ตอนที่ 3 : ตอนที่ 2 วิชานิกายบัวสวรรค์
เดิมทีฉินจีเพียงแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของซ่งไป่หลางจึงได้แยกตัวออกจากกลุ่มมาฝึกฝนบริเวณใกล้เคียงกับน้ำตกลมปราณ แม้ว่ากลุ่มของนางจะคัดค้านและกล่อมให้นางตามกลับไปด้วยกันแต่ฉินจีกลับปฏิเสธโดยไม่บอกเหตุผล อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งของนางไม่มีใครกล้าเอ่ยว่านางไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยตัวคนเดียวได้
จากความเป็นห่วงในคราแรกกลับกลายเป็นความประหลาดใจและสนอกสนใจ ยิ่งนานเข้าความรู้สึกประหลาดใจของนางที่เกิดจากซ่งไป่หลางก็ยิ่งทวีมากขึ้น เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงสามารถทนรับแรงกดดันจากน้ำตกลมปราณที่มีแต่ระดับเที่ยงแท้จึงจะทนรับได้ เขายังมีความเข้าใจเคล็ดวิชาของนิกายบัวสวรรค์ที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง เทคนิคการใช้วิชาของเขานับได้ว่าเปิดหูเปิดตาให้แก่นางเป็นอันมาก
ในที่สุดนางไม่สามารถทนความอยากรู้อยากเห็นได้ไหวจึงเข้าไปพูดคุยกับซ่งไป่หลาง พบว่าเด็กหนุ่มไม่เพียงลักจำเคล็ดวิชายังนำมาดัดแปลงใหม่ ทำให้เคล็ดวิชาที่น่าจะสมบูรณ์อยู่แล้วกลับพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หากนางประเมินไม่ผิดวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์ที่เด็กหนุ่มใช้มีระดับเทียบเท่าวิชาขั้นสูงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงวิชาขั้นกลางเท่านั้น
เป็นเพราะเซี่ยหยางอนุญาต ซ่งไป่หลางจึงไม่คิดจะหวงวิชา สำหรับฉินจีแล้วนางมีความจริงใจต่อเขายิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยเรื่องวิชาที่เซี่ยหยางแนะนำต่อเขาให้นางอีกทอดหนึ่ง
“ศิษย์พี่ฉินฝึกวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์ถึงระดับสี่ได้แล้ว นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก” ซ่งไป่หลางเอ่ยชมเมื่อเห็นฉินจีร่ายรำวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์ออกมา
ฉินจีฝืนยิ้มส่ายหน้า “วิชาฝ่ามือบัวสวรรค์นั้นเป็นวิชาที่ศิษย์ฝ่ายนอกใช้กัน หลังจากข้าเข้ามาอยู่ฝ่ายในและได้รับเคล็ดวิชาที่ดีกว่าก็ได้ละทิ้งการฝึกฝนจนมันหยุดนิ่ง หากฝึกถึงระดับสิบวิชานี้สามารถก่อให้เกิดภาพมายาดอกบัวสวรรค์ได้ ประสิทธิภาพเทียบเท่าวิชาขั้นสูง แต่กว่าจะฝึกถึงระดับสิบต้องใช้เวลายาวนานหลายปี สู้ฝึกวิชาขั้นสูงแทนยังได้ผลดีกว่า”
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “แต่สำหรับวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์ที่เจ้าพัฒนาขึ้นนับว่าแตกต่าง ลำพังตัวเคล็ดวิชาเองอาจเทียบเท่าได้กับเคล็ดวิชาขั้นสูง หากฝึกฝนถึงระดับสิบไม่แน่ว่ายังเหนือล้ำยิ่งกว่าวิชาขั้นสูงของข้า”
หลังจากอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาขึ้นจนเรียกขานกันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง สำหรับฉินจีนางรู้ดีว่าอีกไม่นานซ่งไป่หลางก็จะต้องกลายเป็นศิษย์ของนิกาย ด้วยความสามารถของเขาที่นางได้เห็นแม้ว่าพลังของเขาจะยังต่ำไปเล็กน้อยแต่หากมีเวลาอีกระยะหนึ่งเขาจะต้องกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในได้อย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ฉิน ลองใช้วิชาขั้นสูงให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่” อยู่ๆซ่งไป่หลางก็เอ่ยขอออกมา
ฉินจีประหลาดใจเล็กน้อยแต่กลับพยักหน้าในตอนสุดท้าย “นี่คือเคล็ดวิชาขั้นสูงของธาตุไฟ ดัชนีบัวเพลิง” เมื่อเอ่ยจบปลายนิ้วของนางก็ปรากฏลมปราณหลอมรวมเป็นรูปดอกบัว ก่อนจะบานออกแล้วกลายเป็นประกายแสงพุ่งทะยานเข้าใส่ม่านน้ำตก
ซ่งไป่หลางนิ่งงันไปชั่วครู่ ฉินจีคิดว่าเขากำลังตกตะลึงกับพลังของเคล็ดวิชาขั้นสูง ทว่าเมื่อซ่งไป่หลางเอ่ยออกมานางก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์พี่ฉิน วิชาขั้นสูงที่ท่านใช้ยังไม่สมบูรณ์ จะรังเกียจหรือไม่หากข้าชี้แนะท่าน” คำพูดเหล่านี้ซ่งไป่หลางพูดไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่คนที่มีแผนการกลับเป็นเซี่ยหยางที่เป็นคนถ่ายทอดเรื่องราว เขาจงใจบอกให้ซ่งไป่หลางขอให้ฉินจีแสดงวิชาขั้นสูงให้ดู จากนั้นจึงบอกวิธีพัฒนามันให้ซ่งไป่หลางรับรู้ แน่นอนว่าซ่งไป่หลางย่อมต้องการแบ่งปันให้ฉินจีทราบด้วย แต่ด้วยศักดิ์ศรีของผู้มีพลังเหนือกว่า เซี่ยหยางอยากรู้ว่าฉินจีจะยอมรับความหวังดีของศิษย์ตนหรือยึดถือศักดิ์ศรีไม่ยอมรับฟังอันใด เรื่องนี้จะช่วยให้มันสามารถตัดสินทัศนคติและตัวตนของนางได้
ฉินจีมีสีหน้าลำบากใจ รู้ดีว่าตนเองย่อมไม่เชื่อถืออีกฝ่ายแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธให้อีกฝ่ายเสียกำลังใจ “ย่อมได้ เชิญศิษย์น้องชี้แนะ”
ซ่งไป่หลางมีสีหน้ายินดีรีบเอ่ยว่า “วิชาของศิษย์พี่ดัชนีบัวเพลิงแท้จริงแล้วมิได้เป็นวิชาธาตุไฟ แต่เป็นวิชาผสานระหว่างธาตุไฟและลม ตัวดัชนีเดิมทีรุนแรงรวดเร็วแต่หากผสานธาตุลมจะทำให้สามารถพลิกแพลงได้ ทั้งระยะและวิถีการโจมตี แต่การจะใช้งานต้องควบคุมให้ดีไม่เช่นนั้นหากพลังสองธาตุผสานกันผิดพลาดจะทำให้มันระเบิดและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เอง”
ฉินจีได้ฟังจากที่คิดไม่เชื่อถือกลับเริ่มรู้สึกถึงความเป็นไปได้ หากสามารถพลิกแพลงวิชาดัชนีได้จะทำให้นางต่อสู้ได้ง่ายขึ้นมาก อย่างไรก็ตามอันตรายจากการทดลองวิชาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้ ฉินจีระงับความตื่นเต้นลงแล้วเริ่มรวบรวมสมาธิ ปลายนิ้วปรากฏดอกบัวลมปราณขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เคล็ดวิชาดัชนีบัวเพลิง
ซูม!! ครานี้พลังดัชนีพุ่งโค้งราวกับจุดพลุ ดวงตาของฉินจีเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจระคนยินดี แม้การควบคุมจะทำได้ยากลำบากอย่างมากแต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าฝึกกันไม่ได้ ขอเวลานางเพียงหนึ่งเดือนการควบคุมย่อมแม่นยำมากพอจะนำมาใช้ได้จริง สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือนางสามารถทำให้ดัชนีของตนโจมตีในวิถีที่แตกต่างกันได้ ความเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาลในการต่อสู้
“ด้วยเทคนิคนี้ การจะทดสอบเข้าสู่ศิษย์หลักย่อมเป็นไปได้” ฉินจีเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีบนใบหน้า
อันที่จริงฉินจีนั้นมีโอกาสเข้าสู่ตำแหน่งศิษย์หลักสูงมากอยู่แล้ว ยิ่งนางได้พัฒนาเทคนิควิชาของตนความมั่นใจที่มียิ่งเปี่ยมล้นมากขึ้นหลายขั้น
“ศิษย์น้อง ข้าฉินจีขอขอบคุณเจ้าจากใจจริงสำหรับเรื่องนี้ หากในวันข้างหน้ามีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าลำบากแล้วข้าสามารถช่วยได้ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่แน่นอน” ฉินจีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง สำหรับนางไม่สำคัญว่าจะระดับพลังต่ำต้อย ในเมื่อซ่งไป่หลางสร้างบุญคุณต่อนางนางย่อมตอบแทนเขาแน่นอน
“ศิษย์พี่ฉินไม่ต้องคิดมาก ท่านจริงใจต่อข้าข้าย่อมต้องดีต่อท่าน สำหรับข้าแล้วใครดีมาข้าดีตอบ ใครร้ายมาข้าจะล้างแค้นอย่างสาสม” ซ่งไป่หลางตอบกลับ
สนทนากันอีกเล็กน้อยฉินจีจึงขอแยกไปฝึกฝนเทคนิคใหม่ ส่วนไป่หลางก็ทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกฝนพลังและวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์ รวมถึงวิชาท่าเท้าแปดบัวดาราไปด้วย
เวลาผ่านไปยี่สิบวัน
“เปรี้ยง” เสียงระเบิดดังขึ้นจากม่านน้ำตกที่ไป่หลางกำลังฝึกฝน ฉินจีสัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรงจึงทะยานร่างมาดู นางยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยว่า
“ยินดีด้วยศิษย์น้อง พลังของเจ้าเลื่อนถึงระดับห้าก่อกำเนิดแล้ว”
ซ่งไป่หลางยังคงยืนอยู่ตรงม่านน้ำตก ดวงตาเต็มไปด้วยประกายฮึกเหิม เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการฝึกฝนพัฒนามาถึงสองระดับ ความเร็วในการฝึกฝนนี้นับได้ว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แม้เซี่ยหยางจะบอกว่านี่เป็นวิธีที่ช้ากว่าปกติเพราะต้องสร้างความหนาแน่นให้กับรากฐานพลังแต่สำหรับซ่งไป่หลางที่ติดอยู่ขั้นสามมานานหลายปีความเร็วระดับนี้นับว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมากแล้ว
หลังจากทำความเข้าใจในระดับพลังของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ซ่งไป่หลางขยับกายแปรเปลี่ยนสภาวะเป็นจู่โจม ใช้ท่าฝ่ามือบัวสวรรค์ฟาดเข้าใส่ม่านน้ำตก ท่ามกลางความตกตะลึงของฉินจีที่เฝ้ามองอยู่ เพราะทันทีที่ซ่งไป่หลางฟาดฝ่ามือออกก็มีเงาของดอกบัวสวรรค์ปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับม่านน้ำตกที่ถูกแหวกออกไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง
‘เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเขาจะฝึกวิชาฝ่ามือบัวสวรรค์ถึงขั้นสิบแล้ว’ ฉินจีครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า นางมั่นใจว่าฝ่ามือบัวสวรรค์ของอีกฝ่ายมีความแตกต่างจากฝ่ามือบัวสวรรค์ทั่วไป แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยังไม่ถึงขั้นสิบเป็นแน่
เป็นอย่างที่ฉินจีคิด ฝ่ามือบัวสวรรค์ของซ่งไป่หลางตอนนี้ยังอยู่เพียงขั้นสามเท่านั้น เพียงแต่ว่าด้วยการชี้แนะเพื่อปรับปรุงวิชาจากเซี่ยหยางจึงทำให้วิชาฝ่ามือบัวสวรรค์มีคุณสมบัติเทียบเท่าวิชาระดับมหัศจรรย์ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะจินตนาการถึงได้
“ไม่เลว วิชายิ่งระดับสูงก็ยิ่งฝึกยาก แต่เจ้าฝึกฝ่ามือบัวสวรรค์ที่ถูกแก้ไขจนถึงขั้นสามได้ในระยะเวลาสั้นๆ นับว่ามีพรสวรรค์ใช้ได้” เซี่ยหยางเอ่ยชมให้กำลังใจเด็กหนุ่ม
“ศิษย์น้อง ตอนนี้เจ้าเพิ่มพลังจนถึงระดับห้าก่อกำเนิดแล้ว ย่อมสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งศิษย์สายนอกอย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งด้วยวิชาที่เจ้าฝึกฝนไม่แน่ว่าหากฝึกเพิ่มอีกสักหนึ่งหรือสองปีอาจสามารถก้าวสู่ตำแหน่งศิษย์สายในได้” ฉินจีเอ่ยอย่างชื่นชม
“สำหรับตอนนี้ พวกเรากลับไปยังนิกายกันเถอะ”
ซ่งไป่หยางขมวดคิ้วเล็กน้อย คำชวนของฉินจีไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจ แต่เพราะเป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่ตำแหน่งศิษย์สายนอกหรือการได้รับการยอมรับเล็กๆน้อยๆจากผู้คน “ศิษย์พี่ฉิน ที่ผ่านมาข้าต้องขอบคุณท่านจากใจจริงสำหรับความเป็นห่วงที่ท่านมอบให้ แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ฝึกฝนที่นี่ต่อ ท่านเองก็เห็นว่าน้ำตกลมปราณส่งผลดีสำหรับข้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าขอเลือกฝึกที่นี่ไปเรื่อยๆก่อน ส่วนท่านไม่จำเป็นต้องห่วงข้า ล่วงหน้ากลับนิกายไปก่อนเถอะ”
ฉินจีชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกจนใจที่จะเอ่ย ในคราแรกนางกังวลถึงความปลอดภัยของอีกฝ่ายเพราะหุบเขาต้องห้ามเต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจอันตราย แต่เมื่อตระหนักได้ว่าครั้งแรกที่เจอกันอีกฝ่ายมีวิธีการประหลาดทำให้นางเกือบจะค้นหาตัวตนไม่พบก็รู้ได้ว่าตนคิดผิด ซ่งไป่หลางมีวิธีการที่จะเอาตัวรอดได้ อีกทั้งน้ำตกลมปราณก็ส่งผลดีต่อเขาจริง
“ข้าเข้าใจแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อจนกว่าเจ้าจะฝึกถึงขั้นหกก่อกำเนิด จากนั้นข้าจะกลับไปยังนิกายแต่จะกลับมาอีกเป็นระยะ อันที่จริงข้าเองก็ยังมีบางเรื่องอาจต้องพึ่งพาเจ้า” นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะเรื่องการปรับปรุงแก้ไขวิชา หากนางกลับไปรับการทดสอบจนได้เข้าเป็นศิษย์หลักนางจะมีโอกาสได้เรียนรู้วิชาขั้นสูงเพิ่มขึ้น และถึงตอนนั้นนางหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยชี้แนะนางอีกครั้ง
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เข้าใจ” ซ่งไป่หลางพยักหน้าให้อีกฝ่าย ‘ท่านอาจารย์ ตัวข้าในตอนนี้สามารถลงไปฝึกฝนยังน้ำตกชั้นถัดไปได้หรือไม่’ ด้วยความฮึกเหิมในพลัง เขารู้สึกอยากจะทะยานลงไปยังน้ำตกยักษ์ที่อยู่ชั้นถัดไป ขนาดของมันยังใหญ่กว่าชั้นนี้สามถึงสี่เท่า
“อย่าได้ทะนงตนเกินไปนัก ชั้นถัดไปหากเป็นคนทั่วไปต้องมีพลังขั้นห้าเที่ยงแท้เป็นอย่างน้อย เจ้าในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอ หรือหากเจ้าอยากจะลอง เจ้าอาจจะยืนหยัดได้ประมาณสิบชั่วลมหายใจ จากนั้นความเจ็บปวดจะทำให้เจ้าทรมานจนไม่อาจทนทาน หากคิดว่าตนเองแน่ก็ลองลงไปรับชะตากรรมดู” เซี่ยหยางหัวเราะในความคิดของเด็กหนุ่ม
‘อาจารย์ ท่านหมายความว่าร่างกายของข้ายังทนได้ แต่จิตใจของข้าไม่อาจทนต่อความเจ็บปวด’ ซ่งไป่หลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ความทรมานนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทนรับไหว แต่หากเป็นเรื่องร่างกายของเจ้า ข้าขอยืนยันว่าน้ำตกลมปราณระดับนี้ยังไม่นับว่าสามารถฆ่าเจ้าได้ เพียงแต่หากเจ้าขาดสติเพราะทนรับความเจ็บไม่ไหวมันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะลงไป เพราะเจ้าก็ไม่สามารถฝึกฝนได้อยู่ดี” เซี่ยหยางตอบ
“อาจารย์ ท่านประเมินพลังข้าต่ำไป” ซ่งไป่หลางเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้า “ศิษย์พี่ฉิน ข้าขอตัว”
สิ้นคำร่างของซ่งไป่หลางก็ทะยานลงไปยังชั้นน้ำตกเบื้องล่าง ทั้งเซี่ยหยางและฉินจีต่างอุทานออกมาด้วยความไม่คาดคิด ฉินจีรู้สึกตกใจอย่างมากเพราะชั้นน้ำตกถัดไปต่อให้เป็นนางก็ไม่มีปัญญาช่วยดึงเขาออกมาได้ พลังของนางอยู่ที่ขั้นหนึ่งเที่ยงแท้ ไม่สามารถรับพลังจากน้ำตกชั้นนั้นได้เด็ดขาด
เซี่ยหยางคิดไม่ถึงว่าศิษย์ของตนจะกล้าเมินเฉยต่อคำขู่ของตน แต่ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงอันใดมากนัก ดีเสียอีกปล่อยให้ศิษย์ได้รับผลจากการไม่ประมาณตนเองเสียบ้างจะได้ลดความห้าวเหิมลงสักหน่อย จากนั้นมันค่อยยื่นมือช่วยก็ยังไม่สาย
ทว่าสิ่งที่เซี่ยหยางไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น ซ่งไป่หลางยืนหยัดอยู่ในม่านน้ำตกอันทรงพลังโดยไม่กรีดร้องออกมาแม้เพียงเล็กน้อย สีหน้าแม้จะซีดขาวและอึดอัดทรมานแต่กลับแสดงออกอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง พลังสมาธิยิ่งไม่สั่นคลอนแม้จะต้องทนทานรับความเจ็บปวดทรมาน
‘เรารู้ดีว่าจิตใจของเจ้าหนูนี่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคนทั่วไป แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งนำหน้าร่างกายไปถึงขั้นนี้’ เซี่ยหยางถอนหายใจออกมา
“เอาเถิด แบบนี้ก็เท่ากับประหยัดเวลาไปได้มาก แต่จงจำเอาไว้ไป่หลาง เจ้าห้ามฝึกในม่านน้ำตกนี้เกินหนึ่งชั่วยาม ทุกชั่วยามให้ออกมาพักผ่อนและฝึกฝนด้านนอกเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงกลับเข้าไปฝึกฝนในน้ำตกใหม่ ด้วยระดับพลังของม่านน้ำตกที่แตกต่างกันผลลัพธ์จากการฝึกฝนย่อมเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่า” เซี่ยหยางเอ่ยอย่างจนใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์” ซ่งไป่หลางกัดฟันตอบรับ
เวลาหกเดือนผ่านไปแล้ว ที่นิกายบัวสวรรค์เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เพราะเข้าใกล้สู่ช่วงสอบเลื่อนระดับ ศิษย์สายนอกจะมีหนึ่งร้อยคนที่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นกลายเป็นศิษย์สายใน เช่นเดียวกับศิษย์สายในที่มีสิบคนมีโอกาสได้เข้าสู่การเป็นศิษย์หลัก เพื่อการเลื่อนขั้นนี้ลูกศิษย์แทบทุกคนต่างพยายามอย่างหนักในการพัฒนาตัวเองและเตรียมความพร้อมสำหรับเข้ารับการทดสอบ
“หยางเอ๋อ ตอนนี้เจ้าพัฒนาตัวเองจนถึงขั้นเจ็ดก่อกำเนิดแล้ว ทั้งยังมีอาวุธชั้นกลางที่ได้รับจากตระกูลซ่ง จงอย่าทำให้อาจารย์และตระกูลของเจ้าผิดหวังเด็ดขาด” ชายวัยกลางคนเอ่ยต่อซ่งชางหยางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง คนผู้นี้คือผู้ฝึกสอนหูเถีย แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งใหญ่โตในนิกาย แต่สำหรับศิษย์สายนอกแล้วเขานับว่ามีอิทธิพลอย่างมาก ปกติแล้วหูเถียผู้นี้ไม่รับคนทั่วไปเป็นลูกศิษย์ เว้นแต่จะเป็นอัจฉริยะหรือลูกหลานตระกูลใหญ่ นั่นจึงเป็นข้อยกเว้นสำหรับมัน
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องห่วง ศิษย์จะไม่ทำให้ผิดหวัง” ซ่งชางหยางคาดหวังอย่างมากในการสอบเข้าสู่ศิษย์สายใน หลายเดือนที่ผ่านมาบิดาของมันยอมเสียทรัพย์สินไปมากมายทั้งว่าจ้างหูเถียให้ช่วยรับมันเป็นศิษย์ใกล้ชิด และจัดหาทรัพยากรในการฝึกฝนจำนวนมากมายมหาศาลมาให้ ด้วยเหตุนี้พลังฝึกตนของซ่งชางหยางจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว นับได้ว่ามีความก้าวหน้าโดดเด่นในบรรดาศิษย์สายนอก
โดยทั่วไปผู้ที่ทำการสอบเพื่อเลื่อนระดับจากศิษย์สายนอกเป็นศิษย์สายในจะมีพลังเฉลี่ยอยู่ที่ระดับหกก่อกำเนิด ส่วนระดับเจ็ดนั้นมีอยู่ไม่มาก ตามสถิติแล้วคนที่มีพลังระดับนี้จะสอบผ่านทั้งหมด ดังนั้นความมั่นใจของซ่งชางหยางจึงมีสูงเป็นอย่างมาก
หลังจากแยกตัวจากหูเถีย ซ่งชางหยางก้าวเดินกลับไปยังที่พักด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ ปากเอ่ยว่า “ข้าคือความภาคภูมิใจของตระกูลซ่ง นอกจากข้าแล้วก็มีเพียงพี่ชายและซ่งเจียหลานเท่านั้นที่โดดเด่นยิ่งกว่า ทว่าสักวันข้าจะโดดเด่นยิ่งกว่าอย่างแน่นอน” ซ่งชางหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรนง
หวนนึกถึงซ่งไป่หลางที่ตนเพิ่งกำจัดทิ้งไปเมื่อครึ่งปีก่อน ซ่งชางหยางแค่นเสียงอย่างเหยียดหยาม “ขยะเช่นมันไม่คู่ควรต่อตระกูลซ่งของเรา ก็ถือเสียว่าข้าได้ช่วยเก็บกวาดขยะจากตระกูล”
“พี่ซ่ง ท่านกลับมาแล้ว” ชายผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาหาซ่งชางหยาง ที่แท้อีกฝ่ายเป็นลูกน้องของซ่งชางหยางที่มีส่วนร่วมในการทำร้ายซ่งไป่หลางเมื่อครึ่งปีที่แล้ว มันรับใช้ซ่งชางหยางเพื่อหวังเกาะยึดอำนาจบารมีของอีกฝ่ายดังนั้นจึงทำงานให้ซ่งชางหยางอย่างไม่มีขัดข้อง
“เจ้ามาก็ดีแล้ว รายงานสิ่งที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาซะ”
ชายผู้นั้นก้มหน้าแล้วรีบเอ่ยรายงาน “พี่ซ่ง ข้าไปสืบดูมาแล้ว ศิษย์สายนอกที่จะเข้าสอบในปีนี้ มากกว่าแปดส่วนเป็นขั้นหกก่อกำเนิด มีเพียงไม่ถึงสามสิบคนที่ไปถึงขั้นเจ็ด และมีอีกบางส่วนที่เป็นเพียงขั้นห้าก่อกำเนิดเท่านั้น การสอบครั้งนี้คงไม่มีอันใดให้ท่านต้องกังวลอีก”
“ดียิ่ง เท่ากับว่ามีเพียงยี่สิบกว่าคนที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้ข้าได้” ซ่งชางหยางหัวเราะลำพองใจ
“แต่ท่านต้องระวังคนเหล่านี้เอาไว้ คนหนึ่งคือเทียนหลี่ลู่ เป็นคุณชายจากตระกูลเทียน ระดับพลังอยู่ที่ขั้นเจ็ดก่อกำเนิด ว่ากันว่าเชี่ยวชาญทักษะวิชาต่อสู้ของตระกูลเทียนเป็นอย่างมาก วิชากระบี่ตระกูลเทียนฝึกจนถึงขั้นหก นับว่ามีพรสวรรค์สูงส่ง” น้ำเสียงของมันฟังดูหวาดกลัวเมื่อต้องเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าซ่งชางหยาง
“ฮึ ก็แค่คนตระกูลเทียน มันเองก็คงไม่อยากมีเรื่องกับข้า” ซ่งชางหยางแค่นเสียง
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น พี่ซ่ง ยังมีอีกคนหนึ่งคืออู่ลี่ลี่ สตรีนางนี้ที่มาลึกลับ ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงแต่กลับมีพรสวรรค์ไม่อาจดูแคลน ว่ากันว่าผู้อาวุโสท่านหนึ่งของนิกายคัดนางเข้านิกายด้วยตนเอง อายุเพียงสิบสี่ปีกลับมีพลังขั้นเจ็ดก่อกำเนิดแล้ว และจากข่าวลือที่ข้าได้ยินมา ดูเหมือนว่านางจะมีรูปโฉมที่งดงามมีเสน่ห์เป็นอันมาก แม้แต่ศิษย์สายในที่เป็นผู้ชายก็ยังให้ความสนใจในตัวนาง”
“อู่ลี่ลี่” ซ่งชางหยางเผยรอยยิ้มเยือกเย็นคล้ายมีแผนการอะไรบางอย่าง “ดียิ่งนัก นางไม่เพียงเป็นอัจฉริยะยังมีรูปโฉมงดงาม เช่นนี้หากพบเจอกันข้าจะต้องทำความรู้จักเอาไว้ หากพูดคุยถูกคอไม่แน่ข้าอาจให้นางมาเป็นฮูหยินตระกูลซ่งของข้า นี่เท่ากับเป็นการยกระดับฐานะของนางอย่างก้าวกระโดด”
สำหรับยุคสมัยที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ การมีภรรยาที่แข็งแกร่งโดดเด่นและมีความงดงามนับว่าเป็นเป้าหมายของผู้ชายแทบทุกคน แต่หญิงสาวที่โดดเด่นนั้นใช่จะหาได้ง่ายๆ อีกทั้งเมื่อโดดเด่นก็จะมีความหยิ่งผยอง ยากจะยอมสยบต่อบุรุษใด ทว่าซ่งชางหยางมั่นใจว่าด้วยชื่อของตระกูลซ่งไม่มีสิ่งใดที่เขาจะไม่ได้รับหากต้องการมันจริงๆ
ภายในหุบเขาต้องห้าม ฉินจีกลับมายังม่านน้ำตกลมปราณอีกครั้งหนึ่งหลังจากนางกลับไปทำธุระในนิกายเป็นเวลาสองเดือน นางรู้สึกตื่นตะลึงอย่างมากเมื่อพบว่าพลังของเด็กหนุ่มตรงหน้าพัฒนาขึ้นจากขั้นห้าก่อกำเนิดมาจนถึงขั้นเจ็ดก่อกำเนิด ความรวดเร็วในการพัฒนาของเขาทำให้ความมั่นใจในตัวเองของนางสั่นคลอนอย่างรุนแรง
“ท่านจะตกใจทำไม ตัวท่านเองอายุเพียงสิบแปดปียังมีพลังขั้นเที่ยงแท้ได้ ข้าอายุสิบห้าปียามนี้ยังมีพลังเพียงขั้นเจ็ดก่อกำเนิดเท่านั้น ไม่แน่อาจจะก้าวสู่ขั้นเที่ยงแท้ช้ายิ่งกว่าท่านหนึ่งหรือสองปี” ซ่งไป่หลางหัวเราะเมื่อเห็นนางมีท่าทีตกตะลึง
“เจ้าเอ่ยผิดแล้ว” ฉินจีส่ายหน้าอย่างจนใจ “ที่ข้าตะลึงไม่ใช่เพราะเจ้าเข้าสู่ระดับเจ็ดก่อกำเนิดได้ภายในอายุสิบห้าปี แต่เป็นเพราะข้ารู้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเจ้าเพิ่งมีพลังเพียงระดับสี่ก่อกำเนิดเท่านั้น เท่ากับว่าภายในหนึ่งปีเจ้าพัฒนาตัวเองขึ้นมาถึงสามระดับ นี่จึงนับว่าน่าตื่นตะลึงอย่างแท้จริง”
ซ่งไป่หลางได้แต่ยิ้มแหยๆไม่กล้าบอกไปว่าแท้จริงแล้วระดับพลังแรกเริ่มของตนคือขั้นสามไม่ใช่ขั้นสี่
“จริงสิ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะมาชวนให้เจ้ากลับไปยังนิกายพร้อมกับข้า เพราะหากเรายังไม่รีบกลับไปภายในวันนี้ เกรงว่าการสมัครร่วมการสอบของเจ้าคงต้องรอไปจนถึงปีหน้าแล้ว” ฉินจีเอ่ยย้ำถึงเรื่องสำคัญ
“เช่นนี้เอง เวลาสอบใกล้มาถึงแล้วสินะ” ซ่งไป่หลางพยักหน้า “ได้ ศิษย์พี่ ข้าจะกลับไปยังนิกายพร้อมกับท่านวันนี้”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

386 ความคิดเห็น
-
#316 NecroDagger (จากตอนที่ 3)วันที่ 9 มกราคม 2564 / 18:18เอาไปลงใน kaweebook นี่เอง#3160
-
#95 yukai (จากตอนที่ 3)วันที่ 5 ธันวาคม 2562 / 20:38ขอบคุณ#950
-
#68 ปารมี (จากตอนที่ 3)วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 / 02:54จะฝึกวิชาหรือจะมานั่งคุยเนี่ย#680
-
#67 itong00y (จากตอนที่ 3)วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 / 02:49.....ไปดีกว่า55#670
-
#43 Parichat1009 (จากตอนที่ 3)วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 / 17:14ฮาเร็มป่ะคะ#433
-
#43-1 Lanar(จากตอนที่ 3)2 พฤศจิกายน 2562 / 17:18ไม่ครับ#43-1
-
#43-3 Lanar(จากตอนที่ 3)2 พฤศจิกายน 2562 / 17:55ลองติดตามดูครับ เชื่อว่าไม่ผิดหวังแน่นอน#43-3