ตอนที่ 50 : Chapter 48
Chapter 48
เมื่อเจียงซือเล่อกลับมาถึงตึกขนาดเล็ก เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างใน เขาเร่งฝีเท้าด้วยความยินดีและเดินเข้าไปที่สนามหญ้า
เป็นฉินอี้แน่นอน
เจียงซือเล่อเห็นชายหนุ่มยืนอยู่กลางสนาม การเป็นทหารมายาวนานทำให้ท่ายืนของเขาเหยีดตรงและผ่าเผย ผมของเขาตัดสั้นเป็นปรกติวิสัย ผิวสีแทนและกรอบหน้าที่ทำให้เขาดูค่อนข้างเย็นชา ความหล่อเหลาของฉินอี้นั้นด้อยกว่ามู่เฟยและบุคลิกของเขาก็ค่อนเข้างหยาบกระด้าง เขาพูดขวานผ่าซากและตรงประเด็นโดยไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่น
แต่เวลานี้ลาดไหล่กว้างด้านหลังทำให้เจียงซือเล่อรู้สึกถึงความสงบและน่าเชื่อถือ
เจียงซือเล่อเห็นฉินอี้เอียงศีรษะและเงยหน้าขึ้นมองบนต้นไม้ที่เขียวชอุ่มเหมือนกำลังพูดอะไรบ้างอย่าง จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้าน
เขามองอะไร มีแมวซ่อนอยู่บนต้นไม้เหรอ? ฉินอี้เป็นทาสแมวตั้งแต่เด็ก เขาเคยเลี้ยงแมวที่บ้านตัวหนึ่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นแมวหลงข้างนอก เขามักจะหยุดดูและสัมผัสพวกมัน แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในยุคของวันสิ้นโลกที่สัตว์เกือบทั้งหมดกลายพันธุ์ไปหมดแล้วจะมีแมวหลงปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร
เมื่อร่างของฉินอี้หายไปหลังประตู เจียงซือเล่อก็รีบตามไปโดยไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก
ลู่เหิงที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้มองตามหลังเจียงซือเล่อและครุ่นคิด ดูเหมือนจะมีร่องรอยของพลังปีศาจในตัวคนคนนี้ถึงแม้จะเบาบางมากก็ตาม ไม่น่ามีปีศาจปรากฏตัวออกมา ปีศาจในหัวใจของเจียงซือเล่อคงกลัวว่าจะเป็นที่สังเกตไปมากกว่านี้
จะเอาปีศาจออกมาจากตัวเจียงซือเล่อได้อย่างไรในเมื่อไม่มีเบาะแสอะไรเลย ลู่เหิงเอนหลังอย่างกระสับกระส่าย รู้สึกว่าเขาต้องการกินอะไรบางอย่างเพื่อให้สมองแล่น
ตอนที่เขากับฉินอี้เดินทางลงจากเขา โชคดีที่หมูป่าที่ยังรอดชีวิตโผล่มาโดยบังเอิญ เนื่องจากภายในขอบเขตของสำนักคุรุเทพยังไม่ได้ถูกพลังปีศาจรุกล้ำ ดังนั้นสัตว์จึงไม่ได้กลายพันธุ์และสามารถกินได้อย่างมั่นใจ
หลังจากที่กลับมา ฉินอี้ก็อาสาจะทำหมูป่าผัดซอสแดงให้เขากิน เมื่อกี้ฉินอี้จึงเดินมาบอกเขาว่าจะไปทำอาหารมื้อถัดไปเดี๋ยวนี้
[ผู้ช่วยตัวน้อย เรื่องวิธีแยกปีศาจออกมา นายไม่มีคำใบ้อะไรหน่อยเหรอ?]
[ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก ผมเป็นแค่ระบบช่วยเหลือ ไม่ใช่ระบบโกง]
[ระบบนายจะล้าหลังเกินไปแล้ว นายน่าจะพัฒนาดัชนีทองคำแบบพื้นที่เก็บของ ปลดล็อกสิ่งของตามเลเวล เพื่อที่จะกระตุ้นพนักงานให้พัฒนาพลังบ้าง!]
[ถ้าพวกเราต้องทำทุกอย่าง แล้วพวกนายจะทำอะไรล่ะ?] ผู้ช่วยตัวน้อยช่างไม่มีความเมตตา
[...]
เจียงซือเล่อไล่ตามฉินอี้เข้าไปในบ้าน แต่ก็ไม่เห็นใครในห้องนั่งเล่น จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้องครัว
ฉินอี้กำลังจดจ่ออยู่กับการควบคุมอุณหภูมิและเริ่มทำน้ำซอส หมูผัดซอสแดงต้องทำด้วยความระมัดระวัง น้ำซอสต้องสมบูรณ์แบบ เขาได้ยินเสียงใครบางคนเดินเข้ามาด้านหลัง แต่เขาก็ยุ่งเกินกว่าจะหันไปมอง
“พี่อี้ พี่ทำอาหารจริง ๆ เหรอ?” เสียงของจียงซือเล่อดังมากจากข้างหลัง
“อืม” ฉินอี้ยังคงจ้องอาหารในหม้อ
เจียงซือเล่อยื่นศีรษะมามอง “หมูผัดซอสแดง นั่นเป็นอาหารจานพิเศษของคุณลุง ผมยังจำได้อยู่เลยว่าตอนที่ผมไปบ้านพี่ตอนเด็ก ๆ คุณลุงมักจะทำจานนี้ทุกครั้ง”
“อืม” ฉินอี้ยังคงกวนเนื้อในหม้อเพื่อไม่ให้มันติดหม้อ
“พี่คงจำไม่ได้ว่า...” เจียงซือเล่อยังอยากพูดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นฉินอี้ไม่หันมาสนใจจึงรู้สึกโกรธเล็กน้อย “พี่อี้!”
“เสี่ยวเล่อ มีเรื่องอะไรค่อยคุยทีหลังตอนฉันว่างนะ” ฉินอี้ทำขั้นตอนสุดท้ายเสร็จ ตักไขมันออกและตักหยิบเนื้อชิ้นอวบอ้วนมาใส่ถ้วยใบใหญ่ ถือถ้วยเนื้อใบใหญ่แล้วเดินออกไป “เรียกคนอื่น ๆ มาแบ่งที่เหลือในหม้อไปด้วยนะ”
เจียงซือเล่อเดินหนีด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะตกตะลึงอยู่ในห้องนั่งเล่น กระจกบานใหญ่ตั้งแต่พื้นจรดเพดานในห้องนั่งเล่นทำให้เขาเห็นฉินอี้ที่กำลังถือถ้วยหมูผัดซอสแดงเดินไปทางต้นไม้ใหญ่ในสนาม และเงยหน้าพูดบางอย่าง จากนั้นเด็กหนุ่มที่ชื่ออวิ๋นหลานก็กระโดดลงมาจากต้นไม้
ลู่เหิงเดินตามฉินอี้ไปที่เก้าอี้กลางสนามบ้านและนั่งลง เขาเห็นหมูผัดซอสแดงซึ่งมีสีแดงเป็นมันวาวในมือของอีกฝ่าย มีไขมันลอยอยู่เล็กน้อย แค่แวบแรกที่เห็นก็ราวกับว่าจะละลายทันทีที่เอาเข้าปาก
“กินด้วยกัน” ลู่เหิงหยิบตะเกียบ เขารู้ว่าถ้าเขาไม่พูดแบบนี้ เกรงว่าฉินอี้คงเอาแต่จ้องเขากิน
ฉินอี้ตอบรับและเดินเข้าไปหยิบถ้วยข้าวสองใบออกมา ทั้งสองนั่งกินหมูผัดซอสแดงเป็นมื้อเที่ยงด้วยกัน
หลังจากกินข้าวไปได้ครึ่งถ้วย อวี๋ชานก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ “หัวหน้า พวกเหวินหลงตามคนจากตระกูลซ่งที่บุกเข้ามาไปแล้ว!”
ตระกูลซ่งเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจที่ควบคุมฐาน W ก่อนวันสิ้นโลกตระกูลซ่งเป็นตระกูลที่เริ่มมาจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมทั้งหลายของพวกเขาไม่ค่อยใสสะอาดสักเท่าไหร่ ดังนั้นหลังจากวันสิ้นโลกมาถึง พวกเขาจึงสามารถรวบรวมกองทัพได้อย่างรวดเร็วและครอบครองส่วนหนึ่งฐาน W หัวหน้าตระซ่ง ซ่งโหย่วเหรินมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อซ่งคุนอวี่ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาราวกับแก้วตาดวงใจ
ซ่งคุนอวี่เองก็โชคดีที่สามารถปลุกพลังสายฟ้าที่หายากได้เมื่อไม่นานมานี้ ตระกูลซ่งซึ่งมีข้อมูลภายในลึกล้ำ ได้ยกระดับพลังของเขาขึ้นจนถึงระดับเจ็ดด้วยแกนคริสตัลภายในอึดใจเดียว นี่ทำให้นิสัยของซ่งคุนอวี่ซึ่งแต่เดิมก็ชอบบงการอยู่แล้วแล้วยิ่งแย่ลงไปอีกระยะนี้ เพราะพลังของหัวหน้าฉินในตำนานอยู่แค่ระดับแปดและยังเป็นแค่พลังไฟธรรมดาทั่วไป นี่ทำให้ซ่งคุนอวี่คิดว่าทุกคนอยู่ต่ำกว่าตัวเอง
ซุนเหวินหลงเป็นหัวหน้าหน่วยสามซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของฉินอี้ เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนและเต็มไปด้วยความยุติธรรม เขามักจะทนมองซ่งคุนอวี่ซึ่งเป็นคนของตระกูลซ่งกดขี่คนอื่นไม่ได้ ฉินอี้ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ได้ยินว่าพวกเขามีปัญหากัน
“นายกินช้า ๆ ล่ะ ฉันจะไปดูสักหน่อย” ฉินอี้พูดกับลู่เหิง วางถ้วยลงและตามอวี๋ชานออกไปจากสนามหญ้าเล็ก ๆ
ลู่เหิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กินอาหารอีกไม่กี่คำจนถ้วยสะอาดก็ตามไป
ในตลาดนัดเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ทั้งสองฝั่งเผชิญหน้ากัน
คนแรกมีใบหน้าหล่อเหล่าแต่ตอนนี้ดวงตาสีฟ้าครามค่อนข้างขุ่นมัว เห็นแวบแรกก็รู้ว่าเขาเมา ในมือของคนคนนี้มีสายฟ้าสีม่วงกระพริบอยู่ ฝูงชนจำนวนมากที่ยืนดูอยู่ไม่ไกลรับรู้ได้ถึงพลังกดดันของมัน
ในขณะที่อีกฝั่งอยู่ในท่าทางน่าเกรงขาม ท่ายืนดูสบาย ๆ แต่เขากลับสามารถพุ่งเข้าไปช่วยเหลือปกป้องเพื่อนร่วมทีมได้ทุกเวลา มองแล้วเขาดูเหมือนจะมีประสบการณ์การต่อสู้กับคนในทีมมาเป็นเวลาหลายปี
“พลังสายฟ้าช่างคู่ควรกับการเป็นพลังอันดับหนึ่ง ฉันว่าซุนเหวินเหลิงต้องจบไม่สวยแน่”
“ได้ยินมาว่าพลังของนายน้อยซ่งพุ่งขึ้นเป็นระดับเจ็ด เกรงว่าคงไม่อ่อนแอไปกว่าหัวหน้าฉินสักเท่าไหร่หรอก”
“พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก พลังไม่ใช่แค่เรื่องระดับสูง ๆ ไร้สาระแบบนั้น”
ผู้ชมที่ยืนอยู่ในระยะปลอดภัยกระซิบกระซาบกัน
พลังสายฟ้าของซ่งคุนอวี่โจมตีทีมของซุนเหวินหลง หนึ่งในผู้มีพลังในกลุ่มที่เห็นแบบนั้น กระทืบเท้าลงบนพื้น ยกกำแพงดินขึ้นมาและหยุดการโจมตีของสายฟ้า ทว่าพลังสายฟ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งด้านการโจมตีไม่ใช่แค่การพูดลอย ๆ ทันทีที่มันสัมผัสกำแพงดินมันก็ระเบิดไปชิ้น ๆ ทันที
ทว่าการโจมตีของสายฟ้าถูกขัดขวางได้ในตอนสุดท้าย และทุกคนในกลุ่มก็ถือโอกาสนี้แยกกัน
“หึ” ซ่งคุนอวี่ยิ้มอย่างดูถูก นี่เป็นแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เขาเพิ่งจะขึ้นมาถึงระดับเจ็ดและกำลังมองหาใครสักคมมาซ้อมมือ เขาจะฆ่าคู่ซ้อมพวกนี้เร็ว ๆ ได้อย่างไร ได้ยินมาว่าฉินอี้เพิ่งออกจากฐานไปไม่กี่วันก่อน ตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น
แลกเปลี่ยนอีกหลายกระบวนท่า หลังจากที่ทางฝั่งซุนเหวินหลงร่วมมือกันโจมตีไปอีกหลายครั้ง พวกเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เมื่อพบว่าซ่งคุนอวี่ไม่มีอาการหอบเลย ในที่สุดเขาก็รู้สึกเบื่อและเตรียมจะจบศึกนี้
“เห็นแก่หน้าหัวหน้าฉิน ฉันจะไว้ชีวิตสุนัขอย่างพวกแก” ซ่งคุนอวี่พูดจบก็เอาสองมือก็ถูกัน สายฟ้าปรากฏขึ้นระหว่างมือทั้งสองรูปร่างราวกับถ้วยซึ่งเต็มไปด้วยพลังที่บ้าคลั่ง
สายฟ้านี้แตกต่างจากการโจมตีราวกับกำลังเล่นสนุกเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ถ้ากลุ่มซุนเหวินหลงหลบไม่ได้ เกรงว่าคงต้องบาดเจ็บอย่างหนัก
ในตอนที่อยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย เสียง ๆ หนึ่งพลันดังขึ้นจากปลายถนน “หยุด!”
ทุกคนมองกลับไปและเห็นฉินอี้และอวี๋ชานเดินเข้ามา ความสนใจของซ่งคุนอวี่ตกอยู่ที่ด้านหลังฉินอี้ เขาเห็นอีกคนปรากฏที่มุมถนน เห็นได้ชัดว่าตามฉินอี้มา
ชายหนุ่มมีใบหน้าอ่อนเยาว์ มีดาบแปลก ๆ อยู่ที่หลัง ผมหยักศกและดูท่าทางรังแกได้ง่าย ๆ ที่สำคัญที่สุดคือตอนนั้นซ่งคุนอวี่เห็นฉินอี้พาคนคนนี้เข้ามาที่ฐานและดูท่าทางสำคัญมาก
ฉินอี้ไม่สามารถขยับได้ชั่วคราว เขาปล่อยให้อีกฝั่งเป็นคนเริ่มเปิดฉากโจมตีก่อน ซ่งคุนอวี่ตาเหลือกราวกับตกใจที่ได้ยินเสียงของฉินอี้อย่างกะทันหัน สายฟ้าพลันปรากฏขึ้นมาบนมือที่สั่นระริก
“อ๊า! ระวัง!” ซ่งคุนอวี่ตะโกนออกมาอย่างเสแสร้ง
ฝูงชนที่ยืนมองอยู่ตกตะลึงจนกรามแทบหลุดออกมา นายน้อยซ่งกล้ายั่วยุหัวหน้าฉิน? ทว่าคนที่ตาดีหน่อยจะเห็นว่าสายฟ้าที่ปล่อยออกมาเหมือนจะตกห่างจากหัวหน้าฉินไปเล็กน้อย ถึงแม้ฉินอี้จะไม่ขยับมันก็ไม่มีทางโดนตัวเขา
ฉินอี้ก็คิดแบบนั้น เขาคิดว่าซ่งคุนอวี่เพิ่งจะเลื่อนขึ้นมาระดับเจ็ดยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจึงคิดอยากจะยั่วยุเขาซึ่ง ๆ หน้า แต่ไม่มีความกล้าจะปะทะเขาตรง ๆ ฉินอี้ยืนนิ่งโดยไม่แม้แต่จะขยับคิ้ว เขามองสายฟ้าที่ผ่านตัวไป แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงตะโกนด้วยความหวาดกลัวดังมาจากฝูงชน
“เจ้าหนู! หลบเร็ว!”
ฉินอี้หันกลับไปทันที แต่ฉากที่เห็นทำให้หัวใจเขาแทบแตกเป็นเสี่ยง ไม่รู้ว่าลู่เหิงมาอยู่ข้างหลังเขาเมื่อไหร่ ทิศทางของสายฟ้าพุ่งตรงเข้าปะทะที่ด้านหลังของเขา
เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของลู่เหิงมากกว่าเขา กระทั่งเขายังไม่กลัวสายฟ้านี้ ลู่เหิงก็คงไม่ต่างกัน ฉินอี้เข้าใจเหตุผลนี้ดีแต่หัวใจเขากลับมีความหวาดกลัวที่อธิบายไม่ถูกปรากฏขึ้นมา กระทั่งวิญญาณยังสั่นสะท้านราวกับเคยเห็นฉากที่คุ้นเคยเหล่านี้มาก่อน เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แม้แต่นิดเดียวและรีบวิ่งไปทางลู่เหิง
บางคนที่ขี้ขลาดหน่อยปิดตา ไม่อยากเห็นเด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์ที่บังเอิญผ่านมาถูกผ่าเป็นเถ้าถ่าน แต่เมื่อเด็กหนุ่มดึงดาบไม้ออกมาจากด้านหลังและฟันมันอย่างสบาย ๆ สายฟ้าที่ดูคล้ายจะสามารถทำลายโลกได้ก็สลายกลายเป็นควัน
...
สถานการณ์เงียบกริบ อย่าบอกนะว่าพลังสายฟ้าเป็นแค่พลังที่มีไว้แค่โชว์? เด็กหนุ่มคนนั้นมีแค่ดาบไม้ในมือ! ดาบไม้สามารถทำลายพลังสายฟ้าได้อย่างไร? มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ!
ฉินอี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะสนใจความคิดของคนอื่น เขารีบพุ่งไปหาลู่เหิง คว้าไหล่ของอีกฝ่ายและมองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายครั้งค่อยรู้สึกวางใจ
ลู่เหิงรู้ว่าทำไมคนคนนี้ถึงร้อนรนมากขนาดนี้ น่าจะเพราะมันเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณซึ่งคอยย้ำเตือนเขาเสมอ ลู่เหิงรู้สึกเจ็บปวดในใจและอยากทำอะไรบางอย่าง แต่ผู้ช่วยตัวน้อยก็กระโดดออกมาพร้อมกับคำเตือน OOC
ลู่เหิงทำได้แค่มองฉินอี้ด้วยใบหน้างุนงง “ศิษย์น้อง?”
เมื่อได้ยินคำว่าศิษย์น้อง ฉินอี้จึงได้สติและพลันรู้สึกว่าเขามีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป ถึงแม้เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาจะดูเหมือนรังแกได้ง่าย ๆ แต่อีกฝ่ายเป็นคนที่แข็งแกร่งจนสามารถต่อสู้ซอมบี้ระดับเก้าได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วซ่งคุนอวี่ที่ภายนอกดูแข็งแกร่งแต่ความจริงอ่อนแอจะสามารถทำร้ายกระทั่งผมเส้นเดียวของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ฉินอี้อยู่ในอารมณ์ซับซ้อน แต่ตอนนี้กลับมีใครบางคนกระโดดออกมาไม่ดูตาม้าตาเรือ
“น้องชายคนนี้ไม่เป็นไรนะ ผมขอโทษจริง ๆ ครับหัวหน้าฉิน” ซ่งคุนอวี่เดินเข้ามา “ผมเพิ่งจะเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับเจ็ดเลยยังควบคุมได้ไม่ดีจนเกือบทำร้ายน้องชายคนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ หัวหน้าฉินคุณคงไม่ว่าผมใช่ไหม?”
ฉินอี้ขมวดคิ้วแน่น ปล่อยมือออกจากไหล่ของลู่เหิงและล้วงในกางเกง เขารู้สึกได้ว่านิ้วของเขายังสั่นอยู่เล็กน้อยและไม่ต้องการพูดอะไรเวลานี้
เมื่อซ่งคุนอวี่เห็นฉินอี้เมินตัวเอง จึงหันไปทางลู่เหิงอีกครั้ง “น้องชาย ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะเมื่อกี้ เอาอย่างนี้ให้ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงนายสักมื้อเพื่อเป็นการขอโทษ?”
ลู่เหิงเข้าใจได้อย่างชัดเจน ซ่งคุนอวี่คนนี้ปลุกพลังสายฟ้าที่หายากขึ้นมาได้ ตระกูลซ่งค่อนข้างกลัวความไม่มั่นคง อย่างไรการเป็นหนึ่งในสามของฐาน W แต่ต้องคอยถือหางคนอื่น ความรู้สึกที่ได้รับคงไม่น่าอภิรมย์นัก
“ไม่ต้องขอโทษหรอก การโจมตีคุณอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำร้ายผมได้” ลู่เหิงตอบด้วยความสัตย์จริง
พรืดดด–
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากฝูงชน อวี๋ชานและซุนเหวินหลงไม่กลัวตระกูลซ่งจึงหัวเราะออกมาโดยไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ เหล่าซุน ฉันมีเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นตอนฉันกินข้าววันนี้จะบอกนาย” อวี๋ชานลูบหน้าตัวเองซึ่งเริ่มเป็นตะคริวจากการหัวเราะและพูดขึ้นมา
“อะไรเหรอ?” ซุนเหวินหลงให้การสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
“มีแมลงวันบินผ่านหูฉันตัวหนึ่ง เดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?” อวี๋ชุนพูดเสียงดัง “มันหันกลับมาขอโทษฉัน แล้วบอกว่าขอโทษที่เกือบทำฉันบาดเจ็บ”
คราวนี้กระทั่งฝูงชนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ใบหน้าซ่งคุนอวี่เป็นสีม่วงด้วยความโกรธ เขาหอบหายใจสองครั้งและในที่สุดก็หายใจเข้าลึก ๆ และหมุนตัวจากไป
ฝูงชนค่อย ๆ กระจัดกระจายออกไป
“พูดมา เกิดอะไรขึ้น” ในที่สุดฉินอี้ก็ปรับอารมณ์ได้
“เอ่อ ผมเจออะไรดี ๆ ในซุ้มขายของ แล้วเจ้าเด็กตระกูลซ่งก็เข้ามาขัดแข้งขัดขาผมอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ว่าผมเสนอไปราคาไปเท่าไหร่ เขาก็เอาแต่จะเพิ่มสองเท่าตลอด” ซุนเหวินหลงยังเต็มไปด้วยความโมโห “เดิมทีเจ้าเด็กคนนี้ก็ไม่ค่อยเข้าหูเข้าตาผมอยู่แล้วเลยลงไม้ลงมือกัน”
“ไม่กี่ปีที่ผ่านมาตระกูลซ่งมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น” อวี่ชานกล่าวเสริม
“ซ่งคุนอวี่ปลุกพลังสายฟ้าขึ้นมาได้ แต่มันกลับทำให้พวกเขาเกิดความคิดผิด ๆ” ฉินอี้ไม่ได้แคร์อะไรมากและโบกมือ ซ่งคุนอวี่คนนี้ในความคิดเขาก็แค่ตัวตลกคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีพลังสายฟ้าระดับเจ็ด แต่เขาไม่เคยฆ่าซอมบี้ด้วยมือตัวเอง ก็แค่พวกท่าดีทีเหลวเท่านั้น
“ถูกครับ หัวหน้าฉิน คุณดูนี่สิ” ซุนเหวินหลงนำสิ่งที่โปร่งใสออกมาคล้ายต้องการนำเสนอสมบัติ
“นี่คือครึ่งหนึ่งของแกนคริสตัล” ฉินอี้จำมันได้ทันทีที่เห็น
“มันน่าสนุกดี เด็ก ๆ ที่มาตั้งซุ้มบอกว่าเก็บมันได้นอกเมือง เปลือกนอกของแกนคริสตัลอันนี้กระทั่งผู้มีพลังธาตุทองยังทำให้มันแตกไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันถูกผ่าครึ่งจนเรียบกริบขนาดนี้ได้ยังไง...” ซุนเหวินหลงคนนี้เป็นคนช่างพูด ได้เริ่มพูดเมื่อไหร่เป็นต้องพล่ามไม่หยุด
ฉินอี้ไม่อยากฟังอีกฝ่ายพูดไร้สาระจึงหมุนตัวเดินออกไป แต่ลู่เหิงก็ดึงแขนเขาไว้เสียก่อน
“มีไรอะไรเหรอ?” ฉินอี้ถาม
ลู่เหิงชี้ไปที่แกนคริสตัลขนาดครึ่งเดียว
“นายอยากได้อันนั้น?” ฉินอี้เห็นลู่เหิงพยักหน้า และนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเป็นฝ่ายพูดกับคนแปลกหน้าก่อน
“เสี่ยวซุน แกนคริสตัลอันนั้นนายอยากได้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน?” ฉินอี้ถามซุนเหวินหลงตรง ๆ
“หัวหน้าคุณไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ เอาไปเถอะครับ ผมแค่อยากเห็นอะไรสนุก ๆ เฉย ๆ ใครจะรู้ว่าเจ้าหนูตระกูลซ่งนั่นจะไม่มีตา...”
เห็นซุนเหวินหลงมีแนวโน้มว่าจะพูดไม่หยุด ฉินอี้รีบพูดขัดเขาอย่างรวดเร็ว “เวิ่นเว้อให้มันน้อย ๆ หน่อย เอาแกนคริสตัลมา ฉันมีไวน์ดี ๆ อยู่ขวดนึง นายตามไปเอาแล้วกัน”
“เยี่ยม!” ซุนเหวินหลงยิ้มแล้วโยนแกนคริสตัลไปทางฉินอี้ ไวน์เป็นสิ่งที่หายากมากในช่วงวันสิ้นโลกแบบนี้
หลังกล่าวลาซุนเหวินหลงและคนอื่น ๆ ฉินอี้และอีกคนก็กลับมาที่สนามบ้าน ก่อนจะเห็นชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ในตึกขนาดเล็กนี้ทั้งหมดถือถ้วยข้าวนั่งยอง ๆ อยู่ในสนามซึ่งอาหารก็คือหมูผัดซอสแดงที่ฉินอี้เพิ่งทำไปเมื่อกี้
“อาหารว่าง! เหลือให้ฉันด้วย!” อวี๋ชานที่เห็นรีบตะโกน พอพูดจบก็พุ่งเข้าไปหยิบตะเกียบในบ้าน
ชายคนหนึ่งยืนขึ้นและดึงอวี๋ชานเอาไว้ “ฉันกินเสร็จแล้ว ถ้าไม่รังเกียจนายจะใช้ก็ได้ ข้างในผัวเมียเขาทะเลาะกันอยู่”
อวี๋ชานเข้าใจได้ในไม่กี่วินาที เขาคว้าถ้วยขึ้นมาและถามโพล่งขึ้นมา “ทะเลาะอะไรอีก?”
“เถียงกันเรื่องย้ายออกจากห้อง ครั้งนี้ฉันกับเสี่ยวหลินพนันว่าเลิกจริง ๆ ส่วนต้าเฉียนกับเหล่าหลี่พนันว่าไม่เลิก” เสี่ยวเหอเชิดคางขึ้น จากนั้นก็พยักพเยิดไปทางในบ้าน “นายอยากลงพนันด้วยบุหรี่สักห่อไหม”
อวี๋ชานกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ก็ได้ยินฉินอี้ถามขึ้นเสียก่อน “ผัวเมีย? ผัวเมียอะไร?”
ยกเว้นลู่เหิง คนทั้งหมดมองหัวหน้าของตัวเองด้วยสีหน้าอธิบายไม่ถูก
“หัวหน้า คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอ?” อวี๋ชานถาม
“รู้อะไร?” ฉินอี้คิดว่าสายตาพวกนี้ดูแปลก ๆ
“เจียงซือเล่อกับมู่เฟยเป็นแฟนกัน!” เสี่ยวเหอพูดตรง ๆ ไม่ใช่ว่านั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนในทีมรู้อยู่แล้วหรือไง?
“อะไรนะ!” มุมมองโลกของฉินอี้พังพลาย
ขอถอนคำพูด ทั้งทีมยกเว้นหัวหน้าของพวกเขา ทุกคนรู้เรื่องนี้หมด
“ไม่นายก็ฉันต้องเป็นคนย้ายออกไป!”
ในสนามหญ้าทุกคนได้ยินเสียงตะคอกของเจียงซือเล่อดังมาจากข้างใน ไม่นานก็เห็นเขาวิ่งออกมาด้วยความเดือดดาล เห็นคนอื่น ๆ ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มในสวน เขาก็ไม่แม้แต่จะหยุดชะงักและยังคงวิ่งออกไป
มู่เฟยวิ่งตามเขาออกมาแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ร่างของเจียงซือเล่อหายไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินกลับมา
“ภรรยาหนีไปอีกแล้ว?” ต้าเฉียนมักจะปากเสียอยู่เสมอ แต่อย่างไรสองคนนี้ก็มีปากเสียงกันได้ไม่เกินสองวันหรอก เดี๋ยวมู่เฟยก็พาเจียงซือเล่อกลับมา คำพูดแซวแบบนี้เขาไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก
มู่เฟยฝืนยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนล้าและเดินเข้าไปในบ้านเงียบ ๆ
...
ลู่เหิงอาบน้ำเสร็จแล้วมานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเพื่อศึกษาแกนคริสตัลขนาดครึ่งหนึ่งที่เพิ่งได้มาจากซุนเหวินหลง ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตู
“เข้ามา”
แน่นอนว่าต้องเป็นฉินอี้ บนชั้นสาม นอกจากฉินอี้กับลู่เหิงก็ไม่มีใครขึ้นมาบนชั้นนี้แล้ว
ตอนที่ฉินอี้เข้ามา สีหน้าเขาเต็มไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้ง ถ้าอีกฝ่ายไม่พูด ลู่เหิงก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายพูดก่อน
“อามู่กับเสียวเล่อเป็นแฟนกันได้ยังไง?” ฉินอี้พูด “พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนรักกันเหรอ?
“...” บางทีชายนี้อาจจะสมองช้าแต่กำเนิด อีกทั้งตอนวัยรุ่นยังถูกเตะกองทัพ เพราะไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ตหรืออะไรแบบนั้นมาก ไม่แปลกที่จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย
“ในสำนักก็มีผู้ชายสองคนหรือผู้หญิงสองคนที่เป็นสหายฝึกเต๋ากัน นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” ลู่เหิงครุ่นคิดอีกครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริมอีกประโยค “จับคู่ฝึกเต๋ากับสหายที่ความคิดเหมือนกันและความรู้สึกเชื่อมโยงถึงกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับเพศสักนิด”
ฉินอี้พลันตระหนักได้ “ใช่ การรักคนคนหนึ่งคือการสนับสนุนและช่วยเหลือนซึ่งกันและกัน ความปรารถนาทางร่างกายไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด”
“...” ลู่เหิงตัดสินใจใส่ไฟเพิ่มให้อีกฝ่าย “ในสำนักก็มีวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ระหว่างบุรุษด้วยกันนะ”
“ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็น...” ฉินอี้ปิดปากตัวเองอย่างฉับพลัน ใบหูค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อเห็นว่าใส่ไฟพอแล้ว ลู่เหิงพลันคิดว่าจะปล่อยให้อีกฝ่ายซึมซับไปอย่างช้า ๆ จึงเปลี่ยนหัวข้อและพูดเกี่ยวกับเรื่องอื่นแทน
“มีลวดลายแปลก ๆ อยู่ในผนังแกนคริสตัล” ลู่เหิงยื่นแกนคริสตัลขนาดครึ่งเดียวให้ฉินอี้
ฉินอี้คว้ามันมามองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะมองภายในผนังแกนคริสตัลจากด้านที่แตก เห็นได้ชัดว่าด้านในผนังถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับ ถึงแม้ระยะเวลาที่ฉินอี้เข้าสำนักจะค่อนข้างสั้น แต่เขาก็สามารถรับรู้ถึงความลึกล้ำของลวดลายข้างในนี้ได้
“ลวดลายนี้เหมือนกับแบบแผนของอะไรบางอย่าง” ฉินอี้พูด
ลู่เหิงพยักหน้า “ถึงแม้ผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล แต่ก็สามารถเดาได้คร่าว ๆ ว่าผนังด้านในแกนคริสตัลอันนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอักขระค่ายกลบางอย่าง”
“ค่ายกลอะไร?”
“แกนคริสตัลมีแค่ครึ่งเดียว ข้อมูลน้อยเกินกว่าจะดูออก” ลู่เหิงส่ายหัว “แต่ผมมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าลวดลายนี้น่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการซ่อมผนึก”
“พรุ่งนี้ฉันจะให้ซุนเหวินหลงตามหาคนที่ขายแกนคริสตัลและตรวจสอบว่าเอามันมาจากที่ไหน” ฉินอี้พูด “ไปตามหามันที่นั่น บางทีอาจจะเจอสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านี้”
เมื่อพูดถึงเรื่องออกไปข้างนอก ลู่เหิงก็จำบางอย่างได้ “ครั้งนี้ตอนพวกเราออกไปต้องพาเจียงซือเล่อไปด้วย”
“เสี่ยวเล่อ? ความสามารถในการต่อสู้ของเขาอ่อนแอเกินไป ถ้าพาเขาไปด้วย ฉันกลัวว่าเขาจะเป็นตัวถ่วงน่ะสิ” ฉินอี้รู้จักเพื่อนสมัยเด็กของตัวเองดีมาก
“วันนี้ผมเห็นเขาและรู้สึกได้ถึงพลังปีศาจที่เบาบางจากตัวของเขา เพราะงั้นต้องติดตามดูเขาตลอดเวลา”
ฉินอี้พยักหน้า “ถ้างั้นฉันจะเรียกมู่เฟยไปด้วย ต้องหาใครสักคนไปดูแลเขา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันอาจจะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะหันไปปกป้องเขา”
“มู่เฟย?”
มองสีหน้าลู่เหิงที่มีสีหน้าผิดปกติ ฉินอี้พลันนึกได้ว่าทั้งสองคนเพิ่งมีปากเสียงกันอย่างหนักวันนี้ แต่ในสายตาของฉินอี้ การทะเลาะกันไม่นับว่าเป็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการทะเลาะกันแค่ไม่กี่ประโยค
“ถึงจะไม่ได้เป็นคนรักแต่ก็เป็นพี่น้องกันมาหลายปี อย่างไรก็ยังมีมิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งสองเหลืออยู่” ฉินอี้ยักไหล่ “เห็นแก่มิตรภาพยี่สิบกว่าปี อามู่ต้องดูแลเสี่ยวเล่อเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”
“บางทีน่าจะพาอวี๋ชานไปแทน เขาเป็นผู้มีพลังธาตุดินเหมาะกับการเป็นผู้คุ้มกันมากกว่า” ลู่เหิงพูด
“เขาทนอารมณ์ของเสี่ยวเล่อไม่ได้หรอก” ฉินอี้เองก็รู้สึกช่วยไม่ได้ “ความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวเล่อกับอวี๋ชานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต่อให้ฉันสั่งให้เขาปกป้องเสี่ยวเล่อก็น่ากลัวว่าจะไม่ดีเท่ามู่เฟยที่ทุ่มเทอย่างถึงที่สุด”
ลู่เหิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับการรวมกลุ่มที่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าไม่น่าไว้วางใจสุด ๆ หลังจากนั้นก็สวดภาวนาเงียบ ๆ ไม่ให้เจ้าปีศาจตัวนั้นออกมาก่อความวุ่นวายและเจียงซือเล่อไม่ทำอะไรแผลง ๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บักมู่เฟยนี่แหละผิด ตัวเองมีแฟนอยู่แท้ๆก็ยังไปทำตัวใกล้คนอื่น ไม่รู้จะเรียกโง่หรืออะไร ขนาดนี้คือไม่รู้ว่าเล่อมันหึง
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 2 กรกฎาคม 2563 / 00:30
เอาจริงๆนะ ไม่ชอบมู่เฟย ตัวเองเป็นแฟนอยู่กับคนนึงแต่ดันทำตัวสนิทสนมกับอีกคน แถมยังชอบออกตัวปกป้องคู่กรณีมากกว่าแฟนตัวเอง เป็นใครก็สติแตกแหละ ต่อให้เจียงซือเล่อจะเลือดร้อนก็เหอะก็คนมันรู้เห็นทุกอย่างใครจะไปทน-คนสองหน้าแบบนั้นได้ เลิกๆกับมันไปเลยดีแล้ว
เราว่าฉินอวี้หล่อกว่ามู่เฟยนะ ซือเล่อหน๋อซือเล่อ ถ้ายังยังมู่เฟยอยู่จะตัดใจไปทำไมกัน
ฟังจากที่ฉินอวี้อธิบายความสัมพันธ์ในมุมมู่เฟย เราคิดว่าผู้ชายคนนี้รักซือเล่อจากใจริงมากเลยนะ เฮ้อ แต่อย่างว่าถ้าซือเล่อไม่แก้นิสัยเสียนั้นล่ะก็ ต่อให้ไม่มีมือที่สามความสัมพันธ์ก็คงไปไม่รอดเท่าไรหรอก
แต่ชอบน้องจัง หน้าแหกไปจ้า