ตอนที่ 27 : 23. คลุมเครือ
คลุมเครือ
เออร์วิง แกรนด์คอนวีย์นึกถึงคำถามของเวย์ราว่า ในช่วงปิดเทอมจะทำอะไร ใช่ว่าเออร์วิงจะไม่มีคำตอบให้หรอก เพียงแต่คำตอบของเขามันช่างธรรมดา อย่างการอ่านหนังสือและลองหาวิธีปลูกต้นไม้ ซึ่งก็คือกระบองเพชร ช่วงที่พยายามเรียบเรียงคำตอบเวย์ราก็ตัดคำเขาเสียก่อน เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้คำตอบคลุมเครือหรอก เพียงแต่สรรหาคำที่จะอธิบายไม่ออก
เออร์วิงนึกถึงว่าสหายแต่ละคนจะทำอะไรอยู่ในระหว่างนี้กัน ส่วนเขาเองกำลังมาขอความรู้จากคนสวนในคฤหาสน์ ทำความรู้จักดินรวมถึงวัสดุปลูกต่างๆ หลายแบบ รวมถึงสอบถามเปรียบเทียบกับคำแนะนำในหนังสือและที่เขาทดลองเอง เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยกว่าจะเห็นผล ระหว่างนี้เขาจึงศึกษาเรื่องอื่นๆ ประกอบไปด้วย เจ้ามังกรปฐพีน่าจะเดาได้แม้ไม่พูดออกมาจะรู้ว่าเขาน่ะอ่านหนังสือเรียนก่อนล่วงหน้าเป็นเทอมแล้ว
บางเรื่องปล่อยให้ทราบเองบ้างก็ไม่เลว เออร์วิงเผลอจมอยู่ในความคิด จนคนสวนเอ่ยเรียกเขา
“คุณชายครับ คุณชายเออร์วิง!”
เสียงนั้นมาจากทีดที่คอยตามติดมาดูเขาด้วยเช่นกัน เออร์วิงหันมองทั้งคู่สลับกันก่อนมองดูสภาพดินซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำเขาคงเผลอรดน้ำมากไป บางสิ่งก็ต้องการความพอดี
“คุณชายเหนื่อยหรือเปล่าครับ เข้าไปพักด้านในก่อนไหม” ทีดมองเขาด้วยความเป็นห่วง
เขาส่ายหน้าช้าๆ กล่าวปฏิเสธไป “ฉันมัวคิดเรื่องอื่นเพลินไปหน่อย” เออร์วิงยืนขึ้นกวาดตามองพื้นที่ในสวนเขานึกถึงไปครูกริน ถึงจะเป็นมังกรขาวแต่ครูกรินมักปลูกสมุนไพรเอาไว้มากมาย บางทีเขาอาจจะต้องไปขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากครูกริน เขาอยากสร้างเรือนกระจก
------------------------
เอิร์ดมานน์ อิสเมเนอนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ในห้องหนังสือโดยมีท่านแม่คอยควบคุมอยู่ไม่ไกล เขาแอบเหลือบสายตาขึ้นมองท่านแม่ว่ากำลังจับจ้องเขาอยู่หรือไม่ เขาไม่ได้เกียจคร้านหากบางครั้งนอกจากอ่านหนังสือ เขาก็อยากเขียนประมวลความรู้ออกมาบ้าง มือของเขายุกยิกอยู่หากนั่งอ่านเพียงลำพังเขาคงจะเลื่อนถาดหมึก และกระดาษเข้าหาเพื่อเขียนสรุปก่อนนำไปอวดท่านพ่อ แม้ตัวหนังสือตรงหน้าจะไม่เข้าหัวแต่เขาอ่านมันซ้ำมาหลายรอบดังนั้นจึงจดจำมันได้อยู่แล้ว
เอิร์ดมานน์ลอบถอนใจถึงความคาดหวังที่ท่านแม่ประโคมลงบนตัวเขา ใช่ว่าจะไม่เข้าใจตระกูลของเขานั้นรับใช้ราชสำนักในฐานะปราชญ์ผู้ทรงความรู้ เป็นที่ปรึกษาให้กับเหล่าคนในราชวงศ์ สิ่งที่ออกจากปากบางครั้งก็ชี้ชะตาคน จึงไม่ควรมีสิ่งใดผิดพลาด นั่นคือสิ่งที่ท่านแม่หวังให้เขาสืบทอด
ท่านแม่มักย้ำด้วยความขุ่นเคืองว่า สำนักปราชญ์ในราชสำนักสมควรเป็นของมังกรปฐพีเท่านั้น เอิร์ดมานน์กลับเห็นต่างออกไป ที่นั่นรวบรวมมังกรผู้ทรงความรู้ หากสามารถรวบรวมจากหลายเผ่าพันธุ์ก็จะมีความรู้ที่หลากหลาย ใช่ว่าความรู้ในตำราจะรู้ลึกรู้จริงไปเสียทุกอย่าง ตำราที่บรรยายความสามารถของมังกรปฐพีเองก็ยังไม่ลงรายละเอียดทั้งหมดเลย ก็ใครมันจะกล้าเอาข้อด้อยตัวเองมาตีแผ่เป็นจุดอ่อนให้ผู้อื่นเขารู้กันไปทั่วเล่า ครูกรินยังเคยสอนว่า ให้รู้จักเก็บบางเรื่องไว้เป็นความลับ
เมื่อคิดถึงครูกรินแล้วเอิร์ดมานน์ก็คิดว่า ถ้าหากมีการรับคนเข้าสำนักปราชญ์เขาอยากจะเสนอชื่อครูกรินจริงๆ เป็นถึงผู้ปรุงยา นั่นไม่รวมที่ครูรับมาจากลาเมียซี ดูจากครูสามารถรอดจากนักล่ามังกรและคุกหลวงมาได้ เอิร์ดมานน์คาดว่าครูของเขาคงมีความสามารถมากกว่าที่เห็น
พอคิดถึงตรงนี้เอิร์ดมานน์ก็นึกถึงเจ้ามังกรวารี
----------------------------
แรมซีย์มองท่านป้าของตน เมื่อคืนหลังส่งเขาเข้านอน ท่านป้าบอกว่าต้องไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านลุงในพระราชวัง เช้าวันนี้หลังทานอาหารท่านป้าก็มาขลุกอยู่กับเขาไม่ห่าง แรมซีย์รับรู้ถึงความกังวลจนต้องเอ่ยถามออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าครับท่านป้า”
วิเรยาส์มองหลานชาย ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนตัดสินใจกล่าวออกมา
“เมื่อคืนป้าได้พบคนที่เคยอยากพบหน้ามาตลอด หลานชายคนเดียวของดัชเชสแห่งลาเมียซี เขาเหมือนออกุสต์สหายของแองกุสต์ไม่มีผิด เพียงแต่ว่า…”
แรมซีย์ได้ยินแล้วในดวงตาก็พลันมีประกายขึ้น
“ท่านป้าหมายถึง ครูญาญ่า เอ่อ...ครูกรินญาเขาเป็นคุณครูของผมเอง”
“ใช่จ้ะ เขามีนามว่ากรินญา นั่นสินะเคยได้ยินเซลี่เล่าอยู่ว่า ครูอนุบาลของแรมซีย์เป็นหลานชายของเลดี้ลาเมียซี”
วิเรยาส์เพิ่งนึกขึ้นมาได้ “เซลี่เคยเล่าให้ฟังนี่นะว่า ได้พบออร์เฟรตอนไปงานประชุมผู้ปกครองของแรมซีย์ ออร์เฟรไปที่โรงเรียนอนุบาลบ่อยไหม”
“ครับ ตอนผมเรียนอยู่อนุบาลได้พบท่านดยุคบ่อยครั้ง เพราะเขาไปพบครูของผมเสมอ”
“แองกุสต์ไม่น่าเลย ทั้งที่ทราบว่าเขาเป็นคนที่ออร์เฟรรักมาก” วิเรยาส์กล่าวคล้ายรำพึงกับตัวเอง “ออร์เฟรรักเขามากใช่ไหม”
แรมซีย์ได้แต่ตอบรับแต่มิได้กล่าวออกไปว่า มักจะโดนญาญ่าปฏิเสธอยู่ทุกครั้งน่ะแหละ อย่างน้อยเขาช่วยรักษาหน้าให้หน่อยก็แล้วกัน
วิเรยาส์กล่าวออกมาด้วยความกังวลและสับสน
“ออร์เฟรรักคนผู้นั้นมากเพียงนี้ เขาแจ้งแองกุสต์ว่าจะอยู่เป็นข้ารับใช้องค์ชาย 10 ปี แล้วจากไป”
แรมซีย์วาบขึ้น จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยถามญาญ่าเช่นนี้
“ผมเคยถามครูก็เคยบอกว่า วันหนึ่งครูต้องไปจากโรงเรียน 10 ปีหรือครับ ตั้งแต่ตอนนั้นมันผ่านมา 3 ปี กว่าแล้ว”
เลดี้วิเรยาส์ได้ยินก็ยิ่งวิตก “เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ถึงเวลานั้นออร์เฟรจะเป็นเช่นไร”
แรมซีย์พอจะเข้าใจความกังวลของท่านป้า จึงได้แต่ตอบในใจว่า ถึงตอนนั้นเขาจะไปรับครูญาญ่ามาดูแล ส่วนท่านดยุคก็ไม่รู้สินะ
----------------------
ซาสเกียมองตามแผ่นหลังของคุณชายน้อยยามก้าวขึ้นบันไดหน้าเพื่อเข้าสู่ปราสาท เส้นผมสีขาวราวใยไหมต้องแสงสะท้อนเงางามแผ่กระจายเต็มหลัง ก่อนที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนายท่านจะแจ้งข่าวมาล่วงหน้า เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมคุณชายน้อยจึงไปพักที่ปราสาทแห่งแสงก่อนสักสองสามวัน ช่วงออกงานอาจเป็นช่วงที่คุณชายน้อยของเขาค่อนข้างเบื่อกับการเตรียมตัวล่วงหน้า ทั้งต้องเข้ารับการขัดสีฉวีวรรณที่มากกว่าปกติ หากคุณชายน้อยก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ตั้งแต่ผิวพรรณ เส้นผม เสื้อผ้าทุกอย่างต้องไม่มีที่ติยามออกงานพร้อมกับเลดี้ลาเมียซี ในอ้อมแขนของคุณชายน้อยคือท่านเอรอสกับคุณรูบี้ที่หลับไประหว่างเดินทาง คุณชายน้อยของเขาไม่อาจทิ้งคุณรูบี้ไว้ที่ปราสาทนี้เพียงลำพังได้หรอก
หญิงรับใช้รีบเข้ามารายงานทันที ว่าท่านดยุคแห่งดราเค่นบวร์กมารอพบอยู่ในห้องรับรองแล้ว คุณชายน้อยส่งเสียงรับคำก่อนจะก้าวตามสาวใช้ที่นำทางไป เมื่อถึงหน้าห้องคุณชายน้อยค่อยหันมาหาเขาก่อนจะส่งทั้งท่านเอรอสและคุณรูบี้ที่อุ้มอยู่มาให้พร้อมสั่งความแก่เขา สาวใช้บรรจงเคาะประตูก่อนเปิดประตูให้แล้วปิดลงอย่างเบามือที่สุดเมื่อคุณชายน้อยก้าวล่วงเข้าไปแล้ว ซาสเกียมองตามก่อนจะลับสายตาจึงไปปฏิบัติตามคำสั่ง
วิคเตอร์แจ้งต่อท่านแองกุสต์ และภริยาว่า เขาได้ทำข้อตกลงต่อองค์ชายไว้ 10 ปี ซึ่งในตอนนี้ผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้ว แน่นอนว่าทางลาเมียซีย่อมทราบเรื่องนี้ดี ถึงขณะนี้จะมีผู้ที่ทราบเพิ่มขึ้นมาวิคเตอร์ก็เชื่อว่า เรื่องนี้จะไม่ถึงหูท่านดยุคแน่นอน รวมถึงวิคเตอร์ก็มิคิดที่จะเอ่ยปากเองแน่
ดวงตาใสราวลูกแก้วของวิคเตอร์กวาดมองไปยังผู้มาเยือน อีกฝ่ายมองตามทุกย่างก้าวจวบจนเขานั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ไม่ว่าท่านพ่อกล่าวอันใดกับเจ้าก็อย่าได้ใส่ใจเลย...” มังกรแห่งความมืดใช้ดวงตาสีทองจ้องมองมา “ท่านแม่...มีจดหมายมาว่า เมื่อคืนท่านไปร่วมงานพร้อมท่านพ่อและพบลาเมียซีรวมถึงพูดคุยกับเจ้า หากข้าพบว่า ในจดหมายท่านแม่ดูจะกังวลในบางเรื่องถึงจะมิได้เอ่ยออกมาตามตรง”
“ท่านแองกุสต์พูดคุยกับผมต่อหน้าท่านย่าและวีวี่ ไม่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวนะครับ” วิคเตอร์ตอบอีกฝ่ายเรียบๆ
ออร์เฟอุสทำเสียงในลำคอก่อนจะกล่าวออกมา
“เจ้าทำราวไม่รู้จักความไร้ยางอายของเอเรบุส ท่านพ่อกล่าวอันใดกับเจ้าหรือ”
“ท่านกล่าวในสิ่งที่ผมทราบมาแต่ต้นครับไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษหรอก” วิคเตอร์ตอบพลางนึกถึงเรื่องที่เพิ่งทราบเมื่อคืน
ออร์เฟอุสพิจารณาสีหน้าอีกฝ่ายก่อนจะกล่าว “หากท่านพ่อไม่ได้กล่าวอะไรเป็นพิเศษ ใยจึงทำหน้าเช่นนั้น”
“ผมเพิ่งทราบว่าท่านพ่อของคุณ สนิทสนมกับท่านอาจารย์มากเท่าใด” เรื่องนั้นสร้างความแปลกใจให้เขา แล้ววิคเตอร์จึงกล่าวต่อ “ทั้งสองเป็นสหายร่วมดื่มด้วยกันทั้งที่ในความทรงจำ...ผมไม่เคยเห็นท่านอาจารย์ดื่ม”
ดวงตาสีทองก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเช่นกัน บิดาของเขาก็ไม่เคยเล่าถึงความสนิทสนมนี้ให้ฟังเช่นกัน
วิคเตอร์แย้มรอยยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงการสนทนากับสหายของท่านอาจารย์
“ท่านพ่อของคุณรักคุณมากครับ ยังมีคนมากมายที่รักคุณ คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพังหรอก ถึงผมจะไม่ได้อยู่กับคุณตลอดก็ตาม...อย่าขมวดคิ้วสิ” ท้ายประโยคนั้นวิคเตอร์เห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ด้วยความสงสัย
“ผมบอกคุณก็ได้ ท่านย้ำให้ผมฟังถึงความฝัน ความหวังของคุณ...ท่านพูดตรงกับคุณ ตามที่คุณเคยเล่าให้ผมฟัง”
ออร์เฟอุสยื่นมือออกมาตรงหน้า วิคเตอร์วางมือของตนในอุ้งมือนั้น
“นั่นคือความฝัน ความปรารถนาของข้า...ครั้งหนึ่งข้าเคยเข้าพิธีสาบานตน” ออร์เฟอุสใช้ดวงตาสีทองมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย
“ครับ ท่านย่าของผมก็เข้าร่วมพิธีสำคัญของคุณด้วย”
“ข้าสาบานว่าจะละทิ้งชีวิตส่วนตัว ไม่มีครอบครัว
ข้า...คงไม่อาจแต่งงานกับเจ้าได้ ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยขอเจ้าแต่งงาน บ้าจริงๆ เลยนะ
บางครั้ง...ข้าอยากเป็นเหมือนแรมเซย์ทั้งสองของเจ้า กล้าที่จะเอ่ยคำตรงๆ ว่าอยากใช้ชีวิตร่วมกับเจ้า”
“คุณบอกผมมาตลอดไม่ใช่หรือครับ คำว่า ‘รัก’ น่ะ”
“แต่บางคำ ข้ากลับกล่าวออกมาไม่ได้ ท่านพ่อของข้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้าควรรู้ตัว ว่าข้าควรเป็นอะไร”
ออร์เฟอุสบีบมือที่อยู่ในอุ้งมือเขา
“เอเรบุสมีคำกล่าวว่า ‘หากรักใคร...ก็จงปล่อยคนนั้นไป มันเป็นคำพูดของคนใจเสาะ’ ใช่ไหมครับ”
ออร์เฟอุสสบตาอีกฝ่าย “เจ้าเด็กแรมซีย์เล่าให้เจ้าฟังหรือ” เขาไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้มุมปากของเขายกขึ้นยิ้ม
“ใช่...เป็นข้าที่ไม่ยอมปล่อยมือจากเจ้าเอง อย่างน้อย...อยู่แบบนี้ก็ได้ อย่าจากข้าไปไหนเลย ให้ข้าได้บอกรักเจ้าทุกวัน”
“บิดาของผมบอกรักมารดาให้ฟังทุกวัน...”
วิคเตอร์มองมือที่กุมมือของเขาอยู่ ยังไม่ทันได้กล่าวคำใดอีก ออร์เฟอุสก็บีบมือเขาอีกคราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิมจนเรียกให้เขาต้องเลื่อนสายตาขึ้นสบตาอีกฝ่าย
ออร์เฟอุสยอมปล่อยมือที่เขากุมอยู่ออก
“วางเรื่องของเราไว้ก่อน...อีกเรื่องที่ข้ามาวันนี้ เกี่ยวกับยูริดิซี” ดวงตาสีทองสั่นไหว “นางกระซิบบอกนามให้ข้าทราบ...ข้าให้คนไปค้นหาประวัติเพื่อพบว่า นางเป็นเครือญาติของเอเรบุส พิณของนาง...สุดท้ายมาตกอยู่ในคลังสมบัติของเอเรบุสก่อนท่านพ่อจะนำมามอบให้ข้า นางต้องอยู่โดดเดี่ยวมานานเพียงใดก่อนได้พบได้พูดคุยกับข้า”
วิคเตอร์นิ่งฟังอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ย
“ความรู้สึกสูงค่าไม่คู่ควรจะสูญเสียเพราะผู้ประสงค์ร้าย ผมพลาดที่ให้เอรอสต้องมารับเคราะห์แทน”
“ข้าเชื่อว่าลาเมียซีจะปกป้องเขา รวมถึงเจ้าด้วย วันที่เกิดเรื่องข้าเอ่ยคำใดไม่ออกเลย” ออร์เฟอุสยิ้มเจื่อน
“ผมเข้าใจครับ แต่อย่าลืมว่าพ่อมดตามหาทั้งมังกรแห่งความมืดและมังกรแห่งแสง ยูริดิซีอาจถูกใช้เป็นเพียงนกต่อด้วยซ้ำ”
“วิคเตอร์ ข้าไม่กลัวพ่อมดผู้นั้น ข้ากลัวเจ้าเป็นอันตราย”
“ผมมีคนปกป้องมากมาย ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แล้วคุณเล่าสละตนปกป้องราชวงศ์ ใครปกป้องคุณ?”
ออร์เฟอุสส่ายหน้าช้าๆ
“ข้าเก่งกาจ ข้าดูแลตัวเองได้”
วิคเตอร์คาดไว้ว่าอีกฝ่ายจะตอบเขาเช่นนี้ จึงระบายลมหายใจช้าๆ
“ผมไม่อาจอาสาดูแลคุณ ออร์เฟอุสเพราะคุณบอกว่าคุณเก่งกาจและสูงส่ง แต่หากคุณเดือดร้อน ผมจะช่วยเหลือคุณ”
ออร์เฟอุสสบตาวิคเตอร์เตอร์อย่างแน่วแน่
“เจ้ามองว่าข้าสูงส่ง ทำไมไม่มองย้อนไปบ้างเล่า สำหรับข้า...เจ้าสูงค่ามากเท่าใด ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้ ข้าไม่อาจมองเจ้าสูงกว่าราชวงศ์เพราะข้าให้สตย์สาบานไว้ หากเจ้าก็สูงค่าในใจข้าไม่แพ้กัน”
คำตอบที่ออกมานั้นให้วิคเตอร์รู้สึกว่า พ่อ-ลูกช่างคล้ายกันยิ่ง รอยยิ้มแต้มบนมุมปากก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา
“บิดาของคุณรู้จักคุณมากกกว่าที่คุณคิด ท่านแองกุสต์ก็บอกผมเช่นเดียวกันนี้ครับ”
(จบตอนที่ 23) Day 23 MUDDY
#FICTOBER #DrachenGrundschule #DrachenKindergärten #มังกรน้อย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
