ลำดับตอนที่ #19
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ ๒/๘ - แดนตะวันส่องภพ
๘. แดนตะวันส่องภพ
ครั้นถึงดิลมุนหรือ ‘แดนตะวันส่องภพ’ ตามที่เอนลิลเรียก ข้างุนงงมากเมื่อเขาพาข้าตรงมายังบ้านหลังหนึ่งใกล้ชายหาด บ้านนั้นดูใหญ่โตโปร่งสบาย แต่ก็สร้างด้วยไม้อย่างสมถะ แปลกแยกโดยสิ้นเชิงจากหมู่พฤกษาของเกาะแห่งเทพ ซึ่งมีใบเป็นอัญมณีแพรวพราว
“นี่คือบ้านของซิ-อุด-ซูรากับภรรยา คืนนี้เราจะพักที่นี่” เขาบอกข้าสั้นๆ
ชื่อนั้นแปลกหู ทีแรกข้าสงสัยว่าเขาเป็นเทพองค์ใด พอถาม เอนลิลก็อธิบายว่านั่นคือคนผู้เดียวกับอุตนาพิชทิมในมหากาพย์กิลกาเมช เขากับภรรยาเป็นมนุษย์คู่เดียวที่รอดจากเหตุการณ์น้ำท่วมล้างโลกเมื่อหลายพันปีก่อน และได้รับอมตภาพในดินแดนแห่งเทพ กษัตริย์กิลกาเมชจึงเดินทางมาหาพวกเขาเพื่อถามหาวิธีการเป็นอมตะ
“อุตนาพิชทิมเป็นชื่อที่ชาวบาบิโลเนียนเรียกเขา ส่วนซิ-อุด-ซูราเป็นชื่อดั้งเดิมของชาวซัง กิ-กา” เอนลิลสรุป “ชาวอัคคาเดียนเรียกเขาว่าอาทรา-ฮาสิส แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนคนเดียวกัน เป็นผู้ที่พวกเราเหล่าเทพยอมรับเหมือนๆ กัน ทำไมมหากาพย์อาทรา-ฮาสิส ถึงเขียนให้ข้าเป็นผู้ร้ายนักก็ไม่รู้ ข้ากับเอนคิออกจะเป็นมิตรกันดีแท้ๆ”
ฟังแล้วข้าเพิ่งระลึกได้...ว่าตำนานของอัคคาเดียนให้เอนลิลเป็นผู้ส่งน้ำท่วมมาล้างโลกมนุษย์ เพียงเพราะรำคาญเสียงจากการสมพาสของพวกเขา ซ้ำต่อมายังโมโหโกรธาที่เอนคิ วารีเทพช่วยอาตรา-ฮาสิสให้รอดชีวิตมาได้ ต่างจากตำนานอื่นๆ ที่ว่านภาเทพอันกับวายุเทพเอนลิลเป็นผู้มอบความเป็นอมตะให้แก่ซิ-อุด-ซูรา หรืออุตนาพิชทิม แต่ไม่ทันได้ถามยืนยันประโยคหลัง หญิงชายคู่หนึ่งก็ออกจากบ้านหลังนั้นมาต้อนรับพวกเราเสียก่อน
พวกเขาคำนับเอนลิลอย่างนอบน้อม และต้อนรับข้าอย่างเป็นมิตรเมื่อเทพแห่งสายลมแนะนำสั้นๆ ว่าข้าเป็นมนุษย์ที่ติดตามเขา ซิ-อุด-ซูรากับภรรยายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ทั้งคู่ดูแข็งแรงงดงาม ไร้ริ้วรอยแห่งวัยและความอิดโรยจากงานหนัก หญิงสาวตรงไปเข้าครัวหุงหาอาหารมารับรองข้ากับเอนลิล ขณะที่ชายหนุ่มสัพยอก
“หวังว่าคนคนนี้คงไม่มาถามหาความเป็นอมตะอีกนะขอรับ ข้าขี้เกียจนั่งดูขนมปังขึ้นราเจ็ดวันอีกขอรับ!”
เอนลิลหัวเราะในคอกับคำพูดของเขา กระทั่งข้าซึ่งเป็นห่วงสิมูนอยู่ก็อดยิ้มแห้งๆ มิได้
แสดงว่าเรื่องที่กิลกาเมชผล็อยหลับไปนานถึงเจ็ดวัน ทั้งๆ ที่ชายอมตะตั้งเงื่อนไขให้องค์ราชันบังคับตนเองให้ตื่นนานถึงหกวันเจ็ดคืนก่อนจึงจะยอมบอกความลับสู่ชีวิตอมตะคงเป็นความจริง เช่นเดียวกับเรื่องที่เขาสั่งให้ภรรยาอบขนมปังวันละก้อนเพื่อให้กิลกาเมชดูเป็นหลักฐานความผิดพลาดของตน แต่ใครหรือเอนลิลก็ไม่ได้เล่าว่าขนมปังที่เป็นหลักฐานยืนยันขึ้นราเลย
หากไม่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนรออยู่เบื้องหน้า ข้าก็นึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้นำกระดาษกับพู่กันมา มหากาพย์กิลกาเมชฉบับอุตนาพิชทิมหรือซิ-อุด-ซูราเล่าเองคงมีเรื่องน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ทว่าตอนนี้ข้าค่อนข้างร้อนใจมากกว่าว่าสิมูนเป็นอย่างไร จนเอนลิลต้องบอกว่านางคงยังไม่ถูกเบิกตัวเข้าสู่โถงพิพากษาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น สิ่งสำคัญคือพวกเราต้องพักผ่อนให้ฟื้นกำลังเต็มที่เสียก่อน
ว่ากันตามจริง ข้าไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นับแต่ดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งเนโมซิวเน ข้าก็ไม่กระหายน้ำอีก ความหิวที่เคยรุมเร้าท้องหลังจากทันทาโลสขโมยเสบียงของข้าไปอันตรธานเป็นปลิดทิ้ง เอนลิลต่างหากที่อ่อนเพลียกว่าข้า เขาเป็นผู้ใช้มนต์หอบหิ้วข้าไปยังยอดเขาแฝดมาชู ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายแผ่นดิน ผ่านคู่แมงป่องยักษ์ผู้เฝ้าประตูเส้นทางผ่านของตะวัน ลอดอุโมงค์ทางผ่านของสุริยเทพอูตูโดยเร็วก่อนเขาจะไล่ตามทันในอรุณรุ่งที่ใกล้มาถึง ซ้ำยังพาข้าข้ามน่านน้ำแห่งความตายมาถึงดิลมุน ผืนดินที่ได้รับแสงแรกแห่งอรุณ โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้แจวเรือเหมือนกิลกาเมชเสียอีก เอนลิลจึงสมควรได้พักผ่อนด้วยประการทั้งปวง
เราสองคนรับประทานอาหารที่คู่สามีภรรยาจัดให้ อาหารนั้นอร่อยมากจนข้าชมพวกเขาจากใจจริง ซิ-อุด-ซูรากับภรรยาออกตัวว่าอาหารพวกนี้มาจากธัญพืชที่พวกตนปลูกเองกับของป่า ไม่ใช่อาหารทิพย์ของเทพแต่อย่างใด แต่ข้าก็อดมิได้ที่จะยืนยันว่าในความรู้สึกของข้า อาหารเหล่านี้อร่อยที่สุดที่เคยกินมาในชีวิต ขณะที่เอนลิลรับประทานไปอย่างเงียบๆ ไม่มีสีหน้าท่าทางชื่นชมอาหารเหล่านั้นเป็นพิเศษแม้แต่น้อย
หลังอาหาร เมื่อข้ากับเขาอาบน้ำในแหล่งน้ำสะอาดใกล้ๆ นี้แล้ว เอนลิลก็บอกให้ข้ารีบเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้ ทว่าทันทีที่เข้ามาในห้องนอนสำหรับรับแขก พ้นจากเจ้าบ้านทั้งสองแล้ว เขาก็พูดอย่างเคร่งขรึมทันที
“เราต้องคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ดีๆ ทหารของพระองค์มีมากมายเท่าดาวบนฟ้า ต่อให้ข้ามีอำนาจเต็มที่ก็คงต้านไว้ได้ไม่นานพอให้เจ้าพานางหนี แล้วข้าก็ต้องให้พระองค์ปลดตราต้องห้ามให้เสียก่อน จึงจะกลับมีอำนาจเต็มที่ได้”
“เราไม่ควรหนีไปด้วยกันทั้งสามคนหรือ” ข้าย้อนถาม “ท่านเอนลิล ข้าซึ้งใจที่ท่านยินดีสละตนเองช่วยพวกเรา แต่ถึงอย่างไรสิมูนคงไม่ต้องการให้ท่านรับเคราะห์เพื่อนางแน่ๆ”
“พระองค์ไม่ลงโทษข้าร้ายแรงถึงขั้นลบล้างตัวตน หรือกักขังชั่วนิรันดร์ดอก” เอนลิลแย้ง “ข้าเป็นวายุเทพ ถึงอย่างไรลมก็ยังเป็นสิ่งที่โลกมนุษย์ไม่อาจขาดไปได้ และหากข้าจะต้องถูกจองจำในอิร์คัลลาอีกจริงๆ นั่นอาจเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะมีนางรอข้าอยู่ในนั้น”
ข้าเงียบไป ฟังตามที่เขาว่าแล้วก็คิดว่าการจองจำสำหรับเขาคงไม่เลวร้ายเช่นที่ข้ากลัว ในเมื่อมีหญิงคนรักอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้
“แต่ทวยเทพจะยอมให้ท่านกับนางใกล้ชิดกันอีกหรือ”
“ข้าพอพูดกับเอเรชคิกัลได้ ที่จริงนางเป็นคนเที่ยงตรง ถึงปากร้ายไปบ้างก็ย่อมลงโทษข้ากับอาร์ดัท-ลิลิตามน้ำหนักความผิด อย่าห่วงไปเลย ผู้ที่เจ้าควรใส่ใจที่สุดคือสิมูนต่างหาก” เขาพูดเรียบเรื่อย “หากมีโอกาส ฝากเจ้าบอกสิมูนเรื่องของเราสองคนด้วย นางไม่เคยรู้ว่ามารดาของนางเป็นมนุษย์ บอกนางด้วยว่าพวกเรารักนางมาก...แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่อาจอยู่ดูแลใกล้ชิดนางอย่างบิดามารดาเลย”
ข้ารับหนักแน่นที่สุดว่าจะทำตามนั้น เอนลิลเงียบไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามไปเสียอีกอย่าง
“เจ้ารู้สึกว่าอาหารของพวกเขาอร่อยที่สุดจริงๆ หรือ”
“จริงสิ” ข้าตอบอย่างจริงใจ “แต่...อาจเป็นเพราะข้าเป็นมนุษย์ก็ได้ ท่านเป็นเทพ คงชินกับอาหารทิพย์ของเหล่าเทพที่อร่อยกว่านี้มากมายนัก”
“แล้วน้ำอาบ...เป็นอย่างไร เย็นเกินไปหรือกำลังดี”
“ก็กำลังดีนี่”
คู่สนทนาของข้าเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วก็ถามอีกครั้ง
“อากาศตอนนี้เล่า ร้อนหรือหนาวเกินไป”
“...ก็ไม่ร้อนไม่หนาวอะไร ทำไมหรือ”
เอนลิลยิ่งจ้องมองข้าอย่างจดจ่อกว่าเดิม
“ก่อนเราไปพบอาร์ดัท-ลิลิ เจ้ารู้สึกเหมือนมีใครไล่ตามมาหรือเปล่า”
“หือม์” ข้านึกทบทวนความจำ แล้วก็นึกถึงหมอกควันสีดำนั้นได้ “ข้า...ไม่แน่ใจ แต่รู้สึกเหมือนเห็นควันสีดำเดี๋ยวก่อน!”
พูดไม่ทันจบ เอนลิลก็คว้าข้อมือซ้ายของข้าไปพลิกดูในความมืดอย่างไม่เบาแรงนัก เขานิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังเพ่งมองสิ่งที่ข้าไม่อาจเห็น แล้วจู่ๆ ก็ทิ้งมือของข้าลงทันควัน
“ข้าน่าจะรู้ ทำไมถึงไม่เอะใจตั้งแต่ก่อนหน้านี่!” เสียงของเขาขุ่นเคืองขึ้นอย่างประหลาด
“ทำไมหรือ” ข้าพลอยตกใจขึ้นมาด้วย “มีอะไรหรือท่านเอนลิล”
เอนลิลก้มหน้าลงมองพื้น ไม่ยอมสบตาข้าเลยตลอดเวลาที่เอ่ย
“เส้นชะตาของเจ้า...”
มนุษย์...ยามรู้ว่าความตายมาเยือนตนคงตื่นตระหนก ทว่าข้ากลับประหลาดใจตนเอง ไม่มีเลยความประหลาดใจ ไม่มีการตั้งคำถามว่าเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้อย่างไร
“อย่างนั้นหรือ” ข้ารับเบาๆ
มันคงเป็นความจริง มิเช่นนั้นเหล่าผู้พิพากษาแห่งอาเดสคงไม่เปรยว่าข้าตายด้วยเหตุฆาตกรรม และความยาวของเส้นด้ายชีวิตคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย ที่จริงความยาวเส้นด้ายนั้นเที่ยงตรง แต่ข้าลงมาก่อนถึงเวลาเพียงชั่วครู่เดียวต่างหาก
นึกดูข้าก็เพิ่งแปลกใจที่ตนเองกลับไม่รู้สึกเจ็บศีรษะซึ่งทันทาโลสใช้หินทุบเสียเต็มแรง ตื่นขึ้นมาก็ไร้ทั้งรอยเลือดและแผล ไม่มีความหิวกระหายสิ่งใด ไม่รู้สึกถึงความร้อนหนาว แต่ก็ยังบริโภคอาหารของผู้มีชีวิตอยู่อย่างเอร็ดอร่อย เพราะอาหารในโลกมนุษย์มีรสโอชากว่าอาหารในโลกแห่งภูตพรายนัก
“ข้ารู้สึกเหมือนมีผู้ไล่ตามเราในตอนนั้น” เอนลิลขยายความ “คงเพราะเห็นอำนาจของข้า เขาจึงล่าถอยไป ไม่เสี่ยงล่วงล้ำอาณาเขตตามเข้ามาถึงดิลมุน แต่ทันทีที่ออกสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง เขาไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
เขากลับเงียบไปนานแล้วก็ค่อยๆ เอ่ยเหมือนลังเล
“เจ้า...อยากเป็นอย่างซิ-อุด-ซูราไหม อามอน”
ข้านิ่งฟังตะลึงงัน
...เอนลิลจะยอมทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ...
“หากบอกว่าไม่อยากก็คงพูดปด” ข้าตอบเป็นนัย “มนุษย์ทั้งมวลย่อมไม่อยากเผชิญหน้าความตายอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่การฝืนชะตากรรมดอกหรือ แล้วถึงอย่างไร ข้าก็ไม่คู่ควรจะได้รับอมตภาพเลย ข้าไม่ใช่วีรบุรุษ ไม่เคยทำสิ่งที่กล้าหาญและยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วยซ้ำ”
เอนลิลถอนใจ
“สำหรับข้า เจ้าเป็นวีรบุรุษ ถึงไม่ได้เป็นยอดแห่งการรบ ไม่มีความสามารถใดๆ เหนือใคร แต่เจ้ายังมีความกล้าที่จะลงสู่ปรโลกเพื่อช่วยธิดาของข้า หากเป็นไปได้...ข้าไม่อยากให้นางต้องเสียเจ้าไปอีกเลย”
“หากเป็นไปได้...แสดงว่าท่านย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้” ข้าแย้ง “ซิ-อุด-ซูราได้รับอมตภาพจากอำนาจของเทพอันและท่านร่วมกัน หมายความว่าอำนาจของท่านเพียงลำพังมอบอมตภาพให้แก่มนุษย์ไม่ได้ อีกอย่าง...ข้าคิดว่าพระองค์ที่ท่านพูดถึงมาตลอดก็คือนภาเทพอันซึ่งลงโทษสิมูนเพราะฝ่าฝืนชะตาช่วยข้าเอาไว้ นั่นหมายความว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะยอมให้ข้าเป็นอมตะแน่ๆ”
“แต่ความโศกเศร้าของสิมูนที่ต้องเสียเจ้าไปเล่า”
“เวลาเด็กคนหนึ่งร้องไห้เสียใจที่นกของตนตาย พ่อแม่จะปลอบลูกไม่ให้เสียใจ หรือทำให้นกตัวนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาล่ะ”
“เจ้าไม่ใช่นก...แต่เป็นมนุษย์” เอนลิลตอบเสียงแข็ง “พ่อที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่มนุษย์...แต่เป็นเทพ!”
“มนุษย์หรือเทพล้วนอยู่ใต้ชะตากรรม ความตายคือด้านที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของชะตากรรม ท่านเองเห็นแล้วนี่ ว่าการฝ่าฝืนชะตากรรมให้ผลอย่างไร”
“อามอน รู้ตัวไหมว่าเจ้าพูดอะไรออกไป” เขาพูดเคร่งขรึมขึ้น
“ข้าพูดความจริง”
วายุเทพเงียบเสียงไปอีกครั้ง แล้วเอ่ยแผ่วเบากว่าเดิม
“ข้าควรจะลงไปตามเจ้าก่อนหน้านี้แท้ๆ ต่อให้ต้องละเมิดอาณาเขตของเทพอีกกลุ่มก็เถอะ”
ข้าสั่นศีรษะ
“ในเมื่อมันเป็นอดีตไปแล้วก็อย่าใส่ใจเลย เราสองคนยังมีเวลาช่วยสิมูนออกมา เท่านั้นก็พอแล้ว ใช้อำนาจของท่านช่วยเหลือนางให้เต็มที่เถอะ ไม่ต้องห่วงข้า”
ข้ารีบพูดให้ใจของเขาออกห่างจากเรื่องนั้น ทีแรกข้าถามเขาว่าจะพาสิมูนออกไปจากอาณาเขตของเหล่าเทพแห่งซัง กิ-กาได้ไหม เอนลิลเห็นด้วยว่าเป็นไปได้ และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เป็นอันว่าเหลือเพียงปัญหาหลักๆ คือเราสองคนจะเข้าถึงตัวนางได้อย่างไร และพานางออกไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร
“อำนาจในตัวข้าขณะนี้ยังไม่เพียงพอจะส่งคนสองคนออกนอกอาณาเขตของพวกเรา แต่บางที...” วายุเทพเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ข้านึกได้หนทางหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งที่สิมูนต้องการหรือไม่”
เขาค่อยๆ อธิบายให้ข้าฟัง ถ้าเพื่อให้ข้ากับสิมูนได้พ้นจากการตามล่าของเหล่าเทพแห่งดิลมุน นั่นคือการเสี่ยงที่คุ้มค่าน่าลอง ทว่า...ข้าเองไม่แน่ใจเช่นกันว่าสิมูนจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เอนลิลทำเพื่อนาง...ซึ่งอาจมองได้ทั้งเป็นพรและคำสาปอย่างใหม่
“นั่นคงเป็นเรื่องที่เราต้องถามนางเอง” สุดท้ายข้าก็ลงความเห็น
“ในการพิพากษาน่ะหรือ”
“ข้าพอมีวิธี ท่านเอนลิล” ข้าพยายามยิ้มน้อยๆ “ถึงข้าจะใช้อาวุธไม่เป็น เล่นดนตรีไม่เก่ง แต่ข้าเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้าพอทำได้”
เอนลิลมองข้าอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่แวบเดียวก็ตามความหมายของข้าทัน
วายุเทพพยักหน้ารับ ซ้ำตบไหล่ของข้าหนักๆ ข้ารู้สึกเพียงแรงกระแทก ทว่าไร้ความเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิง
“ตกลง อามอน เรื่องใช้ปากคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เรามีโอกาสครั้งเดียว จงแสดงให้เหล่าเทพทั้งโถงพิพากษาประทับใจไม่รู้วายไปเลย”
ข้าผงกศีรษะรับคำของเขา แล้วก็กลับมาสู่ข้อสงสัยอันยาวนานของข้าในที่สุด
“เพื่อการนั้น มีเรื่องที่ต้องถามท่านให้แน่ใจเสียก่อน ข้าจะได้ไม่พลาดเสียเอง...”
เอนลิลบอกให้ว่ามา ข้าจึงเริ่มเอ่ยปากตามที่ตนคิด
หากเป็นไปได้และเป็นไปตามนั้นจริงๆ นี่อาจเป็นสิ่งที่ใช้ในแผนการของเราดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
* * * * *
ครั้นถึงดิลมุนหรือ ‘แดนตะวันส่องภพ’ ตามที่เอนลิลเรียก ข้างุนงงมากเมื่อเขาพาข้าตรงมายังบ้านหลังหนึ่งใกล้ชายหาด บ้านนั้นดูใหญ่โตโปร่งสบาย แต่ก็สร้างด้วยไม้อย่างสมถะ แปลกแยกโดยสิ้นเชิงจากหมู่พฤกษาของเกาะแห่งเทพ ซึ่งมีใบเป็นอัญมณีแพรวพราว
“นี่คือบ้านของซิ-อุด-ซูรากับภรรยา คืนนี้เราจะพักที่นี่” เขาบอกข้าสั้นๆ
ชื่อนั้นแปลกหู ทีแรกข้าสงสัยว่าเขาเป็นเทพองค์ใด พอถาม เอนลิลก็อธิบายว่านั่นคือคนผู้เดียวกับอุตนาพิชทิมในมหากาพย์กิลกาเมช เขากับภรรยาเป็นมนุษย์คู่เดียวที่รอดจากเหตุการณ์น้ำท่วมล้างโลกเมื่อหลายพันปีก่อน และได้รับอมตภาพในดินแดนแห่งเทพ กษัตริย์กิลกาเมชจึงเดินทางมาหาพวกเขาเพื่อถามหาวิธีการเป็นอมตะ
“อุตนาพิชทิมเป็นชื่อที่ชาวบาบิโลเนียนเรียกเขา ส่วนซิ-อุด-ซูราเป็นชื่อดั้งเดิมของชาวซัง กิ-กา” เอนลิลสรุป “ชาวอัคคาเดียนเรียกเขาว่าอาทรา-ฮาสิส แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนคนเดียวกัน เป็นผู้ที่พวกเราเหล่าเทพยอมรับเหมือนๆ กัน ทำไมมหากาพย์อาทรา-ฮาสิส ถึงเขียนให้ข้าเป็นผู้ร้ายนักก็ไม่รู้ ข้ากับเอนคิออกจะเป็นมิตรกันดีแท้ๆ”
ฟังแล้วข้าเพิ่งระลึกได้...ว่าตำนานของอัคคาเดียนให้เอนลิลเป็นผู้ส่งน้ำท่วมมาล้างโลกมนุษย์ เพียงเพราะรำคาญเสียงจากการสมพาสของพวกเขา ซ้ำต่อมายังโมโหโกรธาที่เอนคิ วารีเทพช่วยอาตรา-ฮาสิสให้รอดชีวิตมาได้ ต่างจากตำนานอื่นๆ ที่ว่านภาเทพอันกับวายุเทพเอนลิลเป็นผู้มอบความเป็นอมตะให้แก่ซิ-อุด-ซูรา หรืออุตนาพิชทิม แต่ไม่ทันได้ถามยืนยันประโยคหลัง หญิงชายคู่หนึ่งก็ออกจากบ้านหลังนั้นมาต้อนรับพวกเราเสียก่อน
พวกเขาคำนับเอนลิลอย่างนอบน้อม และต้อนรับข้าอย่างเป็นมิตรเมื่อเทพแห่งสายลมแนะนำสั้นๆ ว่าข้าเป็นมนุษย์ที่ติดตามเขา ซิ-อุด-ซูรากับภรรยายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ทั้งคู่ดูแข็งแรงงดงาม ไร้ริ้วรอยแห่งวัยและความอิดโรยจากงานหนัก หญิงสาวตรงไปเข้าครัวหุงหาอาหารมารับรองข้ากับเอนลิล ขณะที่ชายหนุ่มสัพยอก
“หวังว่าคนคนนี้คงไม่มาถามหาความเป็นอมตะอีกนะขอรับ ข้าขี้เกียจนั่งดูขนมปังขึ้นราเจ็ดวันอีกขอรับ!”
เอนลิลหัวเราะในคอกับคำพูดของเขา กระทั่งข้าซึ่งเป็นห่วงสิมูนอยู่ก็อดยิ้มแห้งๆ มิได้
แสดงว่าเรื่องที่กิลกาเมชผล็อยหลับไปนานถึงเจ็ดวัน ทั้งๆ ที่ชายอมตะตั้งเงื่อนไขให้องค์ราชันบังคับตนเองให้ตื่นนานถึงหกวันเจ็ดคืนก่อนจึงจะยอมบอกความลับสู่ชีวิตอมตะคงเป็นความจริง เช่นเดียวกับเรื่องที่เขาสั่งให้ภรรยาอบขนมปังวันละก้อนเพื่อให้กิลกาเมชดูเป็นหลักฐานความผิดพลาดของตน แต่ใครหรือเอนลิลก็ไม่ได้เล่าว่าขนมปังที่เป็นหลักฐานยืนยันขึ้นราเลย
หากไม่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนรออยู่เบื้องหน้า ข้าก็นึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้นำกระดาษกับพู่กันมา มหากาพย์กิลกาเมชฉบับอุตนาพิชทิมหรือซิ-อุด-ซูราเล่าเองคงมีเรื่องน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ทว่าตอนนี้ข้าค่อนข้างร้อนใจมากกว่าว่าสิมูนเป็นอย่างไร จนเอนลิลต้องบอกว่านางคงยังไม่ถูกเบิกตัวเข้าสู่โถงพิพากษาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น สิ่งสำคัญคือพวกเราต้องพักผ่อนให้ฟื้นกำลังเต็มที่เสียก่อน
ว่ากันตามจริง ข้าไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นับแต่ดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งเนโมซิวเน ข้าก็ไม่กระหายน้ำอีก ความหิวที่เคยรุมเร้าท้องหลังจากทันทาโลสขโมยเสบียงของข้าไปอันตรธานเป็นปลิดทิ้ง เอนลิลต่างหากที่อ่อนเพลียกว่าข้า เขาเป็นผู้ใช้มนต์หอบหิ้วข้าไปยังยอดเขาแฝดมาชู ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายแผ่นดิน ผ่านคู่แมงป่องยักษ์ผู้เฝ้าประตูเส้นทางผ่านของตะวัน ลอดอุโมงค์ทางผ่านของสุริยเทพอูตูโดยเร็วก่อนเขาจะไล่ตามทันในอรุณรุ่งที่ใกล้มาถึง ซ้ำยังพาข้าข้ามน่านน้ำแห่งความตายมาถึงดิลมุน ผืนดินที่ได้รับแสงแรกแห่งอรุณ โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้แจวเรือเหมือนกิลกาเมชเสียอีก เอนลิลจึงสมควรได้พักผ่อนด้วยประการทั้งปวง
เราสองคนรับประทานอาหารที่คู่สามีภรรยาจัดให้ อาหารนั้นอร่อยมากจนข้าชมพวกเขาจากใจจริง ซิ-อุด-ซูรากับภรรยาออกตัวว่าอาหารพวกนี้มาจากธัญพืชที่พวกตนปลูกเองกับของป่า ไม่ใช่อาหารทิพย์ของเทพแต่อย่างใด แต่ข้าก็อดมิได้ที่จะยืนยันว่าในความรู้สึกของข้า อาหารเหล่านี้อร่อยที่สุดที่เคยกินมาในชีวิต ขณะที่เอนลิลรับประทานไปอย่างเงียบๆ ไม่มีสีหน้าท่าทางชื่นชมอาหารเหล่านั้นเป็นพิเศษแม้แต่น้อย
หลังอาหาร เมื่อข้ากับเขาอาบน้ำในแหล่งน้ำสะอาดใกล้ๆ นี้แล้ว เอนลิลก็บอกให้ข้ารีบเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้ ทว่าทันทีที่เข้ามาในห้องนอนสำหรับรับแขก พ้นจากเจ้าบ้านทั้งสองแล้ว เขาก็พูดอย่างเคร่งขรึมทันที
“เราต้องคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ดีๆ ทหารของพระองค์มีมากมายเท่าดาวบนฟ้า ต่อให้ข้ามีอำนาจเต็มที่ก็คงต้านไว้ได้ไม่นานพอให้เจ้าพานางหนี แล้วข้าก็ต้องให้พระองค์ปลดตราต้องห้ามให้เสียก่อน จึงจะกลับมีอำนาจเต็มที่ได้”
“เราไม่ควรหนีไปด้วยกันทั้งสามคนหรือ” ข้าย้อนถาม “ท่านเอนลิล ข้าซึ้งใจที่ท่านยินดีสละตนเองช่วยพวกเรา แต่ถึงอย่างไรสิมูนคงไม่ต้องการให้ท่านรับเคราะห์เพื่อนางแน่ๆ”
“พระองค์ไม่ลงโทษข้าร้ายแรงถึงขั้นลบล้างตัวตน หรือกักขังชั่วนิรันดร์ดอก” เอนลิลแย้ง “ข้าเป็นวายุเทพ ถึงอย่างไรลมก็ยังเป็นสิ่งที่โลกมนุษย์ไม่อาจขาดไปได้ และหากข้าจะต้องถูกจองจำในอิร์คัลลาอีกจริงๆ นั่นอาจเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะมีนางรอข้าอยู่ในนั้น”
ข้าเงียบไป ฟังตามที่เขาว่าแล้วก็คิดว่าการจองจำสำหรับเขาคงไม่เลวร้ายเช่นที่ข้ากลัว ในเมื่อมีหญิงคนรักอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้
“แต่ทวยเทพจะยอมให้ท่านกับนางใกล้ชิดกันอีกหรือ”
“ข้าพอพูดกับเอเรชคิกัลได้ ที่จริงนางเป็นคนเที่ยงตรง ถึงปากร้ายไปบ้างก็ย่อมลงโทษข้ากับอาร์ดัท-ลิลิตามน้ำหนักความผิด อย่าห่วงไปเลย ผู้ที่เจ้าควรใส่ใจที่สุดคือสิมูนต่างหาก” เขาพูดเรียบเรื่อย “หากมีโอกาส ฝากเจ้าบอกสิมูนเรื่องของเราสองคนด้วย นางไม่เคยรู้ว่ามารดาของนางเป็นมนุษย์ บอกนางด้วยว่าพวกเรารักนางมาก...แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่อาจอยู่ดูแลใกล้ชิดนางอย่างบิดามารดาเลย”
ข้ารับหนักแน่นที่สุดว่าจะทำตามนั้น เอนลิลเงียบไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามไปเสียอีกอย่าง
“เจ้ารู้สึกว่าอาหารของพวกเขาอร่อยที่สุดจริงๆ หรือ”
“จริงสิ” ข้าตอบอย่างจริงใจ “แต่...อาจเป็นเพราะข้าเป็นมนุษย์ก็ได้ ท่านเป็นเทพ คงชินกับอาหารทิพย์ของเหล่าเทพที่อร่อยกว่านี้มากมายนัก”
“แล้วน้ำอาบ...เป็นอย่างไร เย็นเกินไปหรือกำลังดี”
“ก็กำลังดีนี่”
คู่สนทนาของข้าเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วก็ถามอีกครั้ง
“อากาศตอนนี้เล่า ร้อนหรือหนาวเกินไป”
“...ก็ไม่ร้อนไม่หนาวอะไร ทำไมหรือ”
เอนลิลยิ่งจ้องมองข้าอย่างจดจ่อกว่าเดิม
“ก่อนเราไปพบอาร์ดัท-ลิลิ เจ้ารู้สึกเหมือนมีใครไล่ตามมาหรือเปล่า”
“หือม์” ข้านึกทบทวนความจำ แล้วก็นึกถึงหมอกควันสีดำนั้นได้ “ข้า...ไม่แน่ใจ แต่รู้สึกเหมือนเห็นควันสีดำเดี๋ยวก่อน!”
พูดไม่ทันจบ เอนลิลก็คว้าข้อมือซ้ายของข้าไปพลิกดูในความมืดอย่างไม่เบาแรงนัก เขานิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังเพ่งมองสิ่งที่ข้าไม่อาจเห็น แล้วจู่ๆ ก็ทิ้งมือของข้าลงทันควัน
“ข้าน่าจะรู้ ทำไมถึงไม่เอะใจตั้งแต่ก่อนหน้านี่!” เสียงของเขาขุ่นเคืองขึ้นอย่างประหลาด
“ทำไมหรือ” ข้าพลอยตกใจขึ้นมาด้วย “มีอะไรหรือท่านเอนลิล”
เอนลิลก้มหน้าลงมองพื้น ไม่ยอมสบตาข้าเลยตลอดเวลาที่เอ่ย
“เส้นชะตาของเจ้า...”
มนุษย์...ยามรู้ว่าความตายมาเยือนตนคงตื่นตระหนก ทว่าข้ากลับประหลาดใจตนเอง ไม่มีเลยความประหลาดใจ ไม่มีการตั้งคำถามว่าเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้อย่างไร
“อย่างนั้นหรือ” ข้ารับเบาๆ
มันคงเป็นความจริง มิเช่นนั้นเหล่าผู้พิพากษาแห่งอาเดสคงไม่เปรยว่าข้าตายด้วยเหตุฆาตกรรม และความยาวของเส้นด้ายชีวิตคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย ที่จริงความยาวเส้นด้ายนั้นเที่ยงตรง แต่ข้าลงมาก่อนถึงเวลาเพียงชั่วครู่เดียวต่างหาก
นึกดูข้าก็เพิ่งแปลกใจที่ตนเองกลับไม่รู้สึกเจ็บศีรษะซึ่งทันทาโลสใช้หินทุบเสียเต็มแรง ตื่นขึ้นมาก็ไร้ทั้งรอยเลือดและแผล ไม่มีความหิวกระหายสิ่งใด ไม่รู้สึกถึงความร้อนหนาว แต่ก็ยังบริโภคอาหารของผู้มีชีวิตอยู่อย่างเอร็ดอร่อย เพราะอาหารในโลกมนุษย์มีรสโอชากว่าอาหารในโลกแห่งภูตพรายนัก
“ข้ารู้สึกเหมือนมีผู้ไล่ตามเราในตอนนั้น” เอนลิลขยายความ “คงเพราะเห็นอำนาจของข้า เขาจึงล่าถอยไป ไม่เสี่ยงล่วงล้ำอาณาเขตตามเข้ามาถึงดิลมุน แต่ทันทีที่ออกสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง เขาไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
เขากลับเงียบไปนานแล้วก็ค่อยๆ เอ่ยเหมือนลังเล
“เจ้า...อยากเป็นอย่างซิ-อุด-ซูราไหม อามอน”
ข้านิ่งฟังตะลึงงัน
...เอนลิลจะยอมทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ...
“หากบอกว่าไม่อยากก็คงพูดปด” ข้าตอบเป็นนัย “มนุษย์ทั้งมวลย่อมไม่อยากเผชิญหน้าความตายอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่การฝืนชะตากรรมดอกหรือ แล้วถึงอย่างไร ข้าก็ไม่คู่ควรจะได้รับอมตภาพเลย ข้าไม่ใช่วีรบุรุษ ไม่เคยทำสิ่งที่กล้าหาญและยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วยซ้ำ”
เอนลิลถอนใจ
“สำหรับข้า เจ้าเป็นวีรบุรุษ ถึงไม่ได้เป็นยอดแห่งการรบ ไม่มีความสามารถใดๆ เหนือใคร แต่เจ้ายังมีความกล้าที่จะลงสู่ปรโลกเพื่อช่วยธิดาของข้า หากเป็นไปได้...ข้าไม่อยากให้นางต้องเสียเจ้าไปอีกเลย”
“หากเป็นไปได้...แสดงว่าท่านย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้” ข้าแย้ง “ซิ-อุด-ซูราได้รับอมตภาพจากอำนาจของเทพอันและท่านร่วมกัน หมายความว่าอำนาจของท่านเพียงลำพังมอบอมตภาพให้แก่มนุษย์ไม่ได้ อีกอย่าง...ข้าคิดว่าพระองค์ที่ท่านพูดถึงมาตลอดก็คือนภาเทพอันซึ่งลงโทษสิมูนเพราะฝ่าฝืนชะตาช่วยข้าเอาไว้ นั่นหมายความว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะยอมให้ข้าเป็นอมตะแน่ๆ”
“แต่ความโศกเศร้าของสิมูนที่ต้องเสียเจ้าไปเล่า”
“เวลาเด็กคนหนึ่งร้องไห้เสียใจที่นกของตนตาย พ่อแม่จะปลอบลูกไม่ให้เสียใจ หรือทำให้นกตัวนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาล่ะ”
“เจ้าไม่ใช่นก...แต่เป็นมนุษย์” เอนลิลตอบเสียงแข็ง “พ่อที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่มนุษย์...แต่เป็นเทพ!”
“มนุษย์หรือเทพล้วนอยู่ใต้ชะตากรรม ความตายคือด้านที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของชะตากรรม ท่านเองเห็นแล้วนี่ ว่าการฝ่าฝืนชะตากรรมให้ผลอย่างไร”
“อามอน รู้ตัวไหมว่าเจ้าพูดอะไรออกไป” เขาพูดเคร่งขรึมขึ้น
“ข้าพูดความจริง”
วายุเทพเงียบเสียงไปอีกครั้ง แล้วเอ่ยแผ่วเบากว่าเดิม
“ข้าควรจะลงไปตามเจ้าก่อนหน้านี้แท้ๆ ต่อให้ต้องละเมิดอาณาเขตของเทพอีกกลุ่มก็เถอะ”
ข้าสั่นศีรษะ
“ในเมื่อมันเป็นอดีตไปแล้วก็อย่าใส่ใจเลย เราสองคนยังมีเวลาช่วยสิมูนออกมา เท่านั้นก็พอแล้ว ใช้อำนาจของท่านช่วยเหลือนางให้เต็มที่เถอะ ไม่ต้องห่วงข้า”
ข้ารีบพูดให้ใจของเขาออกห่างจากเรื่องนั้น ทีแรกข้าถามเขาว่าจะพาสิมูนออกไปจากอาณาเขตของเหล่าเทพแห่งซัง กิ-กาได้ไหม เอนลิลเห็นด้วยว่าเป็นไปได้ และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เป็นอันว่าเหลือเพียงปัญหาหลักๆ คือเราสองคนจะเข้าถึงตัวนางได้อย่างไร และพานางออกไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร
“อำนาจในตัวข้าขณะนี้ยังไม่เพียงพอจะส่งคนสองคนออกนอกอาณาเขตของพวกเรา แต่บางที...” วายุเทพเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ข้านึกได้หนทางหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งที่สิมูนต้องการหรือไม่”
เขาค่อยๆ อธิบายให้ข้าฟัง ถ้าเพื่อให้ข้ากับสิมูนได้พ้นจากการตามล่าของเหล่าเทพแห่งดิลมุน นั่นคือการเสี่ยงที่คุ้มค่าน่าลอง ทว่า...ข้าเองไม่แน่ใจเช่นกันว่าสิมูนจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เอนลิลทำเพื่อนาง...ซึ่งอาจมองได้ทั้งเป็นพรและคำสาปอย่างใหม่
“นั่นคงเป็นเรื่องที่เราต้องถามนางเอง” สุดท้ายข้าก็ลงความเห็น
“ในการพิพากษาน่ะหรือ”
“ข้าพอมีวิธี ท่านเอนลิล” ข้าพยายามยิ้มน้อยๆ “ถึงข้าจะใช้อาวุธไม่เป็น เล่นดนตรีไม่เก่ง แต่ข้าเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้าพอทำได้”
เอนลิลมองข้าอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่แวบเดียวก็ตามความหมายของข้าทัน
วายุเทพพยักหน้ารับ ซ้ำตบไหล่ของข้าหนักๆ ข้ารู้สึกเพียงแรงกระแทก ทว่าไร้ความเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิง
“ตกลง อามอน เรื่องใช้ปากคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เรามีโอกาสครั้งเดียว จงแสดงให้เหล่าเทพทั้งโถงพิพากษาประทับใจไม่รู้วายไปเลย”
ข้าผงกศีรษะรับคำของเขา แล้วก็กลับมาสู่ข้อสงสัยอันยาวนานของข้าในที่สุด
“เพื่อการนั้น มีเรื่องที่ต้องถามท่านให้แน่ใจเสียก่อน ข้าจะได้ไม่พลาดเสียเอง...”
เอนลิลบอกให้ว่ามา ข้าจึงเริ่มเอ่ยปากตามที่ตนคิด
หากเป็นไปได้และเป็นไปตามนั้นจริงๆ นี่อาจเป็นสิ่งที่ใช้ในแผนการของเราดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
* * * * *
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น