ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ในห้วงคำนึง
เลโกลัสแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสว่างเบื้องบนด้วยความประหลาดใจในขณะที่ยังคงบังคับม้าสีขาวให้ย่างเหยาะไปบนทุ่งเคเลบรันท์ ปกติแล้วท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงไม่เคยสว่างโล่งเช่นนี้ -- อย่างน้อยก็ไม่เคยสว่างถึงเพียงนี้
"มีอะไรรึ เลโกลัส" กิมลีที่นั่งอยู่ข้างหลังถามขึ้นพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าอีกคน
"ท้องฟ้าสว่างเกินไป" เจ้าชายเอลเฟียร์ โอรสของเจ้าชายอิมราฮิลที่ทรงม้าไปข้างๆตรัสตอบ "แปลกมาก"
"นี่ยังเป็นวันแรกๆของฤดูใบไม้ร่วง ก็ไม่น่าแปลกที่ท้องฟ้าจะสว่างเหมือนฤดูร้อน" ฟราร์ว่าในขณะที่หันไปหาองค์กษัตริย์เป็นเชิงขอความเห็น
"มิได้ ฟราร์" องค์กษัตริย์เอ่ยตอบ ก่อนจะผินพักตร์ไปทางทัพกอนดอร์และโรฮันเบื้องหลังที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารีบเดินทางเพื่อให้ถึงทางเข้ามอเรียก่อนค่ำ "ในความคิดของพรานป่าเช่นข้า นี่ย่อมเป็นเรื่องแปลกอย่างแน่นอน"
"แล้วพระองค์คิดว่าอย่างไรเล่า" ลอร์ดฟาราเมียร์ถาม
"เรื่องเช่นนี้ควรต้องถามชาวทะเลกระมัง" ราชาเอเลสซาร์ว่า
เจ้าชายเอลเฟียร์สรวลเบาๆ "พระองค์ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว" เจ้าชายตรัส ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม "แต่เขาว่ากันว่า-- ก่อนพายุจะมา ทะเลมักจะราบเรียบเสมอ คงจะพอเปรียบกันได้กระมัง"
"ดูนั่น!" ราชาเอโอแมร์ยกหัตถ์ชี้ไปทางหุบเขาคาราธราส ทางเข้าเหมืองมอเรียกำลังปรากฎขึ้นมาให้เห็นในสายตาตลอดทุกย่างก้าวบนทุ่งเคเลบรันท์อันกว้างขวาง เหล่าทหารกอนดอร์และโรฮันพากันจ้องมองไปที่ปากเหมืองด้วยความสนใจ ที่ปากเหมืองเหมือนมีกลุ่มเงาตะคุ่มๆยืนอยู่
"นั่นคงเป็นคนแคระแห่งมอเรียกระมัง" เลโกลัสหรี่ตาลงเพื่อมองให้ชัดขึ้น "คงเป็นญาติเจ้านั่นละ กิมลี"
"ดีจริง!" กิมลีเอ่ยอย่างครึ้มอกครึ้มใจ "งานเลี้ยงรอบสอง"
"พวกเขาคงมาต้อนรับเรา" โธรีหัวเราะ "ญาติเราคงต้องรับรองแขกมากทีเดียว!ทหารทั้งกองทัพเชียวนะ จะมีงานเลี้ยงไหนครึกครื้นเท่านี้อีกเล่า"
"ท่านจะอยู่ที่มอเรียนานเท่าใด อารากอร์น" เลโกลัสเอ่ยถาม
"ข้าอยากผ่านมอเรียให้เร็วที่สุด--เวลาคงไม่รอท่า"
"ฝ่าบาท พื้นที่บางส่วนยังไม่ได้รับการซ่อมแซมมากนัก" โลนีซึ่งขี่ม้าเงียบๆมานานทูล "ตอนนี้พวกเราก็กำลังเร่งทำงานกันอยู่ เกรงว่าการยกทั้งกองทัพผ่านอาจจะเป็นไปได้ช้าสักหน่อย"
"หรือว่าเราควรจะเลี่ยงไปใช้ทางอื่นเล่า" เลดี้เอโอวีนเอ่ยถาม "มีทางอื่นที่เหมาะสมกว่านี้อีกหรือ"
"มอเรียเป็นทางที่สะดวกที่สุด!" กิมลีว่า
"ถูกของโลนี" ฟราร์เห็นพ้อง "ฝ่าบาท ข้าคิดว่าเราอาจต้องใช้เวลาสักอาทิตย์หนึ่งเห็นจะได้"
"ย่อให้สั้นลงกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ" ฟาราเมียร์ถาม
"คงจะไม่ได้หรอก" องค์กษัตริย์ตรัสตอบแทน "ข้ายังจำได้ดีตอนที่เราผ่านเหมืองมาทีแรก--คนไม่กี่คนยังใช้เวลานานถึงเพียงนั้น ทั้งกองทัพก็คงจะใช้เวลานานพอดูทีเดียว แม้ว่าจะเป็นกองทัพที่แบ่งไปแล้วเกือบครึ่งก็ตามที"
"ถูกต้องแล้ว ฝ่าบาท" โธรีตอบ "แต่เราจะพยายามเร่งทำงานกันให้สุดฝีมือ"
"ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องใช้เวลานานเท่าใดเล่ากว่าจะถึงริเวนเดลล์" เลโกลัสถามขึ้น ในขณะที่กิมลีแอบหัวเราะอยู่เงียบๆ
"คงจะเกือบเดือนหนึ่งกระมัง" เลดี้เอโอวีนเอ่ยตอบพลางยิ้ม
"เดือนหนึ่งงั้นหรือ" พรายหนุ่มทวนซ้ำ
"ท่านมีเหตุสำคัญเป็นพิเศษที่ริเวนเดลล์งั้นหรือ เลโกลัส" ราชาเอโอแมร์ตรัสถาม "อย่างไรเราก็ต้องไปที่นั่นอยู่แล้ว"
"มิได้" เลโกลัสตอบ "ข้าเพียงแต่อยากรู้วันเวลาที่แน่นอนเท่านั้น"
"แน่ใจรึ" กิมลีพึมพำ
"คงไม่หรอกกระมัง" เลโกลัสตอบเบาๆ
"เนร์เวน!ข้าตามหาเจ้าอยู่ตั้งนาน!" นางพรายเอ่ยเรียกเมื่อเห็นเอเลนยาเดินผ่านโถงใหญ่มาพร้อมกับอายก์นอร์และฮูอาน
"ข้าทำอะไรผิดหรือเปล่านี่"
อายก์นอร์หัวเราะ
"อายก์นอร์ เจ้าจะไปไหนก็ไปก่อน" เมริลบอก "ข้าขอคุยกับเนร์เวนสักครู่"
พรายหนุ่มเลิกคิ้ว "ข้าฟังไม่ได้หรือ"
"ไม่ได้!"
"ตกลง" อายก์นอร์ยักไหล่ "ไปกันเถอะฮูอาน" เขาพูด ก่อนจะเดินไปตามทางเดินยาวพร้อมกับสุนัขใหญ่สีดำที่แกว่งหางไปมาในอากาศอย่างร่าเริง
"ท่านมีอะไรกับข้างั้นหรือ" เอเลนยาถาม
"นั่งลง" นางพรายชี้ไปที่เก้าอี้สีขาวที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างบานยาว ซึ่งมองออกไปเห็นธารน้ำตกใสกระจ่าง
"ทำไมพวกท่านชอบสั่งให้ข้านั่งลงจริงนะ!" พรายสาวบ่น แต่ก็ยอมนั่งลงโดยดี
"ดีมาก" เมริลบอกพลางยิ้ม "ทีนี้ เล่ามาให้หมด"
"เล่าเรื่องอะไรหรือ"
"ไลควาลัสเซ"
เอเลนยาผุดลุกขึ้นยืนทันที "ท่านรู้ได้อย่างไรกัน!"
"เลดี้กาลาเดรียลต้องไม่ชอบใจแน่ถ้าเห็นเจ้าแสดงกิริยาเช่นนี้" นางพรายกล่าวด้วยท่าทีไม่แยแส ก่อนจะเดินไปที่กลางห้องโถงซึ่งโคมแก้วระย้าเลื่อมพรายห้อยลงมาจากกลางเพดาน "นั่งลง!" น้ำเสียงของนางมีแววเฉียบขาด
พรายสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะนั่งลง ดวงตาสีเทาจ้องไปที่เพดานสูงสีอ่อน แล้วเปลี่ยนไปจ้องมองน้ำตกเบื้องล่างผ่านหน้าต่างยาวแทน
"ทีนี้ก็เล่ามา"
"ข้าไม่รู้จะเล่าอะไร"
"เจ้ารักเขางั้นหรือ"
พรายสาวนิ่งเงียบ
"เอาละ เอเดล เนธ--ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด" เมริลถอนหายใจ "แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรจะต้องรู้ไว้--"
เอเลนยาเงยหน้าขึ้น
"ไลควาลัสเซเป็นโอรสของธรันดูอิล--ผู้ครองเมิร์กวู้ด" นางพรายบอก "โดยสายเลือด เขาจะต้องเป็นผู้ครองเมิร์กวู้ดต่อจากธรันดูอิล เจ้าเข้าใจใช่ไหม"
พรายสาวพยักหน้า พอจะเข้าใจว่านางจะพูดอะไรต่อ
"ส่วนเจ้า" นางเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง "เจ้าเป็นบุตรีของเอลลาดาน ซึ่งในตอนนี้ถือว่าเขาเป็นประมุขของริเวนเดลล์ต่อจากดายอดาร์ของเจ้า ดังนั้น เจ้าจะต้องเป็นประมุขของริเวนเดลล์ต่อจากอดาของเจ้า" เมริลว่าต่อ "ทั้งเจ้าและไลควาลัสเซต้องรับตำแหน่งต่อจากธรันดูอิลและเอลลาดาน"
"ดังนั้น...." เอเลนยาเลิกคิ้ว
"ทำไมเจ้าเข้าใจยากจริงนะ เนร์เวน ทินโดเมียล" เมริลว่า "นั่นหมายความว่าเจ้ารักเขาไม่ได้อย่างไรเล่า!ไลควาลัสเซเป็นผู้สืบทอดของธรันดูอิลโดยสายเลือด เจ้ากับเอลลาดานก็เช่นกัน!"
ดวงตาของพรายสาวเบิกกว้าง "แล้วท่านอาเอลโรเฮียร์เล่า!" นางว่ากลับ
"เขาปฏิเสธที่จะเป็นผู้ครองริเวนเดลล์ต่อจากเอลลาดาน" เมริลตอบพลางทอดสายตาไปที่ธารน้ำตกเบื้องล่าง
"แต่ว่าข้า--" เอเลนยาพูดได้แค่นั้น ด้วยว่าคำพูดมากมายเหมือนจะหลั่งไหลมาอยู่ในความคิดจนนางพูดอะไรไม่ออก "ข้าไม่--"
"พวกเราต้องการเจ้านะ ทินโดเมียล" นางพรายวางมือเรียวยาวลงบนไหล่บางของพรายสาวอย่างอ่อนโยน "พวกเราต้องการเจ้า เจ้าเองก็รู้ดีนี่"
เอเลนยานั่งในท่ากอดเข่าอยู่บนเก้าอี้สีขาวตัวใหญ่ นางก้มหน้าลงซบกับเข่า ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น เรือนผมสีเงินยาวสยายเป็นคลื่นปกคลุมหลังและไหล่ไว้จนหมด จะให้นางพูดอะไรได้อีกเล่า--
"เนร์เวน..." เมริลชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าที่นางพูดไปนั้นสมควรหรือไม่ เมื่อเห็นพรายสาวนิ่งเงียบเช่นนี้
"ขอข้าอยู่คนเดียวสักครู่ได้ไหม" พรายสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่าง
ในตอนนี้นางพรายเริ่มเข้าใจแล้วว่านางไม่ควรพูดออกไปเลย-- เนร์เวนยังเด็กนัก บางทีนางคงยังไม่เข้าใจอะไรดี...แต่ว่านางก็ต้องเข้าใจทั้งหมดที่นางพรายได้พูดออกไปแน่ แล้วนี่เลดี้เอลเบริลจะว่าอย่างไรเล่า ถ้าหากเห็นบุตรีของนางอยู่ในอาการเช่นนี้... นางพรายได้แต่คิด พลางถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปตามทางเดินยาวฝั่งตะวันตก ท้องฟ้าสีสว่างกำลังเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มสลับเหลืองอ่อนของยามสนธยา และลมอ่อนๆก็กำลังพัดมา 'ทำไมเนร์เวนถึงไม่ว่านอนสอนง่ายเหมือนอาร์เวนกันนะ!' นางพรายคิด --'ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่อาร์เวนขัดใจเหล่าพรายในริเวนเดลล์ นั่นคือการไปใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้น เอสเตลก็เป็นถึงราชาแห่งมนุษย์ แล้วตัวลอร์ดเอลรอนด์เองก็อนุญาต แต่กับเนร์เวนเล่า!นางก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่านางต้องเป็นผู้ถือแหวนสีขาวต่อจากเอลลาดาน -- แต่นางกลับ...กลับไปมีความรักกับไลควาลัสเซเสียนี่!' เมริลคิดอย่างหงุดหงิดในขณะที่ยืนจ้องมองท้องฟ้าอยู่ที่ระเบียงสีเขียวหน้าทางเดินไปสู่ห้องพัก
"เจ้าบอกนางแล้วใช่หรือไม่" เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นจากทางเบื้องหลัง
"เจ้าก็รู้เรื่องนี้แล้วงั้นหรือ นินิเอล" เมริลถามอย่างเหนื่อยใจ
"ข้ารู้จากเอเรสเตอร์เมื่อเช้านี้เอง" นางพรายอีกผู้หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่ระเบียง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"นางดูเศร้าไปเลย--ท่าทางคงจะโกรธข้าเสียแล้ว"
"ไม่หรอก เนร์เวนไม่ได้โกรธเจ้า" นินิเอลตอบ "นางเพียงแต่สับสนเท่านั้น"
"สับสน!" เมริลร้อง "ไม่เห็นมีสิ่งใดที่น่าสับสนเลยนี่"
"เจ้านี่ก็ยังใจร้อนเหมือนเคย" นางพรายว่า "เนร์เวนยังเยาว์นักนะ เมริล เจ้าน่าจะรู้นี่ว่านางจะเสียใจมากถึงเพียงไหน"
"แต่ข้าคิดว่านางควรจะรู้ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ!เจ้าจะรอถึงเมื่อใดเล่า"
"แต่ตราบใดที่เอลลาดานยังไม่ได้ไปสู่ตะวันตก หรือ..." นินิเอลเว้นช่วงไปนิดหนึ่ง "หรือตาย -- ข้าว่าเราควรหาเวลาบอกนางเสียจะดีกว่า แต่เอาเถอะ อย่างไรเสียเจ้าก็บอกนางไปแล้ว มาหาวิธีทำให้นางคลายเศร้าดีกว่า"
"แต่เดี๋ยว" เมริลนิ่งไปครู่หนึ่ง "เอลลาดานและเอลโรเฮียร์ไปทางตะวันออกนานเท่าใดแล้วนี่"
"จากลอริเอนตามที่กลอร์ฟินเดลบอก ก็เกือบสามอาทิตย์แล้ว" นินิเอลตอบพลางยกมือขึ้นบังสายตาจากแสงแดดที่ส่องมาจากทางตะวันตก เรือนผมสีดำขลับของนางปลิวไปตามแรงลมเบื้องหลัง
"อะไรกัน!สามอาทิตย์เชียวหรือ แจ้งข่าวอะไรถึงนานเพียงนั้น!"
"ธรันดูอิลอาจมีเรื่องปรึกษากับพวกเขาก็ได้ เจ้าอย่าห่วงมากนักเลย" นางพรายว่า "เห็นเอเรสเตอร์บอกว่า ก่อนพวกเขาไป เจ้าหญิงน้อยของเราทอเสื้อลอริเอนสีดำสนิทให้พวกเขาด้วยละ เอลลาดานคงยิ้มไม่หุบเลย" นินิเอลหัวเราะเบาๆ
"งั้นหรือ" รอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นที่ใบหน้างามของเมริล "เลดี้กาลาเดรียลสอนนางได้ดีแท้"
"เจ้าก็น่าจะหายห่วงเรื่องนางได้แล้ว" นินิเอลว่า "นางโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้วนะ เมริล เจ้าเองก็ควรจะพักเสียที"
"เจ้านี่พูดเหมือนกลอร์ฟินเดลไม่มีผิด" นางพรายหัวเราะ
"แต่เขาก็พูดถูก จริงไหม"
"นั่นสินะ" เมริลพึมพำเบาๆ "บางทีมันก็อาจจะถึงเวลาที่ข้าควรจะปลดระวางตัวเองจากหน้าที่นี้เสียที"
นินิเอลวางมือวางบนไหล่ของสหายรักอย่างเข้าใจ "เจ้ารักนางมาก และตัวนางเองก็ทั้งรักเจ้าและเข้าใจว่าเจ้ารักนางมากเพียงใด -- เท่านี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ"
นางพรายยิ้มตอบให้กับนินิเอล "จริงของเจ้า"
"ไปกันเถิด นี่ก็เย็นแล้ว ข้าจัดโต๊ะอาหารค่ำให้แล้วนะ ประเดี๋ยวพวกเอเรสเตอร์จะรอแย่" นินิเอลว่า ก่อนจะพาสหายรักเดินกลับเข้าไปใต้หลังคาสูงของเคหาสน์แห่งพราย ในขณะที่ยามเย็นกำลังโรยตัวลงมาพร้อมกับเสียงกรอบแกรบของใบไม้ที่เพิ่งปลิดปลิวลงจากต้นทางเบื้องหลัง
ที่ทางเข้าใหญ่หน้าคฤหาสน์แห่งพราย กลอร์ฟินเดลกำลังเดินครวญเพลงอยู่ด้วยอารมณ์เบิกบาน แม้ว่านี่จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง และใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มต่างก็พากันทิ้งตัวลงมาจากกิ่งสีน้ำตาลกันหมด ลมเย็นที่พรั่งพรูมาทำให้ใบไม้สีแก่ที่กองอยู่บนพื้นปลิดปลิวขึ้นมา และกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ก็อบอวลอยู่ในสายลมที่ปนเปมากับเสียงธารน้ำตกสาดซ่า 'ยามสนธยากำลังจะมาถึงแล้ว' เขาคิดในขณะที่เดินผ่านทางเดินยาวที่ทอดตัวไปสู่ห้องโถงใหญ่ เสาสูงสีเขียวที่สลักเสลาไว้เป็นลวดลายงามวิจิตรตลอดสองข้างทางตั้งตระหง่านชวนให้นึกถึงทวารบาลผู้เฝ้าประตูโดยแท้ -- นี่ช่างเป็นยามเย็นที่งดงามเหลือเกิน พรายเจ้านึกในใจพลางทอดสายตามองไปที่ธารน้ำตกขาวกระจ่างที่ทอดตัวอยู่ใต้ท้องฟ้าในยามอาทิตย์อัสดงในขณะที่กำลังสาวเท้าไปสู่ห้องโถงสีเขียวอ่อน
หากแต่เมื่อกลอร์ฟินเดลไปถึงห้องโถงอันงดงามนั้น จิตใตของเขาก็กลับตกอยู่ในความมัวหมองระคนกับความแปลกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก โคมแก้วสีขาวห้อยระย้าลงมาจากเพดานเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันซึ่งส่องผ่านมาจากหน้าต่างบานยาวก็ทำให้เกิดสีสันเลื่อมพรายงดงามอยู่บนพื้นกว้าง ทว่าที่หน้าต่างบานยาวอันประดับไว้ด้วยผ้าม่านผืนบางนั้นเอง พรายสาวผู้เปรียบเหมือนดวงใจของผู้คนในริเวนเดลล์กำลังนั่งอยู่ในท่าชันเข่าบนพื้น ใบหน้างดงามที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยเรือนผมสีเงินก้มลงต่ำราวกับผู้ที่หยั่งรู้ในการมาถึงของจุดจบแห่งชีวิตของตนกระนั้น
ขณะที่เขาเดินเข้าไปหานางนั้น พรายสาวไม่เคลื่อนไหวหรือกล่าวถ้อยคำใดใด แต่คล้ายดังว่านางมีญาณหยั่งรู้ในการมาถึงของเขา และเมื่อกลอร์ฟินเดลนั่งลงเคียงข้าง เอเลนยาเงยหน้าขึ้นมองเขานิดหนึ่ง ใบหน้างดงามนั้นดูเศร้าสร้อย และดวงตาสีเทานั้นก็รื้นไปด้วยน้ำตา นางถอนหายใจยาวนาน ก่อนจะเบนสายตาไปอยู่ที่แสงอาทิตย์เบื้องนอก
"มีอะไรงั้นหรือ เนร์เวน" กลอร์ฟินเดลถามเบาๆ
"เมลิน อาเอน นาด ซูอิน มาเอคิน เรวิโอล--บรานด์ อา ลาอิน" (ข้าอยากเป็นเช่นเหยี่ยวที่โผบินอยู่เหลือเกิน--งามสง่า และมีอิสระเสรี) นางกระซิบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย "เมริลบอกข้าแล้ว"
"เรื่องอะไรกัน"
"เลโกลัส--เมริลบอกว่าข้าต้องอยู่ที่นี่ เพื่อดูแลอิมลาดริสต่อจากอดา"
"เช่นนี้นี่เอง" พรายเจ้าแห่งกอนโดลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขามองพรายสาวด้วยความห่วงใยก่อนจะวางมือเรียวยาวลงบนเส้นผมสีเงินสว่าง "แล้วอย่างไรเล่า"
"แต่เลโกลัสเองก็ต้องดูแลเมิร์กวู้ดต่อจากท่านธรันดูอิลเช่นเดียวกัน" เอเลนยาพูด "ดังนั้น--"
"เหลวไหล!" กลอร์ฟินเดลว่า ทั้งที่ในใจเขารู้ดีว่ามันมิได้เป็นเช่นที่เขาว่าเลย --พรายเจ้ารู้ดีอยู่แล้วว่าความจริงเป็นดังที่เมริลว่าทุกประการ แต่จะให้เขาทำเช่นใดได้เล่า เขาทนไม่ได้เมื่อเห็นเนร์เวนเป็นเช่นนี้ "ตราบใดที่เอลลาดานยังไม่จากไป เจ้าก็จะไปไหนก็ได้ตามใจ!"
"ตราบใดที่อดายังไม่จากไป..." พรายสาวทวนอย่างไม่มั่นใจนัก
"ถูกต้อง" กลอร์ฟินเดลบอกพลางยิ้ม "อีกอย่าง เอลลาดานจะจากไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเขายังมีเจ้าอยู่"
"นั่นสินะ" เอเลนยาว่า รอยยิ้มบางๆเริ่มปรากฎขึ้นที่ใบหน้างาม
"เด็กโง่ เห็นไหมว่าเจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงนะ" พรายเจ้ายิ้มพลางเช็ดน้ำตาไปจากใบหน้างดงามอย่างอ่อนโยน "ทีนี้สบายใจแล้วหรือยังเล่า"
พรายสาวพยักหน้าน้อยๆ "อย่างน้อยก็มีท่านละที่เข้าใจข้า"
"ทีนี้เราไปที่โต๊ะอาหารค่ำได้หรือยังเล่า" กลอร์ฟินเดลลุกขึ้น ก่อนจะพยุงนางให้ลุกขึ้นตาม
"นินิเอลคงรอแย่แล้ว" เอเลนยาพูดเบาๆ เพิ่งรู้สึกตัวว่ากลอร์ฟินเดลคงหิวแล้ว "ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลา"
"ไม่เสียเวลาหรอก ข้ายังไม่หิว" พรายเจ้าหัวเราะ ทั้งที่ตอนนี้เขาหิวจะแย่แล้ว แต่กลอร์ฟินเดลไม่เคยนึกเสียเวลาเลยถ้ามันเป็นเรื่องของเนร์เวน
"ไปกันเถิด เดี๋ยวทั้งข้าและท่านจะโดนเอ็ดทั้งคู่"
อายก์นอร์ยืนฟังเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของพรายทั้งสองแผ่วหายไปบนทางเดินหินที่ทอดไปสู่ห้องอาหารใหญ่อยู่ที่ริมประตูฟากซ้ายของห้องโถง เขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบถ้วน--ในตอนนี้พรายหนุ่มกำลังลำดับเรื่องราวทั้งหมดอยู่ในหัวอย่างว้าวุ่น เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่เขาอยู่ที่เกรย์ เฮเวนส์กันนี่
อายก์นอร์ได้แต่ถามตัวเองเช่นนั้น ในขณะที่เขานั่งลงบนพื้นหินเย็นเยียบริมประตู แม้ว่าลมที่พัดไปมาจะทำให้ใบไม้สีน้ำตาลที่อยู่บนพื้นส่งเสียงกรอบแกรบน่ารำคาญมากเพียงใด พรายหนุ่มก็กลับนั่งเฉย ดวงตาสีเข้มนั้นเหม่อลอยไปไกล หากแต่ในใจของเขากลับว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น