชดให้ฟังเป็นฉากอีกนะ ดูเหมือนว่าปีหน้าคงจะมีคนตั้งใจเรียนกันมากขึ้นอีกเยอะ ไม่งั้นก็คงจะมีคนตั้งสมาคมแอนตี้การเรียนไว้รอเพื่อเน้นการประชดอย่างเดียว
     
                ผมกลับมาสู้โลกแห่งความจริงอีกครั้งเมื่ออาหารที่สั่งไปมาวางตรงหน้า ผมจัดการเลื่อนจานไปให้แคลร์ตามความเคยชิน ซึ่งเจ้าหล่อนก็ยิ้มหวานให้แทนคำขอบคุณ ก่อนจะกินเอากินเอาอย่างไม่มีทีท่าของคนเคยบาดเจ็บ แน่ล่ะ การที่เจ้าหล่อนกินได้ถือเป็นเรื่องดี แต่บางทีก็ควรจะเพลาๆลงหน่อย ผมถอนหายใจแล้วมองไปยังเพื่อนอีกสองคน คนหนึ่งก็กำลังคว้าอาหารที่ไม่ใช่มังสะวิรัติไปจากมืออาคิลแล้วก็ตั้งตาตั้งตากินเช่นกัน สายตานั่นบ่งบอกมากว่ากำลังประชดอยู่ ผมส่ายหน้าไปพลางแล้วจึงเบือนสายตาหนี ก่อนจะมาสบเข้ากับเพื่อนคนสุดท้าย ที่ขยับยิ้มบางเหมือนจะขบขันก็ไม่เชิงแล้วก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจเป็นจังหวะเดียวกันกับผม
     
                และดูเหมือนว่าผมจะถอนหายใจมากเกินไป เพราะในที่สุด ท่านพ่อก็เอามือมาวางบนหัวของผมแล้วออกปากทักเสียงเบาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนท่านแม่ ที่กำลังพูดไปพลาง กินไปพลางอย่างออกรส
     
    ลูกทำเหมือนชีวิตกำลังจะจบสิ้นในอีกสิบวันข้างหน้า เป็นอะไรไป เคล” ผมเงยหน้ามองท่านพ่อ ซึ่ง บัดนี้ก็ไม่อาจเรียกได้อย่างเต็มปากว่าท่านพ่ออีกต่อไป ด้วยแววตาที่ตอบรับคำทักนั้นอย่างเต็มที่
     
    พบเข้าแล้วสินะ” ท่านพ่อพูดกว้างๆ แต่ความหมายเป็นที่รู้กัน ผมพยักหน้าช้าๆ ท่านพ่อชะงักไปนิด แต่ก็เพียงครู่เดียวแล้ว แล้วจึงขยับยิ้มให้เหมือนอย่างทุกที
     
    ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก ทุกปัญหาที่ทางแก้ยังไม่มาถึง มันมักจะมีทางเบี่ยงเตรียมไว้รอเสมอนั่นแหละ” ท่านพ่อตอบในภาพรวม แล้วเลื่อนจานอาหารมังสะวิรัติส่งให้แก่ผม
     
    กินซะ ก่อนที่จะไม่เหลือให้กิน แม่กับน้องกำลังกินเอาๆและอาจจะหมดได้ในไม่ช้า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แม่ลูกพูดไว้” ผมเงยหน้ามองท่านพ่ออีกครั้งเพื่อหาคำยืนยัน ซึ่งท่านก็เพียงแค่ยิ้มให้ แต่เป็นท่านแม่ที่หันมายืนยันกับคำพูดของท่านพ่อ
     
    จริง เคลวิน กินซะ ไม่กินก็ไม่มีแรงไปทำอะไรต่อ แม่ไม่รู้ว่าลูกมีปัญหาโลกแตกอะไรให้ขบคิดนักหนา แต่เวลากิน ก็ต้องกิน เรื่องปัญหาโลกแตกนั่นโยนทิ้งไว้ก่อน เดี๋ยวไว้ให้โรมันช่วยคิดทีหลัง” ผมหันไปมองท่านแม่ที่ตอนนี้หยุดกินแล้วหันมาใส่ใจตัวผมที่ยังไม่เริ่มแตะต้องอาหารใดๆ
     
    ครับ” ผมตอบรับเสียงเบาแล้วเริ่มตักอาหารเข้าปาก ซึ่งท่านแม่ก็พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วจึงหันไปจัดการภาระอันยิ่งใหญ่ของท่านแม่ต่อ นั่นก็คือการกิน
     
                ดูเหมือนว่า บรรยากาศของเอดินเบิร์กจะทำให้ท่านแม่ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจริงๆ เพราะจากท่านแม่ที่ปกติจะดูบอบบางตลอดเวลา ตอนนี้ก็ดูแข็งขันขึ้น และเริ่มมีเค้าว่าท่านเคยกร่างมาสมัยที่ท่านยังเป็นนักเรียนให้เห็น จนผมเริ่มมีความรู้สึกว่า ความจริงแล้ว ท่านพ่อไม่ได้เป็นคนรู้จักร้านนี้ แต่เป็นท่านแม่ต่างหาก ผมเงยหน้ามองท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อเพียงแค่โคลงหัวเล็กน้อยเมื่อยามมองท่านแม่ แต่ท่านพ่อก็ยังยิ้ม
     
                ผมหลุบตาลงแล้วหายใจออกยาว ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ระหว่างท่านพ่อ ท่านแม่ และคิงคาโล แต่ท่านพ่อรักก็ท่านแม่มาก และพวกท่านก็เป็นห่วงพวกผมฝาแฝดมากเช่นกัน ซึ่งนั่นคือความจริง
     
                ผมตักอาหารเข้าปากอีกคำอย่างช้าๆ บางที่ท่านแม่อาจะพูดถูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ควรทำให้เวลากินก็คือการกิน ปัญหาโลกแตกของพวกเรานั้นก็โยนไปไว้แก้ทีหลัง
     
                ผมหันกลับมาสู่บรรยากาศเบื้องหน้า ความจริงแล้ว ที่โต๊ะตัวนี้ควรจะมีแค่ครอบครัวของผมก็ได้ แต่อาคิลและลุงกัสก็ยืนยันว่าจะไปส่งพวกผม ซึ่งผมคิดยังไงก็น่าจะหมายถึงท่านแม่ ให้ถึงเดมอส อาคิลอาจจะอยู่เลยตามเลยที่เดมอส แต่ ลุงกัสคงจะไปส่งถึงแค่กลางทาง แล้วเร่งกลับกิลดิเรก ลุงกัสคงไม่สามารถทิ้งแผ่นดินกิลดิเรกได้นานกว่านี้ ซึ่ง แค่นั่งทานอาหารรวมกันอย่างนี้ผมยังติดใจอยู่เลยว่าลุงกัสอยู่รออะไรอยู่กันแน่
     
                ทุกคนหัวเราะ ให้กับเรื่องเล่าต่างๆที่แคลร์กำลังเล่าอย่างออกรส ดูเหมือนว่าแคลร์จะชอบโรงเรียนพระราชาจริงๆ และที่ชอบที่สุดก็น่าจะเป็นเพื่อนสาวทั้งสองของเธอ ซึ่ง นั่นก็น่าจะเข้าใจได้อยู่ ก็หล่อนเพิ่งจะเคยมีเพื่อนสาวกับเขาเป็นครั้งแรก
     
                ผมค่อยๆกินอาหารตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ขณะกำลังฟังเรื่องเล่าของแคลร์ไปพลาง และนึกวิเคราะห์เรื่องเล่าของแคลร์ไปในใจ เผื่อมันจะมีส่วนไหนที่แคลร์บิดเบือนไป ผมจะได้แก้ได้ทัน
     
                แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า บรรยากาศสนุกสนานก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อประตูไม้ของร้านส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเป็นสัญญาณว่ามีแขกคนใหม่เข้ามาเยือน สรรพเสียงต่างๆก็ต่างหยุดลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
     
                คิงคาโลแห่งคาโนวาลอยู่ที่นั่น ตรงบานประตูหน้าร้าน เขาอยู่ในชุดคลุมกันหนาวสีขาวจนดูกลืนไปกับอากาศด้านนอกที่เริ่มมีหิมะตก
     
                ท่านแม่ที่กำลังหัวเราะก็หยุดหัวเราะ ใบหน้าสดใสของท่านแม่ที่ผมเพิ่งได้เห็นแค่เพียงชั่วครู่ก็เหือดหายไปราวกับน้ำที่กำลังระเหย และแทนที่ด้วยใบหน้าซีดเผือดแทน อาคิล ลุงกัส และผมผุดลุกขึ้นขึ้นพร้อมกัน แต่ท่านพ่อเพียงแต่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วจิบชาเท่านั้น
     
                ดวงตาสีฟ้าของคิงคาโล ดวงตาคู่เดียวกันกับผมกำลังกวาดมองสภาพร้านรอบๆ ราวกับกำลังสนใจอะไรหนักหนา แต่ความจริงแล้ว ผมรู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไร พูดตามจริง ผมรู้ถึงจุดประสงค์แห่งการมาครั้งนี้ของเขาเลยด้วยซ้ำ
     
    ขอโทษที่มาขัดจังหวะ” เขาพูดเสียงเรียบเรื่อย และก้าวเข้ามาใกล้ยังบริเวณโต๊ะอาหารของพวกผม “แต่ ขอรบกวนเวลาแค่นิดเดียว”
     
                ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่แม้แต่จะอารัมภบทด้วยซ้ำ
     
    ฉันมาทวงคำตอบของเด็กคนนี้” คิงคาโลผายมือมาทางผมเพื่อชี้เฉพาะ
     
                ผมรู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังผม ท่านแม่มองมาที่ผมราวกับจะถามว่าทำไม และแคลร์ที่มองมาที่ผมราวกับจะถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
     
                ผมก้าวออกไปข้างหน้า แล้วถวายคำนับเช่นไพร่สามัญชนมอบให้แก่กษัตริย์เหนือหัว ผมยืดตัวขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งแล้วเริ่มเอ่ยก่อน
     
    ฝ่าบาทไม่รักษาสัญญา” แม้ผมจะเอ่ยในทำนองตัดพ้อต่อว่า แต่คู่สนทนาของผมเพียงแค่ส่ายหน้า
     
    ฉันคิดว่าเวลาสองสัปดาห์น่าจะเพียงพอ”
     
    ฝ่าบาทตรัสแล้วว่าจะไม่ดึงเรื่องนี้ให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง” ผมอยากจะร้องตะโกน แต่ก็ทำได้เพียงข่มเสียงไว้ให้เหมือนการพูดโดยปกติ
     
    ฉันแค่มาทวงคำตอบจากเธอเท่านั้น” เขายังคงยืนยันคำเดิมด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
     
    ท่านพี่” แคลร์ร้องเรียกเสียงเบา ผมหันหลังกลับไปยังน้องสาวฝาแฝด แล้วยิ้ม แม้ว่ามันจะยากลำบากเพียงไร
     
    ไม่มีอะไร นั่งลง แคลร์ คิงคาโลแค่แวะมาคุยกับพี่เท่านั้น” ผมปลอบเธอที่กำลังสั่นด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะข่มให้ราบเรียบที่สุด แคลร์ไม่ใช่คนโง่ แค่เห็นคิงคาโล ก็น่าจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้อย่างไม่ยากเช่นเดียวกับผม ผมเหลือบสายตาไปยังท่านแม่ที่ทำหน้าราวกับสิ่งสำคัญกำลังเลือนหายไปต่อหน้า และสุดท้าย ไปหยุดที่ท่านพ่อ
     
    พ่อเชื่อ ว่าลูกจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ลูกคิดว่าดีที่สุด” ท่านพ่อเอ่ยเสียงเบาขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบ ดวงตาสีมรกตของท่านพ่อมองตรงไปยังที่ๆเดียว นั่นคือดวงตาสีฟ้ากระจ่างของคิงคาโล ผมเบือนสายตาจากคำแนะนำของท่านพ่อ แล้วกันหลับมาเผชิญหน้ากับชายตรงหน้าอีกครั้ง
     
    เกล้ากระหม่อมยังไม่มีคำตอบให้ฝ่าบาท” ผมตอบชายตรงหน้ากลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับถวายคำนับลงอีกครั้ง
     
    เกล้ากระหม่อมเสียใจ แต่เกล้ากระหม่อมขอพระราชทานอนุญาตเชิญเสด็จฝ่าบาทกลับ” ผมพยายามทำทุกอย่างอย่างประนีประนอมที่สุด ผมไม่พร้อม คำขอของคิงคาโลยากเกินไปสำหรับเขา ทั้งๆที่มันเป็นเพียงคำของ่ายๆ
     
    แค่บอกฉันว่าเธอจะไปคาโนวาลกับฉันหรือไม่ก็ไม่ได้งั้นหรือ” เขาถามเสียงเรียบ ผมพยักหน้ารับ
     
    ไม่!!” ท่านแม่กรีดร้องขัดบทสนทนาเสียงลั่น เมื่อท่านแม่จับประเด็นได้ ทุกสายตาหันมองไปยังท่านแม่เป็นตาเดียว
     
    ฉันไม่ยอมให้นายพาเขาไปไหนทั้งนั้น!!”
     
    เฟริน” ดูเหมือนทุกคนจะครางออกมาพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจ ท่านแม่กำลังเสียศูนย์ และกำลังจะวีน
     
    นายคิดจะทำอะไรของนาย!!” ท่านแม่วีนลั่น และดูเหมือนว่า ทันก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น ท่านพ่อรีบกางเขตอาคมไว้ได้อย่างทันท่วงที อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องภายใน ยังไงท่านพ่อก็คงไม่อยากให้ใครได้ข่าวอะไรเสียหายไปจากที่นี่
     
    นายผลักไสฉัน!! ทิ้งฉันไว้คนเดียวเป็นสิบยี่สิบปี!! แล้วจู่ๆวันหนึ่งนายก็คิดก็แย่งเขาไปจากฉันงั้นหรือ!!” ท่านแม่ก้าวออกมาเบื้องหน้าผมแล้วดันผมไปด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาลของท่านแม่วาวขึ้นอย่างน่ากลัวแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คิงคาโลไม่เอ่ยอะไร ดวงตาสีฟ้ากระจ่างนั่นไม่แม้แต่จะวูบไหวเลยด้วยซ้ำ
     
    นายเลือกผู้หญิงคนนั้นแล้ว แล้วจะมายุ่งอะไรกับฉัน กับพวกเราอีก นายคิดจะทรมานฉันไปถึงไหน” ท่านแม่กรีดร้องจนเสียงแตกพร่า ราวกับท่านแม่กำลังจะร้องไห้ ผมคว้ามือท่านแม่มาจับแล้วลูบปลอบเบาๆ ท่านแม่บีบมือผมแน่น
     
    เด็กคนนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาย เขาเป็นลูกของฉัน นายได้ยินไหม เขาเป็นลูกของฉัน!!” ท่านแม่ตอกย้ำเสียงดัง แต่ผมไม่แน่ใจ ว่าท่านแม่ตอกย้ำสิ่งเหล่านี้ให้ใครฟัง ระหว่างตัวท่านเอง หรือว่าคิงคาโลกันแน่ ท่านพ่อวางถ้วยชาลงยันตัวลุกขึ้น เตรียมจะก้าวออกมาข้างหน้าเป็นคนถัดไป แต่ติดตรงที่แคลร์ที่ยังยืนตัวสั่นอยู่ด้านใน
     
    ท่านแม่” ผมร้องเรียก หมายจะปลอบ แต่ก็ทำได้เพียงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ท่านแม่บีบมือผม แต่ไม่ยอมหันหน้ากลับมามอง
     
    เฟริน” อาคิลร้องเรียกแม่เสียงเบา เขาคงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
     
    นายไม่ได้เป็นพ่อของเขา คาโล วาเนบลี ตอนนี้ คนที่เป็นพ่อของเขาคือโร เซวาเรสเท่านั้น” ท่านแม่กรีดเสียงใส่หน้าคิงคาโล ผมเงยหน้ามองดูปฏิกิริยาของคิงคาโล แม้ใจจะคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องไร้ปฏิกิริยาเหมือนดังเช่นครั้งที่ผ่านๆมา
     
                แต่หากว่าผมมองไม่ผิด ดวงตาสีฟ้าแบบเดียวกันกับผมนั้นมันวูบไหวไปชั่วขณะ เมื่อท่านแม่ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่าน ท่านพ่อ และคิงคาโล แต่แววตานั่นก็ปรากฏให้เห็นเพียงแค่ครู่เดียว แล้วมันก็กลับไปเรียบเฉยเย็นชาเช่นเดิม
     
    ท่านพ่อ บอกลูกที ว่านี่เป็นแค่เรื่องโกหก” แคลร์คว้าร่างของท่านพ่อไว้แน่น เอ่ยร้องขอทั้งน้ำตา เธอกำลังซึมซับเรื่องราวทั้งหมด ทั้งๆที่หัวใจปฏิเสธ ผมเหลียวหลังกลับไปหาน้องสาวฝาแฝด แล้วหันกลับมามองท่านแม่อีกครั้ง ท่านแม่อาจจะเคยเข้มแข็ง แต่คิงคาโลก็ทำลายสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปจนเกือบหมด เหลือแต่เพียงความเข้มแข็งจอมปลอมที่ท่านแม่สร้างมันขึ้นมาเพื่อกำบังกายเท่านั้น แล้วแคลร์ล่ะ แคลร์ยังไม่เคยรู้จักถึงความเข้มแข็งที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ แคลร์รับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ และใครจะแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้
     
    คาโล พอแค่นี้ดีไหม” ท่านพ่อเอ่ยขึ้นมาในที่สุด ขณะที่ยังลูบหัวปลอบประโลมแคลร์อยู่ไม่วางมือ
     
    ฉันไม่รู้ว่านายมีเหตุผลอะไรที่จะมาตามเด็กสองคนนี้คืน แต่เมื่อนายเป็นคนผลักไสพวกเขาออกมาด้วยตัวนายเอง...”
     
    อย่าพูดเหมือนตัวเองรู้ดีไปหมด โร เซวาเรส” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงที่ราวกับจะคำรามจากปากของคิงคาโล
     
    พอที” แคลร์เอ่ยเสียงเบาขัดการโต้เถียงอันไร้เหตุผลของพวกผู้ใหญ่ทั้งหมด แต่กลับก้องดังเสียจนสะท้อนไปถึงหัวใจ ผมเหลียวกลับไปมองยังที่มาของเสียง ใจหายวูบ
     
                ท่านพ่อ และคิงคาโลยังไม่หยุดสงครามจ้องตา ท่านแม่ยังคงบีบมือผมไว้แน่น ผมรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ และ ผมยังไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
     
    พอที!!” ผมจัดการเป็นคนเริ่มมันเสียเอง ก่อนที่แคลร์จะสติแตกไปด้วยอีกคน แค่ท่านแม่สติแตกก็เป็นเรื่องเหลือรับสำหรับผมแล้ว แต่ผมก็ยังไม่กล้าสะบัดมือท่านแม่ทิ้ง
     
    แคลร์!! นั่งลง!!” ผมตะโกนลั่น บอกน้องสาวฝาแฝดให้ปฏิบัติตาม หากเจ้าหล่อนสติแตกขึ้นมา ใครก็คงห้ามไม่อยู่
     
    ไม่ต้องสนว่านี่กำลังเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น นั่งลง!! แล้วฟังพี่!!” ผมเสริมคำอีกครั้ง แต่แคลร์ก็ยังส่ายหน้าทั้งน้ำตา
     
    ท่านพี่...” ผมนึกอยากให้ทุกคนหายตัวไปจากที่นี่ซะเดี๋ยวนี้ เผื่อเหตุการณ์บ้าๆพวกนี้จะได้สงบขึ้นมาบ้าง
     
    พี่จะเล่าให้ฟัง พี่สัญญา พี่สาบาน! เพราะฉะนั้น นั่งลง!!” ผมยอมรับปากในที่สุด เพื่อให้แคลร์ยอมนั่งลงดีๆเสียที
     
    เรคส์!” ผมเรียกชื่อเพื่อนสนิท เรคส์พยักหน้า รู้หน้าที่ในทันที ความจริงแล้วผมไม่อยากจะพึ่งมันให้มากนัก แต่เมื่อทางเลือกมีไม่มากนัก และนี่เป็นทางที่ดีที่สุด ตอนนี้ก็จำเป็นที่จะต้องเลือก แม้จะไม่ชอบก็ตามที
     
    ฝ่าบาท หากพระองค์อยากได้คำตอบนักล่ะก็...” หลังจากโยนเรื่องแคลร์ทิ้งไปให้คนอื่นจัดการได้เป็นที่เรียบร้อย ผมก็เป็นฝ่ายหันกลับมาเป็นผู้เล่นเกมส์บ้าๆนี่ด้วยตัวเอง เพื่อที่หากมันจะจบ ก็จะได้จบลงที่ผมคนเดียว
     
                ท่านแม่ดึงมือผมอย่างแรงจนผมเกือบจะเซถลา แต่ก็ยังยันตัวไว้ได้อยู่ ผมเหลือบลงมองท่านแม่ ท่านตาสีน้ำตาลของท่านแม่กำลังหวาดหวั่น ภายในนั้นสะท้อนภาพตัวผมที่ราวกับไม่ใช่ตัวผม มันดุดันกว่าที่ผมเคยรู้จักมาทั้งชีวิตเสียอีก
     
    ผมจะเลือกทางที่ดีที่สุด เพื่อแสดงให้ท่านแม่เห็น ว่าผมเป็นลูกของทั้งท่านพ่อและท่านแม่” ผมค้อมศีรษะ แกะมือท่านแม่ออกอย่างเชื่องช้าและนิ่มนวล แล้วก้าวตรงไปเบื้องหน้าคิงคาโลอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถวายคำนับให้กับคิงคาโลเป็นครั้งที่สาม เขตอาคมของท่านพ่อก็ถูกทำลายลง
     
    รู้สึกว่า พวกเธอนี่จะทำอะไรกันประเจิดประเจ้อเหมือนเดิมเลยนะ” น้ำคำที่ดังขึ้นท่ามกลางเขตอาคมสีดำสนิทที่กำลังแตกสลายนั้นฟังดูรื่นเริงชอบกล ผมมีความรู้สึกเหมือนกับคุ้นชินกับเจ้าของเสียงนี่มาจากที่ไหนมาก่อน แต่ก็ยังนึกไม่ออก
     
                ดวงตาทุกคู่เบือนไปจากผม และหันไปมองผู้ที่ทำลายเขตอาคมแทน ผมได้ยินเสียงท่านแม่สูดหายใจลึกกลั้นความปีติยินดีมาจากด้านหลัง แม้จะยังไม่เห็นตัว ผมก็เชื่อว่าเขาคงเป็นคนที่ท่านแม่รู้จัก
     
    คิดว่าที่นี่เป็นที่ไหนกันน่ะ” อีกเสียงหนึ่งที่ดังตามมานั้นแม้จะฟังดูห้วน แต่ก็ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หงุดหงิด หัวใจของผมเต้นระรัว ผมคิดว่า ผมรู้แล้วว่าสองคนมาใหม่นี่เป็นใคร
     
                สองผู้มาใหม่นั้นอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเข้มยาวตัวหนาดูอบอุ่น ผ้าพันคอสีอ่อนพันรอบคอดูสะอาดตา หนึ่งในสองคนนั้นยกมือขึ้นขยับแว่นกรอบดำแล้วขยับยิ้มบาง ขณะที่อีกคนขมวดคิ้ว มือข้างหนึ่งปัดเศษหิมะออกจากเสื้อคลุมพลางกวาดมองไปรอบๆอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก
     
    รุ่นพี่” ท่านแม่ครางเสียงสั่นแล้วถลาเข้าไปหาผู้มาใหม่ทั้งสองในทันที เขตอาคมสลายลงจนหมด กลับมาสู่บรรยากาศของร้านเหล้ากลางเก่ากลางใหม่อีกครั้งหนึ่ง ท่านแม่คว้าร่างของหนึ่งในสองผู้มาใหม่ไว้แน่น
     
    ผมอยากเจอรุ่นพี่เหลือเกิน” แน่นอนว่าผมมองภาพนั้นตาค้าง ท่านแม่ กำลังกอดอาจารย์ลอเรนซ์เสียแน่น แถมกอดอย่างคุ้นเคยยิ่งกว่าตอนท่านแม่กอดท่านพ่อเสียอีก ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา แม้แต่อาจารย์ลอเรนซ์หรืออาจารย์ลูคัสที่ไม่น่าจะพลาดโอกาสแซวอาจารย์ลอเรนซ์ก็ยังอึ้งไป
     
    น้อยๆหน่อยเรา” และดูเหมือนคนที่ได้สติคนแรกจะไม่ใช่ใคร ก็เป็นอาจารย์ลอเรนซ์อยู่ดี อาจารย์เขกหัวท่านแม่ทีหนึ่งเบาๆเพื่อบอกให้คลายมือออกได้แล้วอย่างกลายๆ
     
    ส่งจดหมายไปกี่ฉบับ เธอเคยส่งกลับมาบ้างไหมล่ะหา” อาจารย์ลอเรนซ์เริ่มออกปากบ่น เขาเดินฉับๆเข้ามายังโต๊ะของเราที่ทุกคนกำลังยืนนิ่งค้าง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงอย่างไม่สนใจมารยาท ซึ่งอาจารย์ลูคัสก็ทำแบบเดียวกัน แถมยังเรียกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างสบายอารมณ์อีกต่างหาก
     
    นั่นสิ เฟรี่ พี่เสียใจนะที่เธอไม่ตอบจดหมายพวกเราเป็นสิบปียี่สิบปี” ท่านแม่สะดุ้งเฮือก
     
    พี่ล้อเล่น ผมไม่ได้จดหมายจากพวกพี่เป็นสิบปียี่สิบปีแล้วนะฮะ” อาจารย์ลอเรนซ์ขมวดคิ้ว ผมยังนึกว่าอาจารย์จะดุท่านแม่ด้วยเรื่องจดหมายไม่ได้รับนี่ แต่กลับเป็นเรื่องอื่น
     
    แล้วไอ้สรรพนามเรียกตัวเองนี่ก็ทำให้มันดูเหมือนคนปกติเขาหน่อยได้มั้ย ตอนเรียนฉันยังพออนุโลมให้ แต่ตอนนี้มีลูกมีเต้า แถมก็โตๆกันหมดแล้วด้วย หัดทำตัวดีๆหน่อยสิ” ท่านแม่มุ่ยหน้า ขมวดคิ้วเมื่อโดนดุ ผมเหลือบตามองไปรอบๆ
     
                ลูกค้าคนอื่นๆผมไม่สนใจ แต่แค่เฉพาะในโต๊ะของเราก็ค้างกันไปเป็นแถบๆแล้ว ผมว่าแคลร์นี่ก็ทำอ้อนกับอาจารย์จนเกินงามแล้วนะ นี่ท่านแม่ยังอ้อนเกินกว่าแคลร์เสียอีก เคเรสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะนึกภาพท่านแม่ที่เป็นแบบนี้ไม่ออก ส่วนเรคส์ถ้าไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วก็ต้องเรียกได้ว่าเก็บอาการได้ดีเยี่ยม เพราะมันแทบไม่ออกอาการประหลาดใจใดๆมาให้เห็นเลย อาคิลกระซิบกระซาบบางอย่างกับลุงกัส โดยเหลือบมองมายังพวกอาจารย์เป็นระยะๆอย่างไม่วางใจ คิงคาโลเอง ก็มองตาค้างเช่นเดียวกัน ส่วนท่านพ่อ ท่านพ่อแค่หัวเราะเบาๆเท่านั้น
     
    ไม่ต้องหัวเราะ โร เซวาเรส ฉันก็มีเรื่องต้องสะสางกับเธอเหมือนกัน” ท่านพ่อค้อมตัวรับคำตำหนินั่นแล้วถอยฉากออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ อาจารย์ลอเรนซ์ส่ายหน้า ก่อนจะหันมาดุท่านแม่ต่อ
     
    แล้วนั่นดูแต่งตัวสิ ฉันเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าช่วงฤดูนี้ให้หาเสื้อผ้าหนาๆใส่น่ะ” ดวงตาสีอเมธิสต์ของอาจารย์ลอเรนซ์ไล่มองท่านแม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายหน้า ในขณะที่อาจารย์ลูคัสวางถ้วยชาลง ลุกขึ้นปลดผ้าพันคอของตัวเองแล้วโยนไปทางท่านแม่ ที่ใส่ชุดมอมๆเก่าๆบางๆเพียงชั้นเดียว อาจารย์ลอเรนซ์ส่ายหน้า แล้วปลดเสื้อคลุมของตัวเองก่อนจะโยนไปให้ท่านแม่บ้าง ดวงตาสีน้ำตาลของท่านแม่มองค้อนไปยังอาจารย์ทั้งสอง แต่ก็โยนหยิบทั้งผ้าพันคอและเสื้อคลุมพวกนั้นมาใส่ดีๆโดยไม่ปริปากบ่น
     
    แล้วรุ่นพี่มามีธุระอะไรฮะ” ท่านแม่ก้าวเข้ามาตรงข้ามกับอาจารย์ทั้งสองแล้วคว้าเก้าอี้มาทิ้งตัวนั่ง ยิงคำถามเข้าใส่อย่างสนอกสนใจ ราวกับลืมไปแล้วว่าท่านแม่เพิ่งจะสติแตกไปกับคิงคาโลที่ยืนดูตัวแข็ง
     
                อาจารย์ลอเรนซ์ขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้า แต่อาจารย์ลูคัสแค่เพียงยิ้มบางเท่านั้น
     
    ไม่ใช่เธอ เฟรี่ แต่เดี๋ยวพวกเราคงได้คุยกันยาวแน่ๆ พวกเรามีธุระกับเจ้าหนูเคลลี่ของเราต่างหาก” อาจารย์ลูคัสพยักพเยิดมาทางผม ที่ชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆว่าผมไปทำอะไรผิดเอาไว้
     
    คำสั่งจากแม่หนูเรเวน ให้เธอไปจัดการไอ้รอยดาบต่างๆในป้อมอัศวินให้เรียบร้อยซะ” ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง เตรียมจะแย้ง แต่ท่านแม่กลับร้องขัดขึ้นจนผมเสียศูนย์
     
    ลูกไปทำอะไรนะ เคลวิน!!” ผมหลับตาแน่น ท่านแม่ว้ากทีเล่นเอาไปภาพตะกี้ของท่านแม่พังครืนหมด
     
    เจ้าเด็กเคลวินของเธอเผอิญไปสร้างริ้วรอยให้ป้อมอัศวินน่ะ ยัยเรเวนเลยทนไม่ไหว เรียกเจ้าเด็กนี่ของเธอให้มาบูรณะมันซะเองเพราะเอียนที่จะซ่อมแล้ว” อาจารย์ลูคัสอธิบายเพิ่ม ผมรีบค้านในทันที
     
    เดี๋ยวสิครับอาจารย์ รอยดาบห้าหกรอยในห้องผม กับรอยปักดาบสองแห่งที่ห้องนั่งเล่นรวม แล้วก็หนังสือบางเล่มที่เสียไปน่ะ ผมยอมรับนะครับ แต่ที่เหลือน่ะ ใช่ฝีมือผมที่ไหนกัน” ร้องค้านเสียงลั่น
     
    ฉันช่วยเธอได้ที่ไหนกัน เคลวิน” อาจารย์ลอเรนซ์บอกอย่างแล้งน้ำใจ ผมรีบชี้ไปยังไอ้เพื่อนรักผมทองที่ยืนยิ้มบางเนียนอยู่ด้านหลังในทันทีเมื่อเห็นว่าคนเป็นอาจารย์ไม่เห็นใจ
     
    ทีเรคส์ล่ะ หมอนั้นมันเคยเผาหนังสือครั้งนึง รอยดาบในห้องนั่งเล่นรวมซะหนึ่งในสี่ก็ของมัน แถมมันยังเคยทำกระดานหมากรุกส่วนรวมเสียหายด้วยนะครับ” ผมรีบซัดทอดในทันทีเมื่อได้ยินว่าต้องไปบูรณะป้อมโทรมๆนั่นคนเดียว ท่านแม่ตวัดสายตาคมๆไปทางเรคส์ต่อ เรคส์กลืนน้ำลายอึกใหญ่
     
    รอยไฟฟ้าช็อตในห้องนั่งเล่นรวมกับรูปภาพสองสามรูปที่ยังเหลือตามระเบียงน่ะ ฝีมือเคเรสนะครับ แถมหนังสือเล่มนั้นผมก็ไม่ได้เผาด้วย เจ้าหนุ่มนักนักฆ่าแถวนี้ที่มาฝึกเวทย์ไฟในห้องโดยให้ผมช่วยดูให้ต่างหาก แต่ไอ้รอยดาบนั่นไม่ถึงหนึ่งในสี่ซะหน่อย นายจำผิดแล้ว ฉันจำได้ว่าไม่เคยเล่นดาบในห้องนักเล่นรวมจนเกิดรอยนะ”
     
    ไอ้มั่ว!” ผมและเคเรสร้องปฏิเสธพร้อมกัน
     
    รอยดาบนั่นของแกชัวร์ๆ เพราะแกสติแตกบ่อยตอนช่วงนั้นน่ะสิ แกเลยจำไม่ได้” เคเรสท้วงข้อแก้ต่างของเรคส์ แต่ผมขมวดคิ้ว แล้วไอ้ช่วงนั้นของเคเรสน่ะ มันช่วงไหนกันวะ
     
    แล้วไอ้หนังสือเล่มนั้นก็ไม่ใช่ความผิดฉัน แกเป็นคนบอกเองไม่ใช่เรอะ ว่าให้ลองตั้งสมาธิกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดก่อน แล้วเผอิญไอ้สิ่งที่ว่านั่นมันดันเป็นหนังสือในมือแกน่ะเซ่” เคเรสแก้ตัวกับคำซัดทอดของเรคส์ ผมขมวดคิ้ว ฟังยังไงก็ฟังไม่ขึ้น
     
    แต่ไอ้รอยไฟฟ้าช็อตนั่นของแกจริงๆ แกจะเถียงมั้ยล่ะ” เรคส์เถียงกลับ ให้ตายยังไงมันก็คงไม่ยอมโดนเล่นงานโดยที่เคเรสสบายอยู่คนเดียวหรอก
     
                ดวงตาสีน้ำตาลคมๆของท่านแม่ตวัดไปทางเคเรสที่กำลังถูกซัดทอด หมอนั่นยืนกลืนน้ำลาย คงจะนึกต่อว่าพวกผมอยู่ในใจแน่ๆ แต่ใครจะยอมให้มันรอดไปได้ล่ะ
     
    แล้วทีแคลร์ที่ไปละลายอิฐก่อของมุมปราสาทเอดิเบิร์กล่ะ....” เรคส์รีบปิดปากเคเรสที่กำลังซัดทอดแคลร์ทันที แคลร์ชี้หน้าตัวเองงงๆ ขณะที่ผมคว้าตัวเจ้าเพื่อนนักฆ่านั่นไปจากเรคส์แล้วเอาดาบปักที่ข้างลำคอเพื่อข่มขู่ตามความเคยชิน ผมยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วถามด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
     
    ไหนบอกฉันซิ ว่านายปิดอะไรฉันเอาไว้อีกใช่ไหม” เคเรสหน้าซีดกว่าตอนที่เห็นคิงคาโลเดินเข้ามาเรียกผมไปคาโนวาลสิบเท่า เรคส์เพียงแค่ส่ายหน้าช้าๆอย่างอ่อนใจราวกับกำลังบอกว่า แกไม่น่าเลย
     
    เรคส์! แกด้วย ฉันรู้ว่าแกก็ยังมีอะไรปิดฉันอยู่ ไม่อยากตายก็คายออกมาให้หมด!” ผมตวัดดาบชี้ไปยังเพื่อหนุ่มที่ทำท่าเหมือนจะลอยตัวเหนือปัญหาพวกนี้ น้ำเสียงเย็นเยียบจนผมแปลกใจว่าตัวเองพูดออกมาได้ยังไง
     
    ฉันรู้แล้วว่ารอยดาบพวกนั้นมันมาได้ยังไง...” ท่านแม่พึมพำเสียงเบา ราวปลงตกก็ไม่ปาน แต่แล้วก็หันขวับไปหาอาจารย์ประจำป้อมทั้งสองคนแทบจะในทันทีเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้
     
    เดี๋ยวก่อน พวกพี่อย่าบอกนะว่าพวกพี่ยังเล่นรับมีดปามีดกันอยู่น่ะ” ท่านแม่ถามเสียงเข้มเอาเรื่อง อาจารย์ลอเรนซ์และอาจารย์ลูคัสนิ่งไป
     
    ท่านแม่รู้ได้ยังไงน่ะ” แคลร์ถามกลับแทนคำตอบรับแทนอาจารย์ทั้งสอง ท่านแม่เอามือก่ายหน้าผากแล้วฟุบลงกับพื้นโต๊ะ
     
    โร ฉันอยากจะเป็นลม”
     
                เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆมาจากแคลร์ และหลังจากนั้นทุกคนก็หัวเราะตาม แม้แต่ท่าพ่อ ลุงกัส หรือกระทั่งคิงคาโลก็ยังหัวเราะเบาๆ บางทีคนที่จะช่วยคลี่คลายเรื่องบ้าๆที่กำลังโถมเข้าใส่ตัวผมอยู่ในช่วงนี้อาจจะไม่ใช่ใครอื่น คงจะเป็นอาจารย์ประจำป้อมของผมนี่แหละ
     
                ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงหัวเราะ โร เซวาเรส ขยับยิ้มบางยืนมองอยู่ห่างๆ ก่อนจะพึมพำเสียงเบา
     
    เห็นไหมเคล ทุกปัญหาที่ยังไม่ถึงเวลาแก้ มันก็มีทางเบี่ยงกันทั้งนั้นแหละ”

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    จบแล้วโว้ย จบแล้ว 

    ลาก่อนฟิคบารามอส เราคงจะไม่เจอกันอีกยาวเลยล่ะ

    จบเหมือนไม่จบ แต่มันต้องจบอย่างงี้ ไม่งั้นมันก็ไม่จบ

    เอาล่ะฮะ เราบอกว่าจบ ก็คือจบ

    กติกาคือกติกา เราบอกเงื่อนไขการอัพไปแล้ว

    และเราจะทำตามนั้นให้ได้

    เราบอกได้แค่ว่า นี่จะเป็นฟิคบารามอสตัวสุดท้ายของปีนี้

    และจะไม่มีการอัพ ไม่มีการแต่งต่อ หรืออื่นๆใดที่เกี่ยวข้อง ถ้าเรายังไม่มีคณะเรียน

    พูดง่ายๆ ตรงไม่ได้ เอนท์ไม่ติด ทุนไม่มี ก็ไม่มีฟิค

    เพราะฉะนั้น มาช่วยกันภาวนากันเถอะฮะ

    ให้เราได้ตัวใดตัวหนึ่งมาก่อน

    ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น(นี่ต้องทำงานหนักหน่อย ยาก) ตรงอักษรวรรณกรมเด็ก มศว. ไม่ก็แอดได้อักษรซักตัว

    ถ้าได้หนึ่งในตัวเลือกนี้ตัวใดตัวหนึ่งถึงจะมาปั่นต่อ

    สมรภูมิการสอบเข้ามหาลัยมันสาหัสฮะ และเราจะไม่เรียนเอกชนเป็นอันขาด

    ก็ลุ้นเอาแต่ว่าหัวอย่างเราจะไปได้ถึงแค่ไหน

    เอาล่ะ มาว่ากันถึงเนื้อเรื่อง

    เราบอกแล้ว ว่าLLต้องได้พูดก่อนจบ

    เห็นมั้ยล่ะ ได้พูดจริงๆนั่นแหละ

    เราไม่ผิดสัญญาซักหน่อย

    ตั้งแต่ปั่นเรื่องนี้มา ชอบสุดๆอยู่สองฉาก

    ฉากแรกคือฉากที่เคเรสกำลังจะโดนเคลรีดความลับ

    และอีกฉากนึงคือฉากที่LLโผล่มานี่ล่ะ

    เขียนแล้วมีความสุข แอบฮาด้วย สนุกดี

    ฉากที่เขียนยากที่สุดคือฉากที่เฟรินวีน และทุกฉากที่คาโลออก

    เพราะมันสื่ออารมณ์ที่หลากหลายเกินไป ไม่มีสีอะไรเด่นขึ้นมาทำให้จับจุดยากมาก

    คิดดูฮะ เราต้องเอาตัวเองไปนั่งอยู่ในสถานการณ์นั้นเลยกว่าจะเขียนออกมาได้(ในกรณีเฟริน คาโลช่างหัวมัน)

    เคลนี่เจ๋งเหมือนกันแฮะ เรื่องวุ่นๆขนาดนี้ยังจะไปคว้าเอาท็อปเท็นมาได้ตั้งหลายวิชา

    ทั้งๆที่เพิ่งเจอเหตุการณ์พรรค์นั้นมาแท้ๆ อ๊ะ แต่จะว่าไปก็ต้องชมแคลร์กับเรคส์ด้วยสินะ

    เพราะก็เจอมาด้วยกัน แถมแคลร์ยังหนัดสุดอีกด้วย

    มีความรู้สึกว่า เรื่องนี้แต่งด้วยน้ำเสียงประชดชอบกล

    ผิดกับออริเรื่องใหม่ที่เขียนด้วยสำนวนที่ตั้งใจ และเป็นจริงเป็นจังกว่ามาก ไม่รู้ทำไม

    ตอนแรกว่าจะแต่งเรื่องสั้นประมาณห้าสิบหน้าไว้สำหรับปิดเทอมนี้ แต่ยังคิดชื่อตัวละครดีๆไม่ออก

    ใครมีความคิดดีๆก็เสนอเข้ามาได้นะฮะ

    ขอชื่อไทย ชื่อนางเอก ซึ่งเป็นคนธรรมด๊าธรรมดา กับพระเอกที่เป็นยททูต อ๊ะ หวังว่าคงไม่เป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องใช่มั้ย

    แต่บอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้แอบออกสีเทาๆ

    เพราะคิดพล็อตได้ตอนทะเลาะกับพ่อ เนื้อเรื่องเลยออกมาเป็นสีนั้นพอดี

    นอกเรื่อง กลับเข้ามาสู่เนื้อเรื่องต่อ

    จะว่าไปแล้ว คาโลนี่มันขาวจนกลืนไปกับหิมะจริงๆนะ

    ตอนเห็นภาพมันนี่คิดเลย อืม... ถ้าคนตาถั่วมองคนจะมองไม่เห็นมันแหงๆ

    เราจึงแกล้งมันด้วยการจัดเสื้อคลุมสีขาวให้มันซะเลย เพื่อความเป็นหิมะมากขึ้น

    หวังว่าจบเรื่องนี้แล้วคงจะมีคนเกลียดคาโลมากขึ้น (รึจะเกลียดเราแทน เออ ช่างเหอะ ไม่เป็นไร)

    แอบชื่นชมเคลเล็กน้อย เคลนี่มันแฟมิลี่แมนของแท้

    รักครอบครัวอย่างกับอะไรดี น่าอิจฉาแฟนในอนาคตของมัน

    แต่จะมีโอกาสได้เขียนถึงรึเปล่าน้า ยังสงสัย

    ตอนนี้เรากำลังมีความสุขอยู่กับการเปิดหนังสือคำไวพจน์ เพื่อเอามาตั้งแต่ชื่อตัวละครของเรื่องสั้น

    แล้วก็เพลิดเพลินกับการเอาพล็อตออริเรื่องยาวเรื่องให่มาฝัน

    สองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเขียนมาก เพราะมีความรู้สึกว่า มันสนุกและแหวกแนว

    แต่จะเขียนได้ไกลแค่ไหนกันน้า

    โปรเจ็คท์ออริมันพักได้ แต่อยากเขียนเรื่องสั้นให้จบเพราะเผื่อจะเอาไปส่งประกวดที่ไหนได้

    จะได้เอาไปเก็บเป็นผลงานใส่ในพอร์ตโฟลิโอ(ซึ่งยังไม่ได้คิดจะทำซักกะนิด)

    เอาล่ะฮะ ยิ่งพูดยิ่งนอกเรื่อง

    เป็นการคุยปิดท้ายที่ยาวที่สุดเลยมั้งตั้งแต่พิมพ์มา

    เราหวังว่าทุกคนจะสนุกกับฟิคเรื่องนี้

    และเข้าใจถึงเหตุผลของความไม่สะดวกของเรา

    เราขอโทษไว้ตรงนี้ที่อาจจะทำตามความคาดหวังของทุกคนไม่ได้

    แต่ก็ขอบคุณมากที่ติดตามกันมา

    อย่างที่พูดไว้ตั้งแต่ต้นฮะ

    นี่จะเป็นฟิคบารามอสสุดท้ายของปีนี้

    แต่จะไม่ใช่ฟิคบารามอสสุดท้ายของเรา

    แค่ขอพักชั่วคราวเท่านั้น และจะกลับมาใหม่เมื่อภาระทุกอย่างจบลงด้วยดี

    เราอยากให้ทุกคนมีความสุขกับเรื่องราวที่ไม่มีวันจบสิ้นเหมือนกับเราที่ยังเป็นอยู่ในตอนนี้

    แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้านะฮะ

    หวังว่าทุกคนจะยังรอเราอยู่

    อ่านให้สนุกนะฮะ




    เอาล่ะเว้ย เอาล่ะเว้ย คาโลขออะไรเคล

    ว่าแต่ เคล แกฉลาดไปมั้ยเนี่ย

    แค่เห็นหน้าก็เดาเรื่องได้งั้นเรอะ

    เออ ช่างเถอะ ฉลาดๆอย่างงี้ก็ดี ปิดเรื่องเร็วขึ้นเยอะ

    ฉากนี้ยาว เพราะฉากเจรจาของไอ้สองพ่อลูกนั่นแหละ

    คาโลคงอึ้ง เคลเรียกฝ่าบาทแทบทุกคำ

    แถมแทนตัวเองว่าเกล้ากระหม่อมซะอีก ดูห่างเหินดีชะมัด

    (มีความรู้สึกเหมือนใช้ราชาศัพท์ผิดหลายที่ แต่ช่างมัน อ่านให้ได้อารมณ์ก็พอ)

    อารมณ์ของฉากนี้ฮะ อึดอัด หดหู่ และหนาวเย็น

    คล้ายๆอิมเมจของรัสเซียในใจเรา (ขออภัยคนชอบรัสเซียทุกท่าน)

    ถ้าใครอ่านแล้วปวดใจจะรู้สึกขอบคุณมากฮะ

    ว่าจะอัพตั้งแต่เมื่อวาน แต่สแกนไวรัสมีปัญหาซะก่อน ทำให้เปิดเครื่องไม่ขึ้น

    และตอนนี้ก็ยาวด้วย ถือว่าชดเชยไปแล้วกันฮะ

    ฉากหน้าก็จบแล้ว ใครอยากเห็นLLก็ปักหลักรอซะ

    ว่าแต่แคลร์จะว่ายังไงนะ

    ถึงยังไงก็คงไม่รู้ง่ายๆ

    แต่เรื่องมันก็คงไม่จบแบบนี้

    มีความรู้สึกว่าฟิคเสริมของเรามักจะจบแซดเอนเกือบทุกเรื่อง

    เพราะฉะนั้น มาลุ้นกันดีกว่าว่าเรื่องนี้จะจบแซดเอนมั้ย

    (ความจริงจบแซดเอนก็ไม่เลวนะ ปวดใจดี)

    เอาล่ะฮะ เจอกันรอบหน้าฮะ

    อ่านให้สนุกนะฮะ




    เอาแล้วเว้ยๆ เอาแล้วเว้ย คิลจะไปตามใครมาช่วย

    นี่ล่ะ ฉากที่อยากเขียน

    ฉากที่เคลพูดว่า ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะช่วยแคลร์

    แล้วก็ฉากที่คิลต่อว่าเคเรส

    (แต่ตบหน้านี่มือมันพาไปนะ)

    อา... ว่าจะเอาลงตั้งแต่ทุ่มสองทุ่ม แต่เผอิญดูบอลติดพัน เลยเพิ่งมาลงเอาตอนนี้

    (บอลจบพอดี เอ้า โห่ร้องดีใจซะ ชลบุรีFCชนะเมลเบิร์นไป3-1 ลุ้นไปเล่นAFCต่อโลด)

    ตื่นเต้นดีฮะ ถึงจะไม่ค่อยชอบดูก็เถอะ แต่นานๆทีดูก็โอเค

    จะจบแล้วฮะ จะจบแล้ว

    ฉากหน้ายาวด้วย คงได้อ่านจุใจ

    ฉากนี้ แอลๆออกแต่ชื่ออีกแล้ว น่าเศร้าชะมัด

    แต่เรายังคงยืนยันคำเดิม แอลๆจะได้ออกก่อนปิดเรื่องแน่นอน

    ช่วงสองสามฉากนี่จะเครียด เพราะเข้าไคลแมกซ์แล้ว

    ออกทรมานใจไปหน่อย แต่เราก็พยายามเต็มที่(ที่จะไม่พูดถึงคาโล//ล้อเล่น)

    ฉากนี้ยังไม่มีคาโล แต่เราก็หวังว่าจะลบสาวกคาโลออกจากสารบบไปได้อีกหน่อย(ล้อเล่น)

    ส่วนแคลร์ น่าสงสารที่ต้องบอกว่ามีสิทธิ์ที่จะเป็นแผลเป็นได้

    แต่ก็ถือว่าอาจรอด เพราะฉะนั้นเลือกชีวิตไว้ก่อนเถอะ

    และคงจะน่าสงสารต่อไปถ้ามันไม่ได้สติซักที

    ขอให้มีความสุขนะแคลร์

    คราวนี้ไว้แค่นี้ฮะ เจอกันครั้งหน้า

    อ่านให้สนุกนะฮะ



    กัส! คิล! แกกลับมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ทันเวลาอยู่ดี

    เคลกำลังช็อก อย่างหนัก

    ไม่ใช่แค่เคล แต่เป็นทุกคน กำลังช็อกเหมือนๆกัน

    และดูเหมือนทุกคนจะลืมเรื่องผู้บุกรุกไปซะสนิท

    (ความจริงแล้ว เราเองก็ลืมไปซะสนิท)

    เอาเป็นว่า สุดท้ายแอลๆก็รับไปจัดการต่อก็แล้วกัน

    เกลียดคาโลชะมัด

    มันโผล่มาทีไร เราเขียนไม่ออกทุกที

    (แถมฉากสุดท้ายมันยังทำเรื่องรวนซะอีก)

    เอ้า มันโผล่ออกมาแล้วก็ทำให้เรื่องดำเนินต่อไปล่ะนะ

    แถมบรรยากาศยังมาคุมากขึ้นเพราะว่ามันโผล่มาซะอีก

    คิลฟิวส์ขาดเอาง่ายๆเพราะแค่เห็นหน้ามัน

    ส่วนกัสยังเก็บอาการได้อย่างมิดชิด น่านับถือๆ

    ว่าแต่ เคลจะว่ายังไงหว่า แล้วแคลร์ล่ะ จะว่ายังไง

    ส่วน คาโลจะเอายังไง

    มาลุ้นกันดีกว่า

    อีกสามฉากเท่านั้น เรื่องนี้ก็จะจบลง

    และจะต่อกันด้วยไซต์สตอรี่ของเลทีอา

    มาลุ้นกันกับไคลแมกซืของเรื่องนี้กันดีกว่า

    และขอให้คำมั่นอีกครั้งสำหรับคนที่คิดถึง

    แอลแอลจะได้พูดก่อนจบแน่นอน ร้อยเปอร์เซนต์

    รับรองด้วยเกียรติของเรา

    คราวนี้ไว้แค่นี้ฮะ เจอกันคราวหน้า

    อ่านให้สนุกนะฮะ



    เอาล่ะ และนี่เป็นหนึ่งในฉากที่อยากเขียนที่สุดรองๆลงมาจากสองสามฉากสุดท้าย

    ความจริงแล้วมีส่วนที่อยากเขียนมากกว่านี้คือความคิดของแคลร์

    แต่คงเขียนไม่รอด เลยไม่เขียน ช่างหัวมัน

    ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่แก้แล้วด้วย

    ขอพูดหน่อย เคล แกนี่มันจองล้างจองผลาญไม่เลิกจริงๆให้ตาย

    น้องแกจะแย่แล้ว เลิกเล่นแง่ซะทีเหอะ

    แล้วไอ้รอยดาบนั่นอะไรน่ะ แกกะให้แม่แกช็อกตอนที่เห็นใช่มั้ยนั่น

    อา... ขอบ่นประจำวันหน่อยนะฮะ

    เราเริ่มคอร์สเรียนพิเศษเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

    (ดาว้องก์ สยาม คอร์สintensive เที่ยงครึ่ง ใครเรียนห้องc1ลองมาทักๆได้)

    เหนื่อยชิบอย่าบอกใคร ขึ้นรถกลับบ้านเป็นหลับทุกที

    แล้ววันศุกร์ที่ผ่านมาก็ไปรับผลสอบมาฮะ

    นี่เล่นเอาอยากจะเป็นลมซะยิ่งกว่าตอนไปเรียนซะอีก

    เกรดตกฮะ นึกในใจว่ากรูจะบอกพ่อแม่ยังไงดีฟระ เกรดตกเนี่ย

    เห็นหน้าพ่อแม่สิ่งแรกที่เราทำ คือทำเนียนฮะ แล้วรีบเผ่นขึ้นห้อง

    นึกสงสัยอยู่ว่าถ้าพ่อแม่เกิดนึดอยากรู้มาเปิดแฟ้มเกรดขึ้นมาจะทำไง

    แต่พี่ชายก็รู้ไปแล้ว เพราะมันเล่นคอมไปพลาง ถามเรา(อย่างดูถูก)ไปพลาง

    นึกอยากตาย ปีหน้าจะทำไงดีฟระ

    เอาล่ะๆ ยุติไว้เท่านี้ดีกว่า

    เนื้อเรื่องส่วนนี้ คล้ายๆตัวเชื่อมไปสู่แก่นเรื่องของจริงที่อยากจะนำเสนอมากถึงมากที่สุด

    เอาล่ะ เดาซิ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

    เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะจะเข้าจุดไคลแมกซ์แล้ว

    ส่วนใครที่คิดถึงพวกผู้ใหญ่ ก็เตรียมเฮได้

    ฉากหน้ามันจะกลับมาแล้ว

    แต่มาทำไม และจะเกิดอะไรขึ้น ขออุบไว้ก่อน

    เอาล่ะฮะ คราวนี้ไว้แค่นี้ เจอกันคราวหน้านะฮะ

    อ่านให้สนุกนะฮะ



    ในที่สุดก็ถึงคิวของเคลซะที

    คิดถึงแกชะมัด

    มีความรู้สึกว่า ช่วงนี้ ถ้าไม่ใช่แกจะเขียนไม่ออก

    เอ้า มาดีใจกับเราหน่อยฮะ มันกำลังจะจบแล้ว

    เหลืออีกแค่สี่ฉากเท่านั้น เราก็จะหมดธุระกับsecretแล้ว

    ตอนนี้กำลังปั่นฉากส่งท้ายอยู่ ปั่นไคลแมกซ์ไปแล้ว

    ตอนนี้ก็เลยปั่นฉากชิลส่งท้ายไม่ออก

    ตอนแรกว่าจะใช้แคลร์ แต่ไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนกลับมาใช้เคลเหมือนเดิม

    อือ จะว่าไป ตอนนี้ทุกท่านก็คงจะปิดเทอมกันแล้ว

    คงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข(ล่ะมั้ง)

    แต่ดูเหมือนว่า เราจะไม่สามารถมีปิดเทอมเปี่ยมสุขได้ในปีนี้

    เรียนตลอดศกฮะ แถมศุกร์นี้ฟังผลสอบ

    น่ากลัวว่ามันจะออกมาเน่าจนเราไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้

    เอาเป็นว่า เราก็โมเมฟิคนี้เป็นฟิคประจำปิดเทอมนี้ไปด้วยเลย

    เพราะอัพมายาวนานจากปิดเทอมที่แล้วจนมาถึงปิดเทอมนี้แล้ว

    ก็ เราก็ประกาศโมเมแล้วนะฮะ ฉะนั้น ห้ามทวงฟิคประจำปิดเทอมนี้นะฮะ

    สำหรับฉากนี้ ฉากของเคล มีมั่วไปเคเรสเล็กน้อย

    แต่จะขอชี้จุดน่าสังกต

    มีใครรู้สึกมั้ยว่า เรคส์มักจะโดนเฉดหัวออกไปอยู่เรื่อย

    ทั้งๆที่มันนั่นแหละเป็นตัวปัญหาอันดับหนึ่งแท้ๆเลย

    และสำหรับใครที่กำลังลุ้นกลวิธีการสอบเอาความจากเรคส์ด้วยฝีมือเคลนั้น

    ฉากหน้าจะใบ้ให้นิดนึง แต่ไม่เฉลย เพราะมันคงไม่น่าพิศมัยสักเท่าไร

    เอาล่ะฮะ คราวนี้ไม่มีอะไรแล้ว

    ขอให้สนุกกับปิดเทอม และ อ่านให้สนุกนะฮะ

    เจอกันคราวหน้าฮะ




    ขอบ่นเลยฮะส่วนนี้

    เขียนยากที่สุดเลยล่ะ บิลท์อารมณ์อยุ่นานมากกว่าจะออกมาได้

    โอย เราถึงได้เกลียดฉากพรรค์นี้ไงเล่า

    เขียนเคเรสง่ายกว่าเป็นกอง ให้ตายเถอะน่า

    ส่วนนี้เขียนอยู่ประมาณเดือนนึงเห็นจะได้

    (ฉากนี้ล่ะที่ทำให้ติดขัดเขียนไม่ออกมากที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเข้าประเด็นมา)

    ทั้งๆที่ก็ชอบตัวละครทั้งคู่แท้ๆ แต่เพราะว่าเกลียดฉากพรรค์นี้ เลยทำให้เขียนไม่ออกไปด้วย แย่ชะมัด

    จะไม่ขอพูดอะไร เพราะมันไม่มีทั้งเนื้อทั้งน้ำ พล็อตของฉากนี้มีอยู่สั้นมาก

    คือทำยังไงก็ได้ให้เรคส์กับแคลร์เข้าใจกันซะที

    แต่นี่ก็เล่นเอาเราแทบตายไปแทน

    เขียนยากชิบ ให้ตายเหอะ

    พอแล้วฮะ อย่าให้เรากลับไปหวนนึกถึงมันอีก

    (เพราะมันพาลนึกขึ้นมาทุกทีเลยว่า เขียนไปได้ไงวะกรู)

    ฉากหน้าของเคลฮะ งานนี้เคลออกโรงซะที

    ไม่ได้เขียนมันมานานเกินไปแล้ว คิดถึงชะมัด

    แล้วจะรู้ว่า เคลจะรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง

    โอเค ยังไงก็ขอบอกไว้หน่อยนะฮะ

    นี่เป็นปิดเทอมที่ไม่ว่างที่สุดเท่าที่เคยมีเลยฮะ

    ไม่เคยมมาเลยในชีวิตที่เรียนพิเศษตั้งแต่ต้นปิดเทอมยันปลายปิดเทอม

    (เวลาไปงานหนังสือจะมีรึเปล่าเรายังไม่มั่นใจเลย)

    อาจจะอัพช้านะฮะ ขอให้ทำใจไว้

    และเราหวังว่า เราจะปิดทุกอย่างได้ก่อนปิดเทอมนะฮะ

    โอเค ครั้งนี้ไว้แค่นี้ฮะ แล้วเจอกันครั้งหน้า

    อ่านให้สนุกนะฮะ



    อัพเลตหนึ่งอาทิตย์อีกแล้วฮะ

    สาเหตุ ติดเฟล และติดสอบฮะ(วันจันทร์ก็ยังมีสอบ แต่จะอัพ ทำไม)

    ยังเฟลอยู่ฮะ แต่พอเขียนได้บ้างแล้ว

    ตอนนี้กำลังเร่งเขียนอยู่ อาจจะทันต้นฉบับในเร็วๆนี้

    จะไม่บ่นให้มากความฮะ เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน

    มาบ่นด้านเนื้อเรื่องกันเถอะ

    ฉากของเคเรสกับสาวๆ เคยเห็นมันกดดันใครมั้ยล่ะ

    แน่ล่ะว่าไม่เคย เพราะมันเล่นโดนชาวบ้านเขากดดันตลอด

    แล้วตอนนี้ เขียนไปแอบเครียด แต่ก็แอบฮา

    ก็มันไม่เข้ากับภาพพจน์ของมันซักนิด

    สาวๆยังพูดเลย ใช่มั้ยล่ะฮะ

    บทพูดฉากนี้ อ้อมไปอ้อมมาไม่ได้ใจความเลยว่ามั้ย

    น่าจะตัดๆไปซะ แต่ก็อย่างว่า เขียนไปแล้ว

    ถือว่าฉากนี้มีมากระตุ้นสาวๆแล้วกัน อย่าใส่ใจมากเลยฮะ

    ต่อไปฉากของเรคส์กับแคลร์

    นี่ล่ะงานยากประจำเรื่องเลย

    จะเห็นว่าช่วงหลังๆภาษามันแข็งๆ อย่าใส่ใจ

    เพราะเราเริ่มไม่ไหวแล้ว

    อยากเร่งเขียนแต่ก็กลายมาเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว

    เอาน่า ทนๆกันไปแล้วกันนะฮะ

    นี่เป็นฟิคบารามอสภาคเสริมที่เขียนอย่างยาวนานที่สุด

    (ไม่นับ RxF นะ ไอ้นั่นไม่ได้เริ่มเขียน เลยไม่ได้ปิดเรื่องซะที)

    เอาล่ะ มานับถอยหลังกันฮะ

    เหลืออีก 8 ฉากเท่านั้น (เท่าที่นับๆไว้)

    อย่างเร็ว 8 อาทิตย์ อย่างช้า จนถึงเปิดเทอม

    หวังว่าจะรีบๆจบมันลงไปได้ซะที

    อ้อ อีกเรื่องนึง เผื่อใครไม่ได้สังเกต

    เราตั้งชื่อเรื่องได้แล้วนะฮะ

    (ความจริงตั้งไว้ตั้งกะเดือนที่แล้ว แต่ลืมลงทุกที)

    มันชื่อ secret ฮะ เพราะเรื่องนี้ความลับเยอะเหลือเกิน

    เอาล่ะฮะ ไม่พูดมากฮะ พอแค่นี้แล้วกันอาทิตย์นี้

    เจอกันครั้งหน้าฮะ อ่านให้สนุก


    ความเฟลนั้นอยู่ยั้งยืนยง

    สาเหตุที่หายไปหนึ่งอาทิตย์ เฟลจัดฮะ

    ปั่นต่อไม่ลง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

    ตอนนี้ชักอยากพักยาว จะม.6แล้ว

    แอบเหนื่อย อยากเอนท์ติดด้วย

    ไม่อยากฟังแม่บ่นให้เลิกเล่นคอม เลิกอ่านการ์ตูน

    เราอยากจะบ้าฮะ การอ่านหนังสือเรียนน่ะ เราทำไม่เป็น

    เฮ้อ ฃ่วงนี้จะเฟลจนกว่าจะปั่นได้นะฮะ

    ถ้าอาทิตย์หน้ายังปั่นไม่ได้อยู่อีก เราก็จะหยุดอัพอีกครั้งนะฮะ

    หรือ(ข้อเสนอสำหรับคนที่อ่านเลทีอาด้วย)ถ้าไม่งั้นจะให้ไปอัพไซต์สตอรี่มั้ยล่ะฮะ

    มีต้นฉบับเหลือไว้อยู่ประมาณอัพได้ห้าหกครั้ง

    เราอยากจะปั่นทุกอย่างให้จบก่อนเปิดเทอมม.6

    ปิดเทอมจะลงเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

    แล้วจะเริ่มหยุดอัพนะฮะ

    ทันทีที่เปิดม.6 เราจะหยุดปั่นต้นฉบับทุกอย่าง

    อัพอาทิตย์ล่ะครั้งเหมือนเดิม แต่เฉพาะส่วนที่เหลือตุนไว้

    หมดเมื่อไร เลิกเมื่อนั้นนะฮะ

    เราอยากเอนท์ติดฮะ แล้วเรามันขี้เกียจอย่างกับอะไรดี

    เอาเป็ว่า ถ้าอยากอ่านเร็วๆ ลุ้นให้เราติดตรงอักษรนะฮะ

    เพราะเราเองก็ไม่อยากเครียดมากเหมือนกัน

    และนี่คือตารางเวลาสำหรับช่วงม.6ของเรานะฮะ

    อยากให้เตรียมตัวรับไว้ด้วย

    ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากเขียน แต่เพราะสถานการณ์ไม่อำนวย

    และเราหัวก็ไม่ค่อยดี พ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน

    (ทั้งพ่อแม่ ทั้งญาติๆ อยากให้เป็นหมอทั้งนั้น ไม่เคยถามเราหรอกว่าเราอยากจะทำอะไร เราขอว่าเลย ไม่ใช่ไม่เคารพผู้ใหญ่ แต่เราไม่ชอบการยัดเยีดความคิดโดยที่ไม่เห็นความสำคัญของความคิดเห็นของเรา)

    มาลุ้นกับความสามารถในการเขียนของเราดีกว่า ว่าเราจะปั่นต้นฉบับตุนไว้ได้แค่ไหน

    โอเคฮะ จบเรื่องข้างบน มาว่าด้วยเรื่องของพาร์ทนี้

    พาร์ทนี้เป็นตัวเชื่อมฮะ ไม่ถึงกับเป็นของเรคส์ร้อยเปอร์เซนต์(แค่นี้ก็เขียนยากจนไม่อยากเขียนแล้ว)

    แล้วก็ ขออนุญาต ไม่เขียนของเคลนะฮะ

    แล้วก็ ไม่อยากเขียนฉากของเรคส์กับแคลร์แล้วด้วย เขียนไม่ออก

    ทุกท่านจะว่ายังไงฮะ เราถามความเห็นหน่อย

    อาทิตย์ขออภัยที่ยาวไปหน่อย

    อ่านให้สนุกนะฮะ เจอกันครั้งหน้า



    อัพเลตฮะ สาเหตุ เฟล

    พิมพ์ไปได้สองสามหน้าแล้วที่โรงเรียน

    จบหนึ่งฉากแล้วด้วย กำลังจะขึ้นฉากเคล

    ปรากฎ มาเปิดที่บ้าน ว่าจะพิมพ์ต่อ

    เปิดไม่ขึ้น แม้แต่นิดเดียว(เริ่มเครียด เฮ้ย งานกรูก็อยู่ในนั้นด้วย)

    เริ่มโวยวาย จะเป็นตอนไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนที่กรูยังไม่ได้แบคอัพข้อมูลแบบนี้

    สุดท้าย ใช้วิธีดั้งเดิม ฟอร์แมต (งานชั้น งานชั้น.... ไปซะแล้ว โฮ.... ปั่นใหม่)

    เครียดนะฮะ เพราะพอเราปั่นแก่นของฉากไหนเสร์จแล้ว เราก็จะลืม

    ทีนี้ล่ะนรก เพราะจะเขียนได้ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้ว

    (แค่ปกตินี่ก็ไม่สนุกอยู่แล้ว โว้ย~~~ อะไรกันนักกันหนา)

    ช่วงนี้ก็ขอเฟลไปซักครู่แล้วกันนะฮะ

    ไว้บิวท์อารมณ์ฉากที่ว่านี่ได้เมื่อไรจะมาเขียนให้ต่อ

    (ห้ามถามว่าเขียนฉากอ่นขั้นไปก่อนไม่ได้เหรอ

    เพราะเราทำไม่เป็น ทุกอย่างของเรามีลำดับขั้นของมันฮะ

    จะสลับลำดับของฉากก่อนหลังเราทำไม่ได้ เดี๋ยวมันมั่ว)

    พอแล้วๆ มาว่ากันด้วยพาร์ทนี้

    สิ่งที่ชอบที่สุดในพาร์มนี้คือบรรทัดแรกสุด บรรยากาศมาคุ

    พอเริ่มเขียนมันก็เข้ามาเลย คำนี้

    เห็นภาพชัดดีด้วย ว่ามั้ยฮะ

    ฉากนี้ก็เป็นของเคเรส ช่วงนี้เขียนมันบ่อย

    เพราะมันเขียนง่าย (ได้ข่าวว่าไอ้ที่หายไปสองหน้าก็เคเรส)

    ตอนแรกว่าจะใส่ให้ครบทั้งสี่ด้าน มุมมองของเคเรส

    มุมมองของเรคส์กับแคลร์(แล้วจะรู้ว่าทำไมถึงเอามันไว้ด้วยกัน)

    มุมมองของเคล แล้วก็มุมมองของคนนอก

    แต่ดูเหมือนวง่าจะต้องตัดทิ้งไปซักคนแล้ว ไม่งั้นปั่นไม่ไหว

    ไว้มีเวลาจะมีชี้แจงเหตุผลและตารางเวลานะฮะ

    ตอนนี้ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวท่านแม่เฉ่ง

    อาทิตย์นี้ก็แค่นี้นะฮะ อ่านให้สนุก



    อัพตรงเวลาเป็นครั้งแรกในรอบสามอาทิตย์หลัง

    ให้ตายเหอะน่า ปั่นไม่ทัน ปั่นไม่ออก แก้ปัญหายังไงดีเนี่ย

    งานการเริ่มเพลาๆลงแล้ว(แต่เดี๋ยวคงไปตายเอาเดือนหน้าแหงๆ)

    เรื่องของอนาคต เอาไว้ทีหลัง มาว่ากันด้วยเรื่องปัจจุบันก่อน

    ตอนแอบหวาน(ล่ะมั้ง) ของเรคส์กับแคลร์

    ซึ่ง... มันเขียนยากจริงๆนั่นแหละ

    ไม่อยากเขียนบ่อยๆเลยให้ตาย

    สุดความสามารถได้แค่นี้ฮะท่าน อย่าหวังอะไรกับเรามากนักเลย

    (บทเถียง บทบ่น บทด่า ค่อยว่ากัน)

    ซึ่งเขียนไปแล้วรู้สึกอยากจะตายเอาทุกนาที

    (ทำไมมันเขียนยากอย่างนี้ฟระ)

    เคเรสเขียนง่ายกว่าเป็นกอง

    พูดถึงเคเรส มันกำลังจะโดนเคลฆ่าเอานะ

    ไอ้คู่นี้แอบหนีกันมาหวานอยู่แถวนี้ไม่สนใจมันเลยแฮะ

    แอบอาภัพนะเนี่ย เคเรสเอ๋ย

    สำหรับคนที่สงสัยในบทของLL ขอสัญญาว่ามันจะได้พูดในฟิคเรื่องนี้แน่นอน

    แต่เร็วช้าไม่รับประกัน เพราะเราเองก็ยังนึกไม่ออกว่าจะใส่บทพูดให้มันตอนไหนดี

    (ขืนใส่มีหวังได้เขียนยาวกว่านี้แหงๆ)

    ฉะนั้น ใครที่รอบทของLLก็รอไปก่อนนะฮะ

    อาทิตย์นี้ไว้แค่นี้ฮะ เจอกันคราวหน้า



    อัพสายอเกน เผอิญติดการบ้านเทคโฮม20คะแนน

    20คะแนนสำคัญน่ะฮะ เราเลยไปใส่ทางนั้นก่อน

    บวกกับคอมติดไวรัสอย่างร้ายกาจ

    เลยโมเมไม่อัพวันอาทิตย์

    เอาล่ะ จบข้อแก้ตัวไว้แค่นี้ มาโม้เรื่องเนื้อเรื่องกันหน่อย

    ฉากฮาๆของเคเรส ถ้าถามว่าทำไม

    เพราะมันเขียนง่ายและเขียนสนุกน่ะสิ

    ไม่เห็นเหรอว่ามันน่าแกล้งขนาดไหน

    (หึๆๆ หัวเราะชั่วร้าย)

    และพาร์ทนี้คือตัวอย่างหนึ่งของการตัดตอน

    จะเห็นว่าใช้การบ่นให้เป็นประโยชน์ ตัดบทพูดทิ้งไปให้หมด

    แต่ออ่านแล้วก็(ยังพอ)ได้ใจความ(ล่ะมั้ง)

    เอาล่ะ คิดว่าไงฮะ แต่ถึงจะไม่เห้นด้วย เราก็ตัดไปเยอะแล้วอยู่ดี

    อาทิตย์นี้ไม่พูดมากฮะ เจอกันครั้งหน้า

    อ่านให้สนุกนะฮะ



    อ่ะ ขออภัยที่ช้าฮะ เผอิญการบ้านเยอะมากไปเยอะ

    แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลยฮะ

    คิดดู ขนาดเราอยู่ดึกๆไม่ค่อยได้

    เมื่อวานอยู่จนตีหนึ่งวันนี้เลยฮะ

    แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น การบ้านก็ยังไม่เสร็จดีอยู่ดี

    อาจารย์ทุกคนบอกเวลา ขอเวลาให้วิชาเค้าคนละวัน

    อาจารย์มีแปดคน ก็ต้องให้วันหยุดแปดวันสิฮะอาจารย์

    สี่วันไม่พอหรอกฮะ

    แล้วทุกคนล่ะฮะ เป็นยังไงบ้าง ปีใหม่นี้

    ช่วงนี้ไม่ว่างปั่นนะฮะ ที่ลงนี่จะทันต้นฉบับแล้ว

    อาจจะมีการหยุดยาวถ้าเรายังไม่มีเวลาปั่นอยู่แบบนี้

    เอาล่ะ พักเรื่องเครียดๆไว้ก่อน

    มาแซวเนื้อเรื่องหน่อย

    เรคส์หลุดมาด ตวาดไม่เลี้ยง แถมยังมี...

    นั่นล่ะ และนี่คือปมหลักของฟิคนี้ที่อยากจะนำเสนอ

    ฝ่ายหนึ่งก็เพื่อนคนสำคัญ อีกฝ่ายของสาวน้อยที่หวงแหนยิ่งกว่าใคร

    เรคส์และเคลจะทำยังไงต่อไปดีหนอ...

    (คนแต่งยังไม่รู้เลย นี่ก็นั่งเทียนเขียนอยู่//เปรี้ยง!! เสียงขวดแก้วลอยมากระแทกจากด้านหลัง)

    เอาล่ะ ถ้าเคลรู้ มันจะทำยังไงนะ แต่มันจะรู้ได้ยังไง

    คนรู้มันมีอยู่สามคน ถ้าไม่พูดซะ ใครมันจะไปรู้

    จริงมั้ยฮะ

    เอ้อ แก้ไขความเข้าใจผิดก่อน

    เราไม่ได้จะตัดฟิคจบนะฮะ แค่ว่าจะตัดเนื้อเรื่องบางส่วนออก

    แล้วก็ดัดแปลงรายละเอียดให้มันน้อยลง

    จะได้เขียนได้ง่ายขึ้น น้อยลง และเร็วขึ้น

    จะได้จบๆกันไปซะที เพราะอยากจะปั่นตัวอื่นเต็มแก่แล้ว

    เอาล่ะฮะ อาทิตย์นี้ก็แค่นี้ฮะ ไม่มีอะไรแล้ว

    สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้ทุกคนที่นั่งทนอ่านมา

    (เชื่อว่าคงมีนักอ่านแค่ไม่กี่คนที่ทนอ่านบทบ่นตรงนี้ แต่เราจะไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรอกนะ)

    ไม่ว่าจะเป็นนักอ่านรุ่นเก่า หรือนักอ่านรุ่นใหม่ที่เพิ่งมาเริ่มอ่าน

    เราขออารธนาคุณพระศรีรีตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก

    ขออวยพรให้นักอ่านทุกท่านมีความสุข สมปราถนาให้ปีใหม่ปีนี้

    คิดอะไรขอให้สมหวัง เงินทองและเกรดไหลมาเทมา ไม่มีงานการและโรคภัยมารุมเร้า

    และขอให้ไม่มีปัญหาใดๆกับคนรอบตัวนะฮะ

    (ขออวยพรทางการหน่อย เพราะเราก็อายุกลางๆ จะอวยพรคนอายุมากกว่าก็คงดูไม่ดี)

    อาทิตย์นี้ก็เหมือนเดิม อ่านให้สนุกนะฮะ

    แล้วเจอกันตอนอัพครั้งหน้า


    พาร์ทนี้ยาว ขอโมเม แบ่งส่วนอัพนะฮะ

    สาเหตุหลักปั่นไม่ทัน

    เกลียดตอนที่มันเถียงกันแบบมีเหตผลชะมัด

    โดยส่วนตัว พาร์ทนี้เขียนอย่างสะใจเล็กน้อย

    แต่มันเขียนแอบยาก

    เราจะอู้นะฮะ บอกไว้ก่อน ปั่นไม่ออก

    ติดเกมอยู่ด้วย ตัดใจมาปั่นไม่ได้

    ไข้ขึ้นอยู่ด้วยฮะอีกสาเหตุ

    ปีนี้ป่วยบ่อยเวอร์ ปีที่แล้วไม่บ่อยขนาดนี้ สงสัยร่างกายอ่อนแอลง

    นึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆ เมื่อก่อนบ่อยเดือนเว้นเดือนเลยฮะ

    พอโตแล้วมันก็เริ่มหาย ตอนนี้มาเป็นอีกเลยแอบรำคาญ

    ทำอะไรก็ไม่สะดวก เราไม่ชอบเลย(ไม่ได้หยุดอีกต่างหาก)

    เอาล่ะ มาว่าด้วยเรื่องพาร์ทนี้

    พาร์ทนี้จะเห็นเรคส์หลุดมาด การตะคอกของมันเป็นอะไรที่เราชอบมาก

    ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ก็คงอย่างที่ว่าไป แอบสะใจล่ะมั้ง

    ตอนนี้ทุกคนคงสอบกลางภาคกันเสร็จแล้ว(ล่ะมั้ง)

    แล้วกำลังเตรียมตัวหยุดปีใหม่

    กำลังคิดว่าจะปิดฟิคนี้ให้ได้ก่อนปีใหม่

    แต่สงสัยคงยาก นี่ขนาดตัดไปเยอะแล้วนะ

    เขียนแล้วชักเหนื่อยแฮะ 

    เอาเหอะฮะ เราจะพยายาม

    อ่านให้สนุกนะฮะ แล้วเจอกันครั้งหน้า


    ขออภัยที่อัพช้า เราลืมไปซะสนิทเลยฮะ

    เปิดตัวสาวๆ แอบชอบแอนนาแฮะ

    แต่แม่สาวมั่นอย่างสเตลลานี่ค่อนข้างจะเป็นสไตล์เรามากกว่า

    เขียนไม่ค่อยยากเท่าไร

    ปั่นไม่ออกฮะ มีหวังได้อัพอีกสองช่วงแล้วหยุดยาวแหงๆ

    หวังว่าปีใหม่จะได้ว่างมาปั่นนะ

    ช่างนี้ชื่อLLจะขายดี เพราะมันขายได้

    สนุกดีซะด้วย แค่พูดชื่อออกมาชาวบ้านก็กลัวกันหมดแล้ว

    มีแต่พวกนี้นั่นแหละที่ไม่รู้สึกรู้สา

    เอาเป็นว่า พูดว่าเฉพาะฝาแฝดดีกว่า

    เพราะภูมิต้านทานสูงกว่าใคร

    (ภูมิต้านทานเรื่องอะไรวะ)

    เอาล่ะฮะ อย่าใส่ใจคนเมา เดี๋ยวเมาตาม

    ทุกคนคงวุ่นช่วงสอบกลางภาค

    เราไม่มีสอบกลางภาค แต่มีสอบมันเป็นรายๆวิชาไป และมีทุกวัน

    ถึงยังไงก็เอาใจช่วยแล้วกันนะฮะ

    หวังว่าทุกคนจะคว้าชัยในการสอบมา แล้วมานั่งลัลล้าอ่านฟิคได้อย่างสบายใจ

    (หรือจะเป็นการมานั่งอ่านดับเครียดเหมือนเรา)

    สำหรับความเห้นที่1614(ขออภัย ว่าจะพูดตั้งแต่อัพรอบที่แล้วแล้ว แต่ดันลืม)

    ขอติงเรื่องภาษาวิบัติ นี่โลกไซเบอร์ซึ่งเป็นโลกสาธารณะนะฮะ

    แถมยังเป็นบอร์ดนิยายอีกด้วย

    เรารณรงค์ให้มีการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องมากกว่านะฮะ

    ใครเข้าไปเข้ามาจะได้รู้ว่าการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องน่ะ มันเป็นยังไง

    และยังเป็นการทำให้เห็นว่า แม้ว่าเราจะเป็นวัยรุ่น แต่ก็ยังใส่ใจในภาษาไทย

    แถมในหลวงท่านยังเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ด้วย

    เราซึ่งน่าจะเป็นลูกที่ดีก็น่าจะเอาสิ่งที่พ่อสอนมารับใส่เกล้าแล้วปฏิบัติตามไม่ใช่หรือฮะ

    ส่วนในเอ็ม การคุยกันส่วนตัวในโปรแกรมแชต จะใช้ยังไงก็แล้วแต่คุณเถอะฮะ

    มันเป็นสิทธิของคุณ

    เอาล่ะ นี่เป็นแค่การเสสนอความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น

    อาจจะไม่ถูกใจหลายๆคนก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย

    อย่าเครียดล่ะฮะ

    อ่านให้สนุก แล้วเจอกันอาทิตย์หน้าฮะ



    LxL ออกแล้ว แต่แค่ในนามเท่านั้นนะ

    เฮ้อ จนจบเรื่องจะได้ออกซักกี่ฉากกันน้า

    มันเขียนสนุกด้วยสิ เสียดายแฮะ

    โอย เซง ปั่นไม่ออกเลย ทำไงดี

    และนั่นคือสาเหตุที่มาอัพเลต

    ปั่นไม่ออกอย่างแรงฮะ (เพราะเป็นฉากของเรคส์รึเปล่านะ)

    ถ้าได้เขียนเคเรสบ่อยๆก็คงจะดี เขียนง่าย แล้วก็เขียนสั้นได้ด้วย

    แต่มันไม่ได้น่ะสิ เพราะต้องให้บทตัวละครกันอย่างเท่าเทียม เดี๋ยวมันงอน

    โอย ปวดหัวชะมัด เพราะนั่งปั่นฟิคมากไปรึเปล่าเนี่ย

    เดี๋ยวคงต้องไปนอนพักซะหน่อย

    เอาล่ะฮะ รีบอัพรีบไปดีกว่า

    กรุณาอย่าเซ้าซี้ฮะ

    (เพราะป่วยบ่อย ร่างกายไม่อำนวยให้มาอัพได้สม่ำเสมอ และปั่นไม่ออกด้วย)

    และ อ่านให้สนุกนะฮะ

    เจอกันครั้งหน้า


    เอ้า อู้มาหนึ่งอาทิตย์ มาอัพให้แล้วฮะ

    สาเหตุที่อู้ก็เหมือนเคยๆนั่นแหละฮะ

    ปั่นไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรฮะ

    หลังจากนี้ก็หมดกีฬาสีแล้ว คงจะว่างขึ้นอีกหน่อย

    เขียนช่วงนี้สนุกดี เพราะไม่ค่อยมีสาระ

    เราค่อนข้างจะสนุกกับการเขียนนิสัยแบบนี้ของเฟรินแฮะ

    หวังว่าจะเข้าใจหัวอกของมันนะฮะ

    แล้วก็ ตอนนี้ก็เล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟังแล้ว

    คิดว่าคงจะเข้าใจขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย

    ถ้าไม่เข้าใจกรุณายกมือทิ้งไว้นะฮะ เราจะตอบให้

    ช่วงหน้าก็จะเป็นเด็กๆอย่างเต็มตัว

    การสลับให้บทตัวละครอย่างเท่าเทียมเป็นอะไรที่ลำบากกว่าที่คิด แต่ก็ไหลง่ายกว่าที่คาด

    ที่ยากที่สุดก็คือ การเขียนยังไงให้มันช็อตต่างหาก

    (อย่างที่อ่านๆกันมา เคยเห็นช็อตฟิคอันไหนของเราช็อตบ้าง)

    เขียนแล้วเครียด เมื่อไรมันจะจบฟระ

    เราฝันจบไปนานแล้วนะเฟ้ย

    เอาล่ะฮะ อย่าบ่นมาก เดี๋ยวคนอ่านเบื่อ

    อาทิตย์นี้ก็เหมือนเดิม กติกาคือห้ามเซ้าซี้

    และอ่านให้สนุกนะฮะ

    เจอกันครั้งหน้าฮะ


    ต่อฮะ ส่วนนี้ยาว(น่าจะที่สุดเท่าที่พิมพ์ฟิคนี้มาเลยมั้ง)

    การเขียนอารมณ์แปรปรวนของแคลร์ก็เป็นอะไรที่สนุกดีแฮะ

    แต่ชอบเขียนเคล หรือเคเรสมากกว่า

    (เรคส์มันเขียนยาก ไม่ค่อยอยากจะเขียนมันบ่อยๆ)

    พวกคนแก่ๆก็เขียนสนุกนะ

    เขียนเฟรินแล้วก็ดูคล้ายๆเขียนแคลร์

    แต่เขียนเฟรินสนุกกว่าเยอะ เพราะมันไม่ต้องเกรงใจ จะใส่อะไรก็ใส่ได้เลย

    (เฮ้ย มันต้องกลับกันไม่ใช่เรอะ ได้ข่าวว่าแคลร์เป็นตัวละครของแกนะเฟ้ย)

    ช่างมันเถอะฮะ อย่าใส่ใจเลย

    ส่วนใครที่อยากรู้ที่มาที่ไปของกัส

    (แม้จะไม่มีคนถาม แต่เราอยากพูด เราก็จะพูด)

    เนื่องด้วยเหตุผลเดียว สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ

    เราชอบมันฮะ อย่างที่เคยบอกไป (รึเปล่านะ) เมื่อนานมาแล้ว

    ในบรรดาตัวประกอบที่ค่อนข้างจะไร้บทของพี่แรบบิท

    เราชอบมันที่สุดเลย มันดูเขียนง่ายดี

    แต่ความจริง มันไม่ใช่แค่เขียนง่าย มันยังเขียนสนุกอีกต่างหาก

    ไม่เหมือนคิล เขียนยาก แล้วยังเขียนไม่ค่อยสนุกอีกต่างหาก

    (อีกคนที่อยู่ในกรณีเดียวกันแต่หนักกว่า คือ คาโล ดังนั้นเราจึงรีบลดบทมันอย่างรวดเร็ว)

    คงเข้าใจเหตุผลที่ลดบทคาโลแล้วมั้งฮะ

    คนแก่จะออกส่วนนี้กับส่วนหน้าเป็นส่วนสุดท้ายนะฮะ

    แล้วหลังจากนั้นจะหยุดยาว (ไปพักร้อน)

    สำหรับคนที่ถามๆกันมา เรื่องที่มาที่ไปของเรื่องนี้

    ส่วนหน้าจะเฉลยแบบคร่าวๆฮะ เราคิดว่าน่าจะรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง

    ไม่มากก็น้อยล่ะ เราจะแค่อธิบายรวมๆ เพราะความจริงเรื่องนี้มันเป็นฟิคยาว

    แต่เราเอามาตัดออกไปเยอะแยะ

    ความจริงแบบสั้นกว่านี้ก็มี

    แต่เฟรินต้องตาย เอามั้ยล่ะฮะ

    ถ้าเอาจะลบอันนี้ออกแล้วเขียนให้ใหม่

    มันจะสั้นกว่านี้ แต่ก็จะเครียดกว่านี้ แล้วก็จะอึมครึมกว่านี้

    ถ้าคนสนใจเกินสิบคน เราจะลบเรื่องนี้ แล้วเขียนอีกเวอร์ชั่นนึงนะฮะ

    ห้ามมีการโลภบอกจะเอาทั้งสองเวอร์ชั่นด้วยล่ะ

    ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ จะหยุดไม่เขียนมันให้หมดเลย

    ไปเขียนไซต์สตอรี่ของเลทีอาแทน

    โอเคฮะ กติกายังเหมือนเดิม ห้ามทวง

    และติดใจสงสัย ยกมือถามนะฮะ

    อาทิตย์นี้แค่นี้ เจอกันครั้งหน้าฮะ



    ต่อ ไม่มีเวลาปั่นฮะ สุดๆเราให้ได้แค่อาทิตย์ละครั้ง

    เอาล่ะ กรุณาอย่าไซโค เพราะมันจะเป็นการบังคับมุมมองของตัวท่านเอง

    แล้ว... ทุกท่านเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า

    เราบอกเมื่อไรว่าเรื่องนี้ RxF เราว่าเราบอกไปตั้งแต่ต้นแล้วนะฮะ

    เรื่องนี้จะใช้ลูกๆของมันเป็นตัวดำเนินเรื่อง

    แต่เราจะพยายามพรีเซนต์คู่โปรดของเขา

    เราบอกเมื่อไรฮะ ว่าเรื่องนี้ RxF 

    ไม่เลยซักกะนิดเดียว ทุกท่านเขาใจผิดไปเองทั้งนั้น

    อย่าตีตนไปก่อนไข้สิฮะ สาวกคาโลทั้งหลาย

    การลดบทคาโลเท่านั้นที่เราประกาศ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องของเด็กๆฮะ ตัวเอกทั้งหลายก็เป็นเด็กๆ คู่หลักก็เป็นเด็กๆ

    เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วฮะ

    จะมีเหล่าคนแก่มาแซมประปรายให้พอเป็นกระษัย

    แต่ไม่บ่อย แค่จะอ้างชื่อพอให้หายคิดถึงแค่นั้น

    กรุณาทำใจเสียใหม่ก่อนอ่านรอบหน้านะฮะ

    ส่วนช่วงนี้ ก็คือช่วงของเหล่าคนแก่ที่มาแจมพอเป็นกระษัยอย่างที่ว่า

    อย่าเรียกร้องมาก ถ้าเข้าใจอะไรผิดกรุณาขึ้นไปอ่านnoteข้างบนใหม่

    อ่านแล้วทำความเข้าใจดีๆ จะกระจ่างขึ้นเยอะฮะ

    โอเค ไม่เข้าใจยกมือทิ้งไว้ฮะ จะมาอธิบายให้ในครั้งถัดไป

    สำหรับคำถามที่ถามทิ้งไว้
    ความคิดเห็นที่ 1598
    อัพแล้วๆ

    ว่าแต่มันต่อจากตอนไหนละเนี่ย

    งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
    PS.  ... TrY eVeN iF yOu Fa-iL bU-T nEvEr Fa-iL tO tRy ...
    Name : ~D_e_v_i_l~< My.iD > [ IP : 125.25.9.24 ]
    Email / Msn:
    วันที่: 6 พฤศจิกายน 2550 / 18:35

    ตามแต่จะคิดเถอะฮะ เราไม่ถือ

    ถ้าจะหาตอนต่อจากฟิคหลักล่ะก็ เสียเวลาเปล่าฮะ

    ไปคิดว่ามันมาจากไหน ไปยังไงเอง มันส์กว่าเยอะ

    โอเคฮะ อาทิตย์นี้พอแค่นี้

    อ่านให้สนุกนะฮะ



    เอ้า ต่อ ก็บอกแล้ว อย่าเซ้าซี้

    เราพยายามปั่นให้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

    เปิดมาอาทิตย์แรก สมองถูกยัดด้วยคำว่า

    บทคัดย่อ บทคัดย่อ บทคัดย่อ

    โอย ปวดหัวชะมัด

    เราเกลียดเปิดเทอม เกลียดงาน เกลียดกีฬาสี

    โอเค กติกาคือห้ามเซ้าซี้ เข้าใจมั้ยฮะ

    เราไม่อยากอัพช้านักหรอกฮะ

    ความจริงแล้วอยากจะอัพรวดเดียวให้หมดเลยด้วยซ้ำ

    แต่เรายังปั่นไม่เสร็จฮะ เพราะฉะนั้นก็ต้องทนเอาไป

    เอ้า เข้าใจกติกาแล้วมาว่ากันต่อ

    ตัวละครเพิ่มมาอีกสองตัว ตัวดำเนินเรื่องทั้งนั้น

    จำๆมันไว้หน่อย ถือเป็นตัวละครที่รักมาก

    สับสนอะไรกรุณายกมือถาม ถ้าเรามันไม่มีในเนื้อเรื่องว่าจะตอบให้ เราก็จะตอบให้

    และฟังต่อ จะไม่มีการเปลี่ยนคู่ เพราะนี่คือฟิคที่ฝันไว้เมื่อสองปีกว่าที่แล้ว

    และ เรารักพล็อตนี้มาก จะหาว่าเราหยิ่งก็ได้ฮะ เราไม่ถือ

    เราจะไม่เปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น นอกจากรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆ ซึ่งน่าจะไม่มีผลต่อเรื่อง

    เรากำลังฝันต่อ และฝันมายังไง เราก็จะเขียนไปแบบนั้น

    ไม่มีการเปลี่ยนฮะ เพราะมันจะทำให้เขียนยากขึ้นสามสิบเท่า

    และเขียนช้าลงกว่าเดิมสองร้อยเท่า

    เปลี่ยนพล็อตมันใช้สมองล้วนๆฮะ

    แต่ถ้าฝันเอา มันแค่ลอกแล้วแปลงจินตการให้เป็นตัวหนังสือ ซึ่งง่ายกว่ามันมาก

    โอเคนะฮะ ข้องใจยกมือไว้ เราจะตอบให้ เข้าใจแล้วผ่านนะฮะ

    เนื้อเรื่องช่วงแรกๆจะสบายๆ ไม่เครียด ไม่ฮา ตามฉบับเรา อ่านง่ายๆชิลๆ ไม่ซีเรียส

    หรือจะซีเรียสก็ได้ ตามแต่จะคิด

    เราจะลดบทคาโลให้ถึงที่สุด เพราะฉะนั้น สาวกคาโลไม่ควรอ่าน

    (หรือใครหลวมตัวอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่ต้องตามแล้วก็ได้ฮะ ทรมานใจเปล่าๆ)

    แต่ก็ตามใจ สำหรับคนอ่านที่ชอบทรมานตัวเอง

    โอเค ไม่มีอธิบายเนื้อเรื่อง อ่านเอาเองตามอัธยาศัย

    เพราะเราไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง

    อ่านให้สนุกนะฮะ เจอกันเมื่อเราว่าง



    อา... ฟิคฮะ ถึงจะแสลงใจไม่ค่อยอยากอัพก็เถอะ

    แต่ก็ต้องอัพตามคำพูด

    ไม่งั้นมีหวังโดนด่าตาย จริงมั้ยฮะ(ยิ้มแห้งๆ)

    เรื่องนี้จะพยายามเปลี่ยนตัวดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ

    พอให้เห็นสภาพรอบด้านในสายตาของตัวละครแต่ละตัว

    อ้อ ต้องบอกก่อนสินะว่านี่อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับตัวฟิคหลักก็ได้

    แล้วแต่จะคิด

    ส่วนใครงงความสัมพันธ์ของตัวละคร เตรียมยกมือทิ้งไว้ฮะ

    เราจะมาพยายามบอกให้ตอนอัพครั้งหน้า

    จำไว้ว่าห้ามเซ้าซี้

    เราจะอัพให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ฮะ

    แต่ตอนนี้ยังปั่นไม่ค่อยออก เพราะฉะนั้นก็เอาไปตามมีตามเกิดก่อน

    เนื้อเรื่องจะไม่เครียดมาก แต่ก็ไม่ซอฟต์มาก

    เราจะแต่งตามแนวที่เราชอบ

    เพราะฮะนั้น ใครรู้ตัวว่ารับคู่โปรดเราไม่ได้ก็ปิดมันไปซะ

    (ถึงตัวดำเนินเรื่องหลักจะเป็นลูกๆก็เถอะ)

    ขอให้ทุกคนอ่านเข้าใจนะฮะ

    และ อ่านให้สนุกฮะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×