ตอนที่ 49 : Chapter 47
Chapter 47
“ศิษย์น้องฉิน หลังจากเข้าพิธีรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วผมมีบางอย่างต้องบอกคุณ ตามผมมา” ลู่เหิงพูด
ฉินอี้ตามลู่เหิงไปที่ภูเขาด้านหลังสำนัก สุดทางของแผ่นหินที่ทอดยาวคือหน้าผาสูงชัน เมฆหมอกที่ลอยตัวสูงทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดว่าใต้หน้าผาเป็นอย่างไร รับรู้ได้เพียงเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดขึ้นมาจากก้นเหวที่ลึกสุดหยั่ง
“กระโดดลงไป” ลู่เหิงหันหลังกลับไปพูด
“อะไรนะ?” ฉินอี้คิดว่าเขาคงฟังอะไรผิด
“ไม่ต้องกลัว”
เดิมทีฉินอี้ตั้งใจจะบอกว่าเขาไม่ได้กลัว แต่เขาก็เห็นลู่เหิงยื่นมือออกมาเสียก่อน
“จับมือผมไว้”
ความรู้สึกของฉินอี้ซับซ้อนเล็กน้อยก่อนจะยอมรับว่าตัวเองกลัวแต่โดยดี แล้วยกมือขึ้นจับมืออีกคนแน่น มือนั้นเล็กกว่าตนเล็กน้อยและนิ้วก็เรียวกว่า ผิวบนฝ่ามือไม่ได้อ่อนนุ่มสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นยังเต็มไปด้วยตุ่มไตด้าน ๆ ที่นูนขึ้นมาจากการจับดาบเป็นเวลาหลายปี มือนี้ไม่ได้นุ่มนวลเลยแม้แต่น้อยในทางตรงกันข้ามมันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งที่ทำให้ฉินอี้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นกระหน่ำเสียงดัง
ห้ามปล่อยมือคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นความตายหรือวัฏสงสารก็ห้ามปล่อยไป ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในส่วนลึกภายในหัวใจฉินอี้อย่างอธิบายไม่ได้
ขณะที่ยังอยู่ในภวังค์ฉินอี้ก็ถูกลู่เหิงจูงไปข้างหน้าและกระโดดลงไปยังหุบเหวที่ดูลึกลับ เสียงลมที่พัดหวีดหวิวข้างหูทำให้ฉินอี้ได้สติ อารมณ์ของเขาสงบอย่างคาดไม่ถึง
แสงสีทองวูบผ่านไปวูบหนึ่งก่อนทั้งสองจะหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ในถ้ำที่ลึกและเงียบสงัด ลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนบนผนังถ้ำเรืองแสงขึ้นบางเบา ก่อนร่างของผู้ฝึกตนทั้งสองจะโผล่ออกมาจากหลุมที่ปรากฎขึ้นอย่างไร้ที่มา
ทันทีที่เท้าแตะลงบนพื้นลู่เหิงก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดโปร่งที่แทรกซึมเข้ามาผ่านรูขุมขน ถึงแม้ต้นกำเนิดพลังวิญญาณจะถูกขโมยไปแล้ว แต่พลังวิญญาณที่หลงเหลือในค่ายกลนี้ยังคงหนาแน่นอยู่ ทว่าการใช้มันขับเคลื่อนค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อปกป้องสำนักคุรุเทพนั้นย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน
ลู่เหิงเดินลึกเข้าไปในถ้ำพร้อมกับฉินอี้และบอกทุกอย่างเกี่ยวกับสำนักคุรุเทพกับอีกฝ่าย รวมถึงเรื่องต้นกำเนิดพลังวิญญาณด้วย พวกเขามาถึงทางตันของถ้ำที่ทอดยาวโดยไม่ทันรู้ตัว บนผนังถ้ำปรากฏสายแร่รูปมังกรยักษ์ที่ขดตัวกันเป็นวงกลม จุดเริ่มต้นและจุดจบของสายแร่นั้นไม่ได้หายลงไปในดิน เหนือสายแร่มีแสงเรืองรองเล็กน้อยซึ่งไม่รู้ว่าเป็นแร่อะไร
“นี่คือชีพจรมังกรของโลกนี้” ลู่เหิงก้าวไปข้างหน้าและสัมผัสรอยแตกรูปสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งฉื่อ*บนชีพจรมังกรช่องบนอย่างแผ่วเบา “นี่คือสถานที่เก็บรักษาต้นกำเนิดพลังวิญญาณ”
(*หนึ่งไม้บรรทัด, หนึ่งฟุต)
ฉินอี้เห็นลู่เหิงชะงัก ร่องรองความเสียใจปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่าย ด้วยรู้ว่าอีกคนกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจึงไม่ได้เอ่ยปากเร่ง
“ต้นกำเนิดพลังวิญญาณถูกเก็บรักษาเพื่อปกป้องแผ่นดินนี้มาหลายพันปี อีกไม่นานชีพจรมังกรก็จะให้กำเนิดพลังวิญญาณออกมาแล้ว โชคไม่ดีที่...” ลู่เหิงถอนหายใจ
ในตอนที่เส้นทางระหว่างโลกพังทลาย อาจารย์ปู่ของสำนักคุรุเทพได้ทิ้งหนทางไว้ให้กับผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ ต้นกำเนิดพลังวิญญาณนี้ กระทั่งในโลกแห่งการฝึกตนที่แท้จริงก็ยังถือเป็นสมบัติสวรรค์ที่ผู้คนต่อสู้แย่งชิงกัน ตอนที่ท่านผู้นั้นจากไป ชีพจรมังกรใต้เหวลึกถูกวางค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้และต้นกำเนิดพลังวิญญาณก็ถูกใช้เป็นแก่นในการสะสมและค้ำจุนชีพจรมังกรของโลกนี้มาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสำนักคุรุเทพบำเพ็ญเพียรควบคู่ไปกับการบรรลุกฎแห่งฟ้าดินได้สำเร็จ พวกเขาจะกลับมาเพื่อทำความเข้าใจเรื่องวิถีแห่งเต๋าพร้อมกับแลกเปลี่ยนเรื่องชีพจรมังกรด้วย
ผ่านไปหลายพันปีศิษย์สำนักคุรุเทพทุกรุ่นก็ยังคงทำเช่นเดิม เพื่อที่จะทำให้แผ่นดินนี้สามารถให้กำเนิดพลังวิญญาณได้ด้วยตัวเองและสามารถกระตุ้นรากวิญญาณภายในตัวผู้คนรุ่นหลังได้ ถึงตอนนั้นแม้ผนึกระหว่างโลกปีศาจจะถูกทำลายลง ผู้คนก็มีพลังที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว
ทว่าเจ้าโจรนั่นกลับทำลายความพยายามตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาของสำนักคุรุเทพลง
“เจ้าโจรตัวจ้อยนั่นเข้ามาลึกถึงชีพจรมังกรใต้เหวได้ยังไง” ฉินอี้ถาม
“นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ตามหลักแล้วถ้าไม่ใช่ศิษย์ในสำนักค่ายกลนี้จะไม่ยอมให้ผ่านเข้ามา แต่อันที่จริงผมก็มีคนที่สงสัยอยู่คนหนึ่ง”
ลู่เหิงพูดออกมาอย่างหมดเปลือกถึงจุดที่น่าสงสัยของเจียงซือเล่อรวมถึงปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วย แต่เมื่อกำลังจะพูดถึงเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ เขาก็ถูกผู้ช่วยตัวน้อยเตือนเสียก่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโยนหัวข้อนี้ทิ้ง
ฉินอี้ตกอยู่ในห้วงความคิด ถึงแม้เจียงซือเล่อจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันของเขา แต่เขาไม่ใช่คนที่ไม่ฟังคนอื่น เจียงซือเล่อดูไม่ปกติจริง ๆ ช่วงนี้
“เสี่ยวเล่อดูไม่ปกติมากจริง ๆ ช่วงนี้ เมื่อก่อนถึงเขาจะอารมณ์เสียง่าย แต่เขาก็ไม่ใช่คนบ้าบิ่นทำอะไรโดยพลการแบบนี้” ฉินอี้นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเจียงซือเล่อน่าสงสัย
“ปีศาจเติบโตได้ด้วยความคิดชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์ มันกินความอาฆาต ความเกลียดชัง ความอิจฉาเป็นอาหาร อารมณ์ด้านลบพวกนี้เป็นอาหารที่มันโปรดปรานที่สุด” ลู่เหิงพูด
“แปลก เสี่ยวเล่อเป็นคนที่ได้ทุกอย่างมาง่าย ๆ ตั้งแต่เด็ก กระทั่งในช่วงสุดท้ายของยุคสมัยก็ยังมีอามู่กับฉันที่คอยดูแลเขา เขาจะมีความอาฆาตที่หนักหนาขนาดนั้นในใจได้ยังไง?” ฉินอี้ไม่เข้าใจเลยสักนิด “แถมเมื่อก่อนเขายังไว้ใจอามู่เป็นอย่างมาก แต่หลัง ๆ มากลับมีแต่ความเป็นศัตรูมากขึ้น แปลกมากจริง ๆ”
ลู่เหิงมองคนที่พูดออกมาหน้าตาเฉยด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่ไม่อยากเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ของมู่เฟยกับเจียงซือเล่อให้ทุกฝ่ายอึดอัดใจ จนตอนนี้ที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเชื่อจริง ๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฟยและเจียงซือเล่อเป็นแค่เพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกัน
...คนคนนี้ดูเหมือนจะความรู้สึกช้านิดหน่อย ลู่เหิงค่อนข้างกลุ้มใจ
“บางทีอาจเพราะพานหรงซี” ลู่เหิงใบ้ให้ฉินอี้
“พานหรงซีดูเจ้าเล่ห์จริง ๆ ไม่ค่อยซื่อตรงเท่าไหร่ แต่อามู่ก็ยังปกป้องเขาอย่างเต็มที่ ฉันไม่รู้ว่าจะจับเขาให้ได้คาหนังคาเขายังไง รับมือยากจริง ๆ” ฉินอี้แตะคางตัวเอง “แต่ถึงอามู่จะใส่ใจพานหรงซีมากขนาดไหน ปฏิกิริยาของเสี่ยวเล่อก็มากเกินไปนะ”
ลู่เหิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้กับการทำให้ชายที่คิดอย่างตรงไปตรงมาคนนี้เข้าใจ “ปีศาจตัวนั้นซ่อนตัวอยู่ลึกมาก ตอนนี้ผมยังหาวิธีเอามันออกมาโดยไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเจียงซือเล่อไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ของเสี่ยวลู่อันตรายมากหรือไง เห็นได้ชัดว่าเราไม่สามารถจับเขาไว้ในฐานได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าปีศาจตัวนั้นจะสร้างปัญหาหรือความวุ่นวายอะไรขึ้นมา หรือการเอาเขาไว้ข้างตัวและคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า” ฉินอี้พูด
“ตอนนี้ปีศาจตัวนั้นอยู่ในสภาพอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งสุดท้ายที่สู้กับผมน่าจะทำให้มันใช้พลังปีศาจจนหมด ช่วงนี้มันไม่น่าจะปรากฏตัวออกมาสร้างความวุ่นวาย” ลู่เหิงพูด
ไม่นานลู่เหิงและอีกคนก็กลับไปที่สำนัก ฉินอี้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักคุรุเทพแล้ว และมันก็ถึงเวลาเลือกวิถีฝึกตนที่เหมาะกับคุณสมบัติของอีกฝ่ายแล้ว ก่อนหน้านี้ลู่เหิงถ่ายทอดให้อีกฝ่ายแค่ความรู้เบื้องต้นเรื่องวิธีฝึกยุทธที่พื้นฐานที่สุดเท่านั้น สำหรับวิชาที่ลึกซึ้งกว่านั้นต้องรอจนกว่าฉินอี้จะเข้าสำนักอย่างเป็นทางการและเข้าเลือกไปในหอตำราด้วยตัวเอง
ก่อนเข้าหอตำราลู่เหิงตรวจสอบรากวิญญาณให้ฉินอี้ เป็นอย่างที่คาดพลังธาตุไฟจากรากวิญญาณสวรรค์ หลังจากที่ฉินอี้เข้าไป ลู่เหิงก็ยืนรออยู่ข้างนอกประตู ในใจกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับรากวิญญาณของพลังนี้
โลกนี้เป็นโลกที่แยกออกมากจากโลกแห่งการฝึกตน ก็สมเหตุสมผลที่รากวิญญาณของผู้คนที่นี่ไม่ได้รับการกระตุ้น แต่ตอนนี้พลังปีศาจรั่วไหลทำให้คนส่วนมากติดเชื้อจนกลายเป็นปีศาจ แต่คนจำนวนหนึ่งกลับถูกกระตุ้นรากวิญญาณซึ่งถูกเรียกว่าพลังพิเศษให้ตื่นขึ้นมา พลังปีศาจนี้ก็สามารถกระตุ้นรากวิญญาณได้? ยิ่งไปกว่านั้นแกนคริสตัลที่พบในสมองของปีศาจ ลู่เหิงคาดคะเนในใจ ระหว่างพลังวิญญาณกับพลังปีศาจไม่น่าจะสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้ ถ้าสามารถหาวิธีเปลี่ยนได้ ภารกิจผนึกทางเชื่อมนี้จะสำเร็จได้อย่างไร ถึงมันจะมีเบาะแสเล็กน้อยก็เถอะ
ระหว่างที่คิดวนไปวนมา ลู่เหิงก็เห็นฉินอี้ที่คีบซี่ตำราหยกสามซี่ไว้ในมือเดินออกมา
“คุณเลือกวิชาอะไรเหรอ?” ลู่เหิงถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย
ฉินอี้กางฝ่ามือออกและยื่นซี่หยกให้อีกฝ่าย
ลู่เหิงหยิบอันที่อยู่ข้างบนขึ้นมาอันหนึ่ง และพบตัวอักษร ‘สมาธิ’ สองตัวบนตำรา วิชานี้เหมาะกับฉินอี้อย่างแท้จริง
อันที่สองคือการเปลี่ยนรูปจิตสัมผัส เน้นเรื่องจิตสัมผัสและการวิธีโจมตีจิตสัมผัส ฉินอี้มีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว กล่าวได้เพียงวิชานี้ก็เหมาะกับเขาเช่นกัน
อันที่สาม...
ลู่เหิงกำลังจะเข้าไปดูใกล้ ๆ แต่ฉินอี้ก็ดึงมือกลับไปเสียก่อน “นี่เป็นวิชาเสริมเฉย ๆ วิชาผสม ๆ กันนิดหน่อย อ๊า มืดแล้วนี่นา เอากระป๋องมีทบอลตุ๋นที่ตุนไว้ในกระเป๋านายออกมาหน่อยสิ ฉันจะทำอาหารให้นายกินเอง วันนี้ทรมานจริง ๆ กระเพาะฉันส่งเสียงร้องแล้ว...”
ลู่เหิงที่ได้ยินคำว่ากินข้าวพลันรู้สึกว่าตัวเองหิวจนท้องส่งเสียงร้องด้วยความหิวโหย เขาไม่ได้สนใจเรื่องที่ฉินอี้พูดเบี่ยงประเด็น ก่อนจะเอาเสบียงและเตาแบบพกพาที่ฉินอี้เตรียมไว้ก่อนออกเดินทางออกมาด้วยความเชื่อฟัง
มองถ้วยบะหมี่ที่ร้อนจนไอขึ้นแล้วลู่เหิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ศิษย์ใหม่ทุกคนต้องได้รับของต้อนรับ ยาลูกกลอนหรืออะไรพวกนั้นไม่มีเหลือแล้ว แต่กระเป๋ามิติยังสามารถใช้ได้อยู่นะ”
“มีบางอย่างที่ฉันอยากจะปรึกษากับนายก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นฉันไม่ใช่ศิษย์อย่างเป็นทางการเลยไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะขอ” ฉินอี้พูดด้วยความแน่วแน่
“อืม” ลู่เหิงฟังอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดึงสายตากลับมาจากบะหมี่อย่างไม่เต็มใจและย้ายไปมองหน้าฉินอี้
“ก่อนหน้านี้ฉันถูกซอมบี้ข่วนจนเกือบติดเชื้อ แต่ฉันก็ใช้วิธีฝึกตนขับไล่พลังปีศาจออกไปได้ ฉันกำลังคิดว่าถึงแม้ผู้มีพลังจะแข็งแกร่งและมีภูมิต้านทานพลังปีศาจได้มากกว่าคนธรรมดา แต่บาดแผลที่ร้ายแรงอย่างไรก็ไม่สามารถหนีจากการติดเชื้อไปได้ ฉันเห็นพี่น้องมากมายที่ติดเชื้อจากพลังปีศาจเลือกที่จะจบชีวิตด้วยตัวเองโดยที่ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลย”
อาจเพราะนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายในอดีต มือของฉินอี้ถึงได้กำแน่นจนเส้นเลือดบนแขนปูดขึ้นมา
“ศิษย์พี่อวิ๋น วิชานี้ สามารถเลือกคนที่ไว้ใจได้และถ่ายทอดให้พวกเขาได้ไหม ฉันรู้ว่าในโลกที่วุ่นวายแบบนี้การเก็บแหวนหยกไว้จะกลายเป็นความผิด* แต่พี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายของฉันพวกนั้น ฉันทนมองพวกเขาไปตายไม่ได้จริง ๆ ในเมื่อฉันรู้วิธียับยั้งการติดเชื้อแล้ว” ฉินอี้มองลู่เหิงด้วยสายตาอ้อนวอน
(*การครอบครองสิ่งล้ำค่ำกระตุ้นความริษยาของผู้คน)
“ก่อนอาจารย์จะส่งผมลงจากเขาได้บอกให้ผมคิดหาวิธีถ่ายทอดมรดกของสำนักคุรุเทพ แต่ผมไม่เก่งเรื่องการรับมือกับผู้คน ไหน ๆ ตอนนี้คุณก็เข้าสำนัก ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณในการเลือกศิษย์ที่เหมาะสมเลยแล้วกัน” หลังจากลู่เหิงพูดจบ เขาก็ย้ายสายตากลับไปที่หม้อ
บะหมี่นี่ดูเหมือนจะกินได้แล้วนะ
ฉินอี้ที่ได้ยินรู้สึกมีความสุขจนคิ้วโค้งลง เมื่อเห็นสายตาของลู่เหิงที่จับจ้องอยู่ที่อาหารก็รีบเอาบะหมี่ใส่ถ้วยให้อีกฝ่ายและส่งให้ศิษย์พี่ของตัวเอง
ทั้งคู่นั่งกินบะหมี่ ฉินอี้ถือถ้วยมีทบอลที่หายไปมากกว่าครึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่ชายตรงหน้าที่กำลังกินพลันรู้สึกว่าความอย่างอาหารของเจ้าตัวช่างรุนแรงจริง ๆ มีหรือไม่มีมีทบอลนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย
ลู่เหิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาเอามีทบอลเข้าปากแล้วแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา
ดวงจันทร์นุ่มนวล บรรยากาศอบอุ่น
ฉินอี้อดไม่ได้ที่จะพูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ “พูดถึงเรื่องนี้ ทำไมสำนักถึงถูกเรียกว่าสำนักคุรุเทพล่ะ? ในความคิดฉันสำนักนี้น่าจะชื่อสำนักฝึกตนในตำนานมากกว่า”
“ความจริงเดิมทีสำนักไม่มีชื่อหรอก แต่ต่อมาตอนที่ศิษย์จากสำนักลงจากเขาช่วงที่พลังปีศาจรั่วไหลสองสามครั้ง พวกเขาก็ถูกคนพวกนั้นเรียกว่าคุรุเทพแล้ว ตั้งแต่นั้นมาที่นี่จึงกลายเป็นสำนักคุรุเทพ”
“พลังปีศาจรั่วไหล?”
“อืม พลังปีศาจรั่วไหลจะทำให้เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นมา พวกคุณเรียกว่าอะไรนะ” ลู่เหิงเอียงศีรษะ “ถูกสิง?”
ฉินอี้ชะงักก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ตำนานพวกนั้นเป็นเรื่องจริงจริง ๆ ด้วย ตอนฉันยังเด็กก็เคยมีคนบอกฉันเรื่องการถูกสิงแล้วก็เรื่องคุรุเทพเหมือนกัน ฉันยังตัดตะปูหั่นเหล็ก*บอกว่าเป็นไปไม่ได้อยู่เลย ตอนนั้นฉันพูดพนันไว้ว่าใครเดาผิดต้องเห่าเลียนแบบสุนัข คาดไม่ถึงว่าวันนี้ฉันจะกลายเป็นคุรุเทพ”
(*พูดหรือทำสิ่งใดอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่)
“ตอนพนันคุณได้สาบานหรือเปล่า?” จู่ ๆ ลู่เหิงก็ถามขึ้น
“สาบาน? จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน น่าจะมั้ง” ฉินอี้ผายมืออย่างช่วยไม่ได้ “ตอนเด็กฉันชอบพูดไปเรื่อย พูดว่าถ้าผิดคำพูดขอให้ฟ้าผ่าอะไรทำนองนั้น”
“ผู้ฝึกตนไม่ควรสาบานต่อสวรรค์ตามใจชอบ ถ้าสาบานก็ห้ามผิดคำสาบานเด็ดขาด” ลู่เหิงมองฉินอี้ด้วยความจริงจัง
ฉินอี้นึกถึงสิ่งที่พูดเมื่อกี้ ก่อนใบหน้าจะเขียวคล้ำ “ถ้างั้นเพื่อที่จะทำตามคำสัญญา ฉันต้องเห่าเลียนแบบสุนัข?”
ลู่เหิงพยักหน้า
ฉินอี้เงียบไปครู่ใหญ่ แต่เขาก็ไม่กล้าดูเบาความลึกล้ำของกฎสวรรค์
ดังนั้นจึงได้แต่รับฟังด้วยใบหน้าอันสง่างาม พี่ใหญ่ฉินของฐานทัพ W พูดหนึ่งไม่เป็นสอง* ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย ก่อนจะพ่นคำ ๆ หนึ่งออกมา “โฮ่ง!”
(*พูดคำไหนคำนั้น)
หลังจากเห่าแบบสุนัขแล้ว ฉินอี้ก็มองไปที่แววตาเป็นประกายของลู่เหิง ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองโดนแกล้งใช่หรือไม่ แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาที่ยิ้มแย้มและมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของลู่เหิง เขาพลันรู้สึกว่าถึงจะถูกคนคนนี้หลอกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ขณะที่ทางด้านศิษย์พี่ศิษย์น้องของสำนักคุรุเทพเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทางด้านฐาน W กลับอยู่ในสภาพลมโหมกระหน่ำเมฆตั้งเค้า
เจียงซือเล่อจุ่มหน้าลงในอ่างล้างหน้า พยายามทำให้ตัวเองตื่นด้วยน้ำเย็น เขาเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่กระจก เด็กหนุ่มในกระจกมีใบหน้าที่งดงาม ผิวพรรณที่ละเอียดละออ มองเพียงแวบแรกก็รู้ว่าคนคนนี้ถูกเลี้ยงมาราวกับเจ้าชายตั้งแต่เด็ก ทว่าตอนนี้ใต้ตากลับปรากฏรอยคล้ำขนาดใหญ่ ตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งแตกดูซีดเซียวเป็นอย่างมาก
เจียงซือเล่อลูบหยดน้ำออกจากใบหน้า เขานอนหลับไม่สนิทมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงนั้นเขาก็เริ่มฝัน ในฝันเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่สิ้นหวังที่สุดในชาติก่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจียงซือเล่อเดินออกจากห้องน้ำ มู่เฟยออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ตลอดหลายคืนที่ผ่านมาเจียงซือเล่อนอนหลับไม่เต็มอิ่มทำให้เขาเป็นกังวลมาก ดังนั้นเขาจึงออกไปแลกเปลี่ยนยาจีนสำหรับคลายเครียด
ตอนที่มู่เฟยออกไป เจียงซือเล่อยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียง เขารู้สึกได้ว่ามู่เฟยห่มผ้าให้เขาดี ๆ และสัมผัสหน้าผากเขาก่อนจะออกไปเงียบ ๆ หลังจากตื่นขึ้นมาพื้นที่ข้างเตียงยังเหมือนทุกเช้า เสื้อผ้าที่เรียบกริบและสะอาดสะอ้านถูกวางไว้ บนโต๊ะมีหม้อเก็บความร้อนที่มีโจ๊กอุ่น ๆ อยู่ข้างในวางอยู่
เจียงซือเล่อนั่งที่ขอบเตียงและคิดเกี่ยวกับฉากเมื่อครู่ ความคิดตกอยู่ในภวังค์ เขาหยิบกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กกล่องหนึ่งออกมาจากพื้นที่มิติและกำไว้แน่น มู่เฟยให้มันกับเขาตอนที่เขาอายุสิบแปด
“เฮ้ พ่อคนงานยุ่ง วันนี้มีเวลามาหาฉันได้ยังไง คาดไม่ถึงจริง ๆ”
“เสี่ยวเล่อ สุขสันต์วันเกิด”
“ทำให้นายลำบากแล้วจริง ๆ พ่อคนงานยุ่งอย่างนายยังอุตส่าห์จำวันเกิดของคนไม่สำคัญอย่างฉันได้ด้วย”
“เสี่ยวเล่อ”
“นี่คือ? แหวนรุ่นลิมิเต็ดที่มีแค่ไม่กี่วงที่ฉันพูดถึงคราวก่อนนี่...”
“อืม ฉันไม่อยากซื้อของสำคัญให้นายด้วยการใช้เงินพ่อแม่ เพราะงั้นที่ละเลยนายช่วงนี้ ขอโทษนะ”
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่มือปลุกเจียงซือเล่อให้ตื่นจากความทรงจำ เขาก้มลงมองและเห็นว่าผ้ากำมะหยี่ที่มุมกล่องเสียหายเผยให้เห็นมุมที่แหลมคมข้างใน
เจียงซือเล่อนึกถึงสิ่งที่ฉินอี้บอกเขาไม่นานมานี้
ฉินอี้เตือนเขาว่าถึงแม้เขาจะมีพลังในการทำนาย แต่เขาไม่ควรพึ่งพาความสามารถนี้มากเกินไป เพราะไม่มีใครการันตีได้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เห็นร้อยเปอร์เซ็นต์
บางทีทุกอย่างตอนนี้อาจจะต่างจากเมื่อก่อน อย่างน้อยตอนนี้มู่เฟยก็ไม่ได้พยายามจะเอาแกนคริสตัลสำหรับรักษากลับมาให้พานหรงซี พานหรงซีเองก็ไม่ได้ใช้มันในการปลุกพลังของตัวเองและพยายามทำให้สถานะของตัวเองในทีมยิ่งใหญ่ ในทางตรงกันข้ามพานหรงซีดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่ช่วงนี้
เจียงซือเล่อคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และรู้สึกว่าเขาไม่สามารถปล่อยความสัมพันธ์ที่มีมามากกว่ายี่สิบปีกับมู่เฟยไปได้ เขาตัดสินใจจะไปพูดกับมู่เฟย
หลังจากที่เห็นร่างของมู่เฟย เจียงซือเล่อก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างต้องการจะตะโกนเรียกให้อีกฝ่ายหยุด แต่เขากลับเห็นเจ้าตัววิ่งออกไปข้างบ้าน มู่เฟยโบกมือตอบคนที่โบกมือมา เห็นได้ชัดว่าทั้งสองนัดกันไว้ล่วงหน้า
พานหรงซี
เจียงซือเล่อแอบย่องเข้าไป เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นมู่เฟยยิ้มอย่างอ่อนโยนให้พานหรงซี จากนั้นพานหรงซีก็ยื่นของบางอย่างที่ถูกห่อไว้ให้มู่เฟย
เจียงซือเล่อเห็นมู่เฟยยิ้มบาง ๆ อีกครั้งและพูดบางอย่างกับพานหรงซี พานหรงซีส่ายหัว จากนั้นมือของมู่เฟยก็ลูบศีรษะพานหรงซี
ในที่สุดเจียงซือเล่อก็ทนไม่ไหว เขาพุ่งตัวออกมา ก่อนจะผลักพานหรงซีออกไป แล้วคว้าของในมือมู่เฟยมาโยนลงบนพื้นอย่างเกรี้ยวกราด
ยาจีนห่อหนึ่ง
“เสี่ยวเล่อ!” มู่เฟยที่เห็นพูดอะไรไม่ออก รีบย่อตัวลงหยิบยาจีนที่เสียหายขึ้นมา
“นายบอกว่าจะไปหายามาให้ฉัน ความจริงก็แค่อยากจะมาหาอีตัวนี่ใช่ไหมล่ะ!” เจียงซือเล่อใช้เท้าขยี้ยาบนพื้นอย่างดุร้าย
“เสี่ยวเล่อ นายทำอะไร!” ถึงแม้มู่เฟยจะเป็นคนอารมณ์ดีแต่คนที่มีความอดทนอดกลั้นก็โกรธเป็น และโทสะนี้ก็เป็นเจียงซือเล่อที่กระตุ้นมันขึ้นมา “นี่เป็นยาที่ฉันกับพานหรงซีวิ่งขอแลกเปลี่ยนกับคนอื่นตลอดเช้านี้!”
“ใครขอ อีตัวนี่ไม่มีแม่ตั้งแต่เด็กก็ยังสามารถเข้าไปเรียนในมหาลัยทั้ง ๆ ที่จนได้เลย ใครจะรู้ว่าเอาเงินมาจากไหน ยาที่ผ่านมือมันมาน่ะ ฉันรังเกียจของสกปรก!” เจียงซือเล่อชี้ไปที่พานหรงซีที่อยู่ด้านข้างและระบายความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดออกมา
“เจียงซือเล่อ ขอโทษเดี๋ยวนี้!” มู่เฟยถูกคำพูดไม่คิดของเจียงซือเล่อกระตุ้นโทสะขึ้นมาอย่างเต็มสูบ เขายืนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด ไม่สนใจยาที่หล่นลงไปที่เดิม
คราวนี้พานหรงซีเปิดปากพูด “มู่เฟย ไม่เป็นไร น่าจะเพราะเสี่ยวเล่อพักผ่อนไม่เต็มอิ่มช่วงนี้ อารมณ์เลยไม่ค่อยคงที่ นายอย่าโทษเขาเลย”
“แม่แกขอให้ไอ้โง่อย่างแกอยู่ตรงนี้หรือไง!” เห็นพานหรงซียืนขวางหน้ามู่เฟย เจียงซือเล่อพลันกลายเป็นคนไร้เหตุผลอย่างสมบูรณ์ เขายกเท้าเตะหลังพานหรงซีทันที
พานหรงซีถูกเตะจนเซทำให้ทรงตัวไม่อยู่และล้มลงไปที่ขอบทางเดิน หน้าผากกระแทกแปลงดอกไม้อย่างแรง ทันใดนั้นเลือดก็ไหลลงมาก่อนเขาจะหมดสติไป
มู่เฟยไม่มีอะไรจะพูด หลังจากอุ้มพานหรงซีขึ้นมาและมองไปที่เจียงซือเล่อด้วยความผิดหวัง เขาก็รีบจากไปทันที
เจียงซือเล่อย่อตัวลง ซุกหน้าในอ้อมแขนตัวเอง จากนั้นไหล่ของเขาก็สั่นเล็กน้อย อย่างที่คิดทุกอย่างยังเหมือนในชาติก่อน เขาช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ที่คิดว่าทุกอย่างจะแตกต่างจากเดิมจนอยากให้โอกาสมู่เฟยอีกครั้ง
เจียงซือเล่อกำกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กในมือแน่น และในที่สุดก็โยนมันลงถังขยะอย่างไร้ความลังเล อย่างน้อยตอนจบของชาติที่แล้วก็มีคนจำเขาได้และแก้แค้นศัตรูแทนเขา
คนที่เขาควรให้ความสนใจควรจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนนั้น!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นปีศาจที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเลยโว้ย สงสารเล่ออยู่หน่อยๆเลย
เราเข้าใจนายนะซือเล่อ
ถามว่ามู่เฟยผิดไหม ก็ผิดนะที่ใจดีเกินดี มันควรขอบเขตบ้าง แต่ซือเล่อเองก็ผิดเช่นกันความอารมณ์ร้ายของนายในมุมมองคนนอก แล้วการกระทำของนายมีแต่จะทำทุกอย่างแย่ลงนะ เชื่อเถอะถึงไม่มีพานหรงซีแต่ถ้านายกับมู่เฟยยังเป็นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตก็มีหวังได้เลิกกันแน่
ฉากช่วงเวลาในอดีตก็เข้าใจความน้อยใจที่คนรักไม่มีเวลาให้ แต่คำพูดของนายหลังจากรู้สาเหตุมันอาจจะเป็นชนวนต่อความสัมพันธ์ได้นะ
อยากจับมาคุยปรับทัศนคติด้วยจัง