คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : Chapter 19 : แป๊ด เฟสติวัล ภาคบ่าย
อากาศสดใส ท้องฟ้าเปิดสว่างไสวมีปุยเมฆลอยบางเบา ผู้คนมากหน้าหลายตาในชุดเสื้อผ้าสวยหลากสไตล์ คัทเอาต์งานขนาดใหญ่ถูกติดตั้งไว้ทางเข้างานด้วยสีเขียวสดของสปอนเซอร์หลัก คำโปรยงานอันเป็นที่จดจำอย่างง่ายดายว่า “ฝนตกขี้หมูหัน คนมัน ๆ มารวมตัว” ซึ่งพวกผมแอบเปลี่ยนในตอนหลังว่า ”ฝนตกขี้หมูไหล คนจังไรมาพบกัน” ฮ่า ๆ ไม่ได้หมายถึงตัวงานหรือผู้เข้าร่วมงานหรอกครับ แต่หมายถึงเกรียนบางประเภทที่เลือกเอางานนี้เป็นสถานที่โชว์พาวมากกว่า
ปีนี้งานจัดขึ้นที่สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร โฆษณาโทรทัศน์สวนน้ำแห่งนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้วยังไง ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นอย่างงั้น จนป่านนี้คนที่เล่นโฆษณาคงโตจนมีลูกมีหลานกันหมดแล้ว คอนเซปท์งานปีนี้เน้นความสดใสครับโดยนำมาจากชื่อเพลงนึงของ 2 พี่น้องร็อคเกอร์ชื่อดัง แบ่งเป็น 7 โซน 7 สี แบ่งเป็นโซนสำหรับหนังสือ 1 โซน ภาพยนตร์ 1 โซน ตลาดนัดดนตรีอีก 1 โซน โดยอีก 4 โซนที่เหลือเป็นโซนสำหรับเวทีคอนเสิร์ตหลากหลายแนวที่แบ่งไว้ชัดเจนทั้ง POP ROCK HIP-HOP,SKA,ELECTRONICA SOUL หนึ่งในนั้นมีโซน 6 ที่ชื่อประหลาดว่า ‘ใกล้เคียงสีแสด’ โซนสำหรับนักดนตรีหน้าใหม่ที่อยากเล่นอยากร้อง วงไอ้ต๊อดพร้อมจะโชว์ในเวทีนี้ด้วย
“อ้ายเร อ้าย ทางนี้เน้อ” เสียงสดใสของไอ้ต๊อดร้องเรียกผมให้ไปทางเดียวกัน เอี้ยน้องต๊อดมาในชุดสไตล์แหวกและแปลกของมันเช่นเคย เสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนยาวลายกราฟฟิกแบบยุค 60’S สีน้ำเงินติดกระดุมบนจนเสมอคอเข้าคู่กับกางเกงขาเดฟเอวต่ำสีน้ำตาลเข้มคาดเข็มขัดหนังเส้นสวย และรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สหุ้มข้อสูงสีขาวคู่เก่งเช่นเคย แต่มันก็ดูธรรมดาไปเลย เมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นที่แนว แปลก และเป็นตัวของตัวเองอย่างมากมายในงานนี้
“อื้อ” ผมยิ้มโบกมือทักมันกลับไป มืออีกข้างถือโทรศัพท์มือถือแนบหูอยู่ “กรูอยู่ในงานแล้ว เมิงอยู่ที่ไหน ตรงทางเข้า? ทางเข้าไหนว๊ะ กรูก็อยู่ตรงทางเข้าเนี่ยะ” ผมคุยโต้ตอบกับคู่สนทนาในสายแข่งกับเสียงจอแจรอบตัว
“....” เสียงตอบรับมีอารมณ์ฉุนเฉียวพอประมาณ
“คนไม่ได้มางานศพเมิงนะเว้ย ถึงจะมาร่วมอโหสิกรรมกันน้อยขนาดนั้น ให้มองหา ๆ ใช่ว่าหากันง่าย ๆ ซะที่ไหนเล่า” ผมเคืองด่ากลับ
“....” เสียงบ่นหงุดหงิดมาตามสายจนผมทนไม่ไหว
“เออ มองหาก็ได้ว๊ะ สาด ทีหลังเมิงใส่ชุดสีเขียวสะท้อนแสงมานะเมิง จะได้มองหาเจอง่าย ๆ” ผมตวาดใส่ปลายสายก่อนวางหู แล้วเหลือบมองไปทั่วบริเวณทางเข้างานที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน มันคงคิดว่าผมจะจับอนุมูลอิสระอย่างมันได้ง่าย ๆ แต่
ภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนยืนพิงเสาไฟสวยสไตล์ยุโรปในสวนสนุก คมหน้าหล่อเหลากำลังง่วนอยู่กับมวนบุหรี่สีขาวในมือ เสื้อยืดคอวีสีเทาเรียบเนื้อผ้าบางเบาถูกสวมทับบนลำตัวแกร่งที่เผยกล้ามเนื้อสวยผ่านตัวเสื้อออกมาลาง ๆ กางเกงยีนส์ขายาวสีซีดทรงเท่ห์ลู่ตัวอวดแนวช่วงขายาวที่ซ่อนไว้ใต้เนื้อผ้าหยาบหนา รองเท้าผ้าใบคู่สวยถูกสวมใส่ ประดับเพิ่มด้วยเครื่องประดับเงินเท่ห์เก๋น้อยชิ้นกำลังพอดี พ่วงโซ่ล่ามกระเป๋าตังค์กับเข็มขัดตัวเองอีกเส้น สาบานได้ว่าไอ้กิงสวมชุดได้ธรรมดามาก ๆ แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ แต่มันก็สะกดสายตาคนละแวกนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กพั้งค์ เด็กอีโม เด็กฮิปฮอป เด็กป๊อป ร็อค แจ๊ซ แว้น สก๊อย แซ้บ แร๊พ ลาบ น้ำตก และอีกมากมายได้อย่าง ณ จังงันนัก
ผมเผลอแสบตานิดหน่อย เหมือนมีลำแสงส่องเป็นทางมากระทบกับตัวมันจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ
“เฮ้!” เกือบลืมส่งเสียงตะโกนเรียกมันไป
ไอ้กิงยกมือทักตอบตามเสียงเรียก แล้วเดินมาหาผม เหมือนฉากในละคร คนรอบข้างแหวกทางให้มันเดินผ่าน ไม่รู้เพราะรัศมีออร่าที่เปล่งออกมา หรือเพราะกลัวจะเป็นมะเร็งปอดตาย พ่อเล่นพ่นควันเป็นดรายไอซ์เสียขนาดนั้น
“เห็นมั้ย กรูบอกแล้ว มองหาเดี๋ยวก็เจอ” มันเถียงต่อจากในโทรศัพท์ทันทีที่เผชิญหน้ากับผม
“กรูสายตาดีต่างหากเว้ย แล้วเมิงแมร่งก็ไม่ยอมบอกกรูว่าอยู่ตรงไหน ลำบากชาวบ้านเขาจริง” ผมบ่นใส่หน้ามันอย่างไม่ยอม
“กรูบอกแล้วไงตรงทางเข้า ๆ มันจะยากอะไรวะ” ไอ้กิงยังไม่เลิกเช่นกัน
“ทางเข้าบ้านเมิงมันเล็กมากรึไงวะ ไม่ใช่ขนาดเท่าห้องส้วมนะโว้ย แหกตาดูซะ นี่มันสวนสนุก” ผมขึ้นเสียงใส่พร้อมผายมือออกข้างตัวเปรียบเทียบให้เห็นถึงความใหญ่โตของสถานที่
“เออ ๆ กรูยอม แมร่งถ้าเมิงมาพร้อมกรูก็หมดเรื่องแล้ว” มันพูดพร้อมทำหน้าหงุดหงิดใส่ผม
“...” ผมหยุดเถียงแล้วเปลี่ยนเป็นอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว “เออ หัดยอมคนเขาบ้างก็ดี ถือซะว่าเป็นอานิสงส์ในชีวิตเมิง” ผมกล่าวต่อมีแววเยาะพอประมาณ อะไรไม่รู้แต่มีความสุข
“อ้ายยยยย อ้ายเร” เสียงเรียกยานยาวแบบไม่ต้องมองหาต้นเสียง เมื่อไอ้คนหลงยุคอย่างเอี้ยน้องต๊อดก้าวแทรกมาที่ช่องว่างระหว่างผมกับไอ้กิง เบียดตัวเองให้อยู่ตรงกลางแล้วพยายามดันไอ้กิงออกไป
“อ้ายไปกันเต๊อะ แอ่วงานกันได้แล้วเน้อ” มันเอ่ยชวนผมด้วยความสดใสร่าเริงเกินร้อย แบบลืมไปว่ามีใครอีกคนอยู่ด้วย
“เฮ้ย” เสียงทุ้มเรียบเรียกให้รู้สึกตัว
เอี้ยน้องต๊อดค่อย ๆ เสหน้าไปด้านหลัง มีแววขัดใจบนใบหน้า “อ้าวอั้ยกิงมาด้วยเรอะ” ชักน้ำเสียงกวนตีน
ไอ้กิงมองโต้ตอบแบบไม่ยอมกัน ผมกลัวงานแป๊ดจะเปลี่ยนเป็นงานแว้กโดยไม่รู้ตัว
“กรูจะไปโซนหนังสือ อยากดูหนังสือว่ะ” ผมแทรกกลางปล้องชวนเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ
“ดีเลยอ้าย แอ่วกันเน้อ” เอี้ยน้องต๊อดสนับสนุนเต็มที่
“เหรอ แต่กรูว่าจะไปซื้อซีดีเพลงก่อนว่ะ” ไอ้กิงเสนอขึ้นมา
“จะไปดูเพลงก่อนเหรอวะ” ผมทำท่าครุ่นคิดตาม
“ไปเบิ่งหนังสือกันอ้าย ไปเบิ่งหนังสือกัน อั้ยกิงเขาอยากไปเบิ่งซีดี ให้อั้ยไปคนเดียวเซ่” เอี้ยน้องต๊อดดึงชายเสื้อผม ก่อนเหลือบไปมองไอ้กิงแบบวอนตีน ไม่รู้ว่ามันเป็นพี่รหัสน้องรหัสกันได้ยังไงตั้งนาน ตั้งท่าเป็นศัตรูกันขนาดนี้ (จริง ๆ เป็นเอี้ยน้องต๊อดกวนประสาทคนเดียวเสียมากกว่าครับ)
ผมนึกว่าผมต้องหาทางเปลี่ยนเรื่องอีกรอบ
“สวัสดีครับพี่กิง พี่เร” เสียงทักแทรกจากรุ่นน้องอีกคนนึงเรียกให้พวกผมหันไปทำความสนใจ คิมน้องรหัสผมยิ้มให้ แล้วเอื้อมมือเข้าไปดึงคอเสื้อไอ้ต๊อดต่อทันที
“ไอ้ต๊อดเมิง ไปรายงานตัวที่เวทีก่อนโว้ย ตอนนี้เมิงจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ซ้อมมาตั้งนาน ถ้าไม่ได้เล่นนะเมิง พวกกรูเอาเมิงตายแน่” คิมเปลี่ยนมาดนิ่งเรียบเป็นโหมดโหดใส่ไอ้ต๊อดก่อนจะออกแรงลากไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่
“บ่เอา กรูบ่ไป๋ พวกเมิงไป๋กันก่อนก็ได้นิ บ่เห็นต้องให้กรูไปด้วยเลย อีกตั้งนานนิกว่าจะฮ้อง” ไอ้ต๊อดทำตัวแข็งดื้อดึงยืนอยู่กับที่
“ไอ้ต๊อด ขืนกรูปล่อยเมิงไว้กับพี่เร เมิงก็ไม่ยอมไปไหนสิวะ ยังไงเมิงก็ต้องมากับพวกกรู” คิมเปลี่ยนเป็นจับคอเสื้อสองมือออกแรงดึงยิ่งกว่าเดิม ไอ้ต๊อดก็ขืนแรงหนักเข้าไปอีก ผมเห็นแล้วอดไม่ได้กับภาพเสาไฟฟ้ายุคซิกซ์ตี้กับชายหนุ่มรูปร่างมาตรฐานชายไทยอย่างน้องรหัสผมยื้อยุ้ดฉุดกระชากกันอยู่
“ไปก่อนเหอะน่าเมิง เมิงเล่นตอนเย็นนี่ เดี๋ยวกรูตามไปดู” ผมตัดบทให้
“เออ ไปได้แล้วเมิง รายงานตัวเสร็จจะไปเที่ยวตอนไหนก็ได้ งานมีทั้งวัน พวกเมิงอุตส่าห์ซ้อมมาตั้งนาน พวกกรูมารอดูเมิงด้วยวันนี้” ไอ้กิงบอกต่อด้วยความหวังดี
เอี้ยน้องต๊อดชะงักไปพักนึงก่อนเลิกทำตัวแข็ง ปล่อยให้คิมลากไปง่าย ๆ “ก็ได้อั้ย เดี๋ยวต๊อดไปรายงานตัวก่อน ฝากอั้ยกิงดูอัลบั้มชุดแรกของDOXให้ต๊อดด้วย ที่ต๊อดเคยบอกนะอั้ย ตอนใต้ดินอย่าซื้อผิดเน้อ” ไอ้ต๊อดสั่งเสีย
“อืม กรูรู้แล้ว เมิงบอกกรูรอบที่ร้อยได้มั้งเนี่ยะ เอาเสื้อยืดไซส์ M ด้วยใช่มั้ย กรูไม่พลาดหรอก” ไอ้กิงพยักหน้ารับคำเรียบ ๆ
ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เห็นตั้งท่ามาคุใส่ตลอด อันที่จริงพวกมันสองคนก็มีมุมเอาใจใส่ในแบบของตัวเองเหมือนกัน
“อ๋อ อั้ยกิงอีกเรื่องอั้ย” ไอ้ต๊อดยังคงสั่งเสียไม่เสร็จ ส่งเสียงดังกลับมา
ไอ้กิงทำหน้าเหรอ ยกคิ้วข้างเดียวเป็นเชิงมีคำถาม “อัลบั้มไหนอีกวะ?”
“ฝากดูแลอ้ายเรด้วยอั้ย ถ้าอ้ายกระหายต้องหาน้ำให้ดื่ม ถ้าอ้ายเหนื่อยต้องให้นั่งพัก ถ้าอ้ายฮ้อนต้องพัดให้ ถ้าอ้ายหิวต้องพาไปกิน ถ้าอ้ายหน้ามันต้องซับหน้าให้อ้าย ถ้ามีคนจีบอ้ายต้องขวางเน้อ ถ้า...” เอี้ยน้องต๊อดร่ายยาว
“เฮ้ย พอแล้วเมิง กรูดูแลตัวเองได้” ผมไม่ปล่อยให้มันพูดต่อจนจบ
“บ่ได้หรอกอ้าย อ้ายน่ะบ่ฮู้ตัวดอก ทำสิ่งใด อ้ายบ่เคยระมัดระวัง” มันเถียงกลับโดยที่ยังถูกดึงร่นไปเรื่อย ๆ
“ห๊ะ? ไอ้ต๊อดเมิง...” ผมจนใจมันบ่นอะไรของมัน ผมว่าผมดูแลตัวเองดีพอสมควร มันซะอีกที่น่าห่วงกว่า
กะจะด่ากลับไปอีกสักบท
‘ควับ’ น้ำหนักแขนคว้ากระชับโอบรอบไหล่ผมดึงเข้าไปชนกับอกกว้างของคนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ผมตกใจกับแรงดึง ก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้กิงอย่างฉงน
ไอ้กิงส่งสายตาไปทางเอี้ยน้องต๊อดใบหน้านิ่ง “ไม่ต้องให้เมิงมาบอกหรอกไอ้ต๊อด” พูดจบมันก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วกระชับแขนโอบไหล่ผมให้แน่นเข้ามาอีก
เอี้ยน้องต๊อดมีสีหน้าอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหายลับไปกับฝูงชน แว่บสุดท้ายที่ผมเห็นมันพยายามจะฝืนตัวเองออกจากแรงดึงของเพื่อนร่วมวงทุกคนที่ทั้งลากทั้งจูงมันไป ผมในตอนนี้ก็อึ้งเช่นกัน ไอ้กิงยังโอบรอบไหล่ออกแรงเบา ๆ ให้เริ่มออกเดินไปด้วยกัน
“หึหึ เป็นอะไร หิวข้าวเหรอว๊ะ” มันขำสนุก หันใบหน้ามาทางผม
ผมงงอะไรที่บอกว่าผมหิวข้าว แต่ยังไม่ได้พูดอะไรออกไป
สัมผัสนุ่มนวลของมือหนาเชยคางผมแล้วออกแรงเบา ๆ ให้ริมฝีปากปิดเข้าหากัน “อ้าปากซะค้างเลยนะเมิง อยากหาอะไรกินรึไง” พูดจบมันก็ยิ้มแล้วเชิดคิ้วเป็นเชิงถาม ผมรู้ตัวในทันทีว่าผมคงขากรรไกรค้างด้วยความตกตะลึงอยู่แน่ ๆ
ผมหันหน้ากลับมาอย่างไว ก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะไหลตื้อขึ้นมา ความอบอุ่นจากช่วงแขนที่โอบรอบไหล่ผสมกับคำพูดเมื่อกี้ทำให้ผมจุกอก
“พอ ๆ เลยเมิง กรูเริ่มร้อนแล้ว” ผมแสร้งยกแขนมันออกจากตัวผมก่อนที่มันจะรับรู้ถึงแรงกระเทือนของหัวใจ
“หืม” มันยกมุมริมฝีปากทำหน้างงแล้วมือหนานั่นก็เปลี่ยนมาเป็นลูบศีรษะผมอย่างเบามือ “แค่นี้ร้อนแล้วเหรอวะ ไหนว่าชอบหน้าร้อนไง”
“กรูชอบหน้าร้อน ไม่ได้หมายความว่ากรูชอบอากาศร้อนเว้ย แล้วที่นี่คนยิ่งเยอะอย่างกับงานฝังลูกนิมิตอยู่ด้วย มาเดินเบียดกันยิ่งร้อนหนักกว่าเดิมสิว๊ะ” พรสวรรค์ในการด่าเปลี่ยนเรื่องผมไม่เป็นรองใคร
“ฮ่า ๆๆ เออ ร้อนก็ร้อนวะ” มันหัวเราะชอบใจก่อนยกมือตัวเองมาไว้ข้างตัว ‘อันที่จริงกรูก็อยากเดินกุมมือไปกับเมิงนะกิง’ ผมแอบเม้มริมฝีปากสะบัดหัวเสียดายในใจ
โซนจัดงานกระจายตัวไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ของสวนสนุกผสมสวนน้ำแห่งนี้ โลกแห่งจินตนาการผสานดินแดนแห่งความฝันสำหรับเด็ก,วัยรุ่นและผู้ใหญ่รักสนุก ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นมิวสิคเฟสติวัลเต็มรูปแบบด้วยคัทเอาท์งาน สีสันของฉากและป้ายอีกมากมายที่จัดตามคอนเซ็ปท์ที่วางไว้ เสียงดนตรีบรรเลงดังผ่านโดยรอบบริเวณปลุกเร้าบรรยากาศให้คึกคัก หลายส่วนและหลายโซนมีกิจกรรมให้ร่วมเล่นสนุกกันอย่างไม่รู้เบื่อ
“บูธDOXอยู่ไหนวะ จะได้เดินไปซื้อแผ่นก่อน” ผมมองแผนที่งานในมือแล้วเพ่งพิจารณาหาเป้าหมาย
แทนคำตอบจากไอ้กิง ปลายนิ้วยาวชี้มาบนโซนสีม่วงบนแผนที่แทน “ไปนี่ก่อน” เสียงทุ้มเอ่ยบอก
“เห? ไหนว่าจะไปดูแผ่นเพลงไง ทำไมไปดูหนังสือก่อนวะ” ผมสงสัยหันหน้าไปถามมัน
ริมฝีปากหยักยกยิ้มบาง ๆ “เมิงอยากดูหนังสือก่อนไม่ใช่เหรอ ไปที่ ๆ เมิงอยากไปก่อนเถอะว่ะ”
ผมเสมองหน้ามันด้วยความแปลกใจ “แดกอะไรผิดสำแดงมารึเปล่าวะ ตามใจคนอื่นเขาเป็นด้วยเหรอเมิง”
คิ้วมันย่นเข้าหากันนิดหน่อย “กรูเคยขัดใจเมิงด้วยเหรอวะ” มันตอบกลับแบบไม่น่าเชื่อ
“โห เมิงเนี่ยะอ่ะนะไม่เคยขัดใจกรู ดีแต่บังคับใจกรูล่ะสิไม่ว่า” อดเถียงมันไปไม่ได้
“ฮ่า ๆๆ” มันหัวเราะเสียงดัง “เหอะน่า ไม่เคยบังคับเรื่องที่เมิงไม่ชอบละกัน” ตอบเสร็จมันก็ยิ้มแบบมีเลศนัยแต่แววตากลับอบอุ่นหวาน
“เออ โว้ย! สรุปยังไงเมิงก็ต้องถูกใช่มั้ย” ผมขึ้นเสียงใส่มันเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง วันนี้ไอ้กิงคงเผลอตื่นเช้ามาตักบาตร ดูดบุหรี่กลับข้าง ไม่ก็ดันสวดมนต์ก่อนนอนแน่นอน พฤติกรรมชวนเคลิบเคลิ้มน่าตบจูบแล้วลูบคลำจึงเกิดขึ้น เพียงแต่ผมต้องท่องย้ำกับตัวเองไว้ ‘แค่เพื่อน ๆ’
เส้นทางการเดินเที่ยวของพวกผมจึงมุ่งไปยังโซนนิตยสารและหนังสือทำมือ โซนนี้อยู่ไม่ไกลจากทางเข้างานนัก บูธหนังสือตั้งเรียงรายมากมาย ทั้งจากสำนักพิมพ์ดังและหนังสือทำมือโดยนักเขียนมากฝีมือ วันนี้ผมอยากมาซื้อฉบับเก่า ๆ ของนิตยสารหัวหนึ่งเก็บไว้ ผมเห็นป้ายสำนักพิมพ์ไว ๆ
“กรูไปเลือกหนังสือก่อนนะ” อารามดีใจเจอหนังสือฉบับโปรด ผมเดินลิ่วตรงสู่บูธอย่างเร็ว
“กรูไปดูตรงอื่นก่อนละกัน” เสียงไอ้กิงเรียกบอกไว้
ผมหันกลับไปพยักหน้ารับ “อื้ม” แล้วเราสองคนก็ต่างคนต่างเที่ยว ไม่ต้องแปลกใจไปครับ ปกติพวกผมมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ใครชอบอะไรอยากดูสิ่งไหน จะแยกย้ายไปเที่ยวคนเดียวเสียมากกว่าแล้วค่อยนัดเจอกันภายหลัง
กองหนังสือวางเป็นตั้งหลายกองในเต้นท์ผ้าใบขนาดกว้างกำลังพอดี มีทั้งฉบับปัจจุบันไปจนถึงฉบับเก่า ๆ เล่มแรก ผมพลิกเปิดดูเล่มที่ต้องการหาทีละเล่มอย่างเบามือ นิตยสารท่องเที่ยวเชิงปรัชญาของสำนักพิมพ์นี้ผมชอบมาก ด้วยแนวคิดและเนื้อหาที่น่าสนใจทำให้ภายเล่มเปิดอ่านได้อย่างสนุกแทบทุกหน้า
“มองหาเล่มไหนอยู่เหรอคะ” เสียงหวานใสเอ่ยทักผม
ผมหันไปตามเสียงเรียก สต๊าฟหญิงสาววัยรุ่นผมซอยยาวประบ่านัยน์ตากลมโตแก้มชมพูตัวเล็ก ๆ ผมสะดุดกับความน่ารักของเธอพอประมาณ “เอ่อ ประมาณช่วงเล่มแรก ๆ ครับ” ผมตอบไป
มือเล็กพลิกหนังสือในกองไปมาเลือกกองที่จัดลำดับหนังสือที่ตีพิมพ์ช่วงแรกไว้ “ประมาณเล่ม 1-5 รึเปล่าคะ ถ้าเป็นเล่มช่วงนั้นอาจจะหมดไปแล้วค่ะ” เธอเงยหน้าจากกองหนังสือขึ้นมาตอบผม
“เหรอครับ ว้า เสียดายจัง” ผมตัดพ้ออุตส่าห์หมายมั่นว่าต้องเจอแน่ ๆ
“ไหน ๆ เล่มไหน ลองค้นดูในลังอาจจะยังเหลือก็ได้” เสียงของสต๊าฟหญิงอีกคนหนึ่งในบูธเรียกเตือนสต๊าฟคนที่เข้ามาช่วยหานิตยสารให้ผม
“เอ่อ ไม่ต้องลำบากหรอกครับ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ เป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว” สต๊าฟคนที่ 3 ยิ้มแย้มตอบผม ผมได้แต่ยิ้มกลับด้วยความเกรงใจ ก่อนที่สต๊าฟสาวทั้งสามคนจะช่วยกันค้นลังกระดาษหาหนังสือให้ผมด้วยความกระตือรือล้น
“ให้ผมช่วยนะครับ” บอกพร้อมจะออกเดินอ้อมไปข้างหลังบูธ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” เสียงประสานของทั้งสามสาวเอ่ยหยุดผมไว้ ส่งตรงมากับสายตาปรามและรอยยิ้มหวาน
“อะ อื้ม ครับ” ผมตกใจเล็กน้อย แล้วหยุดยืนนิ่งให้พวกเธอค้นหาต่อไป ผมเห็นพวกเธอแอบซุบซิบกันพอประมาณ อาจจะแอบบ่นเรื่องผมอยู่
เวลาผ่านไปพักนึง กองโบราณวัตถุเป็นจดหมายเหตุกรุงศรีถูกตั้งขึ้นบนกองหนังสือที่วางอยู่ก่อนหน้า ในที่สุดหนังสือเล่มที่ผมอยากได้ก็ถูกหาจนเจอ จำนวนเล่มถูกบรรจุใส่ถุงใบสวยยื่นมาให้ผม ผมเอื้อมจับพร้อมยื่นเงินจำนวนนึงให้กับสต๊าฟผู้น่ารักที่ช่วยกันค้นด้วยความตั้งใจ ผมรับถุงมาแต่ทำไมถุงไม่ติดมากับมือผม ผมออกแรงรั้งอีกทีสองที สต๊าฟสาวตาโตคนนั้นเองยื้อถุงไว้
“เอ่อ ผมให้ตังค์ไม่ครบเหรอครับ” เรื่องเงินเรื่องทองผมละเอียดแต่ไม่เคยเม้มนา
“คิก ๆ” เธอขำโดยที่ผมไม่ทราบสาเหตุพร้อมกับอีกสองสาวด้วย “เปล่าค่ะ ให้ครบแล้วค่ะ”
ผมยิ้มรับเธอแล้วออกแรงดึงถุงหนังสืออีกครั้ง “...” ยังไม่ได้หนังสืออยู่ดี
“ชื่ออะไรเหรอคะ” เสียงใสเอ่ยถามผม
“หา? เอ่อ ผมเหรอครับ” มือผมยังอยู่ที่ถุง มองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ เดี๋ยวนี้ซื้อหนังสือต้องถามชื่อลูกค้าเก็บไว้ด้วยเหรอเนี่ยะ อืม ละเอียดดีจริง ๆ
“ค่ะ ใช่ค่ะ ชื่ออะไรเหรอคะ” เธอถามต่อด้วยใบหน้าสดใสใครรู้
“เรครับ ชื่อเรครับ” ผมยิ้มตอบกลับไป
“ว้าว” เสียงร้องเบา ๆ พร้อมกันของสามสาว พวกเธอทำหน้าตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย ชื่อของผมอาจไปคล้ายชื่อญาติผู้ใหญ่ของเธอเข้า ผมงงกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นได้แต่พยักหน้ารับ
“ชื่อเพราะจังเลยค่ะ เราชื่อทรายนะ แล้วนี่เอ้กับปอค่ะ” สต๊าฟสาวตาโตแนะนำตัวเองและเพื่อนทั้งสองคนอย่างมีมนุษยสัมพันธ์ ความสดใสของเธอทำให้ผมอดยิ้มรับไม่ได้
“เร เรียนชั้นไหน เรียนอะไรเหรอคะ” ทรายคอมโบยิงคำถามผมต่อทันที ผมคิดว่านี่อาจเป็นการเก็บข้อมูลไว้ขยายฐานตลาดใหม่ของนิตยสารหัวนี้
“ผมเรียนปี 4 แล้วครับ เรียนสถาปัตย์ครับ”
“ว้าว” สามสาวอุทานพร้อมกันเบา ๆ ผมอาจเรียนคณะเดียวกับญาติผู้ใหญ่ของเธออีกรอบ “สถาปัตย์เหรอคะ เท่ห์จังเลย พวกทรายเรียนนิเทศน์ ปี 4 เหมือนกันค่ะ” ทรายคุยต่อด้วยความร่าเริง สองสาวที่นั่งอยู่ก็ยิ้มอารมณ์ดีสนใจฟังไปด้วยกัน
“ฮื่อ ไม่เท่ห์หรอกครับ คณะที่แขวนชีวิตไว้กับกาแฟและกระทิงแดง แถมขาดแอลกอฮอล์ไม่ได้อีก ไม่เท่ห์สักนิดเลย น่าเวทนามากกว่าครับ” ผมยิ้มตอบกลับไปด้วยความจริงใจจากตัวแทนคณะ
“คิก ๆ” สามสาวขำพร้อมกันก่อนที่ทรายจะพูดต่อ “ไม่หรอกค่ะ เรเป็นคนตลกดีนะ เรชอบอ่านOPENเหรอ ทรายก็ชอบนะ อ่านแล้วอยากออกไปเที่ยวบ้างเลย เวลาเรียนเครียด ๆ ได้เที่ยวนี่ยังไงก็ดีที่สุดเนอะ เรว่ามั้ย” ทรายพูดจบก็หันมายิ้มสวยให้ผม ความอัธยาศัยดีและช่างคุยของเธอทำให้ผมเพลินอยู่ในบูธตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เหมือนมีสังหรณ์อะไรสักอย่าง อืม อาจจะไม่หรือจะใช่
“เร ทรายรบกวนอะไรหน่อยได้มั้ย” ทรายทักถามผมขึ้นมาเมื่อเราคุยกันไปสักพักนึง
“ครับ ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับเบา ๆ
“วิ้ว เอาแล้วไง ทรายใจกล้าแฮะ” เสียงของเพื่อนอีกคนแซวทรายแว่ว ๆ
“เอ่อ ทราย คือทรายขอ” เธอพูดติดขัดแล้วทำท่าเขินอาย ขออะไรหว่า อย่าขอเพิ่มราคาค่าหนังสือผมก็พอ ผมลุ้นในใจ
“ทรายขอเบอร์โทรศัพท์หน่อยได้มั้ยคะ” สิ้นเสียงหวานจากเธอ
“...” ผมอึ้งเงียบไปพักนึง แอบหันหน้าไปด้านหลังช้า ๆ กำมือไว้ข้างลำตัว ‘แม่ครับ เรทำได้แล้ว 21 ปีกว่า ๆ เกือบ 22 ปี เรมีผู้หญิงมาขอเบอร์โทรศัพท์แล้วครับแม่’ ผมรีบกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ของเหลวที่ซึมมาทางหางตา ความปลาบปลื้มใจที่ล้นขึ้นมากับที่แอบสงสัยว่า มีหญิงมาจีบตรูรึเปล่าหว่า? ในที่สุดความจริงก็เปิดเผย ตรูมีหญิงจีบแล้วโว้ย ฮ่า ๆๆ
“เอ่อ ว่าไงคะ?” เสียงเรียกของทรายดึงผมกลับจากโลกของตัวเอง ใบหน้าหวานของเธอขึ้นสีระเรื่อ
พอรู้ตัวอีกทีผมเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน “คือ...ผม” ไม่ใช่จะเล่นตัวครับ แต่ผมไม่รู้จะตอบยังไง ไม่เคยโดนสาวน่ารักจีบ มีแต่เอี้ยน้องต๊อดมากวนส้นอย่างเดียว
“ให้ไปเถอะนะเร ทรายจริงใจน้า” เอ้สต๊าฟสาวที่ดูออกห้าวชงให้ทีนึง
“น่านะเร ไม่เอาไปเล่นของหรอก” ปอเพื่อนอีกคนร่วมด้วยช่วยส่งเสริมโปรโมชั่นแจกซิมมือถือ
“นี่ พวกแก ไม่ต้อง ๆ เงียบไปเลย” ทรายหันไปปรามเพื่อนพอประมาณ เธอยิ้มหวานเจือความอายบนใบหน้า ในมือถือถุงหนังสือผมอยู่ เริ่มบิดทดสอบประสิทธิภาพหูถุงพลาสติก ท่าทางเหล่านั้นชวนให้ผมรู้สึกวูบไหวแปลก ๆ ตามไม่ได้ ยังไงผมก็ยังเป็นปู้บ่าวอยู่นะครับ
“ครับ คือ 08...” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ
‘หมับ’ สัมผัสของมือหนาที่คุ้นเคยคว้าควับเข้าที่เอวผมพร้อมด้วยแรงโอบแน่นจนรู้สึกถึงร่างกายและอุณหภูมิของมัน ตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมอกแกร่งของไอ้กิงอย่างง่ายดาย
“เพื่อนผมรบกวนพวกคุณมากรึเปล่าครับ” เสียงทุ้มบอกริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“...” ไม่มีคำตอบจากสามสาว มีเพียงรอยตกตะลึงจาง ๆ บนใบหน้าเช่นเดียวกันกับผม คล้ายทรายจะรู้ตัวก่อนเพื่อน “อ๊ะ เอ่อ เปล่านี่คะ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย” ทรายยิ้มตอบขัดเขิน
ไอ้กิงเพิ่มรอยยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “งั้นดีเลยครับ ผมเห็นหายไปนาน มาคุยเล่นอยู่ตรงนี้นี่เอง” มันพูดจบก็หันใบหน้ามาทางผม ระยะห่างที่แทบไม่มีระหว่างผมกับมันทำให้มัวแต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก “ไปกันได้รึยัง” มันถามผมพร้อมรอยยิ้มอุ่น
ผมยังยืนค้างนิ่งอึ้งอยู่เลยไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไอ้กิงเลยหันไปหาทรายต่อ “นั่น” มันพูดแล้วส่งสายตาไปทางถุงหนังสือ “ใช่ของเพื่อนผมรึเปล่าครับ”
“เอ้อ คือ ใช่ค่ะใช่” ทรายตอบตะกุกตะกักใบหน้าเหมือนจะขึ้นสีระเรื่อยิ่งกว่าตอนขอเบอร์โทรศัพท์ผม ตอบเสร็จทรายก็รีบยื่นถุงหนังสือที่ผมซื้อคืนให้
ไอ้กิงรับไว้พยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณพร้อมรอยยิ้มเพิ่มเรตติ้ง แล้วออกแรงรั้งตัวผมให้เดินออกจากบูธไปด้วยกัน
“ว้ายย...” ผมได้ยินเสียงเหมือนคนร้องกรี๊ดเบา ๆ แว่ว ๆ จากบูธ คาดว่าหน้าไอ้กิงคงไม่ไปคล้ายญาติผู้ใหญ่ของพวกเธอเข้าอย่างแน่นอน
“หึหึ” เสียงขำขันจากปากไอ้กิงเรียกให้ผมหันไปมองใบหน้ามันที่อยู่ในระยะประชิด
“ขำอะไรวะ” เหมือนปากผมจะอ้าออกแล้ว
“ขำเมิงไง ตลกดีว่ะ ยืนตั้งนานเมิงไม่รู้เหรอว่าเขาจีบเมิงอยู่” มันบอกมา
“หา? นี่แสดงว่าเมิงยืนดูกรูตลอดเลยดิ” ผมสงสัยมองหน้ามัน
สายตาไอ้กิงมองตอบกลับมาแววจริงจังฉายชัดในแววตานั่น “อืม” มันพยักหน้าเบา ๆ “มองอยู่ตลอดเลย”
“...” ผมรู้สึกบอกไม่ถูกกับท่าทีนั่น วันนี้มันแปลกไปหลายอย่างเลยครับ แล้วนี่ก็เป็นครั้งที่ 2 ของวันแล้วด้วยที่อยู่ ๆ มันคว้าผมเข้าไปกอด คาดว่ามันอาจอัพยามาเป็นคำตอบสุดท้าย
“ชอบเขามั้ย” เสียงทุ้มถามผม
“หา? ชอบอะไร” ผมหันไปถามมันออกอาการงง
“ผู้หญิงคนนั้นไง ชอบเขารึเปล่า” มันขยายความใบหน้านิ่ง
“เออ ใช่” พอมันพูดถึงทรายทำให้ผมเพิ่งนึกออก “กรูยังไม่ให้เบอร์โทรศัพท์เขาเลยว่ะ”
คิ้วมันขมวดปมแทนคำพูดแขนที่อ้อมกอดเอวผมอยู่ออกแรงผลักตัวผมให้หันหลังกลับไปทางบูธ
“เฮ้ย อะไรไปไหน” ผมแปลกใจกับกิริยาของมัน
“ไปให้เบอร์ไง ยังไม่ให้เขาไม่ใช่เหรอ” มันพูดเสียงเรียบคิ้วขมวด
“อืม แต่ไม่ต้องแล้วมั้ง กรูเห็นเขาไม่สนใจขอแล้วนี่ว๊ะ”
ไอ้กิงนิ่งเงียบไปพักนึงก่อนจะยิ้มกว้างออกมา “เหรอ อืมดีแล้ว งั้นไปดูซีดีกันเลยละกัน” พูดจบมันก็โอบแรงหมุนตัวผมกลับตัวอีกรอบนึง
ผมเหลือบมองใบหน้าอมยิ้มของมันอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็นและสัมผัสนัก อะไรบางอย่างบอกผมว่ามันคล้ายจะหวงผม นี่ผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย มือมันยังคงโอบเอวผมไว้แบบไม่ผ่อนแรงง่าย ๆ ผมรู้สึกตื้อตันแปลก ๆ ก่อนจะเผลออมยิ้มออกมา แล้วเหมือนมันจะสังเกตุเห็น
“ยิ้มอะไรวะ สนุกเหรอ” มือที่โอบเอวเปลี่ยนมาเป็นจับหัวผมเบา ๆ พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มที่หันมาถาม
“ก็ไม่เชิงว่ะ แค่ดีใจนิดหน่อยที่คนหล่ออย่างกรูมีสาวน่ารักจีบ” ผมยิ้มกว้างตอบกลับ ขอพิสูจน์อีกนิดเหอะครับ
หน้ามันนิ่งแทนคำตอบ แววฉุนเหมือนโดนเตะมาปรากฎชัดบนใบหน้านั่น ‘น่าน รู้ตัวรึเปล่าว่าเมิงเริ่มอะพอสโทรฟรี่เอสกรูแล้ว ฮ่า ๆ กร๊ากก’ ผมแทบกลั้นความดีใจไว้ไม่อยู่ รู้สึกถึงแก้มร้อน ๆ ของตัวเองที่คงจะป้ายสีพอประมาณ กับริมฝีปากที่พยายามเม้มไว้ให้สนิท หน้าผมตอนนี้คงตลกน่าดู
“ทำไม ชอบเหรอว๊ะ งั้นไม่กลับไปให้เบอร์ให้เรียบร้อยไปล่ะเมิง” เสียงมันเริ่มดุดันมากขึ้นพร้อมกับรอยขมวดตรงระหว่างคิ้ว
“อื้อ นั่นดิ ว่าแล้วกรูกลับไปสานสัมพันธ์อีกทีดีกว่าว่ะ” ผมยังคงวอนมันต่อไป
มันใช้สายตาและสีหน้าหงุดหงิดมาแทนคำตอบ คนอย่างมันมักจะชอบกระทำเลยมากกว่าใช้คำพูด อันนี้ผมรู้ดี และได้ผลทันใด อ้อมแขนแกร่งของมันออกแรงเล่นกายบริหารโอบไหล่หมุนรอบตัวกันอยู่ตรงนั้น คราวนี้ผมฝืนแรงมันไม่ยอมผ่อนตัวตามง่าย ๆ
“ทำไมวะกิง หงุดหงิดอะไร ไม่อยากให้กรูให้เบอร์เขารึไง” ผมไม่อ้อมค้อมซัดตรงทันทีพร้อมใบหน้ายิ้มอย่างไว้เชิง
มันมองตรงตอบกลับมาอย่างไม่หลบสายตา “อืม กรูหวง แล้วไงวะ” มันพูดเพียงแค่นั้น
แต่... มันทำเอาผมเอ๋อเหวอใบ้แดกไปกับคำพูดเพียงไม่กี่คำทันที ทั้งที่กะจะยอกย้อนกวนประสาทมัน แต่พอเจอเข้าแบบนี้ ไอ้อาการพยายามกลั้นยิ้ม สีเลือดแดกหน้ามันพาลจะตีกลับเสียให้ได้ มือผมที่ว่างอยู่เริ่มอยู่ไม่สุข พยายามมองหาต้นหญ้าเพื่อจะดึงทึ้งทันที แต่พื้นสวนสนุกผสมสวนน้ำแห่งนี้ดันปูเต็มไปด้วยอิฐบล็อคเสียแล้ว หรือผมจะแงะอิฐบล็อคมาแก้เก้อก่อนดี
“หวงเอี้ยไรเมิงเล่า เมาบรรยากาศเรอะเมิง” ก่นด่าปากหมาเป็นทางออกของผมเสมอ ตัวผมเริ่มมีอาการเหมือนคนเป็นโรคบิด เหลือบมองมันพร้อมกับที่กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ บนหน้าพยายามฝืนต่อกิริยายิ้มไม่อยู่ของตัวเอง
“เออ หวง ผิดรึไงวะ” มันยังคงหน้าด้านตอบอย่างไม่รู้สึกอะไร
“เมิง...บ้าเรอะ หวงเหิงเอี้ยอะไร” จนปัญญาจะตอบโต้ ผมเลยออกท่าทางบิดตัวเป็นส่วน ๆ มือไม้จับขมวดชายเสื้อยืดตัวเองทดสอบความยืดหยุ่นของใยคอตตอน 100% ริมฝีปากพ่นลมร้อนจากภายใน สายตาลอบมองมันอย่างประหม่าอาย หน้าผมคงขึ้นสีจนสังเกตุได้
“ทำไม เป็นอะไร” ไอ้กิงคงสงสัยสภาพเหมือนคนโดนเล่นของในตัวผม ยกมุมริมฝีปากเลิ่กคิ้วถามแววตาเจ้าเล่ห์
“เมิงน่ะสิวะ เป็นหร่าอะไร ร้อยวันพันปีแมร่งไม่เคยเห็นจะสนใจ ไม่รู้เรอะเบอร์โทรกรูมีโปรโมชั่นสายเข้าได้ตังค์เพิ่มเว้ย จะหาทางประหยัดสักหน่อย เศือกขัดลาภกรูได้” มั่วแถไปล้วน ๆ เจ็บสีข้างพอประมาณ
“หึหึ” มันคงขำในความงกจำเป็นของผม “งั้นเดี๋ยวกรูโทรหาเอง นานแค่ไหนเท่าไหร่บอกกรูมา”
“...” ผมอึ้งหันไปมองเต็ม ๆ ใบหน้ามัน ความมาดมั่นที่ออกมาบอกว่าไม่ล้อเล่น “เมิง เมิง เล่นยามาใช่มั้ยเนี่ยะ ไม่สบายเมิงไม่สบายแน่ ๆ หรือโดนของเข้าวะ” ผมที่ตกใจในกิริยาเหนือความคาดหมาย รีบเอามือไปทาบหน้าผากมันเบา ๆ แต่ตัวอุ่นปกติดี
‘หมับ’ ฝ่ามือมันรวบจับมือผมไว้ สายตามองตรงมา “สบายดี เชื่อรึยัง” พูดจบใบหน้าหล่อลากนั่นก็ยิ้มอ่อนโยนให้
“อืม กรูเชื่อแล้ว เชื่อแล้วว่า..” ผมหลบตาก้มหน้าตอบ
“หืม เชื่ออะไรวะ” น้ำเสียงยียวนอยู่ในตัว นึกหน้ามันออกเลยว่าต้องกวนตีนอยู่แน่ ๆ
ผมเงยหน้าไปสบตามันจัง ๆ อีกครั้ง ยิ้มกว้างมาก “เชื่อแล้วว่า เมิง หวง กรู” พูดช้า ๆ ชัด ๆ ย้ำกับตัวเองอีกรอบ พร้อมกับรีบชักมือที่มันกุมอยู่มาไพล่หลังไว้ แล้วเริ่มอาการบิด หยิก ทึ้งมือทั้งสองข้างของผมเองเพื่อระบายอารมณ์ปลาบปลื้ม ทดแทนการแสดงออกทางสีหน้าที่มันมากมายจนแทบเก็บไม่อยู่
มันนิ่งไปพักมีแววเอ๋อบนหน้านั่นก่อนที่มันจะยิ้มร่าออกมาไม่แพ้กัน ส่ายหัวกับตัวเองเล็ก ๆ เหมือนเสียเชิง
“เออ ๆ กรูก็บอกตั้งแต่แรกแล้วไง เฮ้อ! เมิงนี่” แล้วแรงสัมผัสนุ่มนวลของมือหนามันจับเข้าเต็มที่ศีรษะผม “รีบไปซื้อซีดีกันสักทีเหอะว่ะ” มันชวนผมไปโซนอื่นต่อทันที ผมเห็นมันก้มหน้าต่ำยิ้มแบบขัดเขินอยู่ในทีพร้อมกับมืออีกข้างที่ยกขึ้นมาลูบปลายจมูกตัวเอง อาการผมคงแพร่เข้าตัวมันโดยไม่ทันรู้สึก
“อืม ไปเถอะ” ผมยิ้มตอบรับบางเบากลั้นใบหน้าร้อนฉ่า ก่อนจะเดินบิดตามมันไป เพิ่งสังเกตุเห็นว่าโซนหนังสือที่ผมอยู่ ตกแต่งไปด้วยคัทเอาท์สีม่วงสด เราอยู่ในโซน 1 แผงหนังสือม่วงกันนี่เองถึงได้มีปฏิกิริยาผิดปกติกันเช่นนี้ แถมรายรอบตัวก็มีเด็กสารพัดแนวเหมือนจะแอบมองพวกผมอยู่ แต่ในเวลานี้ผมรู้สึกอย่างอื่นมากกว่าอายสายตาที่ลอบมองมาของผู้คนนัก ยังเหลืออีกหลายโซนให้เที่ยวที่สำคัญมีคอนเสิร์ตของวงเอี้ยน้องต๊อดอีก ผมคงไม่ละลายไปก่อนถึงตอนนั้นนะครับ
---------------------------------------------------------
TBC.
สวัสดีค่าเพื่อน ๆ น้อง ๆ นักอ่านทุกท่าน ไม่เจอกันนานสบายดีกันมั้ยค้า ลงฉลองเทศกาลถือศีลกินเจของชาวไทยเชื้อสายจีน ถือศีลอดของชาวไทยมุสลิม ถือศีลห้างดเหล้าเข้าพรรษาของชาวไทยพุทธ ซึ่งเหมือนว่าว่างจะทำไม่ได้เลยฮ่า ๆๆ คิดฮอดหลาย ๆ เด้อค่ะ
**ขอขอบคุณข้อมูลจากงาน HEINEKEN FAT FESTIVAL 3 (104.5 FAT RADIO) @สวนสยาม เอื้อเฟื้อฉากในตอนนี้ค่า
เพิ่งรู้สึกว่าสำหรับตอนนี้ว่างใช้เวลาถึง 1 เดือนฝ่า ๆ โอ้ว ม่าย นานอะไรปานนั้น สำหรับข้อแก้ตัวไม่มีค่ะ ฮ่า ๆ จริงใจที่จะบอกว่าเรียบเรียงไม่ออก ว่าจะไปขุดลอกสมองแล้วค่ะ ช่วงนี้สมองตัน(เห็นตันมาหลายช่วง)ทั้งงานทั้งฟิค เล่นเอาเอ๋อไปเลย คงต้องหาเวลาว่างไปบริหารสมองบ้าง เพื่อน ๆ น้อง ๆ อย่าเคร่งเครียดมากนะคะทั้งเรื่องงาน สอบ เรียน ไม่งั้นอาจเอ๋อแดรกแบบว่างได้
ขอขอบคุณทุกกำลังใจจริง ๆ ค่าทั้งนักอ่านขาประจำ ขาจร ขาหลบ ขาหลีก ขามืด และทุก ๆ ขา ทุกความคิดเห็นเป็นกำลังใจให้ว่างค่า แม้บางทีจะเคลือบยาพิษผสมมีดมาเร่งบ้างไม่ว่ากัน (สมควรโดนแล้วตรู) หลาย ๆ ท่านยังฮาคงเส้นคงวาเสมอนะคะ อ่านไปขำไปเครียดไป ^^”
--ติชมได้ตามสะดวกค่ะ
ขอขอบคุณ(อีกรอบค่า)ทั้งแรงอ่าน แรงเม้นท์ แรงแอด แรงโหวต ซาบซึ้งใจจริง ๆ ค่ะที่ยังไม่หายกันไป (^_^)V
ปล. พบข้อสงสัย คำผิด ทักได้บอกได้นะคะ แล้วเจอกันจ้า
ความคิดเห็น