ตอนที่ 74 : ตอนที่ 70 อักขระเทวะต้นกำเนิด
ซ่งไป่หลางลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ สีหน้าของเด็กหนุ่มบิดเบี้ยวไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด การโจมตีของซานตงได้ทำลายอวัยยะภายในของเด็กหนุ่มไปหลายส่วน
“เป็นความสามารถที่ไม่เลวทีเดียว ถึงกับสามารถพาเจ้าหลบหนีมาได้ไกลหลายร้อยลี้ในพริบตา ดูเหมือนว่ามันจะพาเจ้ามายังพื้นที่ของชนเผ่าผู้ผนึกที่ว่านะ” เซี่ยหยางรู้สึกทึ่งเล็กน้อย แม้ด้วยความสามารถของมันจะสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายในระยะไกลได้เช่นกันทว่าในระดับขั้นราชันยุทธ์วิชาที่สามารถพาคนเคลื่อนย้ายหลบหนีในระยะทางร้อยลี้นับว่าหาได้ค่อนข้างยากทีเดียว
“เจ้าฟื้นจนได้” ชายชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากซ่งไป่หลางตายไปความหวังของมันก็เท่ากับดับสูญตามไปด้วย “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าไม่เพียงจะสามารถต่อต้านการยึดร่างของจักรพรรดิอสรพิษมารได้สำเร็จ ยังกระทั่งทำลายร่างแยกวิญญาณของมันได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮ่าๆ จักรพรรดิอสรพิษมารจะต้องคลั่งแค้นจนแทบบ้าเป็นแน่”
“หลังจากนี้ไปจักรพรรดิอสรพิษมารจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายม่านผนึกป้องกันเป็นแน่ เกรงว่าเมื่อมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลังพวกเราจะต้านทานได้ไม่เกินหกเดือน ยังดีที่พวกเราสามารถเตรียมการรับมือมันได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น เจ้าหนู เวลาหนึ่งเดือนเจ้าคิดว่าจะสามารถรับมือกับจักรพรรดิอสรพิษมารได้หรือไม่”
ซ่งไป่หลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้อาวุโส เรื่องนี้ข้าไม่มั่นใจนัก”
หวนนึกถึงแหวนมิติที่ถูกชิงไปทำให้ซ่งไป่หลางรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แม้ว่าสมบัติที่มีคุณค่ามากเช่นตราประทับสวรรค์และร่มสวรรค์แปดบัวดาราจะถูกเก็บแยกเอาไว้ที่ห้วงวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ทว่าสมบัติอื่นๆที่เป็นขั้นลึกลับรวมถึงขั้นมหัศจรรย์ล้วนถูกเก็บเอาไว้ในแหวนมิติทั้งสิ้น
“เฮ้อ ข้าเข้าใจดีว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องง่าย ทว่ามันก็เป็นเพียงความหวังเดียวที่มีอยู่ หากไม่อาจจัดการกับร่างแยกวิญญาณทั้งสองของมันในเวลานี้ได้ ดินแดนแห่งนี้ก็ทำได้เพียงรอคอยหายนะเท่านั้น” ชายชราถอนหายใจ “หลังจากที่ผนึกป้องกันสลายไป ชนเผ่าผู้ผนึกจะถูกมันจับตัวและนำโลหิตไปใช้ทำลายตราผนึกสูญสลาย ถึงเวลานั้นร่างที่แท้จริงของมันจะหลุดพ้นจากการผนึก และจะไม่มีผู้ใดมีโอกาสหยุดยั้งมันได้อีก”
“อาจารย์ มีวิธีการใดที่ข้าจะสามารถเอาชนะระดับชั้นรวมวิญญาณได้ในเวลานี้บ้าง” ซ่งไป่หลางลอบสอบถามเซี่ยหยาง
“วิธีที่ดีที่สุดคือเจ้าจะต้องฝึกฝนจนบรรลุขั้นเหนือมนุษย์ระดับสามหรือสี่ขึ้นไป ทว่าการฝึกฝนขั้นเหนือมนุษย์ของเจ้าผิดแปลกไปจากคนทั่วไป ไม่อาจฝึกฝนเพิ่มระดับทีละขั้นเนื่องจากเจ้าได้แบ่งพลังออกไปทั่วร่างพร้อมๆกัน การฝึกบรรลุขั้นเหนือมนุษย์ของเจ้ามีเพียงทะยานไปยังจุดสูงสุดของขั้นเหนือมนุษย์เท่านั้น หากเจ้าฝึกฝนภายในค่ายกลธรรมชาติไม่แน่ว่าอาจจะใช้เวลาสักห้าถึงหกปี เวลาไม่กี่เดือนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย” เซี่ยหยางตอบกลับ
“แต่หากข้าเข้าไปยังพื้นที่ของค่ายกลธรรมชาติลึกขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะสามารถย่นระยะเวลาได้สำเร็จ” น้ำเสียงของซ่งไป่หลางเคร่งขรึมมากขึ้น
“เจ้าเองก็ได้รับรู้ด้วยตนเองแล้วว่าพื้นที่ด้านในของค่ายกลธรรมชาตินั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด” เซี่ยหยางเหนื่อยใจเล็กน้อย “อย่างไรก็ตามการฝึกฝนภายในค่ายกลธรรมชาติได้ช่วยให้ตราประทับสวรรค์สะสมพลังจนถึงระดับที่ค่อนข้างน่าประทับใจแล้ว บางทีหากเจ้าสามารถฝึกฝนจนโลหิตศักดิ์สิทธิ์พัฒนาจนถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะเริ่มทำการหล่อหลอมกระดูกศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ ถึงเวลานั้นแม้ว่าศัตรูจะเป็นขั้นรวมวิญญาณระดับสามหรือสี่ เจ้าก็อาจจะสามารถเอาชนะได้”
ซ่งไป่หลางเบิกตากว้าง ภายใต้การฝึกฝนอย่างหนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้ระดับขั้นโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของซ่งไป่หลางพัฒนาจนถึงขั้นที่เก้าแล้ว หากใช้ตราประทับสวรรค์และผลักดันให้โลหิตศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสู่ระดับสูงสุดจริงพลังของมันจะต้องพุ่งทะยานไปอีกระดับอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามมันยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าลำพังโลหิตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดจะสามารถรับมือกับขั้นรวมวิญญาณได้หรือไม่
“ยังมีอีก หากเจ้าจะสามารถเอาชนะพวกมันได้อย่างแน่นอน เจ้าจะต้องฝึกฝนวิชากายาบัวพิสุทธิ์ให้ถึงระดับสองให้จงได้” เซี่ยหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“วิชากายาบัวพิสุทธิ์ระดับสอง” สีหน้าของซ่งไป่หลางซีดเซียวลงทันที การฝึกวิชากายาบัวพิสุทธิ์ซึ่งเป็นวิชาท้าทายสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างมาก ทัณฑ์อัสนีครั้งก่อนหน้าทำให้เซี่ยหยางได้รับบาดเจ็บทั้งยังกระตุ้นพิษศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงอยู่ในวิญญาณจนไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตามที่เซี่ยหยางได้เคยบอกไว้ ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นทัณฑ์สวรรค์ก็จะยิ่งทรงอำนาจขึ้นเช่นกัน นั่นแปลว่าการฝึกฝนในระดับสองจะยิ่งอันตรายและมีความเสี่ยงมากกว่าหลายเท่า
“ในสภาวะปกติพวกเราจะต้องเตรียมการป้องกันให้รอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ทว่าไหนๆเจ้าก็มีวาสนาได้มาเจอกับชนเผ่าผู้ผนึกแล้ว พวกมันต้องการความช่วยเหลือของเจ้าพวกเราเองก็ต้องใช้ประโยชน์จากความสามารถของพวกมันเช่นกัน พลังของผนึกป้องกันที่สามารถต้านทานราชันยุทธ์ได้เป็นระยะเวลานาน ชนเผ่าที่มีความสามารถเช่นนี้ย่อมสามารถช่วยเจ้าป้องกันทัณฑ์สวรรค์ได้เช่นกัน” เซี่ยหยางเอ่ยด้วยความเชื่อมั่น
โลหิตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดและกายาบัวพิสุทธิ์ขั้นสอง มิต้องสงสัยเลยว่าทั้งสองปัจจัยนี้จะยกระดับความแข็งแกร่งของซ่งไป่หลางจนเข้าสู่ระดับที่ไม่อาจหยั่งวัดได้ ผลักดันจนไม่ต้องหวาดกลัวกระทั่งขั้นรวมวิญญาณอีกต่อไป
“ผู้อาวุโส ข้าจะเริ่มทำการฝึกฝนเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับซานตงและโหวปิงหยุนได้ ทว่าข้าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากท่านเช่นกัน” ซ่งไป่หลางเอ่ยกับชายชราในที่สุด
ชายชราประหลาดใจเล็กน้อย “ย่อมได้ หากเป็นสิ่งที่พวกเราสามารถกระทำได้ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ แม้ว่าชนเผ่าของเราจะมีทรัพยากรฝึกฝนไม่มากนักแต่หากมันสามารถช่วยให้เจ้าพัฒนาจนรับมือกับร่างแยกของจักรพรรดิอสรพิษมารได้จริงมันก็คุ้มค่าที่จะแลก”
“ผู้อาวุโส ข้ามิได้ต้องการทรัพยากรการฝึกฝนของชนเผ่าพวกท่าน ทว่าข้าต้องการการปกป้องคุ้มครองที่แข็งแกร่งมากเพียงพอ ท่านรู้จักทัณฑ์อัสนีแห่งสรวงสวรรค์หรือไม่”
ชายชราสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้าเอ่ยถึงทัณฑ์อัสนีสวรรค์ หรือว่าเจ้าต้องการให้พวกข้าปกป้องจากทัณฑ์สวรรค์เช่นนั้นหรือ”
“ถูกต้อง ข้ามีวิชาที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถรับมือกับซานตงและโหวปิงหยุนที่ถูกลดระดับพลังจนเหลือเพียงขั้นรวมวิญญาณได้อย่างแน่นอน ทว่าการฝึกวิชานี้อันตรายยิ่งนัก หากข้าฝึกสำเร็จมันจะชักนำทัณฑ์สวรรค์ลงมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ดังนั้นข้าจำเป็นต้องมั่นใจว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้”
“ย่อมได้ แม้ว่าตามตำนานทัณฑ์สวรรค์จะเป็นพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ทว่าภายในพื้นที่ของชนเผ่าผู้ผนึก ท่านบรรพชนได้สรรค์สร้างสถานที่แห่งหนึ่งเอาไว้ มันคือสถานที่ที่ตราผนึกเทวะถือกำเนิดขึ้นและได้รับการปกป้องจากวิชาผนึกที่ทรงพลังที่สุด แม้แต่จักรพรรดิอสรพิษมารก็ยังไม่อาจทำอันตรายอันใดในสถานที่นั้นได้” ชายชราถอนหายใจเบาๆ
“ตามข้ามา ข้าจะพาไปยังสถานที่แห่งนั้น”
“น่าสนใจนัก สถานที่ที่สามารถต้านทานพลังของจักรพรรดิฟ้าได้อย่างนั้นหรือ” เซี่ยหยางลอบตื่นเต้นเล็กน้อย
พื้นที่ของชนเผ่าผู้ผนึกนั้นตั้งอยู่ภายในหุบเขาผู้ผนึก มาอาณาเขตกว้างประมาณห้าสิบลี้และมีประชากรของชนเผ่าผู้ผนึกอาศัยอยู่เพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น สถานที่ที่ชายชราพาซ่งไป่หลางไปนับว่าเป็นสถานที่ลับต้องห้ามของชนเผ่าดังนั้นจึงมิต้องกังวลว่าจะถูกรบกวนโดยผู้ใด
ระหว่างทางซ่งไป่หลางได้พบเจอกับชนเผ่าผู้ผนึกบางส่วน คนส่วนมากล้วนเป็นวัยกลางคนและวัยชรา ส่วนคนรุ่นใหม่นั้นมีเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น นับว่าอยู่ในสภาพที่อันตรายยิ่งนัก
“ระดับพลังของพวกมันถือว่าค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับดินแดนของเจ้า ทว่าในแง่ของศักยภาพในการต่อสู้นับว่าไม่ได้เหนือกว่าแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าแม้ระดับพลังของดินแดนแห่งนี้จะสูงกว่าทว่ามันขาดแคลนวิชาต่อสู้ที่มีคุณภาพยิ่งนัก ทำให้ศักยภาพของผู้คนต่ำต้อยกว่าที่ควรจะเป็น” เซี่ยหยางวิเคราะห์สถานการณ์ของชนเผ่าผู้ผนึกอย่างรวดเร็ว
“ที่น่าประทับใจก็คือวิชาตราผนึกเทวะ ภายในดินแดนที่ขาดแคลนวิชาต่อสู้ระดับสูงเช่นนี้กลับยังมีบุคคลอัจฉริยะที่สามารถคิดค้นวิชาอันยอดเยี่ยมเช่นนั้นขึ้นมาได้ หากปล่อยให้มันสูญสลายไปตามกาลเวลาก็นับว่าน่าเสียดายนัก หวังว่าวันหนึ่งจะมีใครสักคนที่สามารถสืบทอดวิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์”
“อาจารย์ หากว่าท่านต้องเผชิญหน้ากับวิชาตราผนึกสูญสลายท่านจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับจักรพรรดิอสรพิษมารหรือไม่” ซ่งไป่หลางถามด้วยความสงสัย
“เฮอะ ขั้นจักรพรรดิฟ้าอาจจะฟังดูยิ่งใหญ่สำหรับเจ้า ทว่าหลังจากก้าวข้ามขั้นจักรพรรดิทั้งสามไป เจ้าจะได้ค้นพบโลกอีกใบของผู้ฝึกยุทธ์ ถึงเวลานั้นเจ้าก็คล้ายกับหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ต่อให้วิชาตราผนึกสูญสลายจะร้ายกาจทว่าข้าไม่เชื่อว่ามันจะส่งผลต่อผู้ที่อยู่เหนือกว่าขั้นจักรพรรดิทั้งสามไปได้”
“ในทางตรงกันข้าม หากวิชาตราผนึกสูญสลายสามารถส่งผลต่อผู้ที่มีพลังเหนือกว่าขั้นจักรพรรดิได้จริง ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ที่ถือครองอำนาจเหนือดินแดนทั้งหมดจะต้องไม่ปล่อยให้มีวิชาอันตรายเช่นนี้ดำรงอยู่เป็นแน่ เช่นเดียวกับที่นิกายบัวสวรรค์ของพวกเจ้าต้องเผชิญหน้าหายนะ ดินแดนแห่งนี้ก็จะต้องประสบกับชะตากรรมเช่นเดียวกัน นี่ก็คือความเผด็จการของตระกูลศักดิ์สิทธิ์”
เอ่ยถึงตรงนี้เซี่ยหยางได้หยุดชะงักลงเล็กน้อย ‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ที่บัญญัติวิชาตราผนึกเทวะได้ตระหนักรู้ถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ มันจึงมิได้ปล่อยให้วิชาของมันร้ายกาจจนเกินไปและจำกัดอยู่ที่ระดับที่สามารถจัดการกับขั้นจักรพรรดิเท่านั้น ไม่สิ หากมันมีศักยภาพมากเพียงพอจริงมันคงไม่ต้องแลกชีวิตในการผนึกจักรพรรดิอสรพิษมาร’ เซี่ยหยางส่ายหน้าสลัดความคิดรบกวนจิตใจของมันออกไป
เมื่อเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามของชนเผ่าผู้ผนึก ซ่งไป่หลางและเซี่ยหยางพลันตระหนักได้ในทันทีว่าสถานที่แห่งนี้มีพลังธรรมชาติบริสุทธิ์อันเข้มข้น คล้ายกับพื้นที่ค่ายกลธรรมชาติเป็นอย่างมาก
“สถานที่แห่งนี้มิได้ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ ทว่าตามบันทึกเดิมทีมันเคยเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก กระทั่งบรรพบุรุษของพวกเราในเวลานั้นยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ทว่าภายหลังจากที่สามารถบัญญัติวิชาตราผนึกเทวะสำเร็จ ท่านบรรพบุรุษได้ใช้วิธีการบางอย่างแปรเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้มีความอันตรายน้อยลงและง่ายต่ออการใช้ประโยชน์มากขึ้น”
“ถึงกับสามารถควบคุมส่วนหนึ่งของค่ายกลธรรมชาติได้เชียวรึ ใช้วิธีชักจูงพลังธรรมชาติที่ไร้ระเบียบและทำการจัดระเบียบของมันขึ้นมาใหม่ วิธีนี้จะลดทอนความหนาแน่นของพลังในค่ายกลธรรมชาติลงทว่าขณะเดียวกันก็ทำให้ง่ายต่อการนำพลังมาใช้ด้วยเช่นกัน” เซี่ยหยางตื่นตะลึงเล็กน้อย
“นี่ก็คือร่องรอยส่วนหนึ่งของวิชาตราผนึกเทวะ” ซ่งไป่หลางสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
‘ที่แท้ตราผนึกเทวะก็คือวิชาค่ายกลประเภทหนึ่ง’ สีหน้าของซ่งไป่หลางแตกตื่นขึ้นมา การใช้อักขระและค่ายกลประเภทใดกันที่ร้ายกาจและสร้างสรรค์ถึงเพียงนี้ ถึงกับควบคุมค่ายกลธรรมชาติได้ ขณะเดียวกันยังสามารถใช้กักขังสิ่งมีชีวิตขั้นจักรพรรดิฟ้าเอาไว้ได้อีกด้วย
“ไม่เลวทีเดียว เจ้าสามารถมองเห็นแก่นแท้ของวิชาตราผนึกเทวะได้ในพริบตา ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความสามารถในเชิงค่ายกลและอักขระอยู่บ้าง” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในห้วงวิญญาณของซ่งไป่หลาง
“ไม่เพียงมีความรอบรู้เจ้ายังมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายอยู่ภายในร่าง โลหิตศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณของยอดฝีมือที่เหนือยิ่งกว่าขั้นจักรพรรดิ ตราประทับสวรรค์ หึหึ ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้พบเจอกับตัวตนเช่นนี้ภายในดินแดนแห่งนี้” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจ
“ถึงกับมองเห็นตัวตนของข้าและวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ได้ในพริบตา ดูเหมือนท่านจะเป็นผู้พิทักษ์ดินแดนสินะ” เซี่ยหยางรับรู้ได้ถึงตัวตนที่เข้ามาสำรวจภายในห้วงวิญญาณของซ่งไป่หลาง
ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งก่อตัวขึ้นในห้วงวิญญาณของซ่งไป่หลาง “เจ้าคิดผิดแล้ว ดินแดนตราสูญแห่งนี้ไม่เคยมีผู้พิทักษ์ดินแดน ข้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่ดำรงอยู่ในห้วงมิติมาอย่างยาวนานเท่านั้น แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของข้าคือสิ่งใด”
เซี่ยหยางมีสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่ดำรงอยู่ในห้วงมิติมาก่อน”
“เจ้าคงคิดว่าตนเองมีช่วงชีวิตที่ยาวนาน ทว่าในสายตาของข้าเจ้าก็เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น มิจำเป็นที่เจ้าจะต้องรู้ทุกเรื่องบนโลก” หญิงสาวหัวเราะ “ข้ามองเห็นและรับรู้ทุกสิ่งในห้วงมิติ ทว่ามันช่างเลือนรางยิ่งนัก มีเพียงดินแดนแห่งนี้ที่ข้าสามารถรับรู้ได้ชัดเจนกว่าสถานที่อื่น อย่างไรก็ตามข้ารู้จักตระกูลศักดิ์สิทธิ์ รู้จักมารบรรพกาล และรู้จักหลายสิ่งหลายอย่างที่คนรุ่นหลังเช่นพวกเจ้าไม่อาจรับรู้”
ชายชราพาซ่งไป่หลางเข้าสู่ห้องแห่งหนึ่งซึ่งถูกปิดล้อมด้วยผนังหิน ทั่วทั้งห้องล้วนถูกสลักไว้ด้วยอักขระอันซับซ้อนและแปลกประหลาด “สถานที่แห่งนี้แม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่อาจคุกคามเจ้าได้ จงฝึกฝนให้สบายใจเถิด ภายในแหวนมิตินี้มีอาหารเพียงพอสำหรับระยะเวลาสามเดือน หลังจากที่พวกข้าเตรียมการพร้อมจะมาแจ้งข่าวกับเจ้าอีกครั้ง” เอ่ยจบมันก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งไป่หลางตั้งสมาธิรับฟังการสนทนาระหว่างเซี่ยหยางและหญิงสาวปริศนาอย่างตั้งใจ ตัวตนของหญิงสาวผู้นี้ลึกลับยี่งนัก แม้แต่เซี่ยหยางยังไม่อาจระบุได้ว่านางคือสิ่งใดกันแน่
“วิชาตราผนึกเทวะนั้นมาจากเศษเสี้ยววิชาอักขระเทวะต้นกำเนิด มันคือจุดเริ่มต้นของอักขระและค่ายกลทั้งมวลบนโลก เมื่อสองร้อยปีก่อนชายผู้หนึ่งได้มาพบเจอกับร่องรอยของข้าโดยบังเอิญขณะที่มันหลงอยู่ในค่ายกลธรรมชาติ ข้ารู้สึกสนใจในนิสัยของมันจึงได้ยื่นมือช่วยเหลือเล็กน้อยโดยการถ่ายทอดส่วนหนึ่งของวิชาอักขระเทวะต้นกำเนิดให้ แม้มันจะเข้าใจได้เพียงเศษเสี้ยวแต่ก็ยังสามารถบัญญัติวิชาตราผนึกเทวะขึ้นมาได้ นับว่ามีพรสวรรค์ไม่เลวทีเดียว” หญิงสาวเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ
“วิชาอักขระเทวะต้นกำเนิด” เซี่ยหยางตื่นตะลึง “ข้าเคยพบเจอมันจากตำนานกำเนิดห้วงมิติ มันคือวิชาระดับขั้นไร้ตัวตน”
“ถูกต้อง วิชาที่อยู่บนจุดสูงสุดจนคล้ายไม่มี นั่นคือวิชาขั้นไร้ตัวตน” หญิงสาวหัวเราะ “อย่างไรก็ตามวิชานี้อยู่นอกเหนือขอบเขตความเข้าใจของมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะบันทึกมันเอาไว้บนโลก มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าหนูผู้นี้นับว่าน่าสนใจไม่เลว มันมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอักขระค่ายกลดียิ่ง แม้จะยังไม่เรียนรู้วิชาค่ายกลก็ตาม หากเจ้าสนใจข้าสามารถถ่ายทอดความรู้ส่วนเดียวกับที่เคยถ่ายทอดแก่บรรพบุรุษของชนเผ่าผู้ผนึกแก่เจ้าได้” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มลี้ลับ
สีหน้าของซ่งไป่หลางเคร่งขรึมลง “ข้าควรเรียกขานท่านว่าอันใด ผู้อาวุโส?”
“อย่าได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเชียว เรียกข้าว่าพี่สาวเถอะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ซ่งไป่หลางตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “พี่สาว ข้าต้องขออภัยต่อท่าน ทว่าตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ข้า ข้าจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการฝึกฝนวิชาระดับสวรรค์และโลหิตศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับแรก เพื่อที่ข้าจะสามารถรับมือกับร่างแยกวิญญาณของจักรพรรดิอสรพิษมารได้”
“ไร้สาระ เจ้ามีโอกาสได้ฝึกส่วนหนึ่งของวิชาระดับไร้ตัวตน ต่อให้เจ้าจัดการกับจักรพรรดิอสรพิษมารไม่ได้แล้วอย่างไร เจ้าเฒ่าผู้นั้นก็บอกเจ้าแล้วว่าแม้แต่ร่างจริงของจักรพรรดิอสรพิษมารก็เข้ามาในนี้ไม่ได้ เจ้าจะสนใจมันไปใยเล่า”
“หากข้าไม่จัดการกับมัน หายนะย่อมเกิดกับดินแดนแห่งนี้และชนเผ่าผู้ผนึก ข้าจะปล่อยให้ผู้คนมากมายตายไปได้อย่างไร” ซ่งไป่หลางถามน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
“ชนเผ่าผู้ผนึกเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า มิต้องเอ่ยถึงเรื่องการตายของผู้คน ก่อนหน้านี้เจ้าสังหารคนไปมากมายเจ้าเคยสนใจอันใดหรือไม่ ชนเผ่าผู้ผนึกเหล่านี้ล้วนต้องตายเพราะความอ่อนแอของพวกมันเอง เจ้ามิได้สังหารพวกมันด้วยมือของตนเองด้วยซ้ำ ย่อมหาใช่ความผิดของเจ้าไม่”
“คนที่ข้าสังหารล้วนเป็นผู้ที่คิดร้ายกับข้า หากเป็นคนบริสุทธิ์ทั่วไปข้าย่อมไม่สังหารอย่างไร้เหตุผล และชนเผ่าผู้ผนึกเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนบริสุทธิ์ ยังมีผู้เฒ่าของชนเผ่าที่ได้ช่วยชีวิตของข้าไว้หนึ่งครั้ง ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกเขาตกตายโดยไม่ช่วยเหลือทั้งที่สามารถช่วยได้” ซ่งไป่หลางตอบกลับอย่างเด็ดขาด “ข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาทต่อท่าน ทว่าข้ามีสิ่งที่ตนเองยึดมั่นอยู่ และแม้ว่าท่านจะยื่นผลประโยชน์ที่น่าสนใจเพียงใดข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด”
“เปล่าประโยชน์ที่จะทดสอบจิตใจของศิษย์ข้า ในแง่ของความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจเทียบมันได้” เซี่ยหยางหัวเราะด้วยความพึงพอใจ
หญิงสาวพลันเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าก็คิดเอาไว้แล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตามข้ายังคงคิดที่จะถ่ายทอดวิชาอักขระเทวะต้นกำเนิดต่อเจ้า เอาเถิด เจ้ายังไม่ฝึกฝนตอนนี้ก็เรื่องของเจ้า” นางสะบัดมือเบาๆหนึ่งครั้งความทรงจำสายหนึ่งก็ถูกถ่ายทอดเข้าสู่ห้วงวิญญาณของเด็กหนุ่ม
ซ่งไป่หลางเบิกตากว้างก่อนจะทรุดร่างลงบนพื้น ความทรงจำและความรู้เกี่ยวกับวิชาอักขระเทวะต้นกำเนิดนั้นมากมายมหาศาลยิ่งนักจนมันไม่อาจรองรับได้ หญิงสาวยิ้มแย้มก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ข้าได้มอบกล่องที่บรรจุความรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาอักขระเทวะต้นกำเนิดแก่เจ้า ทว่าเจ้าจะสามารถเปิดมันออกได้หรือไม่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าในอนาคต สำหรับตอนนี้เชิญเจ้าฝึกฝนตามความต้องการของเจ้าเถอะ”
“อ้อ ยังมีอีกเรื่อง ข้าถูกใจนิสัยของเจ้าดังนั้นจะช่วยเหลือเจ้าเพิ่มอีกเล็กน้อย เรื่องแรกมิต้องกังวลเรื่องทัณฑ์สวรรค์ ภายในสถานที่แห่งนี้ทัณฑ์สวรรค์ไม่มีทางสัมผัสร่างกายของเจ้าได้แม้เพียงเล็กน้อย เรื่องที่สองข้าได้ยื่นมือแก้ไขตราประทับสวรรค์ของเจ้าเล็กน้อย เชื่อได้ว่ามันจะช่วยให้เจ้าฝึกฝนโลหิตศักดิ์สิทธิ์จนขึ้นสู่ระดับสูงสุดได้ในเวลาไม่นาน”
“ขอบคุณพี่สาว” ซ่งไป่หลางรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เท่านี้มันก็มีหนทางที่จะรับมือซานตงและโหวปิงหยุนที่ถูกควบคุมโดยจักรพรรดิอสรพิษมารได้แล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

386 ความคิดเห็น
-
#166 suptanom (จากตอนที่ 74)วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 / 18:31มีสกิลพระเอกนี้ดวงดี๊#1660
-
#131 dfrdz007 (จากตอนที่ 74)วันที่ 14 ธันวาคม 2562 / 01:41thank u#1310