ตอนที่ 51 : Chapter 49
Chapter 49
ชายคนที่ขายแกนคริสตัลครึ่งหนึ่งให้เป็นแขกที่มักมาเยือนตลาดนัดบ่อย ๆ ซุนเหวินหลงเจอคนคนนี้อย่างรวดเร็วและถามจากปากอีกฝ่ายว่าพบแกนคริสตัลที่ไหน
เรื่องนี้ไม่สามารถล่าช้าได้ หลังจากฉินอี้และคนอื่นเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกจากฐานและไปที่นั่นทันที ก่อนออกเดินทางเจียงซือเล่ออารมณ์เสียเล็กน้อยและพูดสองสามคำเกี่ยวกับการปรากฏตัวของมู่เฟย แต่เมื่อเห็นสีหน้ามืดครึ้มของฉินอี้เขาก็สงบลง
สถานที่ที่พบแกนคริสตัลอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลมาก ชายหนุ่มเกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเขา หลังจากพยายามปกป้องตัวเองด้วยพลังที่มี เขาก็กลับไปที่บ้านเกิดด้วยความหวังอันเลือนรางว่าคนที่เขารักจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ทันทีที่มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เขาก็ถูกซอมบี้ในหมู่บ้านไล่ล่า ด้วยความแตกตื่นเท้าข้างหนึ่งของเขาไถลลื่นลงไปในหุบเขา เขาจึงได้แกนคริสตัลครึ่งหนึ่งอันนี้มาจากบริเวณขอบลำธารใต้หุบเขา
ตอนนี้ลู่เหิงยืนอยู่ตรงลำธารที่ชายหนุ่มบอกว่าเจอแกนคริสตัล เขาย่อตัวลง ก่อนจะหยิบดินขึ้นมาเล็กน้อยและดมอย่างระมัดระวัง พื้นดินโดยรอบสะอาดอย่างน่าแปลกใจ ไม่มีร่องรอยของพลังปีศาจแม้แต่นิดเดียว
“ฉันใช้พลังจิตตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติบริเวณนี้” ฉินอี้พูด “มันสะอาดเกินไป ไม่มีกระทั่งสัตว์กลายพันธุ์ สะอาดจนดูผิดปกติ”
เมื่อสิ่งต่าง ๆ เริ่มผิดปกติย่อมหมายความว่ามีปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่นี่ห่างไกลมากและไม่มีคนอาศัยอยู่ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีซอมบี้ แต่มันไม่ปกติตรงที่ไม่มีสัตว์กลายพันธุ์เลย
ทันใดนั้นลู่เหิงก็เห็นปลาตัวเล็ก ๆ ว่ายน้ำออกมาจากรอยแยกของหินในลำธาร ปลาตัวเล็กว่ายวนรอบหินขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งอย่างร่าเริง ในโลกที่เต็มไปด้วยพลังปีศาจ แน่นอนว่าน้ำย่อมต้องปนเปื้อนเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาจะมีชีวิตรอดได้
น้ำนี้ไม่ได้ปนเปื้อน ลู่เหิงหยิบหินขึ้นมาอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะเจอร่องรอยบางเบาของพลังวิญญาณ
“พวกเราเดินตามลำธารสายนี้ขึ้นไปดูที่ต้นน้ำกันเถอะ” ลู่เหิงพูด “แต่สถานการณ์ข้างหน้ายังไม่ชัดเจน เพราะงั้นให้เจียงซือเล่อรออยู่ที่นี่จะดีกว่า”
“แล้วถ้าปีศาจออกมาจากตัวเสี่ยวเล่อล่ะ?” ถึงแม้จะมีมู่เฟยดูอยู่ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉินอี้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจต่อสู้กับเจียงซือเล่อ
ลู่เหิงเอายันต์ออกมาจากกระเป๋าเก็บของ “ยันต์ปราบปีศาจ พยายามเอาไปติดไว้บนตัวเจียงซือเล่อ อย่าให้เขารู้ตัวล่ะ”
ยันต์ปราบปีศาจเป็นหนึ่งในยันต์ที่ทรงพลังที่สุดที่สำนักคุรุเทพสามารถวาดออกมาได้ บวกกับการที่ปีศาจอยู่ในสภาวะอ่อนแอ ถ้ามันออกมาอาละวาด ยันต์นี้จะสามารถจับเขาไว้ได้สักพักโดยไม่มีปัญหาจนกว่าลู่เหิงจะกลับมา
ส่วนวิธีเอายันต์ไปติดโดยไม่ให้เจียงซือเล่อรู้ตัวนั้นแล้วแต่ฉินอี้
ฉินอี้พยักหน้า รับยันต์มาและพับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนจะเดินไปหาเจียงซือเล่อที่รออยู่ไกล ๆ
ลู่เหิงเดินตามด้วยความสนใจ อยากเห็นว่าอีกฝ่ายจะเอายันต์ไปติดอย่างไรไม่ให้เป็นที่สังเกต
“อามู่ ฉันกับอวิ๋นหลานจะไปดูข้างหน้า นายกับเสี่ยวเล่ออยู่เฝ้าที่นี่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ติดต่อมาทางวิทยุ”
มู่เฟยพยักหน้าตอบรับ เจียงซือเล่อรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่อี้ ผมอยากไปกับพี่ ไปดูต้นทางหรืออะไรก็ได้ มู่เฟยอยู่คนเดียวก็พอแล้ว”
“ฉันไม่มีเวลาดูแลนาย” ฉินอี้พูดอย่างไร้ความปราณี
“พี่!” คิ้วของเจียงซือเล่อชี้ขึ้นบ่งบอกว่ากำลังจะอารมณ์เสีย
“เอาน่า” ฉินอี้ตบไล่อีกฝ่ายเบา ๆ และพูดปลอบ “เป็นพี่น้องกันมากตั้งยี่สิบกว่าปี จะเกลียดอะไรกันนักกันหนา”
ลู่เหิงเห็นนิ้วของฉินอี้ที่วางอยู่บ่นไหล่เจียงซือเล่อขยับเล็กน้อย กระดาษที่ถูกพับเป็นชิ้นเล็กเข้าไปติดอยู่หมวกเสื้อฮู้ดของเจียงซือเล่อ
ความเร็วของมือช่างสมกับที่ถูกฝึกในกองทัพ ลู่เหิงคิด
ว่ากันว่าในกองทัพต้องใช้การถอดและการประกอบอะไรแบบนั้นมากกว่าการใช้ปืน ไม่แปลกใจที่ฉินอี้ได้เป็นถึงหัวหน้าทหารดูจากความเร็วมือของเขา
แก้เรื่องที่น่าเป็นห่วงเรียบร้อย ลู่เหิงและฉินอี้เดินขึ้นไปตามลำธารของหุบเหวลึก ต้นกำเนิดลำธารคาดไม่ถึงว่าจะเป็นถ้ำหินปูน
ทันทีที่เข้ามาในถ้ำกลิ่นอายความสดชื่นชนิดหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาในใจ ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิที่ต่ำภายในถ้ำ แต่เป็นเพราะกลิ่นอายที่ทำให้คนรู้สึกสบายคล้าย... พลังวิญญาณ?
ในถ้ำมืดเป็นอย่างมาก ฉินอี้จุดไฟขนาดเล็กบนฝ่ามือให้ส่องสว่าง เพื่อที่จะประหยัดพลัง ไฟจึงมีขนาดแค่เพียงพอให้เห็นเส้นทางในระยะหนึ่งเมตรข้างหน้าเท่านั้น
ฉินอี้พูด “จับเสื้อฉันไว้ ข้างหน้ามืดมาก อย่าสะดุดล่ะ”
รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ข้างหลังเขาดึงชายเสื้ออย่างเชื่อฟัง ฉินอี้ก็เริ่มคลำไปข้างหน้า ลักษณะภูมิประเทศในถ้ำซับซ้อนเกินไป เดินไปได้ไม่ไกล ฉินอี้ก็รู้สึกได้ว่าคนข้างหลังเขาดูเหมือนจะสะดุดอย่างแรงและล้มมาทางเขา
ฉินอี้ตอบสนองอย่างรวดเร็วและหมุนตัวไปรับอีกฝ่ายไว้ทันที แต่คาดไม่ถึงว่าก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าจะเปียกน้ำที่ซึมออกมาจากใต้ดินทำให้ถึงแม้จะรับคนคนนี้ไว้ได้ แต่ด้วยแรงที่ปะทะกัน ฉินอี้จึงลื่นล้ม ทั้งสองคนที่กอดกันกลมล้มลงมาด้วยกัน
ฉินอี้ใช้เวลาพักใหญ่ในการฟื้นตัวจากความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นมาจากกระดูกก้นกบ เวลานี้เขารู้สึกว่ากลิ่นอายที่เบาสบายมาก ๆ คลอเคลียอยู่บริเวณจมูกของเขา กลิ่นอายบนตัวคนนี้เหมือนกับพลังวิญญาณ ชวนให้รู้สึกปลอดโปร่งมากเสียจนทำให้คนคนหนึ่งอยากดมกลิ่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งฉินอี้ก็พบว่าคนที่อยู่บนตัวเขาไม่ได้ลุกขึ้นยืนแม้จะผ่านมาพักหนึ่งแล้ว “นายล้มกระแทกตรงไหน? นายได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”
อีกคนไม่ตอบแต่โอบแขนรอบคอฉินอี้
ฉินอี้ตัวแข็งทื่ออย่างฉับพลัน ประหม่าจนพูดตะกุกตะกัก “นาย นายเป็นยังไงบ้าง นายได้รับบาดเจ็บเหรอ แผลสาหัสมากไหม?”
ฉินอี้รู้สึกได้ถึงลมหายใจแผ่ว ๆ ที่ข้างใบหูของเขา
“ฉินเกอเกอ ผมหนาว”
สมองฉินอี้ว่างเปล่า แต่มือเขากลับจับเอวคนที่อยู่บนตัวไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าควรผลักอีกคนออกไปหรือโอบกอดเข้ามาไว้ในอ้อมอกดี
ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์ ฉินอี้รู้สึกราวกับว่ามีริมฝีปากเย็นเฉียบคลอเคลียอยู่บนใบหน้าของตัวเอง และไม่นานก็หยุดอยู่ที่มุมปากของเขาอย่างเชื่องช้า
ทันทีที่ลู่เหิงเข้ามาในถ้ำ เขาก็พบบางอย่างที่ผิดปกติ แต่เขายังไม่ทันได้ตั้งสติและปิดกลั้นกลิ่นนั้น เขาก็ตกลงไปในกับดักแล้ว เขาเห็นคนที่คุ้นเคยเดินเข้ามาท่ามกลางแสงจันทร์ ใบหน้าราวกับสายลมเย็นสบายและดวงจันทร์กระจ่างใสเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนมือข้างหนึ่งจะยื่นออกมา “อยากเดินจับมือไปกับอาตมาหรือเปล่า”
ฉากนี้งดงามจนน่าหลงใหล แต่ลู่เหิงไม่ใช่คนของโลกนี้ ซื่อคงเองก็ไม่ใช่ เสี้ยววินาทีต่อมาลู่เหิงก็ได้สติและรู้ว่านี่คือค่ายกลมายา
ค่ายกลมายาน่าจะสามารถดึงเอาสิ่งที่ผู้คนปรารถนาลึก ๆ ในหัวใจออกมาได้
แน่นอนว่าหลังจากรับรู้ได้ว่านี่คือค่ายกลมายา ลู่เหิงก็ยกมือป้องตาตัวเองเมื่อแสงสว่างจ้าระเบิดออกมาครู่หนึ่ง เขาพบว่าตัวเองและฉินอี้ยังยืนอยู่ข้างนอกถ้ำโดยยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
“ระวัง อย่าถูกค่ายกลมายาหลอก” ลู่เหิงพูดจบแต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
เขาเหลือบมองด้านข้างและพบว่าฉินอี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยืนนิ่งอย่างโง่งมด้วยสีหน้าเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าติดอยู่ในค่ายกลมายา
“ศิษย์น้อง?” ลู่เหิงเพิ่มเสียงเล็กน้อย “ฉินอี้!”
ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ดูเหมือนคนคนนี้จะตกลงไปลึกมาก ยิ่งความปรารถนาในใจหนักหน่วงมากเท่าไหร่ การตื่นจากภาพลวงตาก็จะยิ่งยากมากเท่านั้น คนคนนี้เห็นอะไรกันแน่ ลู่เหิงค่อนข้างกังวล
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลองเสี่ยงดู หวังว่าคนคนนี้จะยังเหมือนชาติก่อนที่ไม่ปิดกั้นตัวเองเลย ลู่เหิงคว้ามือฉินอี้ไว้ หาชีพจรและส่งจิตสัมผัสเข้าไปค้นหา แต่เมื่อเข้าไปกลับคล้ายไม่มีคนอยู่
“ฉินอี้ ฉินอี้! ทั้งหมดที่คุณเห็นเป็นแค่ภาพลวงตา!”
ฉินอี้สั่นไปทั้งตัว ในที่สุดเสียงที่อยู่ลึกในจิตใต้สำนึกก็ปลุกเขาขึ้นมา เขาพลิกฝ่ามือตามจิตใต้สำนึกและกุมมือลู่เหิงไว้ แรงที่กุมนั้นแน่นจนลู่เหิงเริ่มรู้สึกเจ็บ ฉินอี้มองรอบ ๆ อย่างมึนงง ผ่านไปสักพักเขาค่อยกลับมาที่โลกแห่งความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์
“นาย นายจับมือฉันทำไมเนี่ย!” ฉินอี้ปล่อยมือ และยังพยายามพูดกลบเกลื่อนซึ่งยิ่งทำให้มันแย่ลง
“...” คนคนนี้ติดอยู่ในแดนมายาที่ทำให้ไอคิวลดลงหรือเปล่า ลู่เหิงรู้สึกจนใจ
เห็นสีหน้าพูดอะไรไม่ออกของลู่เหิง ฉินอี้จึงพูดว่า “ถ้ำนี้แปลก ๆ นะ เมื่อกี้ฉันรู้สึกไม่มีสติเหมือนตกอยู่ในความฝันเลย”
“นี่เป็นค่ายกลมายา ถ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ พวกเราก็เข้าไปไม่ได้” ลู่เหิงพูด “ต้องมีบางอย่างที่สำคัญในถ้ำนี้แน่นอน”
ตอนนี้ใกล้มืดแล้ว ลู่เหิงและฉินอี้ตัดสินใจกลับไปที่แคมป์ก่อนเพื่อหารือกัน
ในหุบเขาลึกเงียบสนิท บนพื้นที่โล่งเหนือลำธารมีกองไฟถูกจุด ทั้งสี่นั่งล้อมรอบกองไฟ แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป
เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์นั่งใต้ลม ถือชามใบใหญ่กว่าหน้าเอาไว้ และตั้งหน้าตั้งตาพุ้ยข้าว วิธีกินของเขาทำให้ปากที่กำลังกินอ้ากว้าง
ทว่าอีกสามคนที่เหลือไม่มีใครได้รับผลกระทบจากความอยากอาหารของเขาเลยสักคน
คนที่นั่งข้างเด็กหนุ่มคือชายที่สูงที่สุดแข็งแกร่งที่สุดและมีใบหน้าดุดัน เขาขมวดคิ้วจ้องกองไฟที่ไหววูบจนได้แต่สงสัยว่าเขากำลังคิดอะไร
ตรงข้ามทั้งสองคนคือชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งถือกล่องข้าวเอาไว้ และพูดบางอย่างด้วยท่าทางอ่อนโยนกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่มีผิวขาวซีดข้าง ๆ แต่เด็กหนุ่มกลับผลักเขาออกอย่างหมดความอดทน
“อามู่ มากับฉันหน่อย” ฉินอี้ลุกขึ้นยืน
มู่เฟยวางกล่องข้าวในมือลงและพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เสี่ยวเล่อ นายควรจะกินเร็ว ๆ ไม่อย่างนั้นรสชาติจะเสียถ้ามันเย็นก่อน”
เดินไปตามแม่น้ำ ฉินอี้เดินไปจนถึงจุดที่คนสองคนซึ่งอยู่ข้างกองไฟไม่สามารถได้ยินก่อนจะหยุด
“นายกับเสี่ยวเล่อ...” คำพูดของฉินอี้ยังคงสับสน “ความสัมพันธ์นี้มันเป็นมายังไง?”
ไม่น่าแปลกใจที่ฉินอี้ไม่เข้าใจ ตอนนั้นในกลุ่มเด็กที่อายุไล่เลี่ยกันในละแวกบ้าน พวกเขาสามคนสนิทกันที่สุด ในทั้งสามคนถึงแม้เจียงซือเล่อกับมู่เฟยจะสนิทกันมากกว่า แต่จนกระทั่งฉินอี้จากไป มันก็ไม่ได้มีสัญญาณอะไรเกินกว่าความสัมพันธ์แบบพี่น้อง
“นายยังจำเสี่ยวมู่ได้มั้ย” มู่เฟยพูดบางอย่างไม่ที่เกี่ยวข้องกันสักนิดขึ้นมา
มู่มู่ น้องชายของมู่เฟยที่หายไปตอนสามขวบและไม่เคยหาเจออีกเลย
“เสี่ยวมู่หายไปเพราะฉัน ฉันแอบพาเขาออกไปเล่นแล้วทำเขาหาย ฉันโกหกทุกคนว่าเขาวิ่งออกไปเอง” เกิดเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมากมายช่วงนี้ทำให้ในใจของมู่เฟยถูกกระตุ้นให้พูดเรื่องที่แบกไว้ในใจออกมา
ถึงแม้ฉินอี้จะตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขารู้ว่ามู่เฟยแค่ต้องการใครสักคนมารับฟังในเวลานี้ ฉินอี้ยังจำมู่มู่เด็กตัวขาวอ้วนกลมและเป็นสมบัติล้ำค่าในครอบครัวของมู่เฟยได้ โดยเฉพาะมู่เฟย หลังจากที่มีมู่มู่เป็นน้องชาย ในสามประโยคจะต้องมีคำว่าเสี่ยวมู่ของฉันโผล่ขึ้นมาเสมอ
“ฉันไม่เคยนอนหลับสนิทเลยหลังจากเสี่ยวมู่หายไป”
ตอนที่มู่มู่หายปีนั้น มู่เฟยเพิ่งจะอายุหกขวบ ความรู้สึกผิดแทบจะทำลายเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่ทันจะเติบโต
“ไม่นานครอบครัวของเสี่ยวเล่อก็ย้ายเข้ามา นายก็รู้ เสี่ยวเล่อกับเสี่ยวมู่คล้ายกันมาก”
ฉินอี้ก็อยู่ด้วยในเหตุการณ์เหล่านั้น ดังนั้นตั้งแต่แรก ฉินอี้จึงไม่แปลกใจเลยสักนิดที่มู่เฟยทำเหมือนเจียงซือเล่อเป็นสมบัติล้ำค่า และประคองเอาไว้ในมือด้วยความกลัวว่าจะทำตกแตกหรือทำให้ละลายหากเอาเข้าปาก เขารู้ว่ามู่เฟยทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อมู่มู่ให้เจียงซือเล่อ
ดังนั้นสำหรับการที่มู่เฟยและเจียงซือเล่อจะพัฒนาเป็นความรัก เขารู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?” ฉินอี้ถาม
มู่เฟยยิ้ม “เสี่ยวเล่อกับเสี่ยวมู่ไม่ใช่คนเดียวกัน ยิ่งนานฉันยิ่งตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ แต่พอการดูแลคนคนหนึ่งกลายเป็นนิสัยไปแล้ว มันยากที่จะเปลี่ยน”
หลังจากที่ฉินอี้จากไปเพื่อเข้าร่วมกองทัพ จากคนสามคนที่สนิทกันก็เหลือเพียงสองคน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังอยู่ในวัยที่อารมณ์พลุ่งพล่าน ความรักใคร่ปรารถนาของวัยรุ่นงอกเงย
“ตอนที่ฉันสามารถมองเสี่ยวเล่อกับเสี่ยวมู่แตกต่างกันได้ มันบังเอิญเป็นวัยที่เริ่มรู้จักคำว่ารัก” ใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน สายตาที่มักจะหยุดที่อีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่น้องชายของเขา เป็นเรื่องผิดปกติหรือเปล่าที่ความรู้สึกนั้นสลายหายไปในพริบตา? มู่เฟยยิ้มอีกครั้งทว่ารอยยิ้มของเขากลับมีความขมขื่นปนอยู่เล็กน้อย
“ถ้านายกับเสี่ยวเล่อเป็นคนรักกัน แล้วพานหรงซีล่ะ?”
“หรงซีกับเสี่ยวมู่เกิดวันเดียวกันปีเดียวกัน ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่เสี่ยวมู่ แต่ฉันมักจะคิดว่าเสี่ยวมู่อาจจะถูกครอบครัวแบบนั้นเก็บไปและได้รับความทุกข์แบบนั้นเหมือนกัน” มู่เฟยพูด “พอฉันคิดแบบนั้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะใส่ใจเขามากขึ้น”
ฉินอี้รู้ตั้งแต่ตอนที่เขาได้ยินว่าคนคนนี้ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความรู้สึกผิดจากการสูญเสียน้องชายได้ อีกฝ่ายติดอยู่ในอดีตของการสูญเสียน้องชาย
“นายบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวเล่อตรง ๆ ก็ได้ สถานการณ์จะได้ไม่วุ่นวายแบบนี้เพราะพานหรงซี” ฉินอี้ยังไม่เข้าใจ เป็นคนรักกันแต่มีอะไรไม่พูดกันตรง ๆ เดากันไปเดากันมาวุ่นวายเหมือนไก่บินเตลิดสุนัขกระโดด
“ฉันจะกล้าพูดกับเสี่ยวเล่อเรื่องเสี่ยวมู่ได้ยังไง? นายไม่รู้นิสัยของเขา พูดไปฉันกลัวว่ามันจะเป็นการเจาะเขาวัว*”
(*เสียเวลาในเรื่องปัญหาที่ไม่มีทางแก้หรือไม่สำคัญ)
ฉินอี้รู้สึกว่าเขาช่วยอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ส่วนเรื่องปีศาจในตัวเจียงซือเล่อ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามู่เฟยจะไม่บอกเรื่องนี้กับเจียงซือเล่อ เขาไม่มีทางเลือกอีกนอกจากพูดว่า “อามู่ นายต้องคิดให้ดีว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับนาย พานหรงซีไม่ใช่เสี่ยวมู่ ถึงแม้นายจะรู้สึกติดค้าง แต่นายไม่ได้ติดค้างเขา เพื่อพานหรงซีนายต้องทำให้คนที่นายรักเจ็บ นายคิดว่ามันไม่คุ้มเหรอ”
ฉินอี้หมุนตัวด้วยต้องการทิ้งให้มู่เฟยคิดดี ๆ แต่เขาก็ยังจำจุดประสงค์อีกอย่างที่เรียกมู่เฟยออกมาได้
“อามู่...” ฉินอี้ลังเลที่จะพูด “ตอนนั้นนายรู้ได้ยังไงว่าความรู้สึกที่นายมีให้เสี่ยวเล่อไม่เหมือนเดิม?”
มู่เฟยตะลึงแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก “ตอนวัยรุ่นตอนที่อารมณ์พลุ่งพล่าน ฉันฝันและคนที่อยู่ในฝันของฉันคือเสี่ยวเล่อ”
กลางดึก
เจียงซือเล่อถูกฝันร้ายปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขายันตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน หายใจหอบอย่างหนักหน่วง และเช็ดเหงื่อบนหน้าผากซึ่งทำให้เขาตาสว่างขึ้นมาเล็กน้อย เจียงซือเล่อเปิดไฟฉาย รู้สึกอยากหยิบกาน้ำด้านข้าง ก่อนจะพบว่าในเต็นท์มีแค่เขากับมู่เฟยสองคน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่อวิ๋นหลานไม่ได้อยู่ที่นี่ ตอนที่ตั้งเต็นท์อีกฝ่ายเป็นคนอาสาเฝ้ายามและบอกว่าถึงแม้จะไม่ได้นอนก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าฉินอี้หายไปไหน
ด้วยความรู้สึกกังวล เจียงซือเล่อตัดสินใจเดินออกไปดู
ตอนกลางคืนในหุบเขาลึกสายลมเย็นบาดลึกถึงกระดูก ทันทีที่เจียงซือเล่ออกมาจากเต็นท์ เขาก็ถูกลมพัดจนตัวสั่น เขายืนอยู่ข้างเต็นท์และมองไปรอบ ๆ แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทำให้เขาพบร่างสูงอย่างรวดเร็ว
ฉินอี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ในมือถือผ้าห่มเอาไว้ เด็กหนุ่มที่ที่ชื่ออวิ๋นหลานนั่งหลับตาขัดสมาธิพิงต้นไม้ แต่ศีรษะกลับเอียงเล็กนอนดูเหมือนกำลังหลับ
ฉินอี้ห่มผ้าให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ แต่ไม่ยืดตัวขึ้นเสียทีแม้จะผ่านไปสักพัก ตรงกันข้ามเขากลับย่อตัวลง เจียงซือเล่อเห็นฉินอี้จ้องใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเด็กหนุ่มด้วยความงุนงง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ รวบรวมสติและจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย
เจียงซือเล่อก้าวถอยหลังด้วยความตกใจจนเผลอสะดุดอ่างล้างหน้าที่วางไว้หน้าเต็นท์
เคร๊ง–
ลู่เหิงตื่นอย่างฉับพลัน เขาเปิดตาขึ้น ก่อนจะรู้สึกว่าคอเขาเหมือนจะแข็งเกร็งเล็กน้อย อาจเพราะประสบการณ์ก่อนหน้านี้ในถ้ำทำให้เหนื่อยล้ามากไปหน่อย เขาจึงเผลอหลับระหว่างทำสมาธิ
เงามืดปกคลุมอยู่ตรงหน้า ถึงแม้คนคนนี้จะยืนในมุมอับแสง ลู่เหิงก็สามารถบอกจากรูปร่างได้ว่านี่คือฉินอี้ เป็นได้แค่เขาเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายของคนอื่น ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาใกล้ เขาคงรู้สึกตัวไปแล้ว
“มีอะไรเหรอ?” ลู่เหิงถาม
“แค่กลัวว่านายจะหนาวเลยเอาผ้าห่มมาให้”
ลู่เหิงเห็นสีหน้าฉินอี้ไม่ชัด แต่เขารู้สึกได้ว่าในน้ำเสียงนั้นมีความอึดอัดใจเจืออยู่ คนคนนี้เป็นอะไรแค่ห่มผ้าให้ฉันก็อายแล้วงั้นเหรอ?
“เมื่อกี้มันเสียงอะไร” ลู่เหิงถามอีกครั้ง
“ดูเหมือนเสี่ยวเล่อจะออกมาเข้าห้องน้ำแล้วบังเอิญเตะอ่างล่างหน้า ไม่มีอะไรหรอก นายกลับไปนอนเถอะ ฉันจะเฝ้ายามให้”
พูดจบฉินอี้ก็นั่งลงข้างลู่เหิง
ลู่เหิงไม่ได้นอนหลับ เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับค่ายกลมายาที่อยู่ข้างนอกถ้ำ ถึงจะเพิ่งถูกปลุกขึ้นมาเมื่อกี้ แต่เขาก็สามารถเข้าสู่กระบวนการคิดได้ทันที ลู่เหิงแน่ใจว่าเจียงซือเล่อต้องเป็นคนขโมยต้นกำเนิดพลังวิญญาณไป ส่วนวิธีการแอบเข้าไปค่ายกลเก่าแก่นั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับปีศาจหรือไม่ก็จี้หยกแน่นอน
ไม่ใช่ว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกสองตัวเหรอ การใช้ค่ายกลมายานี้ทดสอบเจียงซือเล่อไม่เพียงแต่จะช่วยทำลายค่ายกล แต่ยังสามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ยังต้องหาวิธีดึงปีศาจออกมาและทำให้มันรู้ว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจอยู่ในถ้ำ นี่จะทำให้ปีศาจยืมมือเจียงซือเล่อมาทำลายค่ายกลมายา
ลู่เหิงรู้สึกแปลก ๆ เขายืนขึ้นตามสัญชาตญาณแล้วเดินวนรอบแคมป์ แต่เมื่อเดินมาถึงเต็นท์ก็ต้องหยุดชะงัก พลังปีศาจ?
ลู่เหิงมองฉินอี้เป็นเชิงบอกให้ฉินอี้ตามเขาไปยังสถานที่ซึ่งห่างไกลจากแคมป์
“ถ้ำที่พวกเราพบวันนี้ ผมคิดอย่างรอบคอบแล้วว่ากลิ่นอายมันเหมือนต้นกำเนิดพลังวิญญาณมาก ค่ายกลก็ดูคุ้น ๆ แต่ยังมีความต่างอยู่เล็กน้อย นี่อาจเป็นค่ายกลที่บรรพชนวาดไว้” ลู่เหิงพูด
“ต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมากในนั้น”
คิดถึงจุดนี้ ลู่เหิงก็เริ่มเดา “ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ผนึกทางเชื่อมโลกปีศาจแตกออกเป็นแปดค่ายกลย่อย บางทีที่นี่อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น”
“แกนคริสตัลครึ่งหนึ่งอันนั้นน่าจะหลุดออกมาจากถ้ำ ผมมีข้อสันนิษฐานที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ลู่เหิงพูด
ฉินอี้เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “นายหมายถึงข้างในอาจจะมีซอมบี้? ไม่ใช่ว่าค่ายกลมายาขวางไม่ให้คนภายนอกเข้าไปเหรอ?”
ลู่เหิงส่ายหัว “ค่ายกลมายานี้หยุดได้แค่คนที่ยังมีจิตใจเท่านั้น มันดึงเอาความปรารถนาที่อยู่ลึกที่สุดซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ในตัวผู้คนออกมา แต่ซอมบี้ไม่มีจิตใจ ค่ายกลนี้จึงหยุดพวกมันไม่ได้”
“ตอนนั้นบรรพชนคงคาดไม่ถึงว่ามีสิ่งมีชีวิตอย่างซอมบี้ปรากฏขึ้นมา” ฉินอี้พูด
“ส่วนเรื่องวิธีทำลายค่ายกล ผมว่าจะยืมพลังของปีศาจมาทำลาย ตอนนั้นเจียงซือเล่อย่องเข้ามาขโมยในค่ายกลของสำนักโดยไม่รู้สึกตัว ปีศาจตัวนั้นน่าจะมีพลังอะไรบางอย่าง” ลู่เหิงพูด
ภายใต้การวิเคราะห์ของทั้งคู่ในเวลานี้แทบจะบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าปีศาจขโมยต้นกำเนิดพลังวิญญาณไปโดยการยืมมือเจียงซือเล่อ
ลู่เหิงบอกฉินอี้เกี่ยวกับเรื่องที่พบพลังปีศาจเมื่อกี้ ก่อนจะถาม “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”
ฉินอี้ทำตาหลุกหลิก “ไม่ ไม่มีอะไร”
“เรื่องนี้สำคัญมากนะ” ลู่เหิงจ้องอีกฝ่ายด้วยความจริงจัง
ฉินอี้และลู่เหิงจ้องตากันอยู่สักพัก และในที่สุดเสียงตะโกนอย่างหมดอาลัยตาอยากก็ดังขึ้น “เมื่อกี้ตอนฉันห่มผ้าให้นาย ฉันห้ามตัวเองไม่ได้แล้วแอบจูบนาย นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว!”
.....
ลู่เหิงโง่งมไปพักหนึ่ง หลายวันก่อนชายคนนี้ยังเป็นชายแท้อยู่ เลย ทำไมจู่ ๆ ก็เริ่มเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาแล้วล่ะ
เห็นลู่เหิงไม่พูดอะไรและทำแค่จ้องมองเขาเท่านั้น ฉินอี้จึงรวบรวมความกล้าแล้วพูดประโยคถัดไป ก่อนจะตายอย่างสมบูรณ์ “ฉันแค่อยากทำอาหารอร่อย ๆ ให้นายไปตลอดชีวิต นายช่วยพิจารณาเรื่องจับคู่ซวงซิว* แล้วให้ฉันเป็นคู่ของนายได้ไหม”
(*双修หมายถึง การฝึกวิชาคู่ที่รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์กันด้วย)
เมื่อได้ยินคำสารภาพของคนคนนี้ ลู่เหิงพลันหัวเราะในใจ แต่เพื่อไม่ให้ผู้ช่วยตัวน้อยกระโดดออกมาเตือน OOC เขาจึงทำได้เพียงเกร็งหน้าและแสดงสีหน้ากลุ้มใจ
“ศิษย์น้อง ผมยังไม่คิดเรื่องจับคู่ซวงซิว”
ฉินอี้เห็นคนตรงหน้าไม่ได้ปฏิเสธตรง ๆ ฉับพลันในหัวเขาคล้ายบรรลุบางอย่าง “ยังไงทุกคนก็ต้องหาคู่ซวงซิว แต่ทั้งสำนักเหลือแค่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องกันสองคน เรื่องนี้ทำเร็วย่อมดีกว่าทำช้า ศิษย์พี่คงได้แต่ต้องลองกับฉันก่อน ในกรณีที่เข้ากันไม่ได้ค่อยกลับไปเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันเหมือนเดิมก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
ลู่เหิงฟังคำของฉินอี้ที่เต็มไปด้วยกลอุบาย คิดในใจว่าถ้าเขาดูบริสุทธิ์และหลอกง่ายเหมือนภาพลักษณ์ภายนอกจริง ๆ เขาคงตกหลุมพรางอีกฝ่ายไปแล้ว
อย่างไรเรื่องนี้ก็ตรงกับความปรารถนาในใจลู่เหิง เขาจึงผลักเรือให้ไหลไปตามน้ำและพยักหน้าเล็กน้อย “ลองดูก็ได้”
สารภาพความรู้สึกสำเร็จ ฉินอี้ก็ห้ามความรู้สึกเบิกบานไม่อยู่อีกต่อไป ก่อนจะกลับมาฟังลู่เหิงพูดธุระซึ่งทำให้บรรยากาศเสีย
“ตอนที่เจียงซือเล่อเห็นคุณจูบผมเมื่อกี้ ปีศาจปรากฎตัวออกมาใช่ไหม” ลู่เหิงถาม
“น่าจะเพราะเขากับมู่เฟยก่อสงครามเย็นกันอยู่ พอเห็นความสัมพันธ์ของพวกเราไปกันได้สวยเลยนึกถึงสถานการณ์ของตัวเองแล้วอิจฉา?” ดีมาก กระบวนการคิดของฉินอี้ไม่มีปัญหา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ใช้วิธีนี้ดึงปีศาจออกมาทำลายค่ายกลให้เรา”
ฉินอี้พยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ “ปัญหาคือพวกเราควรซ้อมกันก่อน”
ลู่เหิงมองปากอีกฝ่ายที่พูดอย่างไหลลื่นไม่ติดขัด แต่บนใบหน้ากลับแสดงความประหม่าแล้วได้แต่หัวเราะในใจ แต่ก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงการจับคู่ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นสิ่งที่หัวใจเขาปรารถนา
ดวงจันทร์สว่างไสวจนเห็นดวงดาวได้เพียงเล็กน้อย
ริมฝีปากและฟันเกี่ยวกระหวัดกันจนชุ่มฉ่ำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ผ่านไปครึ่งอาร์คเขาเพิ่งจูบกัน! ลุ้นจังว่าจะมีฉากซวงซิวมั้ยอาร์คนี้555555
ป.ล. เราพยายามจะแปลจากอิ้งแล้วนะแล้วเราก็กลับไปเทียบจีนทุกประโยคอยู่ดี ซึ่งความเร็วไม่ต่างอะไรกับตอนแปลจีนเลย 55555 เราเป็นบ้าอยากได้ความเป๊ะเองค่ะขอโทษทุกคนที่คาดหวังหลายๆตอน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิพี่อี้คนเนียนนน
ฉินอี้ นี่ตัวเนียนเลยนะ
มันจะไปถึงไหนไหมนิ 😂😂