ตอนที่ 4 : 04 ผิดพลาด [Rewrite]
#อย่าเล่นกับอนล
ชีวิตของคนส่วนใหญ่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่ตลอดเวลา มันมักจะมีช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอุปสรรค หรือได้กระทำบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาดลงไป แม้จะอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขแต่ก็ไม่สามารถทำได้
สำหรับตัวผม ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ฉุดรั้งตัวเองให้จมอยู่กับอดีต เรื่องไม่ดีทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นหรือสิ่งที่ผมทำผิดพลาดไป ผมก็จะปล่อยมันไว้ข้างหลังและถือว่ามันเป็นบทเรียนและประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่ง แต่กับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้มันทำให้ผมคิดเพ้อฝันเป็นครั้งแรก
ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมจะอยากย้อนเวลากลับไปมากเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย
แสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในห้องทะลุผ่านเปลือกตาที่ยังปิดสนิท ปลุกผมให้ตื่นจากการหลับใหล ผมนิ่วหน้าเมื่อความคลื่นเหียนวิงเวียนเข้าจู่โจมแทบจะทันทีที่รู้สึกตัว ต้องใช้เวลารวบรวมสติอยู่พักใหญ่กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าที่ผมรู้สึกปวดหัวเหมือนจะระเบิดอยู่ในตอนนี้ เพราะเมื่อคืนผมดื่มเหล้ามากเกินไป
ผมผ่อนลมหายใจยาวออกมา พลิกกายอยู่ใต้ผ้าห่ม ทันใดนั้นความปวดเมื่อยก็แล่นร้าวขึ้นมาจากช่วงล่างไล่ไปตามกระดูกสันหลัง ผมชะงักเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ
เมื่อคืนผมแค่ดื่มเหล้า มันเป็นไปไม่ได้ที่เช้ามาจะปวดไปทั้งตัวเหมือนไปออกกำลังกายหนักๆมาแบบนี้ แถมสัมผัสเย็นเฉียบจากผืนผ้าที่คลุมกายผมอยู่ก็ดูจะชัดเจนจนเกินไป ราวกับว่ามันคลุมลงมาบนร่างกายเปลือยเปล่าของผมโดยตรงแบบไม่มีเสื้อผ้าขวางกั้น นอกจากนี้แล้วช่องทางด้านหลังของผมยัง...
เจ็บ แสบ และเฉอะแฉะ เหมือนมีบางอย่างคั่งค้างอยู่ภายใน...
ผมลืมตาขึ้น หัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น เพดานห้องสีครีมแปลกตาบ่งบอกชัดเจนว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม ความทรงจำเลือนรางค่อยๆไหลย้อนกลับเข้ามาในสมอง ผมเหลือบมองไปข้างๆตัว ภาวนาสุดหัวใจว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด
แผ่นหลังกว้างสีแทนเปลือยเปล่าของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏต่อสายตาของผม บนกล้ามเนื้อกำยำสมส่วนนั้นเต็มไปด้วยรอยข่วนประปราย ช่วงล่างของเขาถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มผืนเดียวกับที่ผมห่มกายอยู่ เพียงแค่แวบแรกที่เห็นผมก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด เพราะต่อให้หันหลังให้ มันก็ยังดูคุ้นตาจนน่ากลัว
สัมผัสร้อนแรงและเสียงครางต่ำๆผุดขึ้นมาในความทรงจำ ผมแทบจะยกมือขึ้นทึ้งหัวเมื่อตระหนักได้ว่าคืนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคืนผมเมาหนักมาก แล้วผมก็เผลอไปมีอะไรกับ...
“อืมมมม” คนที่นอนหันหลังให้เริ่มขยับตัว ผมรีบลุกขึ้น ไม่สนใจความปวดเมื่อยที่แล่นริ้วขึ้นมาจนพาให้แข้งขาสั่นแล้วรีบคว้าเสื้อผ้าตัวเองที่ตกอยู่ข้างเตียง ยิ่งเห็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่กองขยุกขยุยอยู่บนพื้นข้างๆเสื้อของผมแล้วก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะเป็นบ้า
แม่งๆๆ ทำไมต้องเป็นมันด้วย!!!
ผมหันซ้ายหันขวา เหลือบไปเห็นประตูห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอน ผมรีบเดินตรงไปหามันก่อนจะปิดประตูดังปังแล้วเดินไปดูสภาพตัวเองที่หน้ากระจก เผลอเม้มปากแน่นด้วยความเครียดเมื่อพบว่าริมฝีปากของผมแดงเรื่อและบวมเจ่อ ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยรอยสีระเรื่อจางๆ แต่งแต้มผิวกายขาวโดยเฉพาะบริเวณซอกคอและแผ่นอก ราวกับพยายามตอกย้ำให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ฝันไป
ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ผมขาดสติโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างมันเบลอๆเลือนๆไปหมด แต่ผมก็ยังพอจะจำได้ว่าตัวเองไม่ได้ขัดขืน แถมยังต้องการสัมผัสที่โลมเลียไปทั่วตัวนั่นอีกต่างหาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีเซ็กซ์ก็จริง แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมมีเซ็กซ์กับคนที่ผมไม่ได้รัก
ถึงจะอยากให้มันเป็นแค่ฝันร้าย แต่พระเจ้าคงไม่ใจดีกับผมถึงขนาดนั้น
ความอึดอัดที่ช่วงล่างทำให้ผมยิ่งเครียดหนัก ตัดสินใจรีบเดินเข้าไปอาบน้ำ เอาสิ่งไม่พึงประสงค์นั่นออกไปจากร่างกาย ผมสวมเสื้อผ้าตัวเองที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน ยืนมองประตูห้องน้ำอย่างลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกลั้นใจผลักประตูออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
“เอื้อ” เสียงทุ้มห้าวของเจ้าของห้องเรียกชื่อผม ร่างสูงกำยำสวมผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างเอาไว้ กำลังนั่งอยู่บนเตียงพลางจ้องหน้าผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ผมเบือนหน้าหนี ความรู้สึกกรุ่นโกรธพุ่งพล่านจนไม่อยากจะมองหน้า ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่ ก่อนที่คิงจะเป็นฝ่ายทำลายมันลง
“มึง...จำเรื่องเมื่อคืนได้มากแค่ไหน?”
“จำไม่ค่อยได้ แล้วกูก็ไม่อยากจะจำด้วย” ผมสวนกลับทันควันพลางทำท่าจะเดินออกจากห้อง คิงลุกขึ้นจากเตียง เดินปราดมาคว้าข้อมือผมไว้ทันที
“จะไปไหน?”
“กลับห้อง”
“รถมึงกับกูจอดอยู่ที่ร้าน เดี๋ยวกูไป--”
“ไม่ต้อง” ผมสะบัดมือมันทิ้งแล้วเดินออกจากห้องนอนไป หันไปเห็นเห็นกระเป๋าของตัวเองวางอยู่ที่โซฟา ผมเดินไปคว้ากระเป๋าแล้วรีบตรงไปที่ประตู แต่ร่างสูงกลับเดินมาดักหน้าผมไว้
“ถอยไป” ผมบอก มันยืนนิ่งไม่ขยับพลางถามผมกลับว่า
“เอื้อ มึงโกรธกูเหรอ?” คำถามนั้นทำให้ผมแค่นเสียงหึออกมาแล้วย้อนถาม
“แล้วมึงคิดว่ายังไงล่ะ?”
“โกรธอะไรวะ เมื่อคืนเราก็มีความสุขกันนี่” ประโยคไม่น่าฟังที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำให้ผมเงยหน้าขึ้น สบตามันอย่างไม่อยากจะเชื่อหู
หรือมึงโมโหที่กูแตกใน กูขอ--”
“มึงไม่รู้เหรอว่ากูโมโหเรื่องอะไร!?” ผมตวาด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป ไอ้คิงหรี่ตาลง มองปฏิกิริยาของผมด้วยแววตาว่างเปล่า
“มันเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ เมื่อคืนเราก็แค่เมา”
“กูลืมตาตื่นมาแล้วรู้ตัวว่าเมื่อคืนกูนอนกับคนที่กูไม่ได้รัก มึงจะให้กูยิ้มหน้าชื่นตาบานเหรอ! กูไม่ได้เหมือนมึงที่นอนกับใครแล้วไม่ต้องคิดมากนะ!” น้ำเสียงของผมสั่นเครือไปหมดจนพูดต่อไปไม่ได้ ยิ่งพูดก้อนแข็งๆบางอย่างก็เหมือนจะแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ผมหันหน้าหนี พยายามสูดลมหายใจลึกๆระงับอารมณ์
“กูรู้ว่ากูโทษมึงไม่ได้ กูเมา มึงเมา เราก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ พลาดแล้วก็ให้มันจบๆไปแล้วกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก” ผมตัดบทโดยไม่สบตาอีกฝ่ายแล้วเดินตรงไปที่ประตู มือของผมคว้าลูกบิดกระชากเปิดออก ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงเจ้าของห้องดังขึ้นจากด้านหลัง
“ที่มึงโกรธขนาดนี้เพราะคนที่มึงนอนด้วยคือกูใช่ป่ะ?”
“............................”
“ถ้าเป็นคนอื่นมึงอาจจะไม่หัวเสียขนาดนี้ แต่ที่มึงโกรธเพราะมึงพลาดกับกู ใช่ป่ะ?”
“ใช่” ผมหันกลับไปตอบ ใบหน้าของไอ้คิงนิ่งสนิท ผมได้แต่แค่นยิ้มสมเพชให้กับความผิดพลาดของตัวเอง
“ถ้ามึงรู้แล้วก็หยุดพูดซะที”
“............................”
“อย่าทำให้กูรู้สึกแย่กับตัวเองไปมากกว่านี้อีกเลย”
สองขาพาผมเดินออกไปจากห้องพักของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ผมไม่คิดจะอยู่รอฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อไป วินาทีนี้ผมต้องการเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่
อาการเมาค้างของผมยังไม่หายไป เส้นประสาทที่หัวก็เต้นตุบๆด้วยความเครียดจัด สุดท้ายแล้วผมก็ทรุดตัวลงข้างท่อระบายน้ำข้างทาง อาเจียนน้ำย่อยออกมาจนหมดสิ้นพลางหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย
ท่ามกลางแดดร้อนจัดของยามสาย บางสิ่งไหลลงมากระทบกับแก้มของผม ผมบอกตัวเองว่ามันคงจะเป็นเหงื่อที่ซึมออกมาบนใบหน้า แม้ขอบตาทั้งสองข้างที่ร้อนผ่าวจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่
หากมันเป็นฝันร้าย อีกไม่นานผมก็คงจะตื่นขึ้นแล้วกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่เพราะมันไม่ใช่ความฝัน ผมจึงไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากความรู้สึกแย่ๆ นี้ได้เลย
ผมโกรธที่คิงมันไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือผมโกรธตัวเองจนแทบบ้า เพราะผมรู้อยู่แก่ใจดีว่าสาเหตุของเรื่องมันเกิดจากตัวผม ผมไม่สามารถโทษคิงได้เต็มร้อยจริงๆ เพราะถ้าเมื่อคืนผมไม่กินเหล้าหนักจนมันต้องลากกลับมาที่ห้องด้วย ถ้าผมปล่อยให้มันออกจากห้องไป ถ้าผมไม่เรียกร้องให้มันอยู่ด้วย เรื่องบ้าๆนี่ก็คงไม่เกิดขึ้น
ถ้าผมไม่กลัวความมืดขนาดนั้น ก็คงจะไม่...
ดวงตาของผมพร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำอุ่นๆ ผมหลับตาแน่นแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา หมดแรงที่จะทำตัวเข็มแข็งอีกต่อไป ชีวิตของผมบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งวันนี้ผมถึงได้รู้ว่าบางทีสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม
มันอาจจะเป็นตอนที่ผมลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ก็ได้
ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าผมจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกครั้ง ผมตัดสินใจซื้อกาแฟกินแก้อาการเมาค้าง เรียกแท็กซี่ไปยังร้านอาหารที่กินเลี้ยงกันเมื่อคืนเพื่อกลับไปเอารถแล้วขับกลับคอนโด ร่างกายของผมอ่อนเพลียอย่างมาก ทั้งปวดหัว ปวดเมื่อยตัว และยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ผมจึงแวะซื้ออาหารกล่องจากร้านสะดวกซื้อกลับไปกินที่ห้อง แต่ก็กินไปไม่ได้มากเท่าไหร่เพราะไร้ความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง
หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็กินยาแก้ปวดหัว พาตัวเองกลับไปนอนที่เตียงและผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอันเป็นสัญญาณว่าพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าในตอนที่ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เหม่อมองโทรศัพท์ซึ่งถูกปิดเครื่องไว้ตั้งแต่เมื่อคืนที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ผมลุกไปหยิบมันมาเปิดเช็ค มีทั้งสายที่ไม่ได้รับและข้อความค้างมากมาย ทั้งจากแม่ที่ทวงค่าเรียนพิเศษของต้นข้าว พี่ป๊อกที่ยังตามตื๊อผมไม่เลิก
และข้อความกับสายที่ไม่ได้รับจากคิง
‘รับสายหน่อย กูอยากเคลียร์กับมึง’
ผมนั่งจ้องข้อความนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ผมอยากจะหนีความจริงไปให้ไกล อยากจะนอนหลับไปโดยไม่ต้องตื่นมารับรู้เรื่องราวพวกนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายแล้วผมก็ใช้ชีวิตต่อไป ต้องยอมรับความเป็นจริง
เพียงแต่ไม่ใช่เวลานี้
ผมกดปิดเครื่องไปอีกครั้งแล้ววางโทรศัพท์กลับไปที่เดิม
ผมยังไม่อยากรับรู้อะไรเรื่องโลกภายนอก ผมยังไม่พร้อมจะรับรู้สิ่งต่างๆในตอนนี้ ขอเวลาอีกใส่หน่อย ให้ผมเข้มแข็งพอที่จะไม่เผลอแสดงท่าทีอ่อนแอออกมา ถึงเวลานั้นผมจะกลับไปเผชิญหน้ากับมันเอง
วันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านพ้นไปแล้ว ผมนอนนิ่งเหม่อมองเพดานห้องเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเช้าวันจันทร์ ไม่เร่งรีบไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานดังเช่นทุกวัน ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ นานนับสิบนาทีกว่าผมจะลุกขึ้นจากที่นอนเดินเข้าห้องอาบน้ำ ทำกิจวัตรยามเช้าด้วยความเชื่องช้ากว่าปกติ
เมื่อวานผมปิดโทรศัพท์ไปตลอดทั้งวัน ตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอก มันไม่ได้ช่วยให้ผมหายเครียด แต่มันก็ทำให้ผมหลีกหนีความจริงไปได้ชั่วคราว ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งระหว่างที่ขับรถไปทำงาน เห็นว่าเมื่อวานมีสายโทรเข้าจากคิงโทรมาเรื่อยๆตลอดทั้งวัน
ครืดดดด
ผมชะงักเมื่อโทรศัพท์ที่เพิ่งเปิดเครื่องได้ไม่ถึงสองนาทีสั่นขึ้นมา เผลอเม้มปากแน่นเมื่อเห็นรายชื่อคนที่โทรเข้ามาเป็นคนแรกของวัน ไอ้คิงไม่ลดละความพยายามที่จะคุยกับผม ในขณะที่ผมไม่อยากคุยกับมันแม้แต่นิดเดียว ผมปล่อยให้โทรศัพท์สั่นอยู่แบบนั้น เท้าผ่อนคันเร่งที่เหยียบอยู่จนรถเคลื่อนที่ได้ช้าลง
เช้าวันจันทร์แบบนี้รถติดหนัก ถ้าจะเข้างานสายสักหน่อยมันคงไม่ได้ดูผิดปกติอะไร
ผมมาถึงออฟฟิศตอน 08.45 น. เลยเวลาเข้างานไป15 นาที ตั้งแต่ทำงานมาน้อยครั้งที่ผมจะมาสาย ถ้าไม่มีเหตุขัดข้องจริงๆอย่างเช่นรถติดหนักหรือรถเสียกลางทาง แต่วันนี้ผมจงใจออกจากบ้านช้ากว่าปกติเพราะไม่อยากมีช่วงเวลาว่างก่อนเข้างาน
ผมไม่อยากคุยกับไอ้คิง
ผมสแกนบัตรเข้างาน ยกมือไหว้บรรดารุ่นพี่ในออฟฟิศระหว่างทางที่เดินไปแผนก ท่าทางตอนนี้หน้าผมคงไม่รับแขกสักเท่าไหร่ เพราะขนาดพี่ป้องที่มักจะรี่เข้ามาหาเวลาที่เห็นผมเดินผ่านก็ยังยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาวอแวเหมือนทุกวัน ตอนที่ผมเดินเข้าไปในแผนกไอที พนักงานทุกคนก็นั่งประจำโต๊ะเริ่มทำงานกันไปเรียบร้อยแล้ว ผมเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าของโต๊ะซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังผมหมุนเก้าอี้กลับมามอง ผมเผลอสบตากับคิง ความอึดอัดปะทุขึ้นกลางอากาศโดยพลัน
ดวงตาคมปลาบของอีกฝ่ายจ้องหน้าผมนิ่ง สีหน้าเคร่งขรึมไร้แววหยอกเย้าเหมือนที่เคยคุ้นตา ผมเบือนหน้าหนี หันหลังให้แล้วทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงานตัวเอง
“ทำไมวันนี้มาสายอ่ะ?” เจตหันมาสะกิดถามผม
“ตื่นสาย” ผมตอบไปสั้นๆ เจตกระพริบตาปริบๆ แล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดว่า “ไม่สบายเหรอ?”
ผมกดเปิดคอมพิวเตอร์พลางส่ายหน้า เจตดูจะเข้าใจว่าตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนทนาด้วยจึงหันกลับไปสนใจงานบนจอของตัวเอง ผมผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แววตาหม่นแสงลง
ผมไม่อยากยอมรับเลย แต่ว่าถ้าให้เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ผมยินดีที่จะถูกคิงมันกวนตีนด้วยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยๆ มากกว่าการที่ต้องมาอึดอัดกันด้วยเรื่องพรรค์นี้ อย่างน้อยเมื่อก่อนตอนที่ผมมองหน้ามัน ผมก็ไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้
ทุกอย่างระหว่างเรามันผิดพลาดไปหมดจริงๆ
ผมนั่งเงียบกริบตลอดการทำงานในช่วงเช้า ไม่ได้พูดกับใครทั้งนั้น สายตาของผมจดจ้องอยู่แต่กับงานที่หน้าจอ และเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆก็ดูจะรับรู้ถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติของผมถึงได้ไม่มีใครเข้ามาชวนคุย ไม่ใช่แค่ผมที่แปลกไปจากเดิม คู่กรณีของผมในวันนี้ก็เงียบขรึม ไร้เสียงพูดคุยและเสียงเอ่ยแซวคนอื่นไปทั่วดังเช่นทุกวัน
ช่วงพักกลางวันผมมักจะลงไปกินข้าวกับเจตและคิง ตอนนี้ก็เพิ่มไม้มาอีกคน แต่เพราะวันนี้ผมไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร ดังนั้นตอนที่เจตมาถามว่ากลางวันนี้อยากกินอะไรผมเลยตอบมันไปว่าจะสั่งแบบเดลิเวอรี่ขึ้นมากินบนออฟฟิศแทน สุดท้ายเจตก็สั่งอาหารมากินเป็นเพื่อนผม แล้วปล่อยให้ไม้ไปกินข้าวกับคิงกันสองคน
ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของร่างสูงที่จ้องมองมาจากด้านหลัง ผมทำเป็นจดจ่ออยู่กับงาน จวบจนกระทั่งคิงเดินออกจากแผนกไปพร้อมกับไม้ ผมจึงถอนหายใจออกมา
อึดอัดจนเหมือนจะบ้า ผมจะรับสภาพแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกัน
สิบนาทีต่อมาอาหารที่สั่งก็ขึ้นมาส่งที่ออฟฟิศ ผมหยิบกล่องเบนโตะปลาซะบะย่างเกลือเดินไปนั่งกินที่โต๊ะยาวหลังห้องแผนกโดยมีเจตเดินมานั่งข้างๆ พวกผมนั่งกินข้าวเงียบๆกันไปพักหนึ่ง ก่อนที่เพื่อนสนิทของผมจะเอ่ยเรียก
“เอื้อ”
“ว่า”
“แน่ใจนะว่ามึงสบายดี?”
“ทำไม?”
“ก็เห็นวันนี้มึงดูนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด ปวดหัวหรือเปล่า?” แววตาเป็นกังวลของเจตทำให้ก้อนบางอย่างแล่นมาขึ้นมาจุกที่คอผม
“เปล่าหรอก” ผมตอบ คนฟังเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามต่อว่า
“แล้วเมื่อวันศุกร์ไอ้คิงมันไปส่งมึงที่ไหน มันรู้จักห้องมึงเหรอ?”
คำถามนั้นทำให้มือที่กำลังตักข้าวของผมอยู่ชะงักไปชั่วขณะ เจตมองหน้าผมอย่างรอคอยคำตอบ ผมทำวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วโกหกออกไปเสียงเรียบว่า “ส่งที่ห้องกูนั่นแหละ”
“แล้วไป กูก็ยังคิดอยู่เลยว่ามันจะไปส่งถูกมั้ย เพิ่งรู้ว่ามันรู้จักห้องมึงด้วย” เจตพูดไปเรื่อยๆในขณะที่ผมนั่งเงียบอย่างอัดอั้นตันใจ
ท่าทางเจตจะสังเกตเห็นความผิดปกตินั้นถึงได้วางช้อนข้าวของตัวเองลงพลางหันหน้ามาหาผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถามจริงๆนะ มึงเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ผมสบตาเพื่อน ในใจเต็มไปด้วยความสับสน
ใจหนึ่งผมอยากจะระบายกับใครสักคน อยากหาที่ปรึกษา อยากได้คำปลอบใจ และเจตเป็นคนเดียวที่ผมพอจะทำแบบนั้นด้วยได้ ชีวิตของผมไม่มีใครให้หันหน้าไปพึ่งอีกแล้วนอกจากมัน
แต่อีกใจหนึ่ง...
“กูโอเค”
“แน่ใจ?”
“อืม ขอบใจที่เป็นห่วง” ผมฝืนยิ้ม ตบไหล่เพื่อนเบาๆแล้วลุกขึ้นหยิบกล่องอาหารที่ทานไปได้เพียงครึ่งหนึ่งของตัวเองไปทิ้งถังขยะในครัว พอเหลือบไปเห็นสายตาแสดงความห่วงใยของเจตที่ไล่ตามหลังมามันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องโกหกเพื่อน
ถึงผมจะอยากพูดแค่ไหน แต่ทั้งผมและคิงก็เป็นเพื่อนของมันทั้งคู่ ปกติความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนก็ไม่ได้ราบรื่น ทำให้เจตต้องลำบากใจบ่อยๆอยู่แล้ว ผมเลยไม่อยากเอาอะไรไปสุมใส่หัวเพื่อนให้มันเครียดไปมากกว่าเดิม
ยังไงซะเรื่องนี้มันก็ไม่ได้น่าจดจำอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมารับรู้เลยก็น่าจะดีที่สุด
ช่วงบ่ายผมยังคงนั่งเงียบๆ ทำงานของตัวเองไป คิงมันก็ไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไรกับผม ดูจากสีหน้าแววตาของมันแล้วมันก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีเท่าไหร่ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้ารังสีความหงุดหงิดจากตัวมันก็ยิ่งชัดเจนจนกัน รุ่นน้องโปรแกรมเมอร์ถึงกับเดินมากระซิบถามเจตว่ารุ่นพี่ตัวเองเป็นอะไรไป ผมเห็นเจตยิ้มแหยๆแล้วส่ายหัว ทำนองว่าไม่รู้ ส่วนผมที่รู้สาเหตุดีก็ไม่คิดจะปริปาก
คิงมันบอกว่าอยากจะเคลียร์กับผม แต่สำหรับผม ผมคุยกับมันจบตั้งแต่ตอนที่เดินออกจากคอนโดมันแล้ว
“มึงๆ ฝากถ่ายอันนี้ให้กูด้วยดิ” ระหว่างที่ผมยืนถ่ายเอกสารอยู่ที่เครื่องถ่ายด้านหลังห้อง เจตก็วิ่งหน้าตั้งมายัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือผม
“กี่แผ่น?”
“สิบ เออเอื้อ งานโบชัวร์มึงใกล้เสร็จยัง?”
“ยัง” ผมตอบพลางหยิบกระดาษใส่เครื่องถ่ายเอกสาร เจตขยับเข้ามาใกล้แล้วถามว่า
“เอามาให้ไอ้ไม้ช่วยป่าว มันทำงานกูเสร็จแล้ว ว่างพอดี”
“ไม่เป็นไร เหลืออีกไม่กี่หน้า”
“ได้ไอ้ไม้มาก็ดีเนอะ มันขยันดี ช่วยงานได้เยอะเลย” เจตชวนคุยต่อไป ส่วนผมก็ได้แต่เออออไปกับมันไปเรื่อยๆ
“แล้วมึงว่าไอ้ไม้เป็นไง?”
“ก็ทำงานดี”
“แล้วไงอีก?”
“หน้าตาก็ดี”
“โห หายากนะที่มึงจะชมใคร”
“กูก็แค่พูดไปตามความจริง แล้วน้องก็มารยาทดีด้วย” ผมตอบไปตามตรง ยอมรับว่าตอนแรกผมค่อนข้างระแวงที่ไม้เข้ามาวอแวเพื่อนผม แต่พออยู่ด้วยกันมา เห็นพฤติกรรมของน้องมันมาตลอดสองอาทิตย์ ผมก็เห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เสแสร้งทำเป็นสุภาพอ่อนโยน แต่น้องมันดูเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วจริงๆ
“เออเนอะ คนอะไรไม่รู้แม่งดูดีไปหมด ใครได้ไปเป็นแฟนนี่น่าอิจฉานะ มึงว่าป่ะ?” เจตยืดตัวตรงขึ้น ท่าทางดูจะพออกพอใจมากที่ผมชมน้องฝึกงานของมัน ดวงตาตี่ๆเป็นประกายวิบวับเหมือนกำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง ผมมองหน้าเพื่อนแล้วตอบไปว่า
“อืม ใครได้ไปเป็นแฟนก็คงโชคดี”
แล้วใครที่ว่านั่นก็คงหมายถึงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่แหละ
“แล้ว...ถ้ามึงมีแฟนแบบมันอ่ะ?”
“...ก็คงดี ดูไม่น่าเป็นคนเจ้าชู้ ดูจริงใจ” ผมพูดพลางหยิบกระดาษที่เจตฝากถ่ายออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร พอเห็นสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นชัดๆแล้วผมก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“แต่...เจต...”
“หือ?”
“นี่มึง--”
“ใช้เครื่องเสร็จรึยัง? กูจะได้ใช้มั่ง”
ก่อนที่ผมจะได้พูดออกไป เสียงทุ้มแหบที่ฟังดูไม่สบอารมณ์ก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ผมเผลอเกร็งตัวขึ้นเมื่อคิงสาวเท้าเข้ามาใกล้ รับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองผมเขม็ง
“อ้าวคิง มึงมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” เจตเป็นฝ่ายทักขึ้น แต่ไอ้คิงไร้ความสนใจต่อคำถามนั้นโดยสิ้นเชิง
“ตกลงใช้เสร็จยัง? เสร็จแล้วก็หลบไป”
“มึงใช้เลย พวกกูใช้เสร็จแล้ว ป่ะๆๆ” ท่าทางเจตจะรับรู้ถึงบรรยากาศที่คุกรุ่นได้อย่างรวดเร็ว มันถึงได้รีบดึงแขนผมลากกลับโต๊ะทันที ผมเม้มปากเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆดังขึ้นจากด้านหลังจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“ของมึง” ผมยื่นเอกสารที่เจตฝากถ่ายให้
“ขอบใจ” มันรับไปแล้วทำท่าจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ ผมรีบคว้าแขนเพื่อนทันที
“เจต”
“ว่า?”
“มึงสนใจของพวกนี้ด้วยเหรอ?”
“ห้ะ?”
“อย่ากินเลย ของไม่มีอ.ย.มันอันตราย กูว่าถ้ามึงมีปัญหาลองปรึกษาหมอก่อนดีกว่า” ผมพูดเตือนอย่างจริงจังด้วยความเป็นห่วง เจตมีสีหน้ามึนๆเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ผมจึงเหลือบมองเอกสารในมือมันเป็นเชิงบอกใบ้ ก่อนจะปล่อยแขนมันแล้วเดินกลับไปนั่งโต๊ะตัวเอง
เจตยังอายุไม่มาก และในสายตาผมมันก็ดูเป็นผู้ชายที่มีสุขภาพดีมาตลอด แต่พอเห็นมันเอาใบโบชัวร์ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศมาถ่ายเอกสาร ผมถึงเพิ่งรู้ว่ามันคงจะมีปัญหาเรื่องส่วนนั้นไม่มากก็น้อย
เรื่องสุขภาพนี่บางทีก็ดูกันแค่จากภายนอกไม่ได้จริงๆ
ผมกลับไปนั่งทำงานต่อและลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกครั้งตอนใกล้ๆสี่โมงเย็น ตั้งใจว่าจะไปเข้าห้องน้ำ พอผมลุกขึ้นเจตก็หันมาทักทันที
“ไปไหน?”
“ไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา” ผมตอบเบาๆ เพราะไม่อยากให้คนข้างหลังได้ยิน ก่อนจะเดินออกไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกห้องแผนก ผมจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อย แต่พอจะเดินกลับโต๊ะทำงานก็เห็นร่างสูงของคนที่ผมไม่อยากคุยด้วยมากที่สุดในตอนนี้ยืนดักอยู่ตรงประตู
“ไปคุยกันหน่อย” คิงไม่รอให้ผมตอบรับ มือหนาฉวยข้อมือของผมลากออกไปด้านนอกทันที ผมพยายามจะแกะมือมันออก แต่มันกลับยิ่งกำข้อมือผมแน่นขึ้น สุดท้ายแล้วผมเลยได้แต่เดินตามมันไป
“อะไร?” ผมถามเสียงเรียบเมื่อมันพาผมเดินมาหยุดอยู่ตรงบันไดหนีไฟ คิงปิดประตูแล้วยอมปล่อยมือผมพลางหันมาประสานสายตา ผมเห็นความหงุดหงิดฉายอยู่ในดวงตาคมคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
“กูว่าเราต้องคุยกัน”
“กูไม่มีเรื่องจะคุยกับมึง” ผมตัดบท
“มึงจะเลี่ยงกูไปถึงเมื่อไหร่วะ!” น้ำเสียงทุ้มแหบเริ่มดังขึ้นกว่าเดิมด้วยความไม่พอใจ มันเดินมาดักหน้าผมไว้ ใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้สาวๆในออฟฟิศหลงใหลในตอนนี้เต็มไปด้วยความฉุนเฉียว
“เออ กูรู้ว่ากูมันเหี้ย กูเมาแล้วไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ กูไม่ใส่ถุงยาง กูพยายามจะขอโทษมึง แต่มึงก็เอาแต่หลบหน้ากู”
“โอเค กูรับคำขอโทษของมึง กูยกโทษให้ แล้วกูก็ขอโทษด้วยที่มีส่วนผิด ให้มันจบแค่นี้แล้วกัน” ผมตอบแล้วตั้งท่าจะเดินหนี คิงรีบคว้าข้อมือผมไว้ แรงบีบที่ถูกส่งมาทำให้ผมต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ปล่อยแขนกูคิง”
“มึงไม่ทำตัวตามปกติแล้วมันจะจบได้ไงวะ” นอกจากจะไม่ฟังแล้วคิงยังกระชากแขนผมให้เข้ามาใกล้ตัวมันมากขึ้น ผมขบกรามแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันถามออกไป
“แล้วมึงต้องการอะไร? ปกติกูกับมึงก็ต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว มันต่างจากแต่ก่อนตรงไหน”
“ก็ตรงที่มึงไม่มองหน้ากูนี่ไง!”
ความเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงของมันทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบด้วยความตกใจ ดวงตาคมของอีกฝ่ายวาววามไปด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง ไม่เหลือเค้าชายหนุ่มที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมออีกต่อไป
“บอกมาสิว่ามึงอยากให้กูทำอะไร ถ้ามึงไม่สบายใจเราไปตรวจเลือดกันก็ได้ แต่เลิกหลบหน้ากูซะที มึงเอาแต่ทำแบบนี้ก็อึดอัดกันหมดป่ะ” ร่างสูงพ่นลมหายใจแรงๆด้วยความหงุดหงิดในขณะที่ผมยืนนิ่งไป ก้มลงมองข้อมือตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายจับยึดไว้แล้วค่อยๆแกะมันให้พ้นจากการเกาะกุมพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“คิง กูหลบหน้ามึงเพราะอะไรรู้มั้ย?”
“.........................”
เพราะยิ่งกูมองหน้ามึง กูก็ยิ่งรู้สึกโกรธตัวเองไง” ผมดึงมือกลับมาได้สำเร็จพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับมัน แววตาของคนตรงหน้าซับซ้อนเสียจนผมมองไม่ออกว่าคิงรู้สึกยังไง แต่สำหรับผมในตอนนี้...
ผมเหนื่อยเหลือเกิน
“สิ่งเดียวที่กูต้องการคือให้มันจบไปแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันอีก มึงขอโทษกูแล้วก็เลิกยุ่งกับกูเหอะ เลิกพูดเรื่องนี้ซะที กูจะได้ลืมมันไปไวๆเหมือนกัน” พูดจบผมก็เดินผ่านตัวมันไป กระชากประตูทางหนีไฟออกแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในสำนักงาน ทิ้งให้คิงยืนอยู่ตามลำพังโดยไม่หันกลับไปมอง
ผมก้มลงมองข้อมือข้างขวาตัวเอง เห็นรอยแดงจางๆปรากฏขึ้นจากการถูกบีบก่อนหน้านี้ ลำคอของผมแห้งผากขึ้นมากะทันหัน กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าวเมื่อมีบางสิ่งเอ่อขึ้นมา ผมกระพริบตาสองสามทีไล่ความอ่อนไหวนั้นพลางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง
ผมย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยเวลาก็จะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง พอเวลาผ่านไปผมก็คงจะทำใจยอมรับความผิดพลาดนี้ได้และกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ผมได้แต่หวังสุดหัวใจ ว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน
#อย่าเล่นกับอนล
คุณอนลยังช็อคอยู่ค่ะ ให้เวลาเขาหน่อยนะ
อ่านจบแล้วช่วยคอมเม้นหรือติดแท็ก#อย่าเล่นกับอนล เป็นกำลังใจให้เราหน่อยน้า หรือจะแวะไปคุยเล่นกับเราในทวิตเตอร์ @ltbb_novels ก็ได้นะคะ รออ่านคอมเม้นของทุกคนอยู่นะ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

-ต้าวพี่เจตก็คือตามมาเปิ่นถึงนี่555555
แล้วต้องเจอหน้ากันทุกวันอีก เฮ้อออออ อึดอัดใจแทนทั้งสองฝ่าย
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่และไรท์ด้วยนะคะ
จะโกรธคิงก็ไม่สุด เพราะตัวเองก็ผิด บรรยากาศอึดอัดนี้คงได้ดำเนินไปอีกนานเลย