ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤาจะสอยจันทร์ (เกศจันทร์)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ ๑ บุพเพกฤษณะกาลี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 113
      18
      10 มิ.ย. 61

         ร่างระหงดิ้นพล่านทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด แม่หญิงแห่งเมืองสองแควถูกเผาไหม้ด้วยต้องมนต์กฤษณะกาลี ร่างงามกระตุกสั่นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด ทุกความรู้สึก ทุกความทรงจำฝังย้ำให้ได้รับรู้ถึงความทรมารอย่างเหลือคณา

      


       ร่างของการะเกดลอยละลิ่วมาโผล่ยังทุ่งกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หมอกหนาทึบปกคลุมเสียทั่วบริเวณทำให้ไม่สามารถจะมองเห็นสิ่งใดได้เลย หากแต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อมีอีกร่างที่ลอยละลิ่วลงมาตกอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ร่างนั้นกลิ้งหลุนๆไปตามพื้น ก่อนที่ร่างสะโอดสะองจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับคว้าเอาแขนของอีกคนไว้ 
      


       ร่างบางนิ่งอึ้งเมื่อคนตรงหน้ามีรูปหน้าละม้ายคล้ายตนไม่มีผิดเพี้ยน หากแต่หญิงสาวผู้นี้ออกจะอวบอ้วนแลหนากว่าตนมากนัก



    “ออเจ้า! ช่วยข้าด้วย!”



    ร่างอวบหนาสะบัดหน้ามึนๆ ไล่ความจุกเพราะแรงกระแทกเมื่อตอนดิ่งลงมาจากฟ้า เกศสุรางค์จำได้ว่าตัวเธอเดินอยู่บนทางเท้าหน้าวัดแถวๆจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากตัวเธอเป็นนักโบราณคดีที่กำลังค้นคว้าประวัติศาสตร์อยู่ ก่อนจะรู้สึกราวกับถูกดูดโดยลมแรงๆ หอบลอยขึ้นมา  แล้วก็ ตุ๊บ!! มาโผล่อยู่สถานที่แห่งนี้เสียแล้ว…
    ที่ไหนกันล่ะเนี่ย…




    เกศสุรางค์เกาหัวตัวเองอย่าง งงๆ  นี่เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง ตอนไหน? แล้วผู้หญิงที่แต่งตัวแปลกๆ ยังกับออกมาจากหนังโบราณที่เอาแต่เกาะแขนเธอไม่ปล่อยนี่ใคร? แต่จะให้มองหน้าดีๆ จะว่าเหมือนใครสักคนก็นึกไม่ออก



    “เอ่อ…คุณพูดเรื่องอะไรเหรอคะ? แล้วคือ นี่เล่นหนังเรื่องอะไรอยู่เหรอ? หรือว่ารายการซ่อนกล้องที่ฉันเคยเห็นในทีวีบ่อยๆป่ะ?”


    “เจ้าพูดกระไร? ข้าฟังมิรู้ความ?”


    โอ้โหว!!! เหมือน! ปรบมือเลย…ภาษาเก่ามากๆเลยนะ ว่าแต่เป็นนักศึกษามาทำกิจกรรมกันรึเปล่าคะหรือเป็นคณะรำแก้บน?” 


    ร่างหนาอวบถามกลับด้วยตาเป็นประกายราวกับเรื่องสนุก ออกทีวี!! เกศสุรางค์คนนี้กำลังจะได้ออกทีวีเว้ย!


    “ออเจ้า ช่วยข้าด้วย! เขาจักมาเอาข้าไป”


    “ห่ะ! ห๋า?? เอาใคร?  อะไร? ไปไหนอ่ะ?...”


    หรือตัวเธออาจจะได้ร่วมเล่นละครประวัติศาสตร์แบบซ่อนกล้อง เวลานางเอกหนีผู้ร้ายมาอะไรแบบนี้ 


    'ใช่!! มันต้องใช่แน่ๆ นี่ต้องเป็นรายการแกล้งแล้วแอบถ่ายแน่ๆ เธอเคยเห็นในทีวีบ่อยๆ งั้นสงสัยว่าเธอจะต้องเนียนๆไปซะแล้ว'


    ถ้ากลับไป กทม. นะ จะเอาไปอวดยายกับแม่ให้เตรียมรอดูหน้าทีวีเลย


    “เอ่อ คุณ เอ๊ย! เจ้าหนีอะไรมา”เกศสุรางค์ถามกลับด้วยสำเนียงแปร่งๆ


    “ข้า!!! ข้าหนีสิ่งนั้นมา ออเจ้าช่วยข้าด้วย”


    เกศสุรางค์หันไปตามที่อีกคนชี้บอกก่อนจะอ้าปากหวอให้กับสิ่งที่เห็น





      หมอกหนาๆ ค่อยๆแหวกออกให้เห็นถนนลูกรังเส้นยาวที่ความกว้างไม่น่าจะเกิน 1 เมตร ตลอดทางของสองฟากฝั่งถนนเป็นหุบเหวลึกที่ร้อนระอุด้วยของเหลวสีแดงฉานราวกับทะเลลาวา ไกลสุดลูกหูลูกตา


    ป๊าด!!! แม่เจ้าโว้ย! เอฟเฟคไซไฟเบอร์ไหน ช่องไหน เล่นใหญ่เว่อร์!!!


    “กระไรนะ!! ไส!! ไฟ!! ออเจ้ากำลังพูดอันใด! ช่วยข้าก่อน!!”


    “จะให้ช่วยยังไงล่ะคุณ! เอ้อ…จะให้ข้าช่วยอะไรเหรอ?”


    “พาข้าไปจากที่นี่ บัดเดี๋ยวนี้!!”


    “โอ๊ะ!! เกรี้ยวกราดอะไรเนี่ย! ให้พาไปไหนล่ะคะ”


    “ที่ใดก็ได้!! ที่มิใช่ที่นี้!”



    “เอ้า!  นี่เล่นใหญ่เล่นโตกันจริง ให้ไปไหนล่ะ…ออเจ้า ดูดิ! มีแต่ทะเลไฟ เอฟเฟคบริษัทไหนกัน มันเริ่ดมากกก!!! ยังกะนั่งดูหนังเเฟนตาซีไซไฟ”



    “แผน ต้า ซี…ไส้…กระไรนะ? พูดกระไรฟังมิรู้ความ” สาวตรงหน้าทวนคำให้เกศสุรางค์ฮาลั่น จะขำหรือจะเอ็นดูยัยคนนี้ดี ยังกับเรื่องจริง


    “ขำอันใด!! ออเจ้ามิกลัวรึ!”



    การะเกดขมวดคิ้วมุ่นด้วยว่าร่างหนาตรงหน้าเอาแต่หัวเราะกับสิ่งที่เห็น แม้จะหวาดกลัวราวกับคนวิปลาส หากแต่ยังพอจะอุ่นใจบ้างเมื่อมีสหายร่วมทุกข์ แลตัวเธอกลับแปลกใจที่ไว้ใจคนเบื้องหน้า ราวกับว่าเคยรู้จักกันมา…เมื่อนานแสนนานมาแล้ว




         ฉับพลันทั้งสองก็ต้องชะงักงัน เมื่อร่างของนายนิรยบาลตัวสูงใหญ่ กายกำยำผิวแดงฉาน สวมใส่จงกระเบนสั้นสีเปลือกไม้ แลสวมทับด้วยสังวาลสองเส้น เดินออกมาจากอีกฟากฝั่งถนน



    “พวกเจ้า!!!”


     เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า เปรี้ยง!! ดังๆ  เสียงนั้นไม่ได้มาจากสองร่างแปลกๆตรงหน้า หากแต่กลับกลายเป็นร่างสูงใหญ่กายสีทองอร่ามสวมใส่เครื่องทรงกษัตริย์สมัยโบราณนั่งบนแท่นบัลลังค์สูงเสียดฟ้าผู้อยู่อีกฟากฝั่งของทะเลเพลิงให้เกศสุรางค์อ้าปากค้าง



    “เอฟเฟคเว่อร์วัง~~~”


    เธอพูดราวกับคนเพ้อ แต่ตาสองข้างยังคงจับจ้องมองภาพตรงหน้า



    “เจ้าสองคน!!!...”


    การะเกดและเกศสุรางค์ได้สติก็ให้เงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียงนั้น ก่อนที่ร่างบางกว่าจะกอดแขนเธอเสียแน่น


    “การะเกดและเกศสุรางค์!!! หมดเวลาของพวกเจ้าทั้งสองคนที่ภพนั้นแล้ว!”


    “ไม่!! ข้าไม่ไป! ข้าจักอยู่กับนาง!”



    ร่างบอบบางส่ายหัวทั้งยังหวาดกลัวสุดขีด ให้เกศสุรางค์เริ่มใจเสีย 


    เล่นบ้าอะไรกันเนี่ย! เมื่อไหร่กล้องจะออกมานะ’


    “ไม่มีกล้องหรือเครื่องมืออะไรแบบในโลกที่เจ้าจากมาดอก! เกศสุรางค์”



    “เฮ้ย!!! ทายถูกได้ไง”

    ร่างหนาขมวดคิ้วแปลกใจกับคำพูดของมนุษย์ร่างยักษ์ตรงหน้า


    “ลองนึกดีๆ ก่อนหน้าที่เจ้าจะมายังที่แห่งนี้ เจ้าเห็นอะไร”


    “เอ่อ…ฉันเห็นโลกหมุนแล้วก็ภาพมันก็ตัดไปเลยค่ะ” ร่างหนาตอบทั้งพยายามนึก


    “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เห็นอะไร?”


    “ก็เห็นยัยคนนี้อ่ะ แล้วก็พวกคุณ…”


    “ที่นี่…คือสถานที่ตัดสินบุญและบาป!! ใครทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือบาป ผู้นั้นก็จักได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป!”


    เกศสุรางค์หันไปมองคนที่เกาะแขนเธออย่างกับปริง หน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทา ก่อนจะร้องไห้โฮซบหน้าลงกับอกของเธอ


    “เอ้า! อะไรเนี่ย? คุณเป็นอะไร?”


    เกศสุรางค์ลูบหลังอีกคนอย่างปลอบขวัญการะเกดที่ไม่ได้พูดตอบอะไร เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายในอ้อมกอดเธอ


    “การะเกด!! ตัวเจ้าทำแต่กรรมบาป และบาปครั้งนี้มันหนามากนัก…”


    “ข้า…ข้าไม่…”

    ร่างงามส่งเสียงอู้อี้บนอกเกศสุรางค์โดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา


    “เอ่อ…เดี๋ยวนะคะ ขอขัดแป๊บนึง ฉันไม่เข้าใจค่ะ นี่…ถ่ายหนังเรื่องอะไรกันเหรอ?”


    เกศสุรางค์ยกมือขึ้นถามขัดอย่างงงๆ


    “เจ้าไม่รู้ตัวเหรอ เจ้าตายไปแล้วนะ เกศสุรางค์…วิญญาณของเจ้าและการะเกดจึงมาอยู่ที่นี่กันยังไงล่ะ”



    “ตาย? ฉันเนี่ยนะตาย?”



    ร่างหนาขมวดคิ้ว ไม่เชื่อในสิ่งที่คนตรงหน้าพูด ก่อนที่นายนิรยบาลตนหนึ่งจะเดินเข้ามายื่นแก้วขนาดเท่าแก้วเหล้ายา
    ดองให้กับเธอ 



    ภายในแก้วบรรจุน้ำสีใสๆ ที่เกศสุรางค์พยายามยื่นหน้าสูดๆดมๆแล้วไม่มีกลิ่นอะไรเลย


    “อะไรคะ?...”




    พูดยังไม่ทันจบก็ถูกมือหนาบีบใบหน้าอวบอ้วนให้อ้าปากหวอพร้อมกับกรอกสิ่งนั้นลงไป 
    ภาพเหตุการณ์ขณะที่ตัวเธอเดินอยู่บนทางเท้าผุดขึ้นมาในหัวราวกับดอกเห็ด ภาพแล้วภาพเล่า และภาพสุดท้ายคือภาพที่ร่างอ้วนของเธอหน้ามืดล้มลงไปบนถนนที่รถกำลังวิ่งสัญจร เสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้นด้วยไม่อยากเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดตรงหน้า และใบหน้าของผู้ที่เธอจำได้ติดตา ผู้ที่ขับรถชนเธอ…



    ‘ไม่อยากจะเชื่อ…นี่เธอตายแล้วอย่างนั้นหรือ…’



    ‘มันเรื่องบ้าอะไรกัน….’


    “เคยรู้จักภพอื่นหรือไม่…พวกเจ้าทั้งสองคือจิตวิญญาณดวงเดียวกัน”


    “วะ…ว่ากระไรนะ!!”


     เป็นสาวข้างๆที่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากอกเธอแล้ว


    “คุณ…เอ่อ..ท่านจะบอกว่าเราเป็นแฝดกันเหรอ?”



    “ใช่ ดวงจิตของพวกเจ้าแยกกันเกิดในคนละภพภูมิ หรือเรียกภาษามนุษย์แบบเจ้าว่า โลกคู่ขนาน...ในเมื่อดวงจิตสิ้นในเวลาเดียวกัน แต่ยังไม่ถึงอายุขัยของพวกเจ้า จงกลับไป!!”


    “ห๋า! ท่านให้เราสองคนกลับร่างเหรอคะ”


    “ใช่! จงกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ไม่ใช่ความดี และคู่บุพเพจะนำพาพวกเจ้าเอง”


    สิ้นคำของท่านยมราชสองร่างลอยสูงขึ้น การะเกดยึดแขนเกศสุรางค์ไว้แน่น



    “ออเจ้า! ข้าจะให้ร่างนี้แก่เจ้า จงใช้ร่างของข้าทำความดี ให้พวกเขาได้รู้ว่าแม่หญิงการะเกด ก็ทำสิ่งที่ดีๆ…”



    เดี๋ยว! คุณพูดอะไร? ฉันไม่เข้าใจ?”


    แรงลมพัดหอบเอาสองร่างลอยสูงขึ้น ราวกับถูกดึงร่างของเกศสุรางค์ไปทาง ร่างของการะเกดไปอีกทาง


    จงจำคำข้าไว้!! ข้าชื่อ การะเกด!!!


    “ฉัน!!! ฉันชื่อเกศสุรางค์!!!!”


    สองร่างถูกแยกออกจากกัน กลับไปสู่ภพภูมิที่ควรจะเป็น 



















    ณ เรือนพระยาโกษาธิบดี(เหล็ก) ร่างอรชรนั่งอยู่ต่อหน้าผู้เป็นมารดา กิริยาแช่มช้อย เรียบร้อย ชวนน่ายล ของสาวเจ้าเป็นที่ลือเลื่องทั่วเขตพระนคร โฉมงามแห่งราชธานี คือ หนึ่งในชื่อไว้เรียกขานแทนนามแม่หญิงคนงาม ซึ่งมิผิดไปจากที่เรียกนัก 




    ดวงหน้าหวานหยดผัดแป้งจีนบางๆ สีหวานละม้ายดอกแพงพวยแต้มผิวแก้มใส ริมฝีปากสีมิต่างกันแต่งแต้มให้หวานหยดย้อย งามนักยามคลี่ยิ้ม 




    นัยต์ตาใสซื่อสีนิลหรี่ลงเล็กน้อย ผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นแบบโซงโขดงทับด้วยรัดเกล้าทองอร่ามบ่งบอกชนชั้นได้เป็นอย่างดี รอยยิ้มละมุนแย้มน้อยๆ ทำให้แม่หญิงตรงหน้าราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดหรือไม่ก็นิยายในวรรรณคดีก็มิปาน


    “แม่จันทร์วาด ออเจ้าคิดกระไรอยู่รึ ได้ยินที่แม่พูดรึไม่”


    “ได้ยินเจ้าค่ะ”


    “แล้วมิตอบแม่ว่ากระไรรึ”


    ร่างบางเม้มริมฝีปากน้อยๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยบอกผู้เป็นมารดา


    “ลูกจักมิทำดีกับแม่หญิงการะเกด แลจักมิเข้าใกล้นางเจ้าค่ะ”


    “ดีแล้วออเจ้า แม่รึก็เป็นห่วงเจ้าหนาแม่จันทร์วาด แค่ออเจ้าโดนล่มเรือเมื่อคราก่อนแม่ก็ยิ่งห่วงนัก”

    คุณหญิงอิ่มทอดสายตามองร่างอรชรที่นั่งยิ้มน้อยๆให้ด้วยความห่วงใยแลหวงแหน บุตรีที่ตนเลี้ยงมากับมือ


    “คุณแม่เจ้าคะ ไม่มีผู้ใดทำกระไรลูกได้หรอกเจ้าค่ะ คุณหญิงป้าและคุณพี่ก็อยู่ที่เรือน”


    “จะกระไรแม่ก็ห่วง ได้ข่าวว่าแม่การะเกดผู้นั้นวิปลาสไปแล้วด้วยต้องมนต์กฤษณะกาลีของออกญาท่าน แม่ก็มิวางใจ…”


    “เจ้าคุณพ่อก็ไปนี่เจ้าคะ ลูกเองก็อยากเห็นกับตาว่าแม่หญิงวิปลาสไปจริงฤาไม่”


    “ออเจ้านี่หนาแม่จันทร์วาด งั้นจักไปเรือนคุณหญิงป้าท่านก็จงรีบเถิด ประเดี๋ยวจักค่ำเสียก่อน”


    “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ คุณหญิงแม่” 


    ร่างบางยกมือไหว้ผู้เป็นมารดา ก่อนจะเดินออกไปเตรียมสำรับคาวหวานเพื่อนำไปฝากคุณหญิงจำปาด้วยตัวเอง

















    “แม่นาย จักต้มยาบำรุงนี้ไปฝากผู้ใดกันรึเจ้าคะ”


    นังเผื่อนบ่าวคนสนิทถามผู้เป็นนายเมื่อเห็นมือบางหยิบจับยาจีนมาต้มทำเป็นยา


    “หารู้ไม่…”


    หญิงสาวคลี่ยิ้มมุมปากน้อยๆเมื่อนึกถึงใบหน้าสวยคมที่ไม่แม้แต่จะเคยแย้มยิ้มให้ตนเลยเลย



    ‘ออเจ้ามิเป็นกระไรเมื่อต้องมนต์กฤษณะกาลี ข้าก็เบาใจว่าออเจ้ามิได้ใจร้ายใจดำนัก แม่การะเกด’



    เรือลำน้อยเทียบท่าเรือนออกญาโหราธิบดี จันทร์วาดค่อยๆก้าวตามออกญาโกษาเหล็กผู้เป็นพ่อขึ้นไปบนเรือน 


    ร่างงามนั่งลงอย่างเรียบร้อยทุกกิริยาท่วงท่าแลดูอ่อนช้อย ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้าก่อนจะยิ้มน้อยๆให้พ่อหมื่นสุนทรเทวาบุตรชายท่านออกญาโหราธิบดีที่ขยันโปรยยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ตามมารยาท



    “ข้าเอาอาหารคาวหวานมาฝากคุณลุงกับคุณหญิงป้าเจ้าค่ะ” 


    “…แลมาเยี่ยมแม่หญิงการะเกดด้วยเจ้าค่ะ ได้ข่าวว่าแม่หญิงไม่สบาย”


    “แม่จันทร์วาด ออเจ้ามิต้องคิดมากดอกหนา แม่การะเกดเพียงแต่เป็นไข้เท่านั้น ประเดี๋ยวทานยาต้มก็คงจักดีขึ้น”คุณหญิงจำปาพูดขึ้นด้วยเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้า


    “มิได้ต้องมนต์ดังที่คุณหญิงว่ารึพ่อเดช”


    เป็นออกญาโกษาเหล็กที่ถามขึ้นด้วยความงงงวย


    “มิได้ขอรับท่านลุง นางไม่ตายนั่นคือเรื่องจริง แต่ก่อนหน้าจักล้มป่วยไปเยี่ยงนี้ พูดกระไรก็ฟังมิรู้ความ เห็นทีจะวิปลาสด้วยต้องมนต์กฤษณะกาลีเป็นแน่”


    “การที่นางไม่ตายก็แสดงให้เห็นว่า แม่การะเกดมิใช่ผู้ที่ล้มเรือแม่หญิงจันทร์วาดมิใช่หรือพ่อเดช…”

    ออกญาโหราธิบดีผู้พ่อกล่าวขึ้นบ้าง


    “ลุงก็เห็นด้วยกับพ่อออเจ้านะ พ่อเดช”


    “ข้าหาเชื่อไม่ขอรับ หญิงใจบาปหยาบช้าเยี่ยงนั้น ข้าไม่เชื่อว่านางมิเกี่ยวข้อง”


    “เอาเถิดพ่อเดช แม่การะเกดฟื้นมาเมื่อใด คงจักได้รู้กัน”
    “ขอรับ”


    หมื่นสุนทรเทวารับคำก่อนจะหันมายิ้มหวานให้คนหน้านวลที่นั่งอยู่ข้างบิดาตัวเอง


    “แม่จันทร์วาด ออเจ้าบอกว่าจะไปเยี่ยมแม่การะเกด ประเดี๋ยวพี่จะเดินไปส่ง”


    “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ คุณพี่”





         สองร่างเดินขึ้นไปบนหอนอนแม่หญิงคนงาม บ่าวใช้สองนางรีบกระวีกระวาดออกมารับ
     จันทร์วาดผินหน้าไปพยักหน้าให้กับนังเผื่อนเป็นสัญญาณให้ยื่นหม้อดินให้นังผินนังแย้ม



    “จงเอาไปใส่ถ้วยเถิด นี่เป็นยาบำรุงมาจากเมืองจีน ข้าต้มมาฝากแม่หญิง”


    นางบ่าวทั้งสองอึกอักอยู่สักครู่ก่อนที่ผินจะเป็นผู้เดินไปจัดการ


    “เชิญแม่หญิงจันทร์วาดกับท่านหมื่นเจ้าค่ะ”


    ร่างอรชรเดินเข้าไปในห้องหับของแม่หญิงเมืองสองแคว คิ้วสวยขมวดเข้าหากันนิดๆเมื่อพ่อหมื่นรูปงามก้าวตามเข้ามาด้านในด้วย



    จันทร์วาดค่อยๆนั่งลงบนเตียงของคนป่วยก่อนจะเหลือบไปเห็นอ่างน้ำและผ้าสะอาด มือบางเอื้อมไปจับและค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามดวงหน้าสวยที่เผือดซีดอย่างเบามือ



    ร่างของแม่หญิงการะเกดนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงราวกับคนหลับสนิท ริมฝีปากเผือดซีดหมองลงจากพิษไข้ ด้วยว่าต้องมนต์กฤษณะกาลีจึงทำให้ร่างของแม่หญิงผู้นี้ต้องมานอนสลบไสลไปด้วย


    "เป็นอย่างไรบ้าง แม่หญิงจันทร์วาด ออเจ้าต้องการสิ่งใดอีกฤๅไม่"หมื่นสุนทรเทวาหันมาถามอีกคนเสียงเบา


    "ข้ามิต้องการสิ่งใด...ข้าเพียงแค่มาเยี่ยมแม่หญิงการะเกดเท่านั้น" 
    ร่างบางยิ้มให้ชายหนุ่มน้อยๆก่อนจะผลุบหน้าลงต่ำมองร่างที่นอนนิ่งมิไหวติงอยู่เช่นเดิม


    "จักรบกวนออเจ้าเสียเปล่า พี่แค่เกรงว่า หากแม่การะเกดฟื้นคืนสติขึ้นมา นางจักอาละวาดให้ออเจ้าขุ่นเคืองใจเสียเปล่าหนา"


    ชายหนุ่มยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้า


    "มิได้เป็นเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะคุณพี่ ประเดี๋ยวน้องก็คงจะกลับเรือนกับเจ้าคุณพ่อแล้ว ออกมานานจนเพลาจวนจะเย็นแล้ว"


    "ได้สิออเจ้า เช่นนั้นพี่ไปรอออเจ้าด้านนอกหนา"


    "เจ้าค่ะ คุณพี่เดช"
        





     ร่างของชายหนุ่มเดินออกไปจากห้องหับพร้อมสาวใช้คนสนิทของแม่หญิงคนสวยมือบางเอื้อมไปจับแก้มเนียนสวยแผ่วเบา รอยยิ้มบางๆฉายผ่านใบหน้า นัยต์ตาสีนิลคู่งามไหวระริกเมื่อได้สัมผัสแก้มเนียนนุ่มของคนจับไข้ตรงหน้า
    ร่างบางของผู้มาเยือนขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ แอบลอบมองสำรวจดวงหน้าของคนป่วยใกล้ๆก่อนจะแอบทอดถอนหายใจแผ่วเบา  



    กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกระดังงาตลบอบอวนรอบๆกายของแม่หญิงคนงามให้จันทร์วาดได้ผ่อนคลายความรู้สึกหนักๆลง 


    "แม่การะเกด...ออเจ้าตื่นขึ้นมาเถิด ข้ามาเยี่ยมออเจ้าแล้วหนา"
     
    ริมฝีปากงามเว้นระยะอยู่สักอึดใจก่อนจะกล่าวต่อ


    "แม้นออเจ้าจักเกลียดหน้าข้า ขอแค่ออเจ้าฟื้น ตัวข้าก็จักไม่มาให้เห็นหน้าอีก"


    ‘ขอออเจ้าอย่าได้เป็นอันใดเลยแม่หญิงแห่งเมืองสองแคว’



    ริมฝีปากงามถูกเม้มเข้าหากันแน่น ร่างบางขยับเลื่อนใบหน้าหวานเข้าหาใบหน้างามตรงหน้า ก่อนริมฝีปากสีละมุนจะจรดเข้าที่แก้มใสอย่างแผ่วเบา




    ‘ออเจ้าจักรู้บ้างฤๅไม่ จักรับรู้บ้างหรือเปล่า หัวใจข้านั้น...หวั่นไหวให้กับออเจ้าแต่เพียงผู้เดียว แม่โฉมงามแห่งเมืองสองแคว



























    กรุงเทพมหานคร



    “กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!!!!!!”


    “กรี๊ดดดด!!!!!!”


    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!”


    เสียงกรีดร้องของสาวร่างตุ๊ต้ะดังขึ้นไม่ขาดสายบนเตียงกว้างที่อยู่บนตึกสูงระฟ้า 
    คอนโดห้องสวยที่ตกแต่งด้วยโทนสี


    เบทสื่อถึงรสนิยมเจ้าของได้เป็นอย่างดี ใบหน้าเจ้าหล่อนแดงเถือกด้วยความเกรี้ยวกราด ด่าทอต่างๆนาๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาราวกับคนบ้าที่ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองคือใคร 



    ครั้นเมื่อผู้ที่อยู่เฝ้าแม่สาวร่างอวบถามไปก็เอาแต่พูดจาภาษาพ่อขุนให้ร่างบางได้แต่ขมวดคิ้วจนเป็นโบว์ผูกผม นี่้ถ้ามันพันกันเองได้คงพันกันยุ่งเหยิงไปแล้ว ทั้งยังต้องมารองรับอารมณ์ของยัยคนสติไม่เต็มนี่ด้วยคำด่าทอต่างๆนาๆ
     จันทร์ศุภางค์ส่ายหัวเป็นรอบที่ร้อยของวันนี้ นี่เธอคิดถูกหรือคิดผิดที่ไปช่วยคนเป็นลมหัวกระแทกกำแพงแต่ตัวเธอดันโชคดีอย่างกับถูกล้อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง โป๊ะ!! เต็มๆ เมื่อยัยอ้วนร่างหนาตรงหน้ากลิ้งตัวลงมาหน้ารถที่เธอขับไปพอดี เลยจับพลัดจับผลูพามาที่คอนโดส่วนตัวทั้งยังเรียกหมอมาตรวจอาการเสร็จสรรพ




    เจ้าหล่อนไม่สำนึกบุญคุณเอาเสียเลย ทั้งยังก่อความรำคาญให้เจ้าของห้องเช่นเธออีก



    ร่างบางระหงลุกพรวดขึ้นเต็มความสูง เธออยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นสบายๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนสั่นระริก ดวงตาคมหลับตาลงอย่างข่มอารมณ์ เธอนับ 1-10 ไปร่วม ร้อยครั้งได้กับการก่อความรำคาญของยัยร่างหนาเตอะที่หน้าตาแย่แล้วนิสัยยิ่งอาการหนัก!



    บ้าบอ!! คิดได้คำเดียว ก่อนจะสาวเท้าตรงเข้าไปในห้องนอน มือสองข้างโฉบรั้งยึดสองแขนของแม่คนที่หวีดร้องราวกับเสียสติ เธอรวบรวมกำลังทั้งหมดกดยัยร่างหนาตรงหน้าลง ในท่าที่หมิ่นเหม่ แต่ใครจะสน! จันทร์สุภางค์หมดแล้วซึ่งความอดทน



    ปล่อยกู!! อีจันทร์วาด! มึงจักทำกระไร!! นี่มึงกล้าทำเยี่ยงนี้กับกูเชียวรึ!! อีนังคนอัปปรีย์!!! ข้าบอกให้ปล่อย!!”


    “นี่!!...เงียบ!!!!”เสียงหวานตวาดกร้าวไม่แพ้กัน ดวงตาคมสีนิลแข็งกร้าวมองจ้องไปยังอีกคนอย่างเหลืออด


    “ถ้าเธอจะจำไม่ได้!!! ก็ช่วยอยู่เงียบๆ!! ฉันรำคาญ!!”


    “มึงกล้าขึ้นเสียงกับกูฤๅอีจันทร์วาด! ได้!! กูจักตบมึงให้หนักเชียว!!”


    “เธอ!!!!!!  สภาพโดนกดแบบนี้ยังจะทำเก่ง!! ตัวอ้วนซะป่าวแต่แรงไม่มี!!”


    “อ้อ!!! แล้วก็ช่วยอยู่เงียบๆ ฉันช่วยเธอก็บุญเท่าไหร่แล้ว!! ดีแค่ไหนที่ไม่ปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ข้างทาง!!”


    “….”


    เกิดความเงียบขึ้นเมื่อการะเกดในร่างของเกศสุรางค์จ้องพิจารณาคนที่จับขึงเธออยู่


    “มึงพูดกระไร…กูฟังมิรู้ความ”


    พูดพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ความกราดเกรี้ยวก่อนหน้ามลายหายสิ้น เกิดเป็นความสงสัยมากกว่า ว่าคนตรงหน้าดูละม้ายคล้ายคนที่เจ้าหล่อนชังน้ำหน้าเสียเหลือเกิน


    “พูดอะไรของเธอล่ะเนี่ย ภาษาอะไรล่ะนั่น แปลว่าฟังไม่รู้เรื่องป่ะ?”


    “มึงมิใช่อีนังจันทร์วาดหรอกหรือ…จักว่าไปเพลานี้กูอยู่ในร่างของนังเกศสุรางค์…”


    “อะไรของเธออีก? พูดคนเดียวเนี่ย สติดีอยู่ไหม? แล้วไอ้ภาษาพันปีน่ะ ขอเถอะ! เลิกใช้ก่อนได้ไหม ฉันเวียนหัว”


    กล่าวจบก็ลุกออกมาจากร่างหนาตรงหน้า ให้อีกร่างลุกตาม มานั่งมองหน้ากันอยู่บนเตียงอย่างพิจารณา


    “ฉันชื่อ จันทร์ศุภางค์ เรียกจันทร์เฉยๆก็ได้ เธอล่ะ? พอจะจำได้ไหม?”


    “กู!!…เอ่อ…ข้าชื่อ การะเกด…”


    “เอ้า! ก็จำชื่อได้นี่ แล้วบ้านอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง”


    “ข้า…ข้ามิรู้ว่าเกศสุรางค์เรือนนางอยู่ที่ใด”


    “ห้ะ! เวรแล้วไหมล่ะ? นี่อย่าบอกนะว่าจำได้แต่ชื่อแต่อย่างอื่นจำไม่ได้?”


    ร่างหนาพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อคิดได้ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็จักต้องหลิ่วแล้วใยจักมิหลิ่วตาตาม ท่าทีที่อ่อนลงทำให้จันทร์ศุภางค์ถอนหายใจออกมาเบาๆ


    เริ่มมองเห็นหายนะอย่างแรง…จากนี้ไปชีวิตเธอต้องไม่ได้อยู่เป็นสุขอย่างแน่นอน




    “เอางี้นะ เดี๋ยวฉันจะสอนให้พูดใหม่…”ยังไม่ทันที่ร่าง



    ย้อนนึกไปถึงคราเมื่อร่างของเธอถูกเผาไหม้ด้วยมนต์กฤษณะกาลีก็ให้สั่นน้อยๆด้วยความกลัวเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดทรมานยังฝังอยู่ใจความทรงจำ 







    ร่างบางยืนทอดมองจันทร์ที่บัดนี้ลอยเด่นอร่ามตายิ่งนัก พลันนึกถึงใบหน้าสวยสคราญแสนนิ่งเฉียบเย็นแลดูหยิ่งทะนงนักเพลาเยื้องย่างผ่านผู้คน 





    ‘จันทร์ดวงนั้นจักงามเพียงใด ก็มิอาจเทียบได้กับดวงหน้าสวยของออเจ้า แม่การะเกด’ 



    ‘ใยข้าถึงได้หวั่นไหวราวกับต้องมนต์สะกด แม้นเพียงแรกพบสบพักตร์ ข้าก็รักออเจ้า…มิรู้ลืม’








    ' ออเจ้านั้นหนาช่างใจร้ายนัก…วาจามิเคยหวานหู แลกับตัวข้าแล้วออเจ้ายิ่งเกลียดแสนเกลียด
         ข้านั้นอยากให้ออเจ้าได้รู้นัก ว่าข้ามิได้มีใจให้คุณพี่หมื่นคู่หมายเจ้า…'




    ใบหน้านวลหม่นลง คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น มือบางยกขึ้นกุมหน้าอกไว้ 



    “ใยใจข้า…มันปวดได้เพียงนี้ แค่ออเจ้ามิเคยแม้แต่จะเฉียดมองมามันก็ชาหนึบไปทั้งดวง แลนางยังชิงชังข้าเสียเหลือเกิน…”



    ดวงตาไหวระริกเมื่อความรู้สึกมิสมหวังถาโถมรุนแรง ใบหน้าแม่หญิงคนงามปรากฎในมโนสำนึกล้วนมีแต่คำกราดด่าเสียเทเสีย ไม่ก็ต้องทำให้ข้านั้นได้เจ็บตัวอยู่ร่ำไป



    “โถ…แม่นายของบ่าว อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ…”

    นังเหมือนบ่าวคนสนิทกอดขานายสาวไว้อย่างสงสารสุดหัวใจ


    “แม่นาย หักใจเสียเถิดเจ้าค่ะ บ่าวมิอยากเห็นแม่นายจักต้องเจ็บตัวแลได้รอยเขียวช้ำเสียทุกครั้งที่เข้าใกล้แม่หญิงผู้นี้ บ่าวห่วงแม่นายเหลือเกิน”


    “ข้ามิเป็นไร…แลวันพรุ่ง ข้าก็จักไปเรือนคุณหญิงป้าเพื่อเยี่ยมนางอีกสักครา”



    ‘เจ็บตัวแลได้รอยเขียวช้ำ ดีเสียกว่าใจข้าต้องช้ำหากมิได้เห็นหน้าออเจ้า แม่การะเกด’











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×