ตอนที่ 49 : +ลวงรัก 16+ ไม่อยากเจอ ที่ ‘ยังเจอ’ [1] 150%
(ว่าไงนะ พี่เขาแกล้งมึงเหรอ)
(เออ) ฉันตอบ
(ทำไมวะ อย่าบอกนะว่ามึงอินเรื่องที่กูเล่าให้ฟังอ่ะ) ไอ้กายพูดพร้อมกับหัวเราะชอบใจ (มึงเชื่อจริงดิอีหมวย กูเอามาจากในหนังนะ ไอ้เรื่องผีโอทีเนี่ย)
(… กูจะไปรู้ได้ไงล่ะ)
(มึงนี่มันเชื่อคนง่ายฉิบหายเลย)
(ใครจะไม่กลัวบ้างวะ โดนบิ้วซะขนาดนั้น แล้วเรื่องที่เขาเล่า เขาก็ไม่ได้บอกว่าโกหกนะ อาจจะจริงก็ได้ที่เสามันมีผ้าพันอยู่จริง ๆ นะเว้ย) ฉันเล่าต่อพร้อมนึกถึงเสาที่อยู่หลังโต๊ะทำงานของตัวเอง
สัปดาห์ที่แล้วทั้งสัปดาห์ ฉันได้แต่นั่งทำงานแบบพะวงหลัง ทั้งยังเสียวสันหลังวาบตลอดเวลา เอาแต่คิดเรื่องที่ไอ้คนนิสัยไม่ดีเล่าให้ฟัง ไหนจะต้องรำคาญสายตายัยเลขา ฯ ที่มองจิกกันตั้งแต่วันที่คุณภาคินเรียกเธอเข้าไปตำหนิวันนั้นอีก
ฉันผิดอะไรล่ะย่ะ ก็หล่อนทำเกินหน้าที่เองนี่ สมน้ำหน้า!
ไม่รู้ทำไม อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองมีเส้นสายขึ้นมาซะอย่างนั้นแหละ และดูเหมือนเส้นสายที่ว่านี่จะใหญ่ที่สุดในบริษัทเลยด้วย
ทั้งเรื่องที่คุณอิ๋วพูดเรื่องการถูกรับเข้ามาทำงานของฉัน และอะไรหลาย ๆ อย่างที่คนเป็นเจ้านายจัดการให้โดยไม่ได้เอ่ยขอ
แต่ยังไง… ฉันก็เกลียดเขาอยู่ดี! ทำดีด้วยแค่นี้ ไม่ให้อภัยหรอก!
คืนนั้นหลังจากเขาทำเนียนดึงฉันเขาไปกอดปลอบอยู่พักใหญ่ พอฉันตั้งสติได้ก็รีบผลักเขาออกด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะด่าออกไปไฟแลบเลย
แต่ก็นะ คนหน้าด้านก็คือคนหน้าด้าน โดนฉันด่ายับขนาดนั้นยังยืนยิ้มรับคำด่าอยู่ได้ ท่าจะบ้า!
(มึงไม่ทันพี่ภัคหรอก คนนั้นร้ายจะตาย) ไอ้กายยังพูดอย่างสนุกปาก ดูมันจะสนุกกับการที่ฉันเล่าชีวิตอันแสนวุ่นวายของตัวเองให้ฟังมาก จนน่าตบสักเปรี้ยง!
(แต่กูในตอนนี้ ก็ไม่ได้โง่ให้เขาหลอกแบบเมื่อก่อนแล้วนะ นอกเหนือจากเรื่องงานกูก็แทบจะไม่เชื่อคำพูดเขาเลยสักอย่าง) นอกซะจากว่าเขาจะเข้าโหมดจริงจังขึ้นมากะทันหันอย่างในคืนนั้น...
(แล้วตกลงคืนนั้นพี่เขาได้มาส่งมึงมั้ย)
(ส่งอะไร ลงมาจากตึกก็แยกย้ายดิวะ) ฉันพูดโกหกไป เพราะไม่อยากโดนไอ้กายล้อขึ้นมาอีก
แม้ว่าอันที่จริงแล้ว เขาขับรถตามหลังมาส่งฉันถึงบ้านเลยก็ตาม ทั้งยังจอดรอให้ฉันเข้าบ้านก่อนถึงจะออกไปอีก
(แต่ก็ดีแล้วนะที่เขาหลอกมึงอย่างนั้น)
(ดีตรงไหน! งานก็ไม่เสร็จ แถมยังโดนยัยเลขา ฯ นั่นจ้องเขม็งทั้งวันอีก)
(เอางี้! คืนนั้นมึงออกจากบริษัทกี่โมง)
(เกือบ 5 ทุ่มมั้ง)
(โอโห้! ก็สมควรแล้วที่มึงจะโดนเขาตำหนิ นี่มึงศึกษาบ้างมั้ยเนี่ย... ว่าซอยทางเข้าบริษัทมึงมันเปลี่ยวขนาดไหน)
ฉันนึกตามคำพูดของไอ้กาย อันที่จริงแถวบริษัทก็พลุกพล่านนะ แต่ตัวบริษัทดันตั้งห่างจากแหล่งชุมชนไปอีกนิด ทำให้ต้องเข้าซอยที่ข้างทางแทบไม่มีบ้านคนเลย
กลางคืนก็เลย… เงียบมาก
(แถวซอยนั้นข่าวปล้นบ่อยจะตาย ดีนะที่พี่ภัคเขายังไม่กลับ)
(ต่อให้เขากลับไปแล้วก็ยังมีพี่รปภ. นี่) ฉันเถียงออกไปอย่างไม่อยากยอมรับว่าที่ไอ้กายต้องการสื่อคือ…
เขาเป็นห่วงฉัน
(รปภ. อยู่ก็ยังน่ากลัวอีหมวย ยอมรับความจริงเถอะว่าพี่เขาเป็นห่วงมึง)
(ไม่รู้แหละ ก็แค่คนขี้โกหก กูไม่รับความเป็นห่วงจากเขาหรอก แค่นี้นะขี้เกียจคุยกับมึงแล้วชงอยู่ได้ ชงไปก็เท่านั้นแหละ เพราะกูเกลียดคนโกหก!) ฉันรัวคำพูดออกไปอย่างเริ่มอารมณ์เสีย
(จ้า~ กูจะรอดูคนกลืนน้ำลายตัวเองนะจ๊ะ)
กดตัดสายไอ้กายเสร็จ ฉันก็โยนโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี รู้อย่างนี้ไม่เล่าให้มันฟังก็ดีหรอก เอาแต่เข้าข้างคนอื่นอยู่ได้ จนฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันไปรับเงินมาจากเขาหรือเปล่า
แต่ถ้าไม่เล่าให้มันฟังแล้วจะเล่าให้ใครฟังล่ะ ในเมื่อคนที่เคยเป็นที่ปรึกษาคนใหม่ให้เมื่อไม่นานมานี้ ก็ปรึกษาไม่ได้แล้วนี่ น่าเจ็บใจ! ฉันเผลอเล่าให้เขาฟังไปตั้งหลายเรื่อง
“หมวย นอนอยู่หรือเปล่า” เสียงม้าที่ตะโกนขึ้นมาเรียกฉันให้หลุดออกจากภวังค์
“ไม่ได้นอน ม้ามีอะไร” ฉันตอบ
“โกโทรมาบอกม้าว่าลืมของลูกค้าเอาไว้ในห้อง ให้หมวยเอาไปให้โกที่อู่หน่อย”
“ทำไมโกไม่มาเอาเองอ่ะ” ฉันเปิดประตูออกมาชะโงกหน้าถามม้าตรงขั้นบันได “วันหยุดจีนนะ จีนขี้เกียจออกจากบ้าน”
“โกติดลูกค้า ปลีกตัวมาไม่ได้ เห็นว่างานด่วนด้วย หมวยเอาไปให้โกหน่อยสิ นั่งแท็กซี่ไป เดี๋ยวมาเอาเงินที่ม้าออกค่าแท็กซี่ไปก่อนก็ได้” ม้าเงยหน้าขึ้นมาคุยกับฉันก่อนจะหันไปสั่งงานเด็กที่ร้านต่อ
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจีนไปเก็บเงินที่โกเอง” ฉันตอบม้าก่อนจะเปิดประตูห้องโกที่อยู่ข้างกัน พร้อมกับใช้เท้าแหวกกองหนังสือรถมอเตอร์ไบค์ของโกที่กองอยู่เต็มพื้นห้อง “โกตั้งไว้ตรงไหนอ่ะม้า”
“โกบอกว่าถุงสีดำบนโต๊ะคอม ฯ” ฉันมองตามที่ม้าบอกก่อนจะฉวยถุงสีดำใบใหญ่บนโต๊ะโกเดินลงไปด้านล่าง
“ให้ซะไปส่งมั้ยเจ้” ซะที่กลับมาจากส่งของพอดีถามขึ้น
“ไม่ต้องหรอก เอารถไว้ใช้ส่งซาลาเปาเถอะ เดี๋ยวออเดอร์เข้าจะลำบาก” ฉันปฏิเสธซะก่อนจะหนีบรองเท้าแตะเดินออกไปเรียกแท็กซี่หน้าปากซอยอย่างไม่รีรอ
ไม่กี่วันก่อนรถคู่ใช้ของเตี่ยดันมีปัญหาก็เลยต้องเอาไปจอดไว้ที่ศูนย์รถรอซ้อม แล้ววันนี้เตี่ยดันมีนัดกับกลุ่มเพื่อนสนิทก็เลยขอยืมรถเต่าที่ฉันยึดมาเป็นของตัวเองเนียน ๆ ออกไป
วันนี้ฉันจึงไม่มีรถใช้… แล้วเฮียก็นะ ดันมาลืมของเอาในวันแบบนี้อีก
ฉันนั่งมองข้างทางที่รถแท็กซี่ขับผ่านไปเรื่อยเปื่อย และเมื่อสังเกตเห็นว่ารถกำลังเลี้ยวเข้าซอยเพื่อตรงไปยังอู่ ‘KT Racing Motorbike’ ที่โกทำงานอยู่ ฉันก็ล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาสั้นตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์ออกมาสแกนจ่ายเงินออนไลน์ แต่เมื่อล้วงเขาไปในกระเป๋าทั้งสองข้างกลับไม่พบวัตถุขอบมนคู่ใจ
แล้วฉันก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนโยนมันลงบนที่นอนหลังจากคุยกับเพื่อนชายจบ คิดได้ดังนั้นฉันก็คว้านหาเงินในกระเป๋ากางเกงแทนก่อนจะพบแค่แบงก์ยี่สิบบาทแบงก์เดียวเท่านั้น
อะไรกับวะเนี่ยไอ้จีน ต้องเหม่อลอยไร้สติขนาดไหนถึงออกจากบ้านมาในสภาพแบบนี้ได้! มีเงินติดตัวยี่สิบบาทในสังคมปัจจุบันมันจะเอาไปทำอะไรได้วะ
“พี่รอแป้บนะ เดี๋ยวเข้าไปเอาเงินจากพี่ชายมาจ่ายให้” ฉันบอกคนขับรถพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปในอู่เมื่อรถแท็กซี่คันที่นั่งมาจอดเทียบที่อยู่หน้าร้าน
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” ทันทีที่ฉันวิ่งเข้ามาเหยียบพื้นอู่ผู้ชายที่กำลังนั่งงัดล้อรถบิ๊กไบค์อยู่ก็เอ่ยถามขึ้น
ไม่คุ้นหน้าเลยแฮะ... เด็กใหม่แน่เลย เพราะถ้าคนหน้าเก่า ๆ ที่นี่ คงไม่มีใครไม่รู้จักฉันหรอก
“โกโจอยู่ไหนคะ” ฉันถามออกไป ก่อนจะรีบแก้ไขคำพูดเมื่อเห็นคนตรงหน้าขมวดคิ้วมึนงง “ช่างโจโฉอยู่ไหนคะ”
“อ่อ เฮียโจ…” ไม่ต้องรอให้เขาพูดจบ เพราะทันทีที่คนตรงหน้าชี้นิ้วไปที่ห้องรับรองฉันก็พุ่งตัวเข้าไปทันที
เปิดประตูโพล่งเข้าไปด้วยความรีบร้อน พร้อมกับร้องเรียกพี่ชายตัวเองแล้วบอกจุดประสงค์ที่ต้องการ “โกจ่ายเงินค่าแท็กซี่ให้จีนหน่อย จีนหยิบเงินมาไม่พอ โทรศัพท์ก็ลืม”
แต่ทันทีที่ฉันเงยหน้ามองผู้ชายที่ยืนดูถ้วยรางวัลอยู่ในห้องรับรอง ฉันกลับต้องผงะด้วยความตกใจที่เห็นบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะว่าอยู่ในสถานที่นี้ “คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“พี่มาหาเพื่อนค่ะ” คนตรงหน้าปรับสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่คาดคิดเป็นรอยยิ้มที่ฉันมักได้รับจากเขาเป็นประจำ “ไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่เหรอคะ”
ฉันทำเป็นเมินไม่ตอบอะไรเขาก่อนจะสอดส่องสายตาหาพี่ชายตัวเอง
“ถ้ามองหาโจโฉละก็ ออกไปซื้อของกับไอ้ทัพค่ะ อีกเดี๋ยวคงกลับมา” คนตรงหน้าตอบฉันทั้งที่ไม่ได้ถาม
ฉันขมวดคิ้วมึนงงว่าคนตรงหน้ารู้ได้ยังไงว่าฉันมาหาใคร เขาไม่เคยเห็นโกโจนะ แล้วทำไมเรียกเฮียทัพซะสนิทสนมแบบนั้น
“ไหนคะ ค่าแท็กซี่เท่าไหร่ เดี๋ยวพี่ออกให้ก่อนก็ได้ค่ะ” ผู้ชายตรงหน้าเดินเข้ามาคว้าข้อมือฉันให้เดินออกไปข้างนอกด้วยกัน
“คุณไม่ต้องลำบากหรอก เดี๋ยวจีนจะไปขอยืมพี่คนนั้น” ฉันสะบัดมือเขาออก ก่อนจะหมุนตัวไปหาพี่ผู้ชายคนเดิมที่ยังคงนั่งงัดล้อรถอยู่ ทั้งตั้งใจจะไปตำหนิด้วยที่บอกว่าโกอยู่ในห้องนั้นทั้งที่โกออกไปข้างนอก
ทำให้ฉันต้องมาเจอคนที่ไม่อยากเจอเนี่ย! เจอกันทุกวันที่ทำงานก็เบื่อจะแย่
แต่ออกเดินได้ไม่ถึงสองก้าวอีกคนกลับคว้าข้อมือฉันไว้พร้อมไปพาเดินดุ่ม ๆ ไปที่รถแท็กซี่คันดังกล่าวแล้วส่งเงินให้โชเฟอร์เสร็จสรรพ
ก่อนจะลากฉันกลับมานั่งอยู่ในห้องรับรองด้วยกัน โดยไม่สนฉันที่พยายามจะสะบัดมืออกจากเขาแม้แต่น้อย
“ปล่อยสักทีสิจับอยู่ได้”
“ไม่ต้องเป็นหนี้คนอื่นหรอกค่ะ เป็นหนี้พี่คนเดียวก็พอ” คนตรงหน้ายอมปล่อยข้อมือของฉันให้เป็นอิสระ
“เป็นหนี้อะไร? จีนไม่ได้ขอสักหน่อย คุณเสนอหน้าไปจ่ายให้เองนะ”
“พี่เสนอหน้าเองก็ได้ค่ะ ไม่คิดหนี้” เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มที่ฉันเกลียดแสนเกลียดมาให้อีกครั้ง “ว่าแต่น้องจีนมาทำอะไรที่นี่คะ”
“…” ฉันไม่ตอบอะไร แล้วเลือกที่จะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวที่ห่างออกมาจากเขา
ตั้งใจจะอยู่ให้ห่างที่สุดเลย เพราะคนอย่างเขามันไว้ใจไม่ได้! แถมตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลางานด้วย ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเขา ยิ่งเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวแล้วด้วยนั้น… ยิ่งไม่จำเป็น!
“แย่จังแฮะ พอไม่ใช้ความเป็นหัวหน้างาน ก็ไม่ยอมคุยด้วยเลยเหรอคะ” เขานั่งลงบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ตรงกันข้ามฉันทั้งยังเอ่ยปากพูดล้อเลียนกัน
เป็นเพราะไม่อยากจะมองหน้าเขาสักเท่าไหร่ ฉันจึงหยิบนิตยสารบนโต๊ะมาเปิดดูเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอโกโจกลับมา แต่เพราะที่นี่เป็นอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไบค์ นิตยสารที่มีก็จะเป็นพวกนิตยสารวิจารณ์มอเตอร์โชว์ และพวกนักแข่งรถทั่วไป จึงไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสำหรับฉัน
แต่เพราะไม่ต้องการจะใส่ใจอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ฉันจึงเปิดดูรูปในหนังสือไปเรื่อยเปื่อย จนมาสะดุดตาเขากับหัวเรื่อง ‘บทรัก ที่ปลายน้ำ’
หนังสือแบบนี้ก็มีนิยายด้วยเหรอเนี่ย แต่ว่านะ… ชื่อเรื่องเห่ยโคตร
ฉันวิจารณ์ชื่อเรื่องในใจ ก่อนจะพลิกกระดาษอ่านนิยายเรื่องดังกล่าว เนื้อเรื่องก็ดำเนินด้วยตัวละครชายหญิงชนทบคู่นึงที่ชวนกันออกไปหาของป่า และด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งคู่จึงเดินไปพักผ่อนล้างหน้าล้างตากันที่ลำธาร
‘หญิงสาวกวักน้ำใสในลำธารขึ้นมาปล่อยให้น้ำใสไหลผ่านใบหน้า ลงไปยังลำคอขาวยาวไปจนถึงร่องอกอวบที่ดูใหญ่โตเกินหน้าเกินตาหญิงสาวผู้อื่นในหมู่บ้านไปไกลโข ทำให้เสื้อที่สวมอยู่เปียกลู่แนบเนื้อไปตามมวลร่าง โดยไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีสายตาของชายหนุ่มมองตามด้วยความใคร่แสนเสน่หาพร้อมกับพายุอารมณ์ที่โหมกระพือจนเริ่มจะควบคุมมันไม่อยู่ และสิ้นสุดความคิดนั้นเองความอดทนก็ขาดผึ่ง ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปจับหญิงสาวกดลงบนโขดหินพร้อมสูดดมไปทั่วร่างบางอย่างไม่คิดห้ามตัวเอง ก่อนจะปล่อยปลาช่อนตัวโตให้ถูไถเตรียมชอนไชไปตามซอกเนินขุมเขาเพื่อปลุกอารมณ์หญิงสาวตรงหน้า’
แปะ!! ฉันโยนหนังสือในมือลงบนพื้นด้วยความตกใจที่ตัวเองเผลอไปอ่านนิยายอีโรติกที่พระนางกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ไม่นานมือแกร่งของคนที่นั่งตรงกันข้ามก็เอื้อมลงไปหยิบหนังสือที่ยังคงเปิดค้างอยู่หน้าเดิม ทั้งยังทักขึ้นจนฉันรู้สึกอับอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี “น้องจีนอ่านอะไรแบบนี้ด้วยเหรอคะ”
“บ้าหรือไงใครจะไปอ่าน!” ฉันปฎิเสธ ก่อนจะสบถด่าตัวเองในใจที่ยังจินตนาการภาพตามที่อ่านไปไม่หยุด
“ก็เห็นอยู่นี่คะ”
“ไม่ได้อ่านสักหน่อย ใครจะไปอ่านนิยายลามกแบบนั้นล่ะ”
“ถ้าไม่ได้อ่านแล้วรู้ได้ไงคะว่าลามก” คุณภาคินเลิกคิ้วถามฉันก่อนจะยกหนังสือขึ้นมากวาดตาอ่านพร้อมวิจารณ์ ออกมาพร้อมรอยยิ้ม “กลางป่ากลางเขาเลยนะคะเนี่ย ใจกล้ากันจริง ๆ”
“ไอ้บ้า ไอ้คนลามกหยุดอ่านเลยนะ!” ฉันพุ่งตัวเข้าไปกระชากหนังสือออกมาจากมือเขา
“น้องจีนก็อ่านนี่คะ งั้นน้องจีนก็เป็นคนลามกเหรอ” ฉันขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะหลับหูหลับตาเถียงออกไป
“ไม่ใช่สักหน่อย จีนไม่ได้ตั้งใจอ่าน แต่คุณตั้งใจอ่านนะ จะมาเหมาว่าจีนลามกได้ยังไง”
“นี่ขนาดไม่ตั้งใจอ่านนะคะ”
“งั้นก็แล้วแต่จะคิด!” เมื่อเถียงอะไรไม่ออกสุดท้ายฉันก็สะบัดหนีหนีแล้วเก็บหนังสือในมือไว้ชั้นล่างสุด ก่อนจะทำทีเป็นหาหนังสือเล่มใหม่อย่างทำตัวไม่ถูก
“เล่มไหนก็มีทั้งนั้นแหละคะ หนังสือแบบนี้ส่วนมากก็มีแต่ผู้ชายอ่าน เขาเลยใส่เรื่องพวกนี้เข้ามาเซอร์วิสกระตุ้นยอดขาย”
“ม… ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” ฉันละมือจากการหาหนังสือ ก่อนจะกวาดสายตามองสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง ทำทีเป็นไม่สนใจคนที่ยังนั่งจ้องหน้ายิ้มให้กันอยู่
ทำหน้าไม่ถูกแล้วนะเว้ย! โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอามา จะทำทีเป็นอ่านหนังสือก็ดันไปหยิบเรื่องอีโรติกมาอ่าน
อยากจะบ้าตาย!
ฉันแอบเหล่ตามองคนที่นั่งตรงกันข้าม ก่อนจะเจอสายตาที่ยังคงจ้องมองฉันอยู่เหมือนเดิม เห็นแบบนั้นฉันก็จิปากออกมาด้วยความไม่พอใจ และสุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากเริ่มบทสนาครั้งใหม่
“มองทำไม?”
“ก็ไม่รู้จะมองอะไรนี่คะ”
“ก็มองอย่างอื่นไปสิ ในห้องมีอะไรให้มองตั้งเยอะแยะ ไม่ก็เล่นโทรศัพท์ก็ได้ มานั่งจ้องหน้าคนอื่นเขาอยู่ได้ เสียมารยาท!” ฉันพูดออกไปด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ยังเหมือนเดิม เขายังเอาแต่ยิ้มให้กันเหมือนเดิม
แบบนี้มันน่าโมโหกว่าเดิมอี๊ก!
“จะให้มองอย่างอื่นไปทำไมล่ะคะ ในเมื่อพี่มองคนน่ารักอย่างน้องจีนสบายตากว่าตั้งเยอะ”
TALK WITH ME
แงงงงง อิพี่หยอดน้องอีกแล้ว 5555555555555555 รำคาญโว้ยย อยากข่วนหน้าพี่มันแทนน้องจีน ว่าแต่ไอ้ บทรัก ที่ปลายน้ำนี้คงไม่โดนแบนเนอะ นิดเดียวเองงงง
...
ตื่นมาก็รีบมาอัปอีกรอบด้วยความรวดเร็ว เพราะว่าอะไรนะเหรอออ เพราะว่าดิฉ้อนอยากอวดแบบร่างหน้าปกนะเซ!!
มาหวีดเป็นเพื่อนโหน่ยยย พรี่ภัคหล่อมากกก ยัยนุ้งก็ดื้อ ><
ใครอยากอ่านตะปอยความแซ่บของฝีปากยัยน้อง ไป จิ้มดูได้ที่เพจ MINNIK นะคะ ขอฝากเพจหน่อยไปกดไลก์กันได้น้า ♥
.
ป.ล. ใครเล่นทวิตไปคุยกันในแท็กได้นะคะ วันดีคืนดีมินนิคก็ไปสปอยในนั้นแหละ >,<
MINNIK
มีคำผิดบอกได้นะคะ เพราะแต่งสดลงสดงับ
อย่าลืมกด ♥ และคอมเมนต์เป็นกำลังใจดี ๆ ใจเรานะคะ
1 เมนต์ = สิบล้านกำลังใจ
ร๊ากกกรีดเดอร์สองล้านเท่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มองเป็นคนอลอุ่นไม่ได้อีกแล้ว แงงง
แต่ชอบพี่ภัคนะคะ
หยอกเก่งเว่อวังมาก
โอ๊ยยยย อ่านไปยิ้มไปอ่ะ
น้องจีนมาเจอเมื่อไหร่ก็ตกเป็นเบี้ยล่างตลอด555 ไม่ว่าจะลืมกระเป๋าตัง ลืมโทรศัพท์ หยิบหนังสือมาอ่านแก้เก้อก็..อิพี่ภัคก็หน้าระรื่นคอยหยอดอยู่ตลอดเวลา แบบนี้จะเอาอะไรไปสู้ดีเนี่ย อิอิ
อิพี่ภัคแกหยอดน้องจีนเก่งมากกกกกกกกกก