ตอนที่ 8 : 2 0 6 M I L E S | Chapter7
2 0 6 M I L E S
Chapter_7
“งั้นผมขอไปลาพี่ซอกจินก่อนนะครับ” จีมินเอ่ยขึ้น หลังจากที่โฮซอกมาถึงพวกเขาใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงในการพูดคุยกัน และจบที่โฮซอกจะไม่ยอมให้จีมินไปดูตัวอีกเป็นอันขนาด
ตอนนี้คนตัวเล็กที่นั่งหงอยมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วเพราะโดนโฮซอกดุกำลังจะไปลาซอกจินก่อนกลับ เพราะจองกุกบอกว่าซอกจินกับยุนกิอยู่ห้องข้างๆ ถ้าอยากไปหาก็ไปได้ อีกอย่างเขาเองก็รู้สึกได้ว่าโฮซอกกับจองกุกเองก็ดูเหมือนมีเรื่องที่ต้องคุยกัน เพราะสองคนนั้นเอาแต่จ้องตากันไม่หยุดจนจีมินรู้สึกอึดอัด ถ้าจะให้อยู่ฟังด้วยเขาไม่เอาหรอก แม้ว่ามันจะเกี่ยวกับตัวเขาก็ตาม ขอตัวออกมาสูดอากาศข้างนอกยังดีซะกว่า
บอกตรงๆว่าตอนนี้สมองเขายังไม่พร้อมจะรับเรื่องราวอะไรทั้งนั้น อยากจะพักจากเรื่องปวดหัวก่อนจะกลับไปสู้ศึกใหญ่ที่บ้าน
“อย่าลืมให้จินดูแผลให้ด้วยนะครับ” จองกุกเอ่ยตามหลังคนที่กำลังจะเดินออกจากห้อง เขามองตามก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา พัคจีมินเป็นคนฉลาด เด็กคนนั้นรู้ว่าสิ่งไหนที่ตัวเองสามารถรับรู้ได้และไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อเสียหลายอย่างที่ดูจะแก้ยาก
แต่ก็เอาเถอะ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียที่แก้ไม่ได้ คงต้องค่อยๆปรับกันไปทีละนิด เพราะคนใจร้อนอย่างเขาก็เคยอารมณ์เย็นลงเพราะเด็กคนนั้นนี่นะ
“เข้าเรื่องเลยไหมครับ” จองกุกหันกลับมาหาคนที่นั่งรออยู่ ถ้าให้พูดกันตรงๆเลยคือเขารู้สึกผิดคาดกับคนๆนี้นิดหน่อย ทั้งตอนที่ได้คุยกันครั้งแรกผ่านโทรศัพท์ ตอนที่ได้เจอหน้าครั้งแรก ตอนที่อีกฝ่ายคุยกับจีมิน และตอนนี้ เรียกได้ว่าบรรยากาศรอบๆตัวหมุนเปลี่ยนได้ตามที่ใจอยาก
เป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยสักนิด เพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเนื้อแท้เป็นคนยังไงกันแน่ อาจจะเป็นผู้ชายขี้หงุดหงิดที่คุยโทรศัพท์กับเขา หรือคนที่ดูอ่อนโยนเวลาคุยกับจีมิน หรืออาจจะเป็นคนที่นั่งจ้องตากับเขาอยู่ตอนนี้
ไม่ใช่คนน่ากลัว แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ควรจะทำให้โกรธอย่างเด็ดขาด เป็นผู้ชายแปลกๆที่มีหลายอารมณ์ในตัว นั่นคือสิ่งที่จองกุกคิดหลังจากที่ได้รู้จักกันราวๆหนึ่งชั่วโมง เพียงหนึ่งชั่วโมงที่ได้เห็นท่าทีที่แปลกออกไปหลากหลายรูปแบบ
“เอาสิ นี่ก็รอให้คุณพูดอยู่นะ”
“ผมว่าวันนี้เราคงคุยกันไม่จบ” จองกุกยื่นนามบัตรที่ถูกทำขึ้นจากกระดาษชั้นดีให้โฮซอก ก่อนที่จะได้รับสิ่งเดียวกันกลับมา
“งั้นก็เอาแค่เรื่องสำคัญ”
“เช่น”
“กับจีมินน่ะ มั่นใจแล้วเหรอ”
“ห้าสิบมั้ง มันครึ่งๆ ไม่เต็มร้อยแต่ก็ไม่ได้น้อยกว่านั้น”
“ก็ดี เพราะถ้ามันเต็มร้อยผมคงปล่อยน้องไปกับคุณไม่ได้”
“ขอเหตุผล”
“คุณยังไม่รู้ว่าจีมินมีข้อเสียอะไรบ้าง พวกคุณยังไม่รู้หรอกว่าต่อไปมันจะเป็นยังไง ถ้าเต็มร้อยไปตั้งแต่ตอนนี้มันอาจจะลดลงเรื่อยๆจนเหลือศูนย์ อีกอย่างผมชอบความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนามากกว่า ถึงพวกคุณจะข้ามขั้นมาแล้วก็เถอะ”
โฮซอกถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่จีมินเคยเล่าให้ฟัง เขากับจีมินไม่เคยมีความลับต่อกัน เราแชร์กันทุกเรื่องที่แชร์ได้ ตอนที่ได้ฟังเขานึกอยากจะจับจีมินมาตีให้ก้นลาย มีอย่างที่ไหนนึกอยากไปลองมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้า แถมยังเก็บเอามาคิดจนเขาจับได้
ที่สำคัญคือความรู้สึกของจีมินที่มีต่อคนๆนี้นี่แหละ เด็กคนนั้นจะว่าขาดความอบอุ่นก็ไม่เชิง คุณพัคเลี้ยงดูจีมินมาด้วยความรักแต่กลับไม่เคยแสดงออกให้รู้ อาจจะเพราะไม่ค่อยมีเวลาหรือเครียดจากงานก็ตาม พวกท่านไม่เคยไปงานประชุมผู้ปกครอง ไม่เคยพาจีมินออกไปเที่ยว แต่ก็ให้เงินใช้ไม่ขาด เรียกว่าเลี้ยงดูมาด้วยเงินก็ยังได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จีมินโหยหามาตลอดคือความอบอุ่น และผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกที่มอบมันให้กับจีมิน ความอบอุ่นในแบบที่เขาไม่สามารถให้จีมินได้ เพราะตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะมีมัน
“ก็อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่า ผมชอบเขานะแต่มันยังไม่ใช่ความรัก” จองกุกเลือกที่จะเปิดใจตรงๆกับโฮซอก เพราะเขาคิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องปิด คนๆนี้หวังดีกับจีมินนั่นคือสิ่งที่เขารับรู้ได้
“จีมินก็ชอบคุณ”
“ผมรู้”
“ความสัมพันธ์ของพวกคุณมันน่ากลัว”
“แต่มันก็น่าลอง”
“เอาที่คุณสบายใจเถอะ”
“ขอบคุณ”
“แต่ถ้าน้องผมไม่สบายใจเมื่อไหร่ เราอาจจะต้องคุยกันยาวๆหน่อย”
“ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่คิดจะคืนเขาให้คุณหรอกนะ”
“ก็ไม่ได้ขอคืน” โฮซอกยักไหล่เบาๆ การเปิดใจคุยกับจองกุกนับว่าเป็นเรื่องที่เกินคาด เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าเปิดใจพูดความรู้สึกจริงๆกับเขาทั้งหมดแบบนี้
แต่ว่า... จนถึงตอนนี้ก็รู้แล้วล่ะ ว่าทำไมถึงต้องเป็นจอนจองกุก
“กับจีมินผมจะพยายามปรับ ผมไม่ใช่พวกยึดติดว่าตัวเองถูกทุกอย่างอยู่แล้ว เพราะงั้นคุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”
“ก็ดี”
“แต่เรื่องที่ต้องจัดการตอนนี้คือเรื่องครอบครัวของคุณ”
จองกุกเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ ข้อมูลคร่าวๆที่ยุนกิหามาให้ทำให้เขารู้ว่าทำไมจีมินถึงต้องไปดูตัว และทำให้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆแล้วเป็นใคร เขาอยากเข้าไปจัดการให้แต่เรื่องในครอบครัวของจีมินไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปก้าวก่ายได้เพราะเขาเองก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับจีมิน
เพราะฉะนั้นให้คนในครอบครัวเขาเคลียร์กันเองน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“จริงๆแล้วเรื่องนี้คุณลุงไม่รู้เรื่องด้วย ตั้งแต่ท่านล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลพวกญาติฝั่งคุณป้าก็เข้ามาคุยเรื่องนี้ เข้ามายุ่งวุ่นวายจนมันออกมาเป็นแบบนี้นี่แหละ”
“คุณจัดการได้ใช่ไหม”
“ให้ไปรบกับยัยป้านั่นก็คงไหว แต่เรื่องบริษัทผมคิดว่าคงสู้คนเดียวไม่ไหว” โฮซอกถอนหายใจออกมาแรงๆ แค่นึกภาพของน้องสาวแม่ก็อยากจะเดินหนีออกไปนอกโลก แม้จะมีศักดิ์เป็นน้าแต่ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารำคาญ แถมคุณนายพัคที่เป็นป้าก็ยังหัวอ่อนเชื่อคำพูดของน้องสาวไปหมดทุกอย่าง
แต่ก็เอาเถอะ ถ้าให้พูดกันตามจริงก็ไม่คณามือเขาหรอก ลองกันดูสักตั้งให้มันรู้กันไปเลยว่าอย่าได้บังอาจมายุ่งวุ่นวายในชีวิตของเขากับจีมิน
“เรื่องนั้นผมจะช่วย”
“ยังไง”
“พูดกันตามข้อมูลที่ผมได้มา บริษัทมันก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรขนาดนั้น เพราะมันเป็นการโกงกันภายใน ไม่ได้รั่วออกไปข้างนอก ผลงานพวกคุณก็ยังเป็นที่รู้จัก ผมบอกตรงๆว่าการบริหารงานของบริษัทคุณในช่วงสามปีที่ผ่านมามันห่วยแตก”
“ใช่คำว่าห่วยแตกเลย?”
“ก็สำหรับผู้บริหารอย่างผม”
“แล้วคุณจะช่วยยังไง”
“คุณกลับไป แล้วทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานบริหารให้ได้ ถึงตอนนั้นแล้วผมจะช่วย”
“ช่วยยังไง”
“ช่วยโละพวกไร้ความสามารถออกจากบริษัทของคุณล่ะมั้ง”
“เหมือนคุณพยายามจะฮุบกิจการที่บ้านผมเลย” โฮซอกยิ้มออกมาน้อยๆ จะว่าไปเขาก็เบื่อกับการที่ต้องมานั่งจ่ายเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองให้กับบริษัทที่กำลังจะล้มแหล่มิล้มแหล่เต็มที
“ก็อาจจะ”
“น่ากลัวจริงๆ”
“อ่ะ ล่ำลากันซะให้พอ” โฮซอกยืนกอดอกพิงประตูห้องอยู่ข้างๆซอกจิน มองภาพจองกุกกำลังลูบหัวจีมินเบาๆด้วยความหมั่นไส้ เมื่อห้านาทีที่แล้วซอกจินเอาจีมินกลับมาส่งที่ห้องของจองกุกหลังจากที่ทำแผลเสร็จเรียบร้อย ไอ้คนที่กำลังนั่งคุยเรื่องเครียดๆอยู่กับเขาปรับสีหน้าทันทีที่จีมินเดินเข้ามาในห้อง
โฮซอกแอบเบะปากน้อยๆเมื่อเห็นว่าหน้ากากนักธุรกิจของจอนจองกุกนั้นทำงานได้ดีขนาดไหน แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะทำมันด้วยความเต็มใจและไม่ได้เสแสร้งก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละ หมั่นไส้ความปรับสีได้รวดเร็วปานกิ้งก่า ที่รู้สึกหงุดหงิดก็เพราะมันคล้ายกับตัวเขานี่แหละ
“ขอโทษที่ไม่ได้ลงไปส่งนะครับ” จองกุกพาจีมินมาส่งคืนให้คนที่ยืนตีหน้ายักษ์อยู่ตรงหน้าประตู เพราะเขามีงานด่วนเข้ามาเลยไม่สามารถลงไปส่งจีมินกับโฮซอกได้
“เดี๋ยวไปส่งให้ มึงไปทำงานเถอะ” อดีตคุณหมอที่กำลังว่างงานเอ่ยขึ้น
“อือ ฝากด้วย” จองกุกหันไปมองซอกจินก่อนจะเอ่ยฝากฝังแล้วหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆโฮซอกอีกรอบ “เดี๋ยวพี่โทรหานะครับ”
จีมินพยักหน้าหงึกๆก่อนจะเดินตามซอกจินกับโฮซอกออกไป อดีตคุณหมออาสาเดินมาส่งถึงหน้าโรงแรมก่อนจะขอตัวออกไปรับเพื่อน ปล่อยให้สองพี่น้องเดินไปที่รถที่จอดทิ้งไว้ตรงลานจอดรถของโรงแรม
“ยังไม่อยากกลับบ้านเลยแฮะ” โฮซอกบ่นออกมาเบาๆ มือเรียวล้วงหากุญแจรถที่โยนใส่กระเป๋าไว้ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะความเร่งรีบทำให้เขาลืมมองว่าโยนมันใส่ไว้ในช่องไหน
คนที่กำลังเบื่อหน่ายกับหลายๆสิ่งเดินหาของไปเรื่อยจนถึงที่จอดรถ ถึงกระนั้นก็ยังหาของที่ต้องการไม่เจอ โฮซอกดึงกระเป๋าออกจากตัวก่อนจะวางมันบนพื้นแล้วนั่งคุ้ยหาเหมือนแมวกำลังตะปบของเล่น
ปึ้ก!
“เฮ้ย!” เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกันจากคนสองคน หนึ่งคือคนที่นั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นเพราะโดนแรงกระแทกจากประตูรถ สองคือคนที่เปิดประตูออกมาชนแมวตัวใหญ่ที่ดูเหมือนว่ากำลังคุ้ยหาของเล่นอยู่ในกระเป๋า
“พี่โฮซอก!” จีมินร้องเสียงดังตอนที่เห็นว่าพี่ชายโดนประตูรถคันข้างๆเปิดมาชน
“เจ็บ ๆ” คนที่ล้มลงไปกับพื้นยกมือตัวเองขึ้นมาดู และดูเหมือนว่ามันจะถลอกนิดหน่อยเพราะถูกใช้ค้ำยันกับพื้นคอนกรีต
“คุณ เป็นอะไรมากไหมครับ” อีกคนที่กำลังเปิดประตูลงจากรถรีบปรี่เข้าไปดูคนเจ็บ หลังจากรู้ว่าเผลอเปิดประตูชนใครเข้า ใช่ว่าเขาไม่มอง แต่ใครจะไปคิดว่าจะมีคนนั่งอยู่กับพื้นกันล่ะ
“เจ็บเนี่ย คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่” โฮซอกยื่นมือที่มีรอยถลอกให้อีกคนดู มันไม่ได้เจ็บอะไรมากมายแต่ก็แสบๆคันๆพอที่จะทำให้หงุดหงิดได้ แต่จะไปโทษอีกฝ่ายก็คงไม่ได้ เพราะเขาเองก็นั่งไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ได้คิดว่าตรงไหนนั่งได้ไม่ได้ คิดแต่จะหาของให้เจอจนเผลอทำตัวแบบนั้น
“ขอโทษครับ ผมมองไม่เห็นคุณจริงๆ”
“ช่างเถอะคุณ เรื่องแค่นี้เอง อีกอย่างผมก็ทำอะไรไม่ระวังเองด้วย”
“แล้วเจ็บตรงไหนอีกไหมครับ” คู่กรณีเอ่ยขึ้นหลังจากมองสำรวจรอยแผลบริเวณฝ่ามือของโฮซอก
“เจ็บก้น” คนเจ็บว่าก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ได้รับความช่วยเหลือจากจีมินที่คอยพยุง โฮซอกสะบัดข้อมือเบาๆก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ไปทำแผลกันก่อนเถอะครับ” คนที่อยู่ในชุดสูทอย่างดีเอ่ยขึ้น ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอาความ แต่เขาก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่เอาอ่ะ แผลแค่นี้เอง” โฮซอกเอ่ยปฏิเสธเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำแผลให้ยุ่งยาก แผลแค่นี้ปล่อยไว้สักสามสี่วันเดียวก็หายเองนั่นแหละ
“ไปทำแผลเถอะครับพี่โฮซอก” จีมินที่ยืนขึ้นหลังจากก้มลงเก็บของเข้ากระเป๋าให้โฮซอกเสร็จเอ่ยขึ้นมาบ้าง ถึงแผลจะไม่ใหญ่แต่คนที่ต้องใช้มือทำงานตลอดเวลาแบบโฮซอกจำเป็นที่จะต้องดูแลให้มันหายให้ไวที่สุด
“ถ้าไม่ทำจะเขียนแบบไม่ได้นะครับ”
คนโดนคะยั้นคะยอให้ทำแผลหน้ามุ่ย ไม่อยากเสียเวลาเพราะอยากรีบกลับไปทำงานและจัดการกับเรื่องต่างๆให้เสร็จ จบจากภารกิจเขาจะได้นอนพักสบายๆสักที
“ถ้าคุณกลัวเสียเวลา ผมขออนุญาตทำแผลให้ได้ไหมครับ ในรถมีอุปกรณ์ทำแผลอยู่ครับ”
“คุณหมอครับ ใกล้ถึงเวลานัดแล้วครับ” คนที่อยู่อีกฟากของประตูเอ่ยขึ้น เพราะการสนทนาไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ
“คุณเข้าไปจัดการก่อนเลย เดี๋ยวผมตามเข้าไป” คนที่ถูกเรียกว่าคุณหมอหันไปบอกกับคนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง อีกฝ่ายก้มหัวให้ก่อนจะเดินออกไปแล้วทิ้งให้คุณหมอที่ว่าเจรจาตกลงกับคู่กรณีต่อ
“เดี๋ยวผมทำแผลให้ครับ”
โฮซอกปล่อยให้อีกคนทำแผลที่มือให้โดยมีจีมินยืนดูอยู่ข้างๆ จ้องมองใบหน้าของคุณหมอที่ก็น่าจะเป็นหมอกำลังทำแผลให้เขาอย่างเบามือ อือ...ปกติเคยเจอแต่หมอมือหนักๆ พอมาเจอหมอมือเบาแบบนี้ก็รู้สึกดีอยู่เหมือนกัน ไม่นานนักมือของโฮซอกก็ถูกแปะด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดตา
“ต้องขอโทษจริงๆนะครับ” โฮซอกมองดูคู่กรณีที่เอ่ยคำขอโทษเป็นรอบที่สามสี่ห้า คุยเรื่องแผลกับคุณหมออยู่สองสามประโยคก็ต้องแยกย้ายเพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะมีธุระที่ต้องไปจัดการ ตัวเขาเองก็เหมือนกัน
หลังจากนี้คงมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนแน่ๆ แค่คิดก็ปวดหัวไปหมด
“ป่ะ กลับบ้านกัน” หันไปบอกคนน้องที่ยืนพิงรถตาแป๋วมองเขาอยู่ โฮซอกยื่นกุญแจรถให้จีมินเพราะมือตัวเองเจ็บอยู่คงขับรถไม่ถนัด
พวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเดินทาง และก็เป็นไปตามที่คาด มนุษย์ป้าที่มีศักดิ์เป็นน้ากำลังนั่งตีหน้ายักษ์อยู่ในห้องนั่งเล่นกับคุณนายพัคที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
จีมินเดินตามโฮซอกเข้าไปในบ้าน จับมืออีกข้างของโฮซอกไว้แน่น เดินเข้าบ้านยังไม่ทันจะถึงสามก้าวเสียงแสบแก้วหูก็ดังขึ้น น้องสาวของคุณนายพัคเดินปรี่เข้ามาหาจีมินหากแต่โดนโฮซอกเอาตัวเข้ามาบังไว้
“ถอยไปนะโฮซอก น้ามีเรื่องจะคุยกับจีมิน”
“คุณจะคุยอะไร” โฮซอกตวัดเสียงถาม ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นน้า แต่ก็ไม่เคยมาดูดำดูดีเขาเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พ่อแม่เขาเสีย หรือแม้แต่ตอนที่เขามีชีวิตที่เลวร้ายสุดๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วย
“ไปก่อเรื่องอะไรไว้ล่ะ คุณลีชินเขาถึงได้เจ็บขนาดนั้นน่ะ”
“คนอื่นเจ็บไม่ได้ แต่ลูกหลานตัวเองเจ็บได้งั้นสิ”
“อย่ามาเถียงน้านะโฮซอก”
“มองดูสภาพคนของตัวเองบ้างสิ ดูแผลบนตัวจีมินบ้างสิ หรือในหัวคุณคิดแต่เรื่องเงินจนตาบอด” โฮซอกดันตัวจีมินที่ยืนอยู่ข้างหลังให้ออกมายืนอยู่ด้านหน้า มองดูปฏิกิริยาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ากับป้าที่มีต่อรอยแผลบนตัวของจีมิน
คุณนายพัคที่นั่งอยู่บนโซฟามีท่าทีตกใจจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก แววตาสั่นระริกยามมองมาที่แผลถลอกและรอยช้ำบนตัวของจีมิน ต่างกับคนเป็นน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าและไม่มีท่าทีจะสนใจว่าจีมินจะเป็นตายร้ายดียังไง
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปทำให้เขาเจ็บขนาดนั้น แผลบนตัวจีมินมันก็แค่รอยช้ำ แต่คุณลีชินเขาหัวแตกจนต้องเย็บไปหลายเข็ม ถ้าเขาเรียกร้องค่าเสียหายขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็ให้มันเรียกไปสิ จะไปเจอกันที่ศาลเลยก็ได้”
“โฮซอก! เป็นบ้าหรือไง แล้วที่บริษัทจะทำยังไง”
โฮซอกถอนหายใจออกมาทันทีที่ได้ฟังประโยคนั้น ไม่รู้ว่าว่าทำไมในบรรดาพี่น้องของแม่เขาถึงได้มีนิสัยต่างกันถึงขนาดนี้ คุณนายพัคที่เป็นพี่คนโตก็หัวอ่อนและเชื่อคนง่าย แม่เขาที่เป็นคนกลางกลับหัวแข็งและไม่ยอมลงให้ใคร แต่ที่ต่างจากคนอื่นไปก็คงเป็นน้องคนสุดท้องนี่แหละ ไม่รู้หรอกว่าเลี้ยงกันมายังไง แต่เขาบอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด
“คุณต่างหากที่บ้า แล้วผมจะบอกให้นะ การที่คุณขายหลานตัวเองกินแบบนี้น่ะมันน่าสมเพช รู้ตัวไหมว่าหน้าคุณมันมีแต่คำว่าเงินๆๆแปะอยู่เต็มไปหมด บนตัวคุณก็มีแต่คำว่าเห็นแก่ตัว”
“จองโฮซอก!!!”
โฮซอกยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ใช่ว่าเขามีความสุข แต่ที่ยิ้มเพราะอดที่จะสมเพชในตัวคนที่ได้ชื่อว่าน้าสาวไม่ไหว ที่ผ่านมาเขาทนเพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรด้วย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ความวุ่นวายพวกนี้ควรจะหมดไปจากรอบๆตัวเขาได้แล้ว
“กล้าดี กล้าดียังไง”
“แล้วก็นะ เรื่องที่บริษัทน่ะ ถ้าไม่มีปัญญาจัดการจนต้องขายหลานตัวเองกินก็ถอยไปเถอะ เลิกทำไปซะ”
“อย่ามาปากดีกับฉันนะ!”
“อ้อ แล้วก็ที่สำคัญ คุณป้าครับ...” โฮซอกละความสนใจจากคนที่กำลังยืนส่งเสียงวี้ดๆอยู่แล้วหันไปคุยกับคุณนายพัคที่นั่งน้ำตาคลออยู่ ถึงเรื่องนี้ท่านจะมีส่วนผิดที่เห็นดีเห็นดีเห็นงามไปกับน้องสาว แต่เขาจะถือว่านั่นเป็นเพราะคำพูดเป่าหูพวกนั้นก็แล้วกัน
“ข้อเสนอที่คุณลุงเคยบอก ผมลองมาคิดๆดูแล้ว” โฮซอกหันไปยิ้มให้คนที่ยืนถลึงตามองเขาอยู่กลางบ้าน นึกถึงคำพูดของคุณพัคที่เคยเอ่ยกับเขาในวันที่ท่านล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล เพราะคนใกล้ตัวมีแต่พวกเห็นแก่ได้ เก้าอี้ประธานท่านเลยไม่ยอมยกให้ใคร จะมีก็แค่เขากับจีมินที่ไม่ได้สนตำแหน่งพวกนั้นแม้ว่าท่านจะเคยเอ่ยปากขอ แต่เพราะตอนนั้นเขาไม่อยากเข้าไปวุ่นวายก็เลยบอกปัดไป
“จริงๆแล้วเก้าอี้ประธานบริษัทมันก็น่านั่งดีเหมือนกันนะครับ”
แต่มาวันนี้เขาถึงได้รู้ ว่าถ้ายังปล่อยให้บริษัทเป็นแบบนี้ต่อไป ชีวิตของเขากับจีมินก็คงไม่มีวันสงบสุข
ตอนนี้มันคงถึงเวลาที่จะเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในชีวิตเขาสักที
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โฮปต้องยอมนั่งเก้าอี้ประธานเพราะอยากให้จีมินมีความสุขสินะ พี่คนนี้จะดีไปไหน
จะรอออออนะค่ะ
ชอบตอนค้นกระเป๋า น่ารักมาก ซึ่งเราว่านิสัยจริงก็คงไม่ต่างจากในฟิคเท่าไหร่ [ความเห็นส่วนตัวน้า]
Chap7นี้เราโฟกัสที่โฮซอก ประทับใจมากเลยค่า
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ