ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Return of Shadow

    ลำดับตอนที่ #2 : ในห้วงคำนึง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 208
      0
      16 ธ.ค. 49





        เลโกลัสแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสว่างเบื้องบนด้วยความประหลาดใจในขณะที่ยังคงบังคับม้าสีขาวให้ย่างเหยาะไปบนทุ่งเคเลบรันท์ ปกติแล้วท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงไม่เคยสว่างโล่งเช่นนี้ -- อย่างน้อยก็ไม่เคยสว่างถึงเพียงนี้



        "มีอะไรรึ เลโกลัส" กิมลีที่นั่งอยู่ข้างหลังถามขึ้นพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าอีกคน



        "ท้องฟ้าสว่างเกินไป" เจ้าชายเอลเฟียร์ โอรสของเจ้าชายอิมราฮิลที่ทรงม้าไปข้างๆตรัสตอบ "แปลกมาก"



        "นี่ยังเป็นวันแรกๆของฤดูใบไม้ร่วง ก็ไม่น่าแปลกที่ท้องฟ้าจะสว่างเหมือนฤดูร้อน" ฟราร์ว่าในขณะที่หันไปหาองค์กษัตริย์เป็นเชิงขอความเห็น



        "มิได้ ฟราร์" องค์กษัตริย์เอ่ยตอบ ก่อนจะผินพักตร์ไปทางทัพกอนดอร์และโรฮันเบื้องหลังที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารีบเดินทางเพื่อให้ถึงทางเข้ามอเรียก่อนค่ำ "ในความคิดของพรานป่าเช่นข้า นี่ย่อมเป็นเรื่องแปลกอย่างแน่นอน"



        "แล้วพระองค์คิดว่าอย่างไรเล่า" ลอร์ดฟาราเมียร์ถาม



        "เรื่องเช่นนี้ควรต้องถามชาวทะเลกระมัง" ราชาเอเลสซาร์ว่า



        เจ้าชายเอลเฟียร์สรวลเบาๆ "พระองค์ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว" เจ้าชายตรัส ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม "แต่เขาว่ากันว่า-- ก่อนพายุจะมา ทะเลมักจะราบเรียบเสมอ คงจะพอเปรียบกันได้กระมัง"



        "ดูนั่น!" ราชาเอโอแมร์ยกหัตถ์ชี้ไปทางหุบเขาคาราธราส ทางเข้าเหมืองมอเรียกำลังปรากฎขึ้นมาให้เห็นในสายตาตลอดทุกย่างก้าวบนทุ่งเคเลบรันท์อันกว้างขวาง เหล่าทหารกอนดอร์และโรฮันพากันจ้องมองไปที่ปากเหมืองด้วยความสนใจ ที่ปากเหมืองเหมือนมีกลุ่มเงาตะคุ่มๆยืนอยู่



        "นั่นคงเป็นคนแคระแห่งมอเรียกระมัง" เลโกลัสหรี่ตาลงเพื่อมองให้ชัดขึ้น "คงเป็นญาติเจ้านั่นละ กิมลี"



        "ดีจริง!" กิมลีเอ่ยอย่างครึ้มอกครึ้มใจ "งานเลี้ยงรอบสอง"



        "พวกเขาคงมาต้อนรับเรา" โธรีหัวเราะ "ญาติเราคงต้องรับรองแขกมากทีเดียว!ทหารทั้งกองทัพเชียวนะ จะมีงานเลี้ยงไหนครึกครื้นเท่านี้อีกเล่า"



        "ท่านจะอยู่ที่มอเรียนานเท่าใด อารากอร์น" เลโกลัสเอ่ยถาม



        "ข้าอยากผ่านมอเรียให้เร็วที่สุด--เวลาคงไม่รอท่า"



        "ฝ่าบาท พื้นที่บางส่วนยังไม่ได้รับการซ่อมแซมมากนัก" โลนีซึ่งขี่ม้าเงียบๆมานานทูล "ตอนนี้พวกเราก็กำลังเร่งทำงานกันอยู่ เกรงว่าการยกทั้งกองทัพผ่านอาจจะเป็นไปได้ช้าสักหน่อย"



        "หรือว่าเราควรจะเลี่ยงไปใช้ทางอื่นเล่า" เลดี้เอโอวีนเอ่ยถาม "มีทางอื่นที่เหมาะสมกว่านี้อีกหรือ"



        "มอเรียเป็นทางที่สะดวกที่สุด!" กิมลีว่า



        "ถูกของโลนี" ฟราร์เห็นพ้อง "ฝ่าบาท ข้าคิดว่าเราอาจต้องใช้เวลาสักอาทิตย์หนึ่งเห็นจะได้"



        "ย่อให้สั้นลงกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ" ฟาราเมียร์ถาม



        "คงจะไม่ได้หรอก" องค์กษัตริย์ตรัสตอบแทน "ข้ายังจำได้ดีตอนที่เราผ่านเหมืองมาทีแรก--คนไม่กี่คนยังใช้เวลานานถึงเพียงนั้น ทั้งกองทัพก็คงจะใช้เวลานานพอดูทีเดียว แม้ว่าจะเป็นกองทัพที่แบ่งไปแล้วเกือบครึ่งก็ตามที"



        "ถูกต้องแล้ว ฝ่าบาท" โธรีตอบ "แต่เราจะพยายามเร่งทำงานกันให้สุดฝีมือ"



        "ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องใช้เวลานานเท่าใดเล่ากว่าจะถึงริเวนเดลล์" เลโกลัสถามขึ้น ในขณะที่กิมลีแอบหัวเราะอยู่เงียบๆ



        "คงจะเกือบเดือนหนึ่งกระมัง" เลดี้เอโอวีนเอ่ยตอบพลางยิ้ม



        "เดือนหนึ่งงั้นหรือ" พรายหนุ่มทวนซ้ำ



        "ท่านมีเหตุสำคัญเป็นพิเศษที่ริเวนเดลล์งั้นหรือ เลโกลัส" ราชาเอโอแมร์ตรัสถาม "อย่างไรเราก็ต้องไปที่นั่นอยู่แล้ว"



        "มิได้" เลโกลัสตอบ "ข้าเพียงแต่อยากรู้วันเวลาที่แน่นอนเท่านั้น"



        "แน่ใจรึ" กิมลีพึมพำ



        "คงไม่หรอกกระมัง" เลโกลัสตอบเบาๆ







        "เนร์เวน!ข้าตามหาเจ้าอยู่ตั้งนาน!" นางพรายเอ่ยเรียกเมื่อเห็นเอเลนยาเดินผ่านโถงใหญ่มาพร้อมกับอายก์นอร์และฮูอาน



        "ข้าทำอะไรผิดหรือเปล่านี่"



        อายก์นอร์หัวเราะ



        "อายก์นอร์ เจ้าจะไปไหนก็ไปก่อน" เมริลบอก "ข้าขอคุยกับเนร์เวนสักครู่"



        พรายหนุ่มเลิกคิ้ว "ข้าฟังไม่ได้หรือ"



        "ไม่ได้!"



        "ตกลง" อายก์นอร์ยักไหล่ "ไปกันเถอะฮูอาน" เขาพูด ก่อนจะเดินไปตามทางเดินยาวพร้อมกับสุนัขใหญ่สีดำที่แกว่งหางไปมาในอากาศอย่างร่าเริง



        "ท่านมีอะไรกับข้างั้นหรือ" เอเลนยาถาม



        "นั่งลง" นางพรายชี้ไปที่เก้าอี้สีขาวที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างบานยาว ซึ่งมองออกไปเห็นธารน้ำตกใสกระจ่าง



        "ทำไมพวกท่านชอบสั่งให้ข้านั่งลงจริงนะ!" พรายสาวบ่น แต่ก็ยอมนั่งลงโดยดี



        "ดีมาก" เมริลบอกพลางยิ้ม "ทีนี้ เล่ามาให้หมด"



        "เล่าเรื่องอะไรหรือ"



        "ไลควาลัสเซ"



        เอเลนยาผุดลุกขึ้นยืนทันที "ท่านรู้ได้อย่างไรกัน!"



        "เลดี้กาลาเดรียลต้องไม่ชอบใจแน่ถ้าเห็นเจ้าแสดงกิริยาเช่นนี้" นางพรายกล่าวด้วยท่าทีไม่แยแส ก่อนจะเดินไปที่กลางห้องโถงซึ่งโคมแก้วระย้าเลื่อมพรายห้อยลงมาจากกลางเพดาน "นั่งลง!" น้ำเสียงของนางมีแววเฉียบขาด



        พรายสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะนั่งลง ดวงตาสีเทาจ้องไปที่เพดานสูงสีอ่อน แล้วเปลี่ยนไปจ้องมองน้ำตกเบื้องล่างผ่านหน้าต่างยาวแทน



        "ทีนี้ก็เล่ามา"



        "ข้าไม่รู้จะเล่าอะไร"



        "เจ้ารักเขางั้นหรือ"



        พรายสาวนิ่งเงียบ



        "เอาละ เอเดล เนธ--ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด" เมริลถอนหายใจ "แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรจะต้องรู้ไว้--"



        เอเลนยาเงยหน้าขึ้น



        "ไลควาลัสเซเป็นโอรสของธรันดูอิล--ผู้ครองเมิร์กวู้ด" นางพรายบอก "โดยสายเลือด เขาจะต้องเป็นผู้ครองเมิร์กวู้ดต่อจากธรันดูอิล เจ้าเข้าใจใช่ไหม"



        พรายสาวพยักหน้า พอจะเข้าใจว่านางจะพูดอะไรต่อ



        "ส่วนเจ้า" นางเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง "เจ้าเป็นบุตรีของเอลลาดาน ซึ่งในตอนนี้ถือว่าเขาเป็นประมุขของริเวนเดลล์ต่อจากดายอดาร์ของเจ้า ดังนั้น เจ้าจะต้องเป็นประมุขของริเวนเดลล์ต่อจากอดาของเจ้า" เมริลว่าต่อ "ทั้งเจ้าและไลควาลัสเซต้องรับตำแหน่งต่อจากธรันดูอิลและเอลลาดาน"



        "ดังนั้น...." เอเลนยาเลิกคิ้ว



        "ทำไมเจ้าเข้าใจยากจริงนะ เนร์เวน ทินโดเมียล" เมริลว่า "นั่นหมายความว่าเจ้ารักเขาไม่ได้อย่างไรเล่า!ไลควาลัสเซเป็นผู้สืบทอดของธรันดูอิลโดยสายเลือด เจ้ากับเอลลาดานก็เช่นกัน!"



        ดวงตาของพรายสาวเบิกกว้าง "แล้วท่านอาเอลโรเฮียร์เล่า!" นางว่ากลับ



        "เขาปฏิเสธที่จะเป็นผู้ครองริเวนเดลล์ต่อจากเอลลาดาน" เมริลตอบพลางทอดสายตาไปที่ธารน้ำตกเบื้องล่าง



        "แต่ว่าข้า--" เอเลนยาพูดได้แค่นั้น ด้วยว่าคำพูดมากมายเหมือนจะหลั่งไหลมาอยู่ในความคิดจนนางพูดอะไรไม่ออก "ข้าไม่--"



        "พวกเราต้องการเจ้านะ ทินโดเมียล" นางพรายวางมือเรียวยาวลงบนไหล่บางของพรายสาวอย่างอ่อนโยน "พวกเราต้องการเจ้า เจ้าเองก็รู้ดีนี่"



        เอเลนยานั่งในท่ากอดเข่าอยู่บนเก้าอี้สีขาวตัวใหญ่ นางก้มหน้าลงซบกับเข่า ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น เรือนผมสีเงินยาวสยายเป็นคลื่นปกคลุมหลังและไหล่ไว้จนหมด จะให้นางพูดอะไรได้อีกเล่า--



        "เนร์เวน..." เมริลชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าที่นางพูดไปนั้นสมควรหรือไม่ เมื่อเห็นพรายสาวนิ่งเงียบเช่นนี้



        "ขอข้าอยู่คนเดียวสักครู่ได้ไหม" พรายสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่าง



        ในตอนนี้นางพรายเริ่มเข้าใจแล้วว่านางไม่ควรพูดออกไปเลย--  เนร์เวนยังเด็กนัก บางทีนางคงยังไม่เข้าใจอะไรดี...แต่ว่านางก็ต้องเข้าใจทั้งหมดที่นางพรายได้พูดออกไปแน่ แล้วนี่เลดี้เอลเบริลจะว่าอย่างไรเล่า ถ้าหากเห็นบุตรีของนางอยู่ในอาการเช่นนี้... นางพรายได้แต่คิด พลางถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปตามทางเดินยาวฝั่งตะวันตก ท้องฟ้าสีสว่างกำลังเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มสลับเหลืองอ่อนของยามสนธยา และลมอ่อนๆก็กำลังพัดมา  'ทำไมเนร์เวนถึงไม่ว่านอนสอนง่ายเหมือนอาร์เวนกันนะ!' นางพรายคิด --'ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่อาร์เวนขัดใจเหล่าพรายในริเวนเดลล์ นั่นคือการไปใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้น เอสเตลก็เป็นถึงราชาแห่งมนุษย์ แล้วตัวลอร์ดเอลรอนด์เองก็อนุญาต แต่กับเนร์เวนเล่า!นางก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่านางต้องเป็นผู้ถือแหวนสีขาวต่อจากเอลลาดาน -- แต่นางกลับ...กลับไปมีความรักกับไลควาลัสเซเสียนี่!' เมริลคิดอย่างหงุดหงิดในขณะที่ยืนจ้องมองท้องฟ้าอยู่ที่ระเบียงสีเขียวหน้าทางเดินไปสู่ห้องพัก



        "เจ้าบอกนางแล้วใช่หรือไม่" เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นจากทางเบื้องหลัง



        "เจ้าก็รู้เรื่องนี้แล้วงั้นหรือ นินิเอล" เมริลถามอย่างเหนื่อยใจ



        "ข้ารู้จากเอเรสเตอร์เมื่อเช้านี้เอง" นางพรายอีกผู้หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่ระเบียง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่



        "นางดูเศร้าไปเลย--ท่าทางคงจะโกรธข้าเสียแล้ว"



        "ไม่หรอก เนร์เวนไม่ได้โกรธเจ้า" นินิเอลตอบ "นางเพียงแต่สับสนเท่านั้น"



        "สับสน!" เมริลร้อง "ไม่เห็นมีสิ่งใดที่น่าสับสนเลยนี่"



        "เจ้านี่ก็ยังใจร้อนเหมือนเคย" นางพรายว่า "เนร์เวนยังเยาว์นักนะ เมริล เจ้าน่าจะรู้นี่ว่านางจะเสียใจมากถึงเพียงไหน"



        "แต่ข้าคิดว่านางควรจะรู้ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ!เจ้าจะรอถึงเมื่อใดเล่า"



        "แต่ตราบใดที่เอลลาดานยังไม่ได้ไปสู่ตะวันตก หรือ..." นินิเอลเว้นช่วงไปนิดหนึ่ง "หรือตาย -- ข้าว่าเราควรหาเวลาบอกนางเสียจะดีกว่า แต่เอาเถอะ อย่างไรเสียเจ้าก็บอกนางไปแล้ว มาหาวิธีทำให้นางคลายเศร้าดีกว่า"



        "แต่เดี๋ยว" เมริลนิ่งไปครู่หนึ่ง "เอลลาดานและเอลโรเฮียร์ไปทางตะวันออกนานเท่าใดแล้วนี่"



         "จากลอริเอนตามที่กลอร์ฟินเดลบอก ก็เกือบสามอาทิตย์แล้ว" นินิเอลตอบพลางยกมือขึ้นบังสายตาจากแสงแดดที่ส่องมาจากทางตะวันตก เรือนผมสีดำขลับของนางปลิวไปตามแรงลมเบื้องหลัง



        "อะไรกัน!สามอาทิตย์เชียวหรือ แจ้งข่าวอะไรถึงนานเพียงนั้น!"



        "ธรันดูอิลอาจมีเรื่องปรึกษากับพวกเขาก็ได้ เจ้าอย่าห่วงมากนักเลย" นางพรายว่า "เห็นเอเรสเตอร์บอกว่า ก่อนพวกเขาไป เจ้าหญิงน้อยของเราทอเสื้อลอริเอนสีดำสนิทให้พวกเขาด้วยละ เอลลาดานคงยิ้มไม่หุบเลย" นินิเอลหัวเราะเบาๆ



        "งั้นหรือ" รอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นที่ใบหน้างามของเมริล "เลดี้กาลาเดรียลสอนนางได้ดีแท้"



        "เจ้าก็น่าจะหายห่วงเรื่องนางได้แล้ว" นินิเอลว่า "นางโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้วนะ เมริล เจ้าเองก็ควรจะพักเสียที"



        "เจ้านี่พูดเหมือนกลอร์ฟินเดลไม่มีผิด" นางพรายหัวเราะ



        "แต่เขาก็พูดถูก จริงไหม"



        "นั่นสินะ" เมริลพึมพำเบาๆ "บางทีมันก็อาจจะถึงเวลาที่ข้าควรจะปลดระวางตัวเองจากหน้าที่นี้เสียที"



        นินิเอลวางมือวางบนไหล่ของสหายรักอย่างเข้าใจ "เจ้ารักนางมาก และตัวนางเองก็ทั้งรักเจ้าและเข้าใจว่าเจ้ารักนางมากเพียงใด -- เท่านี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ"



        นางพรายยิ้มตอบให้กับนินิเอล "จริงของเจ้า"



        "ไปกันเถิด นี่ก็เย็นแล้ว ข้าจัดโต๊ะอาหารค่ำให้แล้วนะ ประเดี๋ยวพวกเอเรสเตอร์จะรอแย่" นินิเอลว่า ก่อนจะพาสหายรักเดินกลับเข้าไปใต้หลังคาสูงของเคหาสน์แห่งพราย ในขณะที่ยามเย็นกำลังโรยตัวลงมาพร้อมกับเสียงกรอบแกรบของใบไม้ที่เพิ่งปลิดปลิวลงจากต้นทางเบื้องหลัง







        ที่ทางเข้าใหญ่หน้าคฤหาสน์แห่งพราย กลอร์ฟินเดลกำลังเดินครวญเพลงอยู่ด้วยอารมณ์เบิกบาน แม้ว่านี่จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง และใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มต่างก็พากันทิ้งตัวลงมาจากกิ่งสีน้ำตาลกันหมด ลมเย็นที่พรั่งพรูมาทำให้ใบไม้สีแก่ที่กองอยู่บนพื้นปลิดปลิวขึ้นมา และกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ก็อบอวลอยู่ในสายลมที่ปนเปมากับเสียงธารน้ำตกสาดซ่า 'ยามสนธยากำลังจะมาถึงแล้ว' เขาคิดในขณะที่เดินผ่านทางเดินยาวที่ทอดตัวไปสู่ห้องโถงใหญ่ เสาสูงสีเขียวที่สลักเสลาไว้เป็นลวดลายงามวิจิตรตลอดสองข้างทางตั้งตระหง่านชวนให้นึกถึงทวารบาลผู้เฝ้าประตูโดยแท้ -- นี่ช่างเป็นยามเย็นที่งดงามเหลือเกิน พรายเจ้านึกในใจพลางทอดสายตามองไปที่ธารน้ำตกขาวกระจ่างที่ทอดตัวอยู่ใต้ท้องฟ้าในยามอาทิตย์อัสดงในขณะที่กำลังสาวเท้าไปสู่ห้องโถงสีเขียวอ่อน



        หากแต่เมื่อกลอร์ฟินเดลไปถึงห้องโถงอันงดงามนั้น จิตใตของเขาก็กลับตกอยู่ในความมัวหมองระคนกับความแปลกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก โคมแก้วสีขาวห้อยระย้าลงมาจากเพดานเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันซึ่งส่องผ่านมาจากหน้าต่างบานยาวก็ทำให้เกิดสีสันเลื่อมพรายงดงามอยู่บนพื้นกว้าง ทว่าที่หน้าต่างบานยาวอันประดับไว้ด้วยผ้าม่านผืนบางนั้นเอง พรายสาวผู้เปรียบเหมือนดวงใจของผู้คนในริเวนเดลล์กำลังนั่งอยู่ในท่าชันเข่าบนพื้น ใบหน้างดงามที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยเรือนผมสีเงินก้มลงต่ำราวกับผู้ที่หยั่งรู้ในการมาถึงของจุดจบแห่งชีวิตของตนกระนั้น



        ขณะที่เขาเดินเข้าไปหานางนั้น พรายสาวไม่เคลื่อนไหวหรือกล่าวถ้อยคำใดใด แต่คล้ายดังว่านางมีญาณหยั่งรู้ในการมาถึงของเขา และเมื่อกลอร์ฟินเดลนั่งลงเคียงข้าง เอเลนยาเงยหน้าขึ้นมองเขานิดหนึ่ง ใบหน้างดงามนั้นดูเศร้าสร้อย และดวงตาสีเทานั้นก็รื้นไปด้วยน้ำตา นางถอนหายใจยาวนาน ก่อนจะเบนสายตาไปอยู่ที่แสงอาทิตย์เบื้องนอก



        "มีอะไรงั้นหรือ เนร์เวน" กลอร์ฟินเดลถามเบาๆ



        "เมลิน อาเอน นาด ซูอิน มาเอคิน เรวิโอล--บรานด์ อา ลาอิน" (ข้าอยากเป็นเช่นเหยี่ยวที่โผบินอยู่เหลือเกิน--งามสง่า และมีอิสระเสรี) นางกระซิบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย "เมริลบอกข้าแล้ว"



        "เรื่องอะไรกัน"



        "เลโกลัส--เมริลบอกว่าข้าต้องอยู่ที่นี่ เพื่อดูแลอิมลาดริสต่อจากอดา"



        "เช่นนี้นี่เอง" พรายเจ้าแห่งกอนโดลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขามองพรายสาวด้วยความห่วงใยก่อนจะวางมือเรียวยาวลงบนเส้นผมสีเงินสว่าง "แล้วอย่างไรเล่า"



        "แต่เลโกลัสเองก็ต้องดูแลเมิร์กวู้ดต่อจากท่านธรันดูอิลเช่นเดียวกัน" เอเลนยาพูด "ดังนั้น--"



        "เหลวไหล!" กลอร์ฟินเดลว่า ทั้งที่ในใจเขารู้ดีว่ามันมิได้เป็นเช่นที่เขาว่าเลย --พรายเจ้ารู้ดีอยู่แล้วว่าความจริงเป็นดังที่เมริลว่าทุกประการ แต่จะให้เขาทำเช่นใดได้เล่า เขาทนไม่ได้เมื่อเห็นเนร์เวนเป็นเช่นนี้ "ตราบใดที่เอลลาดานยังไม่จากไป เจ้าก็จะไปไหนก็ได้ตามใจ!"



        "ตราบใดที่อดายังไม่จากไป..." พรายสาวทวนอย่างไม่มั่นใจนัก



        "ถูกต้อง" กลอร์ฟินเดลบอกพลางยิ้ม "อีกอย่าง เอลลาดานจะจากไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเขายังมีเจ้าอยู่"



        "นั่นสินะ" เอเลนยาว่า รอยยิ้มบางๆเริ่มปรากฎขึ้นที่ใบหน้างาม



        "เด็กโง่ เห็นไหมว่าเจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงนะ" พรายเจ้ายิ้มพลางเช็ดน้ำตาไปจากใบหน้างดงามอย่างอ่อนโยน "ทีนี้สบายใจแล้วหรือยังเล่า"



        พรายสาวพยักหน้าน้อยๆ "อย่างน้อยก็มีท่านละที่เข้าใจข้า"



        "ทีนี้เราไปที่โต๊ะอาหารค่ำได้หรือยังเล่า" กลอร์ฟินเดลลุกขึ้น ก่อนจะพยุงนางให้ลุกขึ้นตาม



        "นินิเอลคงรอแย่แล้ว" เอเลนยาพูดเบาๆ เพิ่งรู้สึกตัวว่ากลอร์ฟินเดลคงหิวแล้ว "ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลา"



        "ไม่เสียเวลาหรอก ข้ายังไม่หิว" พรายเจ้าหัวเราะ ทั้งที่ตอนนี้เขาหิวจะแย่แล้ว แต่กลอร์ฟินเดลไม่เคยนึกเสียเวลาเลยถ้ามันเป็นเรื่องของเนร์เวน



        "ไปกันเถิด เดี๋ยวทั้งข้าและท่านจะโดนเอ็ดทั้งคู่"



        

        อายก์นอร์ยืนฟังเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของพรายทั้งสองแผ่วหายไปบนทางเดินหินที่ทอดไปสู่ห้องอาหารใหญ่อยู่ที่ริมประตูฟากซ้ายของห้องโถง เขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบถ้วน--ในตอนนี้พรายหนุ่มกำลังลำดับเรื่องราวทั้งหมดอยู่ในหัวอย่างว้าวุ่น เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่เขาอยู่ที่เกรย์ เฮเวนส์กันนี่



        อายก์นอร์ได้แต่ถามตัวเองเช่นนั้น ในขณะที่เขานั่งลงบนพื้นหินเย็นเยียบริมประตู แม้ว่าลมที่พัดไปมาจะทำให้ใบไม้สีน้ำตาลที่อยู่บนพื้นส่งเสียงกรอบแกรบน่ารำคาญมากเพียงใด พรายหนุ่มก็กลับนั่งเฉย ดวงตาสีเข้มนั้นเหม่อลอยไปไกล หากแต่ในใจของเขากลับว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×