ตอนที่ 2 : ตอนที่ 1 น้ำตกลมปราณ
เทือกเขาต้องห้ามนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับนิกายบัวสวรรค์ เฉพาะศิษย์หลักและศิษย์สายในเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามายังที่แห่งนี้เพื่อเก็บเกี่ยวด้วยการค้นหาสมุนไพรรวมถึงสัตว์ปีศาจสำหรับการบ่มเพาะ อย่างไรก็ตามด้วยระดับความอันตรายของมันจึงทำให้มีศิษย์จำนวนน้อยมากที่กล้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ในแต่ละวัน
ในวันนี้ศิษย์สายในที่นำมาโดยซ่งเจียหลานและฉินจีได้เดินทางมายังเทือกเขาต้องห้าม ระดับของกลุ่มนี้จัดได้ว่าดี ศิษย์สายในทุกคนมีระดับสูงถึงขั้นเก้าก่อกำเนิด ซ่งเจียหลานและฉินจีที่เป็นผู้นำกลุ่มนั้นเป็นถึงขั้นหนึ่งเที่ยงแท้ ด้วยความแข็งแกร่งและความงดงามของพวกนางจึงทำให้พวกนางได้รับการนับถืออย่างมาก ฉินจีนั้นนอกจากมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดายังมีคุณสมบัติสามารถใช้ได้ถึงสามธาตุคือไฟ ลมและดินจึงทำให้ได้รับการประเมินและเตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นศิษย์หลักของนิกายในเวลาอันใกล้
ทั้งกลุ่มมีสมาชิกจำนวนเจ็ดคนและกำลังมุ่งหน้าไปตามเทือกเขาเพื่อเก็บเกี่ยวจากการล่าสัตว์ปีศาจ สัตว์ปีศาจระดับหนึ่งหลายตัวถูกคนในกลุ่มสังหารและเก็บวัตถุดิบจนกระทั่งพวกนางได้พบเจอกับสัตว์ปีศาจระดับสองเข้าจึงทำให้มีปัญหาเล็กน้อย
“หมาป่าเขาเดียว สัตว์ปีศาจระดับสอง ศิษย์พี่ซ่งเราคงต้องร่วมมือกันแล้ว” ฉินจีเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง
เปรียบเทียบกับฉินจีที่ดูเป็นกุลสตรีอ่อนหวานนุ่มนวลแล้วซ่งเจียหลานกลับเป็นสตรีที่ดูห้าวหาญยิ่งกว่าบุรุษ นางหัวเราะก่อนจะตอบรับ “แน่นอนศิษย์น้องฉิน จัดการเจ้านี่และตัดเขาของมันไปแลกกับแต้มคะแนนของนิกาย”
“มั่วเฉิน เจ้าจงนำคนอื่นๆเข้าจัดการกับพวกสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งอย่าให้พวกมันมาเกะกะการลงมือของข้ากับศิษย์น้องฉิน” ซ่งเจียหลานเอ่ยสั่งการบุรุษที่มีพลังขั้นเก้าก่อกำเนิดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชายที่ชื่อมั่วเฉินรีบตอบรับอย่างเชื่อฟังแล้วคุมคนอีกสี่คนไปจัดการกับพวกสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งโดยรอบ ระหว่างนั้นซ่งเจียหลานได้เริ่มโจมตีหมาป่าเขาเดียวก่อนแล้ว
กระบี่ในมือของซ่งเจียหลานทอประกายวาววับ เมื่อร่างบางเคลื่อนถึงตัวของอีกฝ่ายกลับแปรเปลี่ยนท่วงท่าจากเร็วเป็นช้ากรีดกระบี่ด้วยท่วงท่าสง่างามแต่เต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว
เคล็ดวิชากระบี่บัวคลายจันทร์ขั้นที่สาม
หมาป่าเขาเดียวไม่ใช่กระจอก มันอ้าปากหอนพร้อมเคลื่อนร่างหลบวิถีกระบี่ได้สำเร็จ ทว่าทันทีที่มันหลบกระบี่กลับพบว่าตนเองตกอยู่ในกับดักด้วยการโจมตีสอดผสานของฉินจีที่เข้ามาได้ถูกจังหวะและโอกาสยิ่ง
เคล็ดวิชาดัชนีบัวเพลิง ขั้นที่สอง
ดัชนีของฉินจีส่งถ่ายพลังลมปราณเจาะทะลุร่างของหมาป่าเขาเดียวอย่างแหลมคมยิ่ง นอกจากพลังดัชนีที่เฉียบคมแล้วยังแฝงด้วยความร้อนของพลังธาตุไฟที่ร้อนแรง เพียงการโจมตีครั้งเดียวสามารถสร้างบาดแผลสาหัสแก่หมาป่าเขาเดียวได้สำเร็จ
ร่างของหมาป่าเขาเดียวโซซัดโซเซยากจะเคลื่อนไหว สุดท้ายถูกซ่งเจียหลานใช้กระบี่สังหารอย่างไม่อาจตอบโต้ หลังจากกำจัดหมาป่าเขาเดียวได้คนอื่นๆก็จัดการกับสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็นนัก สุดท้ายซ่งเจียหลานจึงพักสนทนากับฉินจี
“สมแล้วที่ศิษย์น้องฉินเป็นถึงอัจฉริยะที่ใกล้จะได้เข้าเป็นศิษย์หลัก สามารถควบคุมพลังธาตุได้ทั้งยังชำนาญวิชาดัชนีบัวเพลิงที่เป็นวิชาระดับสูงถึงขั้นสอง ทอดตาไปยังบรรดาศิษย์สายในทั้งหมดเวลานี้คงมีเพียงบรรดาศิษย์หลักและอดีตศิษย์สายในอันดับหนึ่งโม่หลางเท่านั้นที่สามารถรับมือศิษย์น้องฉินได้”
ฉินจีแย้มยิ้มอ่อนหวานตอบว่า “ศิษย์พี่ซ่งชมเกินไปแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของท่านเองก็ใช่ว่าจะด้อยกว่าข้านัก อย่างไรท่านก็จะต้องได้เข้าเป็นศิษย์หลักของนิกายสักวันหนึ่ง”
ซ่งเจียหลานพยักหน้าไม่ตอบอันใดอีก ในใจบังเกิดเพลิงริษยาบางประการ พรสวรรค์ของนางอาจนับได้ว่าดีและอาจจะถึงกับดีที่สุดสำหรับตระกูลซ่งแต่เมื่อเทียบกับฉินจีแล้วไม่อาจนับเป็นอันใด พลังธาตุสองธาตุย่อมไม่อาจเทียบเคียงพลังสามธาตุได้
ริษยาก็ส่วนริษยา ซ่งเจียหลานไม่อาจกระทำการใดๆนอกจากผูกมิตรกับฉินจีเอาไว้ หากอาศัยว่ามีมิตรภาพต่อกันไม่แน่ว่าภายหลังอีกฝ่ายได้ดิบได้ดีนางอาจได้รับผลประโยชน์ในอนาคต
“ศิษย์น้องฉิน ศิษย์น้องซ่ง สัตว์ปีศาจทั้งหมดถูกกำจัดแล้ว รอให้พวกเราจัดการเก็บเกี่ยวซากของพวกมันสักครู่หนึ่งแล้วพวกเราจึงจะออกเดินทางกันต่อ” มั่วเฉินเดินเข้ามาเอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบประแจง ฉินจีพยักหน้าส่วนซ่งเจียหลานเมินเฉยต่อชายหนุ่ม ในสายตาของเธอแม้มั่วเฉินจะแก่กว่าแต่ฝีมือของเขาไม่อาจนับว่าเป็นอันใด
“ขอบคุณศิษย์พี่มั่ว ระหว่างที่พวกท่านกำลังเก็บกวาดซากสัตว์ปีศาจข้าจะออกไปสำรวจบริเวณรอบๆสักหน่อย” ฉินจีเอ่ยจบก็หมุนตัวทะยานร่างจากไป
“ศิษย์น้องซ่งจะตามศิษย์น้องฉินไปหรือ” มั่วเฉินเอ่ยถามซ่งเจียหลาน อันที่จริงเขากังวลว่านางจะจากไปเพราะบริเวณนี้อาจมีสัตว์ปีศาจที่อันตรายหลงเหลืออยู่ หากไม่มีฝีมือของทั้งฉินจีและซ่งเจียหลานกลุ่มคนที่เหลืออาจไม่สามารถเอาตัวรอดได้
“ไม่ละ ข้าจะพักอยู่แถบนี้แหละ” ซ่งเจียหลานตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา
อีกด้านหนึ่งห่างออกไปประมาณสามลี้ ร่างของซ่งไป่หลางกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณใต้น้ำตกขนาดเล็กบริเวณชั้นบนของหินผา ทอดสายตาไปด้านล่างยังมีชั้นน้ำตกขนาดใหญ่กว่าเรียงลำดับไปอีกหลายขั้น น้ำตกเหล่านี้ล้วนเป็นน้ำตกลมปราณที่มีพลังอัดแน่นภายใน มีไว้เพื่อให้ผู้ฝึกยุทธ์มาบ่มเพาะพลัง ยิ่งน้ำตกขนาดใหญ่พลังลมปราณยิ่งรุนแรง หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังสูงส่งพอย่อมไม่สามารถทนรับแรงกดดันของน้ำตกได้
อันที่จริงลำพังสายน้ำตกขนาดเล็กที่ซ่งไป่หลางนั่งฝึกฝนอยู่นั้นมีเพียงผู้มีพลังขั้นเก้าก่อกำเนิดขึ้นไปจึงจะสามารถทนรับไหว แต่เพราะร่างกายของซ่งไป่หลางในเวลานี้มีวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ผสมผสานไหลเวียนอยู่จึงทำให้สามารถรองรับพลังของน้ำตกลมปราณได้ดีกว่าคนทั่วไป แม้พลังของซ่งไป่หลางจะอยู่ที่ระดับสามก่อกำเนิดก็ยังสามารถทนรับแรงกดดันได้
ปัง!! ดวงตาของซ่งไป่หลางเปิดขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย หลังจากฝึกฝนใต้น้ำตกมาสามวันในที่สุดพลังของเขาก็เลื่อนระดับขึ้นเป็นขั้นสี่ก่อกำเนิด ทั้งพลังกล้ามเนื้อและลมปราณพัฒนาขึ้นอย่างมาก
“ในที่สุดข้าก็เลื่อนระดับสำเร็จ” ซ่งไป่หลางรู้สึกคล้ายอยากจะร้องไห้ ตั้งแต่เด็กเขาเพียรพยายามอย่างมากที่จะเลื่อนระดับการฝึกฝนตัวเองในทุกๆขั้น แต่จนถึงตอนนี้ไม่ว่าพยายามเท่าใดก็ไม่สามารถก้าวผ่านระดับสามก่อกำเนิดไปได้จนกระทั่งถูกตราหน้าว่าเป็นขยะของตระกูล ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากคำสาปและก้าวเข้าสู่ระดับสี่สำเร็จ
“ไม่เลว สามวันไม่ถือว่าเร็วหรือช้า อยู่ในระดับปกติทั่วไปเท่านั้น แต่หลังจากนี้ต่างหากจึงจะเป็นของจริง” เซี่ยหยางเอ่ยอย่างพึงพอใจ
“ท่านอาจารย์ หรือว่าข้าไม่จำเป็นต้องฝึกอยู่ที่น้ำตกนี้แล้ว”
เซี่ยหยางหัวเราะก่อนจะตอบว่า “เจ้ายังคงต้องฝึกที่น้ำตกลมปราณ แต่เปลี่ยนเป็นน้ำตกที่ใหญ่ขึ้นของชั้นล่าง ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะรับมันไม่ได้ จากบรรดาธาตุทั้งหมดในโลกธาตุที่เหมาะสมกับเจ้ามากที่สุดในเวลานี้ก็คือธาตุวารี ขอเพียงร่างกายของเจ้าไม่อ่อนแอเกินไปพลังของธาตุวารีจะส่งผลดีกับเจ้าไม่มีร้าย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ซ่งไป่หลางพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นก้าวเดินออกจากน้ำตก
‘น่าสนใจจริงๆ เทคนิคการฝึกตนที่เราชี้แนะเจ้าหนูนี่ทำให้มันมีระดับความหนาแน่นของพลังเหนือกว่าขั้นสี่ก่อกำเนิดทั่วไป โดยปกติแล้วจะฝึกสำเร็จจนเลื่อนขั้นต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือน แต่เจ้าหนูนี่กลับฝึกสำเร็จในสามวัน แม้จะได้พลังของน้ำตกลมปราณช่วยเกื้อหนุนก็ไม่น่าจะเร็วเพียงนี้ หรือนี่คือพรสวรรค์ที่แท้จริงของมัน’
หลังจากตรวจสอบจิตวิญญาณของซ่งไป่หลางอย่างละเอียด เซี่ยหยางจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วซ่งไป่หลางไม่ใช่คนไร้พรสวรรค์ ตรงกันข้ามกลับเป็นเพราะมีพรสวรรค์มากเกินไป จนทั้งเทคนิคบ่มเพาะและทรัพยากรในการบ่มเพาะที่เขาได้รับไม่ดีพอที่จะทำให้เขาสามารถพัฒนาได้อย่างถูกต้อง คงต้องโทษที่เด็กคนนี้เกิดผิดที่ หากเกิดในมิติที่ดีกว่านี้หรือทวีปที่แข็งแกร่งกว่านี้ความสามารถของเขาคงเฉิดฉายขึ้นมาได้ตั้งแต่ยังเล็ก
‘ตอนนี้เราสามารถช่วยเจ้าหนูนี่ได้แค่ในด้านเทคนิคการบ่มเพาะ ส่วนด้านทรัพยากรยังดีที่วิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ช่วยส่งเสริมให้ฝึกฝนกับน้ำตกลมปราณได้ แต่หากพลังของเจ้าหนูนี่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆคงต้องหาทรัพยากรใหม่ที่ดีกว่ามาเตรียมพร้อมเอาไว้’
“ท่านอาจารย์ ท่านได้ยินเสียงการปะทะหรือไม่” ซ่งไป่หลางเอ่ยออกมา
เซี่ยหยางตอบกลับ “แน่นอน ห่างออกไปประมาณสามลี้ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังปะทะกับสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและสอง ในกลุ่มคนนั้นยังมีหญิงสาวที่โตกว่าเจ้าเล็กน้อยสองคนที่ฝึกจนถึงขั้นเที่ยงแท้แล้ว นับว่ามีพรสวรรค์พอใช้ได้ โดยเฉพาะคนหนึ่งมีพลังถึงสามธาตุเลยทีเดียว”
“ขั้นเที่ยงแท้” ซ่งไป่หลางสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ เขาย่อมรู้ว่าในสำนักมีศิษย์ที่อยู่ขั้นเที่ยงแท้เพียงแค่ไม่กี่สิบคน หนึ่งในนั้นยังเป็นพี่สาวคนโตของตระกูลซ่ง แน่นอนว่าซ่งไป่หลางไม่ได้ผูกพันธ์อะไรกับนาง เพราะซ่งเจียหลานผู้นี้ไม่เคยเห็นหัวผู้ใดเว้นแต่บิดาและผู้นำตระกูล
“เรื่องของคนพวกนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ ฝึกฝนต่อไปเถอะ” เซี่ยหยางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ แม้ว่าระดับขั้นเที่ยงแท้จะถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับทวีปนี้แต่ในสายตาของเซี่ยหยางคนเหล่านี้ไม่อาจนับเป็นอันใดได้
ซ่งไป่หลางย่อมเชื่อถือคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ ทะยานร่างลงไปยังน้ำตกชั้นถัดไปเมื่อแรงปะทะของน้ำตกสัมผัสร่างกายเด็กหนุ่มก็กัดฟันกรอดทนรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
ที่ชั้นน้ำตกด้านบนก่อนหน้านี้หากเป็นคนทั่วไปต้องมีระดับถึงขั้นเก้าก่อกำเนิดจึงจะทนไหว แต่ในชั้นถัดมาต้องเป็นถึงขั้นหนึ่งเที่ยงแท้ขึ้นไป การที่ซ่งไป่หลางที่มีระดับพลังเพียงขั้นสี่ก่อกำเนิดสามารถทนรับได้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้ว
สำหรับซ่งไป่หลางแล้วสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในตัวของเขาก็คือจิตใจ ลำพังความเจ็บปวดจากน้ำตกลมปราณนี้ไม่นับว่ามากมายอันใดเลยหากเทียบกับความปวดร้าวทั้งจิตใจและอาการบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“หืม” เซี่ยหยางที่อาศัยอยู่ภายในจิตวิญญาณของซ่งไป่หลางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ว่าหนึ่งในกลุ่มคนที่ต่อสู้กับฝูงสัตว์ปีศาจกำลังมุ่งหน้ามาทางน้ำตกลมปราณ
“ช่างเถิด หากมีปัญหาค่อยกำจัด” แม้ว่าเซี่ยหยางจะอาศัยอยู่ในสถานะวิญญาณ แต่หากต้องการจะสังหารผู้มีพลังระดับเที่ยงแท้ขั้นหนึ่งนั้นทำได้ง่ายดายราวดีดนิ้ว แต่หากไม่จำเป็นเซี่ยหยางก็ไม่คิดจะลงมือ เพราะตามแผนการของเขาซ่งไป่หลางยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่นิกายแห่งนี้อีกสักระยะ ยังไม่ควรก่อปัญหาขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
“เช่นนี้แล้วกัน” พลังของเซี่ยหยางควบรวมเข้ากับเศษเสี้ยวชิ้นส่วนของวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงแยกตัวออกเป็นหนึ่งหยดละอองกลั่นระเหยออกมาจากร่างของซ่งไป่หลาง เพียงพริบตาที่มันระเหยออกมาละอองวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ก็แปรสภาพเป็นเกราะโปร่งใสบดบังร่างของซ่งไป่หลางเอาไว้
“ด้วยม่านพรางตาของข้าผสานกับพลังของวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงไม่ใช่ผู้มีพลังระดับแปดขั้นเหนือมนุษย์ย่อมไม่อาจสังเกตเห็นได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าระดับแปดขั้นเหนือมนุษย์ในทวีปนี้เป็นเพียงตำนาน ผู้มีพลังระดับสูงสุดยังมีเพียงขั้นห้าเที่ยงแท้เท่านั้น” เซี่ยหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
หลังจากเซี่ยหยางใช้วิชาม่านพรางตาไม่นาน ร่างของฉินจีได้มาถึงบริเวณน้ำตกลมปราณ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันดวงตางามเต็มไปด้วยประกายครุ่นคิด
“เมื่อครู่นี้เป็นกลิ่นอายของคนไม่ผิดแน่นอน แต่เมื่อเข้าใกล้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย” ประสาทสัมผัสของฉินจียอดเยี่ยมกว่าคนทั่วไป ดังนั้นนางจึงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปหลังจากสู้กับพวกสัตว์ปีศาจเสร็จ
อย่างไรก็ตามกลิ่นอายนั้นอ่อนแออย่างมาก นางประเมินว่ามีระดับเพียงก่อกำเนิดขั้นสามหรือสี่เท่านั้น นั่นทำให้นางสงสัยว่าผู้ใดที่มีพลังเพียงน้อยนิดแต่กลับสามารถเอาชีวิตรอดในเทือกเขาต้องห้ามของนิกายได้
ฉินจีหลับตาลงก่อนจะแผ่ประสาทสัมผัสไปทั่วบริเวณ เซี่ยหยางที่กำลังมองดูฉินจีผ่านวิญญาณของซ่งไป่หลางเดิมทีมีรอยยิ้มสบายอารมณ์ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งกลับอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้ นางใช้วิชาขั้นสวรรค์ที่ไม่สมบูรณ์”
เคล็ดวิชาสดับวายุ
ดวงตาของฉินจีเปิดกว้างนิ้วจี้ออกเป็นท่วงท่าดัชนีบัวเพลิงยิงเข้าใส่บริเวณน้ำตกลมปราณชั้นที่ซ่งไป่หลางฝึกฝนอยู่ ทว่าพลังของดัชนีนั้นแผ่วเบายิ่งนักราวกับว่าต้องการทำลายเพียงม่านพลังไม่ต้องการทำร้ายผู้คน
เซี่ยหยางเดิมทีคิดลงมือกำจัดแต่เมื่อเห็นว่านางใช้พลังเพียงเล็กน้อยเพื่อทำลายม่านพลังจึงหยุดยั้ง แม้จะไม่ไว้ใจหญิงสาวแต่กลับสนใจในตัวนางอยู่หลายส่วน ‘ดูไปแล้วไม่คล้ายมีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นไปบ้าง หากไม่มีทีท่าว่าจะสร้างปัญหาก็ไม่จำเป็นต้องกำจัด’
ซ่งไป่หลางที่รับรู้ได้ถึงอันตรายลืมตาขึ้นจากการฝึกฝน อุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นดัชนีบัวเพลิงพุ่งเข้าหาตน ทว่าเมื่อมันสัมผัสกับม่านพลังก็สลายหายไป พร้อมกับที่ภาพของชายหนุ่มปรากฏแก่สายตาของฉินจี
‘พลังเพียงก่อกำเนิดขั้นสี่เท่านั้น’ ฉินจีรู้สึกสนใจในตัวของเด็กหนุ่ม เพราะอีกฝ่ายมีวิชาลวงตาที่ไม่ธรรมดา หากไม่ใช่เพราะนางมีวิชาลับที่บังเอิญค้นเจอในหอตำราของนิกายคงไม่มีทางจับสัมผัสตำแหน่งอีกฝ่ายได้
เมื่อเห็นชุดของซ่งไป่หลางอย่างชัดเจนนางจึงเอ่ยขึ้นมา “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของนิกายบัวสวรรค์ เหตุใดจึงเข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม” น้ำเสียงของนางเยือกเย็นหากแต่ไม่มีเจตนามุ่งร้าย คล้ายกับต้องการวางตนข่มขู่ให้อีกฝ่ายตอบตามตรงทว่าการข่มขู่นั้นขัดต่อธรรมชาติพื้นฐานของนางไม่น้อย
ซ่งไป่หลางรับฟังเสียงของเซี่ยหยางที่ดังในหัวแล้วพยักหน้า ตอบกลับไปว่า “แม่นาง ข้าไม่ได้เต็มใจมาอยู่ที่นี่ แต่เพราะหลายวันก่อนถูกรุมทำร้ายกลั่นแกล้งจากศิษย์สายนอก พวกนั้นโยนข้าลงมาในแม่น้ำที่เชื่อมต่อกับหุบเขาแห่งนี้ เมื่อฟื้นขึ้นมาข้าก็พบว่าตัวเองอยู่ในหุบเขาแล้ว จะกลับออกไปคนเดียวก็อันตรายยิ่งนักข้าจึงตัดสินใจหลบซ่อนอยู่บริเวณนี้”
“อย่าได้โกหกข้า เจ้ามีพลังเพียงขั้นสี่ก่อกำเนิด คนธรรมดาไม่มีทางทนรับพลังของน้ำตกลมปราณได้ ตอบข้าเจ้าทำได้อย่างไร” ฉินจีถามเสียงเข้ม
ซ่งไป่หลางถอนหายใจ “ตอบแม่นางตามตรง เรื่องที่ข้าถูกทำร้ายและโยนลงแม่น้ำจนมาถึงที่นี่เป็นความจริงทุกประการ ท่านสามารถสืบเรื่องราวเหล่านี้ได้จากซ่งชางหยางที่เป็นศิษย์สายนอกและพรรคพวกของมัน แต่เรื่องที่ข้าสามารถทนรับพลังของน้ำตกลมปราณได้นั้นข้าเองก็ไม่อาจล่วงรู้เหตุผล รู้เพียงว่าเมื่อตื่นขึ้นมาข้าก็อยู่บริเวณน้ำตก พบว่าพลังฝึกฝนของตนก้าวหน้ารวดเร็วทั้งยังทนรับแรงได้จึงคิดจะอยู่ฝึกฝนต่อหวังไปล้างแค้นผู้ที่ทำร้ายข้าภายหลัง”
ฉินจีนิ่งเงียบคล้ายต้องการครุ่นคิดว่าเด็กหนุ่มพูดจริงหรือไม่ “ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าเป็นคนของนิกายบัวสวรรค์ข้าจะไม่จัดการกับเจ้า แต่ข้ายังคงต้องพิสูจน์ว่าเจ้าพูดความจริงหรือไม่ ตามข้ากลับไปที่นิกาย ไปหาคนแซ่ซ่ง หากเจ้าพูดความจริงข้าจะช่วยเจ้าจัดการลงโทษเขา แต่หากเจ้าโกหกชะตาของเจ้าจะเป็นเช่นไรคงรู้ดี”
เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดจำต้องยอมสารภาพ “แม่นาง แท้จริงแล้วซ่งชางหยางไม่ได้ทำร้ายข้าโดยไร้สาเหตุ เป็นเพราะมันจับได้ว่าข้าแอบร่ำเรียนวิชาของนิกาย มันและพรรคพวกจึงลงโทษข้าด้วยการทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสแล้วจับโยนลงแม่น้ำ”
ฉินจีขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นคนรับใช้ ย่อมไม่มีสิทธิ์ร่ำเรียนวิชา แต่โทษของเจ้าใช่ว่าศิษย์สายนอกธรรมดาจะมีสิทธิ์ตัดสิน ต่อให้เจ้าต้องตายคนแซ่ซ่งก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเจ้าด้วยตัวเอง”
“อันที่จริงข้าก็เคยเป็นศิษย์ของนิกาย เพียงแต่ภายหลังถูกลดขั้นมาเป็นผู้รับใช้” ซ่งไป่หลางโต้เถียง
“เจ้ามีพลังเพียงขั้นสี่ก่อกำเนิด จะเป็นศิษย์นิกายได้อย่างไร” ฉินจีสงสัย
“นั่นเพราะข้าเป็นคนตระกูลซ่ง” คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้ฉินจีรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
‘จะว่าไปเคยได้ยินศิษย์พี่ซ่งเอ่ยถึง เด็กตระกูลซ่งผู้หนึ่งที่ไร้พรสวรรค์อย่างสิ้นเชิง ถูกเมินเฉยโดยตระกูลแต่ยังพยายามกระเสือกกระสนมายังนิกายเพื่อยกระดับตนเอง ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มผู้นี้’ ฉินจีรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้า จากที่นางเคยได้ยินมาคนผู้นี้ถูกรังเกียจจากตระกูลของตน เมื่อมาถึงนิกายยังโดนรังแกสารพัด ถึงขนาดตกไปอยู่ในฐานะผู้รับใช้
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า เอาเถิดในเมื่อชีวิตของเจ้าเจอเรื่องร้ายๆมามากแล้วเจ้าก็ควรจะได้เจอสิ่งที่ดีบ้าง เรื่องที่แอบฝึกวิชาและเข้ามายังสถานที่หวงห้ามข้าจะไม่แจ้งต่อนิกาย เจ้าก็กลับไปยังนิกายพร้อมกับข้าเถอะ หากกลับไปเพียงลำพังเจ้าย่อมไม่อาจรอดชีวิตจากสัตว์ปีศาจในหุบเขาแน่นอน”
ซ่งไป่หลางชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกซาบซึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่เข้ามายังนิกายฉินจีเป็นคนแรกที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างดี นางไม่เพียงไม่ดูถูกทั้งยังพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจ แต่เพราะตนมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่จึงต้องปฏิเสธอีกฝ่าย “ขออภัยแม่นางด้วย แม้แม่นางจะไม่แจ้งต่อนิกายแต่ซ่งชางหยางย่อมไม่ปล่อยให้ข้ากลับไปง่ายๆ โทษของการขโมยฝึกวิชาหากถูกนิกายตัดสินข้าย่อมต้องพบเจออนาคตที่ยากลำบาก”
ฉินจีประหลาดใจ “โทษนั้นถ้ามีคนแจ้งอย่างไรเจ้าก็ต้องได้รับ หรือเจ้ามีวิธีอื่นที่จะเอาตัวรอดไปได้”
“แน่นอน” ดวงตาของซ่งไป่หลางทอประกายมุ่งมั่น “ข้ารับใช้ไม่มีสิทธิ์ฝึกฝน แต่หากข้าเป็นศิษย์ละก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอเพียงข้ากลับไปพร้อมกับความแข็งแกร่ง นิกายย่อมไม่คิดจะเอาโทษข้า ต่อให้ซ่งชางหยางต้องการหาเรื่องแต่หากข้าแข็งแกร่งกว่ามันมันจะทำอันใดข้าได้”
ฉินจีรู้สึกทึ่งในตัวเด็กหนุ่ม “เจ้าย่อมรู้ว่าศิษย์สายในทุกคนมีพลังไม่ต่ำกว่าขั้นห้าก่อกำเนิด ตัวเจ้ามีพลังเพียงขั้นนี้คิดจะก้าวข้ามศัตรูคิดว่าจะต้องใช้เวลามากมายเพียงใดกัน”
“แม่นางวางใจ ข้าไม่คิดจะใช้เวลาที่นี่นานนักหรอก” ได้ฟังคำตอบของเด็กหนุ่มแล้วนางก็ได้แต่ถอนหายใจ
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปบอกให้กลุ่มของข้าล่วงหน้ากลับไปยังนิกายก่อน จากนั้นข้าจะมาฝึกฝนอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะพร้อมกลับ หากปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวก็คล้ายฆ่าเจ้าทางอ้อมเท่านั้น” สำหรับฉินจีแล้วหากไม่พบย่อมไม่นับเป็นอันใด แต่พบแล้วจะให้ปล่อยทิ้งก็ออกจะขัดต่อคุณธรรมในใจของนางเกินไป ในนิกายบัวสวรรค์ผู้อื่นอาจฝึกเพื่อความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่แต่ฉินจีกลับฝึกตนเองเพื่อผู้อื่น เพื่อคนอ่อนแอที่ไร้ที่พึ่ง สำหรับนางแล้วคนอย่างซ่งไป่หลางก็นับได้ว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องปกป้อง
ซ่งไป่หลางตกตะลึงไปกับท่าทีใจกว้างของฉินจี อดคิดไม่ได้ว่าที่ผ่านมามันมองโลกใบนี้ว่าโหดร้ายทารุณยิ่งนัก แต่เวลานี้กลับได้เห็นอีกด้านหนึ่งของโลก พบว่าหญิงสาวคนนี้ปฏิบัติต่อมันดียิ่ง ความซาบซึ้งทำให้มันไม่อาจปฏิเสธหรือขับไล่นางไปได้
“จะให้นางอยู่ก็ได้อยู่หรอก แต่ระวังไว้หน่อยก็ดีนะเจ้าหนู นางอาจไม่ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด” เซี่ยหยางเอ่ยขึ้นเตือนสติของเด็กหนุ่ม
ดวงตาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ของเซี่ยหยางจ้องมองฉินจีอย่างครุ่นคิด ‘แม้ว่าเจตนาของนางจะบริสุทธิ์แต่ตัวตนของนางดูไม่คล้ายคนธรรมดาทั่วไป ทั้งเรื่องวิชาขั้นสวรรค์ที่แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็นับได้ว่ายอดเยี่ยมเกินไปสำหรับทวีปนี้ ทั้งเรื่องพลังธาตุอันแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวนาง หากข้าคิดไม่ผิด นางอาจไม่ใช่คนจากทวีปนี้จริงๆ’
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพิ่งชมว่าสนุกอยู่แท้ๆ
พอนางมาไม่สนุกเลย
ถ้ามีนางเอกนะหรือฮาเร็มหน้าจะมีตอนจบเรื่องนะตอนสุดท้ายเลย
พอมาแต่ตอนเรื่องเลยมันไม่โอเคร
ลำคาญนางเอก
กำลังสนุกเลย รอต่อไป