ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าลืมรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.14K
      34
      9 พ.ค. 63

    CHAPTER 1

     

    ผมง่วนร่ายนิ้วโซโล่กีตาร์ไม้รุ่นกิ๊ปสัน เลส พอลสีแดงสดตัวเก่งให้เข้ากับจังหวะเพลงบรรเลงที่ดังก้องในหู มันเป็นบทเพลงซิงเกิ้ลใหม่ที่พวกเราทำสำหรับโปรโมทลงในสื่อโซเชียลของวง  ขณะที่ผมกำลังอัดเสียงกีตาร์แบคกิ้งแทรคอยู่เพียงลำพังภายในห้องนอนเก่าที่ถูกเนรมิตให้เป็นห้องซ้อมดนตรี มีฟองน้ำเก่าและลังไข่ที่ใช้แล้วแปะติดฝาผนังจนมิดเพื่อกันไม่ให้เสียงเล็ดลอด กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระทบของกล่องผ้ากมะหยี่ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีกรมท่ากับโต๊ะทำงาน ตรงหน้าจนทำให้ผมสะดุ้ง จำเงยหน้าขึ้นมาหาเหตุต้นตอของเสียง จึงได้พบชายร่างสมส่วนขมวดคิ้วหรี่ตาตี่เพ่งมองโทรศัพท์มือถือสีหน้าดูบึ้งตึง ยืนกดโทรศัพท์อย่างมันมือ ไม่ได้สนใจยดีผมเลยสักนิด

     "ทำหน้ามึนไรวะ ของขวัญชิ้นที่สี่สิบห้าของวง...มีแฟนคลับฝากมาให้ไง"

                ผมรู้สึกประหลาดใจ เพราะการมีแฟนคลับตามมาให้ของขวัญผมติดกันถึงห้าครั้งมันไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไหร่ เนื่องจากพวกผมยังคงอยู่ในสถานะเป็นวงดนตรีใต้ดิน พึ่งลงเพลงบนสื่อโซเชียลไม่ทันได้ใช้เวลาขมักเขม้นในการเรียกร้องความสนใจในวงกว้างมากนัก ใครมันจะไปนึกเล่าว่า จะมีคนสนใจเข้ามาฟังผลงานของพวกผมอย่างจริงจังถึงขั้นตามมาให้ของขวัญที่รังหนูแล้ว ทว่าแม้จะตื่นเต้นเพียงใดผมคงต้องเก็บอาการไว้ เพราะงานอัดเสียงที่เร่งด่วนนั้นสำคัญต่อชีวิตในตอนนี้เสียมากกว่า

     “ไอ้นี่ เอาหูฟังออกก่อนไหม ....บอกว่ามีแฟนคลับเอาของขวัญมาให้ไง

                ซงโฮแสดงสีหน้าหงุดหงิดอีกครั้ง พลันตะโกนข้างหู จนเสียงของเขาเล็ดลอดเข้ามาทำให้ผมเสียสมาธิจนได้ กระนั้นผมกลับไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดและยังคงเล่นกีตาร์ต่อไป จนกระทั่งโดนดึงหูฟังออกเข้าให้ คราวนี้จำต้องวางมือและทำหน้ามึนงง เลิกคิ้วมองเขาเป็นการตอบแทน

     "อ่า...แล้วมันเป็นของขวัญของผมเหรอ"

    ก็วางไว้ให้แกเนี่ย ของขวัญไอ้จีซุนมั้ง?”  ดวงตาเบิกกว้างนึกว่าได้ยินผิดไป แต่เมื่อดึงสติกลับมาได้จึงเริ่มหยิบกล่องผ้ากมะหยี่ขึ้นมาพิจารณาอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะยักไหล่วางมันลงดังเดิม เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญอะไรที่ต้องเอาใจใส่ในตอนนี้

    ผมมีแฟนคลับกับเขาด้วยเหรอ เห็นของขวัญมาส่งทีไร ก็ทู...จีซุน ทู...เคน คราวนี้มีทูเดย์ด้วยเหรอ

    ถามมากจริง เออ...ทูเดย์ นี่ไง

    ซงโฮยื่นกระดาษการ์ดใบเล็กให้ผมอ่าน ข้อความภาษาเกาหลีที่เขียนด้วยลายมือนี้ พอจะทำให้เดาได้ไม่ยากว่าผู้เขียนไม่ใช่ชาวเกาหลี หรือหากเป็นชาวเกาหลีก็คงอายุไม่เกินสิบขวบแน่ เพราะลายเส้นดูไม่มั่นคงนัก

    แฟนคลับผมเป็นเด็กเหรอป๋าคำถามนี้ทำให้คนหน้ามึนอย่างผมโดนนิ้วทั้งสี่ผลักหัวเข้าให้

    เด็กบ้าที่ไหนจะฟังเพลงเรา และเด็กบ้าที่ไหนจะมีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงขนาดนี้ให้แก.... ผู้ใหญ่สิวะ

                ....เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่ชาวเกาหลี ทำไมอยู่เกาหลี แปลกจัง

     ผมเลิกดวงตาเฉี่ยวสีน้ำตาลคล้ายกำลังสับสน เนื่องจากซงโฮฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย

    แต่ก็มีแค่คนเดียวนะที่มาชอบแก ก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะว่าหลงใหลอะไรในใบหน้ามึนๆ บอกบุญไม่รับแบบแก เอาเป็นว่าช่างเถอะ อย่างน้อยก็มีคนฟังงานของพวกเราบ้างล่ะนะ"

     ผมชะโงกหน้ามองกล่องอย่างอยากรู้อยากเห็น อดใจไม่ไหวจึงเปิดกล่องดู ก็พบนาฬิกาเรือนประดับระยิบระยับ สายหนังสีน้ำตาลเข้มหรูหราราคาแพง พลางชำเลืองมองการ์ดและอ่านข้อความ

     ‘Darin’

     แต่ลงท้ายแบบนี้มีอยู่คนเดียวที่ผมรู้จัก....

     สาวคนนั้นที่มักมานั่งจิบเบียร์ด้วยกันกับคู่หมั้น ในบาร์ฝรั่งที่วงของพวกผมเป็นนักดนตรีประจำอยู่

    ภาพจำเลือนลางหายไป เหลือคงไว้แต่หน้าต่างบนเครื่องบิน ที่ผมยังคงวางสายตามองท้องฟ้านภากาศอย่างเหม่อลอย ปล่อยน้ำตาไหลรินอาบแก้ม ความรู้สึกยังคงหนักอึ้งตรงกลางอกคล้ายมีก้อนหินยักษ์กดทับมันไว้ ชำเลืองมองนาฬิกาบนข้อมือแล้วใบหน้าสวยคมกลับชัดเจนในห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้ง ผมคิดถึงเจ้าของมันอย่างจับใจ....

     

    ----------------------------------------------------------

     

                เมื่อนานมาแล้ว....

    เสียงการสั่นสะเทือนจากวัตถุที่โดนทับอยู่ใต้หมอน โทรศัพท์ภายใต้กรอบสีดำสนิทลายสกรีนรูปกุญแจมือไขว้กันพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงตัวเขียนหวัดสีขาวล้อมรอบ ซึ่งเป็นโลโก้ของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ ทำให้ผมสะดุ้งตื่นตอนกลางดึกแบบนี้อยู่ทุกค่ำคืน มือคลำหามันด้วยอาการงัวเงีย พยายามเพ่งสายตาไปยังหน้าจอท่ามกลางความมืดมิดในห้องนอนของผม

    ‘3.45 A.M.’

     

     

    'ฉันรู้ค่ะว่าคุณหลับอยู่ แต่...ฉันอยากให้คุณได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดใส ด้วยเพลงที่ฉันชอบฟัง หวังว่าคุณคงจะชอบมันนะ อรุณสวัสดิ์ยามเช้ามากๆค่ะคุณเดย์

    ‘Darin'

     

    นี่ก็เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้วที่ผมต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกในเวลาเดียวกันแบบนี้ทุกคืน มันน่าหงุดหงิดอยู่บ้างในบางครา ทว่าผมกลับต้องยอมรับตามตรงว่า ผมก็ยังมีความกระตือรือร้นกดโทรศัพท์เข้าไปฟังเพลงที่ดาริณ ผู้เป็นอดีตลูกค้าประจำบาร์ฝั่งที่ผมเคยทำงาน และเป็นแฟนคลับในปัจจุบันของผมอย่างไม่มีทีท่ารีรอ เพราะบทเพลงที่เธอส่งให้ฟังมักเป็นแนวเพลงเก่ายุคเจ็ดศูนย์ที่ผมคลั่งไคล้มาก ผมจึงแอบสร้างเพลย์ลิสต์ในโทรศัพท์มือถือเก็บเพลงของเธอไว้ฟังคนเดียว เป็นแฟนคลับของเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยเช่นกัน

    และแล้ว...ผมก็ฟังเพลงที่เธอส่งมาจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

    "เฮ้ย! เดย์ตื่นได้แล้ว เรามีไฟลท์บินไปญี่ปุ่นเช้านี้นะ นอนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ได้ไอ้บ้า!"

    เสียงห้าวสบถที่คุ้นเคยของรูมเมทผู้มีชื่อเล่นในวงการดนตรีว่า "โจ" หรือชื่อจริง จามัว โจ วิลเลี่ยมส์ หนุ่มลูกครึ่งแอฟริกัน-อเมริกัน ผสมเชื้อชาติเกาหลีจากผู้เป็นแม่ มือกีตาร์โซโล่แห่งวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ วงดนตรีแนวอินดี้ร็อกชื่อดังแห่งวงการดนตรีสากลโลก ที่ล่าสุดได้รับขนานนามว่าเป็น “จิตวิญญาณแห่งเจนวาย” เขาเกิดในตระกูลของนักดนตรีแนวบลูส์ชื่อดังแห่งวงการดนตรีใต้ดินในดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นคนที่ผมนับถือเสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ เนื่องจากพวกเรานั้นรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลนานาชาติด้วยกัน ผมรักที่เขาเป็นคนที่จริงใจ มีนิสัยโอบอ้อมอารี ยามมีปัญหาเขาสามารถให้ความช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งพิงได้ เขาให้ใจกับทุกคนเกินร้อย หากมองย้อนกลับไปในสมัยเรียนไฮสคูล การรวมกลุ่มเพื่อนชายนั้นเรียกได้ว่าเป็นเพียงการรวมตัวกันของเด็กกะโปโลหน้าหม้อทั้งห้าคนจะดีกว่าเรียกว่าฟอร์มวง เพราะความตั้งใจในการฟอร์มวงดนตรีของพวกเรานั้นฟังดูโหลยโท่ยมากในความคิดผม เพราะเราเพียงแค่อยากเรียกร้องความสนใจจากสาวๆเท่านั้นเอง ใครจะไปคาดคิดว่าเราจะสามารถมาไกลได้ถึงเพียงนี้

    "พี่โจ ขออีกยี่สิบนาทีไม่ได้เหรอ"

    "ได้! ไม่ตื่นใช่ไหมครับคุณดันแคน ฮวัง"

    "เฮ้ย! จีซุน มาลากเพื่อนแกไปหน่อยดิ๊"

    เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของโจมันได้รบกวนโสตประสาทของหูผมขึ้นมาแล้ว

    หึ! แต่อย่าได้แคร์เลย นอนต่อไปเดย์ นายยังนอนได้อยู่

    พลั่ก! อึก!

    ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสของคนรูปร่างสันทัดที่กระโดดมานอนทับ พร้อมสัมผัสถึงแรงกดจากมือเล็กๆที่แนบแน่นบนหัวของผมได้เป็นอย่างดี เสียงกระทบกันของมือที่กดลงมาข้างหูผมดังขึ้น ทำเอาผมอยากจะเป็นบ้าตาย

    "ตื่นโว้ย!"

    "คิม จีซุน" ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดกำยำ ไว้ผมรองทรงต่ำสีดำสนิทผู้เป็นมือกีตาร์โซโล่ของวง เพื่อนรักสมัยเรียนไฮสคูลนานาชาติของผม ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลข้าราชการ ผู้มีอาชีพเสริมทำธุรกิจนำเข้าเวชสอางจากอเมริกาจนร่ำรวยมหาศาล พวกเราฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมามากกว่าจะได้เดบิวต์เป็นวงดนตรีอย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเราต้องยอมเสียสละและอุทิศตนให้กับผลงานเพลง ถึงขั้นยอมหยุดเรียนต่อและทะเลาะกับครอบครัว เพื่อทำตามความฝันให้เป็นจริงในที่สุด แม้นปลายทางฝันของเราอาจจะแตกต่างกันไปบ้างก็ตามที

    จีซุน เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มฮอตที่สุดในวง จากท่าเสยผมเวลาดีดกีตาร์บนเวทีนั้นมันคงน่าหลงใหลเป็นที่ต้องตาต้องใจในหมู่สาวๆมาก จนทำให้พวกเธอหลงลืมฟังดนตรีไปเสียทุกที ใครจะไปนึกล่ะว่าเบื้องหลังความเท่บนเวทีนั้นจะถูกย่ำยีด้วยความเกรียนแตกอย่างไม่มีชิ้นดี เสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ต้องเล่าอะไรมากนักหรอก เพียงแค่ตอนนี้เขาทิ้งร่างกำยำลงมานอนทับบนตัวผม โดยที่เขาแทบจะไม่ได้ใส่ใจสักนิดเลยว่าน้ำหนักตัวของเขาอาจคร่าชีวิตคนได้ ก็น่าจะสามารถบ่งบอกจิตใจของเขาได้ไม่มากก็น้อยล่ะนะ แต่ช้าก่อน...หากจะเข้าใจไปได้ว่าผมต้องตื่นเพราะหวาดกลัวการใช้กำลังของเพื่อนนั้น คิดผิดถนัด ผมบอกได้เลยว่าไม่มีอะไรมาทำให้ผมสะทกสะท้านได้หรอก นอกเสียจากผู้หญิงคนนั้น

    "จะขี้เซาไปถึงไหนวะ คนอื่นเาแต่งตัวเซทผมกันหมดแล้ว เหลือแกคนเดียวเนี่ยไอ้เดย์!"

    แล้วอย่างไรล่ะ? จะให้ผมตื่นในขณะที่กำลังดื่มด่ำความรู้สึกกับบทเพลงของดาริณน่ะเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก

    "จีซุน ถ้ามันยังไม่ตื่น พี่ว่าเราใช้วิธีนี้ดีกว่าว่ะ"

    "ถอดกางเกงแล้วดีดไข่มันใช่ป่ะ"

    ให้ตายสิ! พวกเขาจะทำอะไรพิเรนทร์กันอีกแล้วเหรอ ผมละเบื่อพวกเขาจริงๆ

    ฟึบ!

    "ตื่นก็ได้ อะไรกันนักกันหนาวะ ไอ้พวกทะลึ่ง!"

    ผมหน้านิ่วคิ้วขมวดเพื่อเป็นการหยุดการกระทำพิเรนทร์นี้ไว้ หากไม่ทำเป็นโกรธบ้าง ผมคงโดนดีเข้าสักวัน

    "จะให้ทำยังไงได้วะ ก็มันเหลือทางเดียวแล้ว ขนาดจีซุนนอนทับขนาดนั้นแกยังไม่ตื่นเลย ใช่ไหม จีซุน"

    "ใช่! รีบเลย อย่าอาบน้ำนานด้วย มันสายแล้วเข้าใจไหมไอ้เดย์"

    พลันโดนผ้าเช็ดตัวฟาดตรงใบหน้าเข้าเต็มเปา ผมจึงโต้ตอบด้วยนิ้วกลางไปเสียเลย

    -----------------------------------------------------------------

     

    ‘8.10 .’

    รถตู้สีดำคันใหญ่ดูหรูหราจอดหน้าประตูทางเข้าประตูหนึ่งของสนามบิน   ซึ่งเป็นทางเข้าที่ฉันสืบมาแล้วว่ารถตู้ที่ใช้ขับมาส่งร็อกเกอร์ตาเฉี่ยวกับผองเพื่อนของเขาจะมาจอดตรงนี้ ฉันยืนปรับเลนส์กล้องตัวเก่งหลังเสาต้นที่มีระยะห่างจากบริเวณที่รถตู้จะมาจอดไม่ไกลมากนัก พลางยืนเล่นกล้องรุ่นใหม่ราคาแพงที่ฉันอดทนทำงานตรากตรำในการเก็บหอมรอมริบซื้อมันมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็เป็นที่น่าพอใจ เพราะมันทำให้ฉันได้รูปภาพร็อกเกอร์ตาเฉี่ยวที่หล่อที่สุดเท่าที่เคยถ่ายได้มา

     คนที่ฉันคลั่งไคล้มานานนั้นมีนามว่า "ดันแคน ฮวัง" หรือชื่อเล่นในวงการดนตรีว่า เดย์เขานักร้องนำ และโคโปรดิวเซอร์ของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ วงอินดี้ร็อกชื่อดังก้องโลก ผู้สามารถพิชิตรางวัลต่างๆตามเส้นทางดนตรีของสากลโลกมานับไม่ถ้วน จากความพยายามอันหาญกล้า ยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง ทำให้ฉันตกหลุมรักเขาอย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ เขาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-เกาหลี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “คิม ฮวัง” อดีตพระเอกชื่อดังแถวหน้าของวงการ แต่งงานกับนางแบบสาวชาวอังกฤษและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างผาสุกในสหราชอาณาจักร

    ฉันคอยเฝ้าติดตามมาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นวงใต้ดินต๊อกต๋อยและมีงานเสริมเป็นนักดนตรีประจำที่บาร์ฝรั่งที่ฉันชอบไปนั่งจิบสุราฟังเพลงอย่างสุนทรีกับคู่หมั้นของฉันจนกระทั่งตอนนี้แม้จะเลิกรากันไปนานแล้ว แต่ความรักที่ฉันมีให้เดย์ยังคงไม่ลดราวาศอกไปไหนแน่ เดย์นั้นแม้นทุนเดิมจะมีชื่อเสียงมาจากการเป็นลูกของดารา  ทว่าเขากลับมีนิสัยที่ติดดินและไม่ห่วงหล่อหรือถือตัวเลย แม้ดวงตาเฉี่ยว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่มสวยจะช่วยเสริมให้เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา เหมาะกับการแต่งตัวเนี้ยบ ทว่าเขากลับปล่อยตัว ปล่อยให้ตัวเองมีเคราและมีผมกระเซอะกระเซิงตามธรรมชาติ ไม่ยึดถือกระแสเป็นที่ตั้ง ทำอะไรตามใจและจิตวิญญาณของตนเองเป็นหลัก จนในบางมุมก็ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงเอามากๆ เขามักทำหน้ามึนงง หรือในบางคราก็แสดงสีหน้าบึ้งตึงราวกับไม่สบอารมณ์ จึงทำให้ใบหน้าหล่อคมของเขาไม่เป็นที่ต้องตาในหมู่สาวๆชาวเกาหลีมากนัก เพราะมันคงดูโหดเกินไป แต่สำหรับฉัน เขา...คือผู้ชายที่ทรงเสน่ห์มากที่สุด

    แชะ! แชะ!

    ฉันมัวเพลิดเพลินไปกับการถ่ายภาพของร็อกเกอร์ตาเฉี่ยว  จนเขารู้สึกตัวหันมามองทางฉัน จนฉันตกใจรีบกลับเข้าไปหลบหลังเสาดังเดิม ทว่าเขายังพยายามชะเง้อมองหา และโบกมือทักทายฉันราวกับสนิทกัน ทำเอาฉันใจสั่น หลงใหลไปกับความน่ารักและเป็นกันเองที่ลึกๆก็แอบหวังว่าคงจะมีให้เฉพาะฉันเพียงเท่านั้น

    ฉันรีบหลบหน้าให้พ้นสายตาทุกคน เพราะเกรงว่า ปาร์ค ซงโฮผู้จัดการวงจะเดินมาไล่สาวโรคจิตคนเดิมที่กำลังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของเดย์อยู่หลังเสาต้นนี้ ซึ่งขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีเมื่อโชคยังเข้าข้างฉันบ้าง เนื่องจากตอนนี้พวกเขาเดินเข้าประตูไปแล้ว พร้อมเสียงเชียร์เฮดังสนั่นจากแฟนคลับด้านในที่พากันตะโกนเรียกชื่อวง ในขณะที่ฉันกุมกระเป๋าเดินทางรอจังหวะที่จะเดินเข้าประตูสนามบินไปเช่นเดียวกัน

    บัดนี้ทางสะดวกเนื่องจากแฟนๆส่วนใหญ่เริ่มวงแตกแยกย้ายกันไปตามทางใครทางมันแล้ว  ถึงคราวที่ฉันจะเดินเข้าไปเช็คอินตั๋วเครื่องบินที่ฉันวางแผนซื้อมันมาเพื่อตามไปดูคอนเสิร์ตของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ที่ไปเปิดการแสดง ณ เทศกาลดนตรีร็อกในประเทศญี่ปุ่นบ้าง  ฉันรีบถอดหน้ากากเดินจ้ำอ้าวไปยังเคาน์เตอร์เช็คอินตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัด ซึ่งตั้งใจจองไว้เพื่อบินไฟลท์ เดียวกับเขาในวันนี้  มันใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นเครื่องเข้าไปทุกนาที เมื่อเช็คอินเสร็จแล้วจึงรีบก้าวฉับเพื่อไปเข้าเกทตามหมายเลขที่ระบุไว้บนตั๋ว   พลางถอดเสื้อเชิ้ตลายสกอตสีแดงสลับขาวตัวหนาเพื่อมาผูกเอวเดินอย่างทะมัดทะแมง ก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบเพื่อไปขึ้นเครื่องโดยเร็วที่สุด สิ่งที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้น ฉันเดินชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่รูปร่างสูงกำยำ มองไล่ลงไปเห็นเรียวขาหนาในกางเกงขาโปร่งสีดำสนิทเข้าอย่างจัง จนสัมผัสได้ถึงความเย็นจากน้ำบูลเบอร์รี่โซดาที่หกลงบนเสื้อยืดสีดำลายโลโก้หน้ายิ้มสีเหลืองของวงร็อคชื่อดังยุคเก้าศูนย์ในอดีตเข้า

    "ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เสื้อคุณเปียกไปหมดแล้ว ทำยังไงดี"

    ฉันยังคงก้มลงมองเสื้อตัวโปรดของฉันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำบูลเบอร์รี่โซดา พลางรู้สึกหงุดหงิดเพราะมันส่งกลิ่นคละคลุ้งหอมหวานเต็มหน้าอก แต่เดี๋ยวนะ...เสียงทุ้มต่ำแบบนี้มันช่างคุ้นหูเสียจนฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ทันใดนั้นเองจึงได้พบกับคิ้วหนาเข้มพร้อมดวงตาเฉี่ยวคม ที่ทำเอาฉันตกอกตกใจเกือบเสียขวัญ

    'ดะ..เดย์'

    ฉันพึมพำเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาอย่างไร้สติ เพราะตอนนี้ฉันยังคงยืนอึ้งตะลึงงันจนพูดแทบไม่ออก ราวกับว่าฉันกำลังติดอยู่ในห้วงภวังค์ของโลกในอีกมิติ  แม้แต่เสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์พร่ำบอกขอโทษอยู่ตรงหน้าของฉันแล้วแท้ๆ ฉันก็ไม่มีสติพอที่จะรับรู้

    "คุณๆ" เดย์พยายามโบกมือผ่านหน้าและจับไหล่ฉันเขย่าเบาๆเพื่อเรียกสติ

    "ขอโทษนะครับ แต่ผมต้องรีบไปแล้ว ช่วยรับเงินนี้ไว้ด้วยเถอะนะครับ"

    เขาคว้ากระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกงและหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่ง  จับมือฉันแบและวางเงินนั้นลงบนมือพร้อมม้วนมันเพื่อให้ฉันกำเงินของเขาเอาไว้ แล้วจึงยิ้มยิงฟันจนปากโค้งได้รูปสี่เหลี่ยมอย่างเกรงใจ ก่อนจะกำชับมือฉันเขย่าอีกครั้งเพื่อส่งสัญญาณว่าเขาต้องไปแล้วจริงๆ

    "ดะ... เดี๋ยวค่ะ"

    ฉันยังคงยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ไม่มีสติมากพอที่จะปะติปะต่อเรื่องราวได้  แม้ฉันจะติดตามชื่นชมเขากับวงร็อกของเขามาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะได้เห็นเขาในระยะใกล้ชิด ได้โดนเขากุมมือ แถมยังได้ยินเสียงทุ้มต่ำอันทรงเสน่ห์ของเขาพร่ำบอกขอโทษฉันแบบที่ฉันเจอในวันนี้

    'นี่มัน...บ้าไปแล้วดาริณ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×