ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ ๒/๙ - การพิพากษา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 167
      1
      15 ต.ค. 52

    ๙. การพิพากษา


    ไม่รู้ว่าข้าถูกจองจำไว้นานเท่าใด ก่อนที่ทหารสวมชุดเกราะท่าทางขึงขังสองนายพาข้าออกจากคูหานั้น คนหนึ่งกระชากผ้าคลุมหน้าของข้าออกทั้งๆ ที่ข้าร้องห้าม นัยน์ตาของทั้งสองกระด้าง ไร้ชีวิตจิตใจ พวกเขาไม่ยอมสบตาข้าหรือมีท่าทางได้ยินเสียงของข้าเลย

    ทหารสองนายนั้นพาข้าไปตามทางเดินยาวก่อด้วยหิน ขึ้นบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปราวกับไร้ที่สิ้นสุดโดยไม่เหน็ดเหนื่อย เบื้องหน้าคือประตูโลหะสลักลาย ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทันทีที่คนหนึ่งเปิดประตู ข้าต้องยกมือขึ้นป้องดวงตาเพราะแสงเบื้องหลังนั้นสว่างจ้า

    พวกเขารุนหลังข้าเข้าไป เท้าของข้าซวนเซบนพื้นหินขัดจนเสียงสะท้อนก้อง สะท้านเข้าไปในใจของข้าเหมือนค้อนที่กระหน่ำทุกทิศทุกทาง ในโถงใหญ่มีเพียงเสียงสะท้อนของฝีเท้าสามคู่เท่านั้น...ดังไม่เป็นส่ำพอๆ กับหัวใจของข้า ไร้เสียงอื่นๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง มือของร่างสวมชุดเกราะทั้งสองดึงข้าไปเบื้องหน้า เดินไปอีกหลายก้าว ก่อนจะกดให้ข้าคุกเข่าลงบนพื้นหิน

    ทว่าพวกเขาแทบไม่ต้องออกแรงเลย ขาทั้งสองของข้าไร้แรงต่อต้าน ที่จริงพวกมันแทบประคองร่างไม่อยู่ด้วยซ้ำ อากาศที่นี่เหมือนจะหนาหนักขึ้นไปเป็นสิบเท่า บีบเค้นข้าให้รู้สึกเหมือนตนเองเล็กกระจ้อยร่อยไร้อำนาจ ไม่ต่างอะไรกับมดแมลง

    เมื่อตาหายพร่า ข้าเสี่ยงเหลือบขึ้นมอง เห็นเพดานทรงโค้งของโดมสูง โดมนั้นเป็นสีฟ้าเข้มลึกล้ำกว่าท้องฟ้าที่เคยเห็น บางสิ่งบอกในใจข้าว่ามันสร้างจากลาปิส ลาซูลี...หินสีฟ้าอันมีค่ายิ่งในโลกมนุษย์ ข้าเคยเห็นโดมนี้มาก่อน เคยอยู่ในโถงใหญ่นี้...ในสภาวะอันตึงเครียดคล้ายกันนี้ ตราประทับบนใบหน้าของข้าแสบร้อนขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

    ถัดจากโดมลงมาเป็นยกพื้นสูง ประดิษฐานบัลลังก์ทอง ฉลุพนักพิงด้านหลังละเอียดอ่อนช้อยเหมือนเกลียวคลื่น ชายผู้หนึ่งประทับบนนั้น สวมมงกุฎทองฝังอัญมณีแพรวพราวประดับด้วยเขากระทิงใหญ่คู่หนึ่ง ข้าไม่อาจเห็นหน้าตาของเขาชัดเจน เนื่องจากทั่วร่างของเขาดูราวกับฉาบไว้ด้วยแสงสว่างเจิดจ้า กระนั้น ข้าก็รู้สึกว่าเขาดูสง่างามน่าเกรงขาม แผ่รัศมีกดดันข้าจนแทบไม่กล้าหายใจ

    ครั้นหันมองไปทางอื่น ก็พบว่าผนังโดมทรงโค้งมีแถวที่นั่งขนาดใหญ่คล้ายอัฒจันทร์ มีผู้คนในเครื่องแต่งกายภูมิฐานแพรวพราวด้วยเพชรนิลจินดา มิเช่นนั้นก็รัศมีแห่งเทพของตนนั่งอยู่เต็ม

    ใช่...ข้าเคยถูกพาตัวเข้ามาในที่แห่งนี้ อยู่ท่ามกลางสายตาต่างๆ นานาของพวกเขาเหล่านี้จริงๆ ข้าจำความรู้สึกนี้ได้ดี แม้ไม่อาจระลึกความทรงจำหรือเหตุการณ์อื่น

    “ทวยเทพทั้งปวง เราเรียกพวกท่านมายังโดมนภาแห่งดิลมุนในยามนี้ เพื่อเป็นประจักษ์พยานในการพิพากษาเทพกัญญาแห่งสายลมทะเลทราย สิมูน” เสียงก้องกังวานทรงอำนาจกระแทกโสตประสาทของข้าจากด้านบน จากชายผู้นั่งบนบัลลังก์นั้น “นางผู้กระทำผิดมหันต์ กลับปฏิเสธโทษทัณฑ์ของตน ไม่เพียงไร้สำนึกในความผิดที่ตนกระทำลงไป แต่ยังหลีกหนีการรับรู้ความผิดนั้นทั้งมวลเ!”

    ข้าไม่ทราบจะตอบเช่นไร สิ่งที่ไม่รู้และสงสัยมีมากมาย แต่ไร้ความกล้าจะถามกลับต่อเจ้าของเสียงนั้น

    เขาผู้นี้คือพระองค์...ข้ารู้เพียงเท่านั้น พระองค์ที่เอนลิลเกรงกลัว หากบิดาของข้ายังเกรงกลัว...ไยข้าจะไม่กลัวตามท่าน

    “ช่างน่าสมเพช” พระองค์กล่าวต่อ “ที่เจ้าถือกำเนิดมาเป็นเช่นนี้...ในหมู่พวกเรา...พร้อมด้วยอำนาจของพวกเรา ทั้งๆ ที่เจ้าโง่เขลา เอาแต่อารมณ์ความรู้สึกเป็นที่ตั้งอย่างมนุษย์ น่าอับอายแท้ๆ”

    ถ้อยคำเหล่านั้นเสียดแทงในใจข้า ทั้งๆ ที่ไม่อาจระลึกได้ ข้ากลับรู้สึกถึงสิ่งที่นอนก้นอยู่ในใจของตน...คงตั้งแต่ตอนที่รู้ความว่าตนเป็นเทพต้องคำสาป

    “ข้า...” ข้าค่อยๆ หาเสียงในลำคอของตนจนพบ ทั้งๆ ที่ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองมหาเทพผู้นั้น “ข้าไม่ทราบว่าข้าทำอะไรลงไป หรือสะกดความทรงจำของตนเพราะอะไร แต่ข้า...มีสิทธิ์จะเลือกเกิดเป็นสิ่งอื่นได้ด้วยหรือ ข้าเชื่อว่าข้าเกิดมาในหมู่ของพวกท่านโดยไม่รู้สิ่งใด...พอๆ กับที่ถูกพามาที่นี่โดยไม่รู้สิ่งใดเช่นกัน”

    “สามหาว!” เสียงแผดทำให้ข้าสะท้าน ราวกับจะพัดข้าปลิวไป ไม่ก็รีดเร้นให้หดเล็กลงอีกสักร้อยเท่า “ข้าไม่ได้อนุญาตให้เจ้าพูด!”

    ฟันของข้ากระทบกัน ข้าได้ยินเสียงพวกมันชัดเจนในมโนสำนึก นิ้วมือของข้าสั่นเทา ข้าไม่รู้สิ่งใดนอกจากความกลัว แต่ในความกลัวก็ยังมีคำถาม

    “หากข้าไม่รู้ว่าข้าทำอะไรลงไป ข้าจะตอบพวกท่านได้หรือว่าทำไม ข้ายังไม่รู้ว่าตนเองมีความผิดอะไรด้วยซ้ำ”

    พระองค์แค่นเสียง

    “เจ้าสะกดความทรงจำของตนด้วยตนเอง หาได้รับบัญชาให้ทำการนั้นเป็นโทษทัณฑ์ มิใช่การของพวกเราที่ต้องบอก พวกเรามาที่นี่เพื่อพิพากษาโทษใหม่แก่เจ้าเท่านั้น”

    “ลงโทษคนโดยที่เขายังไม่รู้ความผิด...เช่นนี้เรียกว่าการลงโทษได้ด้วยหรือ นภาเทพผู้ยิ่งใหญ่!”

    ข้าสะดุ้งเฮือก เสียงนั้นคุ้นเคยเกินไป ทว่าตัวข้าเองไม่คาดคิด...และไม่อยากให้เจ้าของเสียงมาถึงที่นี่เลย

    ...เขาเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้...จะเป็นไปได้อย่างไร...

    “สามหาว!” เสียงนี้ก็เช่นกัน ไม่ใช่เสียงของพระองค์...แต่เป็นเสียงที่ข้าเคยคุ้นกว่า ถึงจะไม่เคยได้ยินเสียงของเขากราดเกรี้ยวเช่นนี้ก็ตาม

    เสียงฝีเท้าสะท้อนก้องบนพื้นหินอยู่ข้างหลังข้า ข้าเสี่ยงเหลือบกลับไปมอง นั่นคืออามอนจริงๆ เขาถูกเอนลิลจับมัดมือไพล่หลัง ผลักให้ก้าวซวนเซมาคุกเข่าอยู่ข้างข้า

    “วายุเทพ นี่หมายความว่าอย่างไร” พระองค์ตั้งคำถาม

    “คารวะมหาเทพบิดา” ข้าเห็นเอนลิลค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม “ข้าพาตัวชายมนุษย์ผู้นี้มาเพื่อการลงทัณฑ์สิมูน ข้าได้สังหารนางปีศาจอาร์ดัท-ลิลิ ตามคำพิพากษาโทษของข้าแล้ว ขอท่านปลดตราต้องห้ามจากข้า และจากนางเช่นกัน...หลังจากนางดับชีวิตของชายมนุษย์ผู้นี้ต่อหน้าท่าน”

    ข้าเบิกตาโพลง เรื่องทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าต้องฆ่าอามอน...เพื่อให้พ้นคำสาปนี้หรือ

    ...เพราะอะไร...

    “เพื่อการนั้น เจ้าถึงกับต้องนำสาบมนุษย์เน่าเหม็นเข้ามาติดในโถงนภาแห่งดิลมุนเชียวหรือ!” พระองค์กลับแผดเสียง

    “ข้าขออภัย” เอนลิลค้อมศีรษะแทบติดพื้นหิน “เมื่อข้าจับกุมเขาได้ ทหารของท่านก็คุมตัวนางเข้ามาถึงดิลมุนแล้ว ข้าเกรงจะมาไม่ทันท่านพิพากษาโทษใหม่ให้นาง ที่สำคัญอีกประการ ชายผู้นี้ทำได้ถึงขั้นล่วงล้ำแดนแห่งภูต เพื่อนำน้ำแห่งความทรงจำกลับมาให้สิมูน เขาเองก็มีโทษที่เราต้องชำระเช่นกัน”

    “แต่แดนแห่งภูตที่เขาล่วงล้ำไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของเรา หากไม่นับดิลมุนที่เจ้าพาเข้ามาในบัดนี้”

    “เขาถูกพิพากษาโทษตายโดยพวกเรามาตั้งแต่ชีวิตที่แล้ว และยังไม่ได้รับโทษมาจนบัดนี้ เรามีสิทธิ์ลงโทษเขาก่อนมอบวิญญาณให้คณะเทพเจ้าจากอีกอาณาเขตจัดการตามสมควร”

    “เดี๋ยวก่อน! นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ข้าร้องขึ้นอย่างเหลืออด “อามอนมีโทษทัณฑ์อะไร เรื่องทั้งหมดนี้เป็นอย่างไร ได้โปรด...บอกข้าให้เข้าใจกว่านี้สักนิดเถอะ!”

    “จงเงียบ!” พระองค์ตวาด “อย่าบังอาจกล่าวสิ่งใดที่ข้ามิได้ถาม!”

    ข้าพยายามมองข้ามอามอนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ หมายจะสบตาอ้อนวอนเอนลิล เขาไม่หันมามองข้า แต่กระซิบด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยนกว่านั้น

    “อย่าเพิ่งถาม สิมูน เพียงปลดตราต้องห้าม เจ้าจะมีอำนาจทำลายผนึกสะกดความทรงจำของตนได้เอง”

    “แต่เพื่อการนั้น...ข้าต้องฆ่าอามอน...ใช่ไหม” ข้าไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้ถาม “ข้า...ข้าไม่เข้าใจ ข้าทำไม่ได้...”

    ข้าเลื่อนสายตามาทางอามอน เขาสบตากับข้าแน่วนิ่ง ทว่าถ้อยคำคล้อยไปในทางเดียวกัน

    “ท่านทำได้ และท่านต้องทำ”

    “เพราะอะไร!”

    “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะชีวิตของข้า...การคร่าชีวิตนั้นจึงเป็นทางแก้" เขาตอบเรียบๆ

    ข้าสั่นศีรษะ

    "ข้าไม่เข้าใจ...แล้วจะให้ทำได้อย่างไร"

    "ถึงอย่างไรท่านก็ต้องทำให้ได้...ทำเสียเถิด เพื่อตัวท่านเอง ข้าเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในทะเลทรายไพศาล เป็นเพียงมนุษย์ที่เคยผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วน...สำหรับข้า ความตายคือการหลับไม่รู้อะไรไปตื่นเดียวเท่านั้น"

    ข้าเริ่มเข้าใจที่เอนลิลเคยบอกรำไร เพื่อให้ข้าได้รู้...อามอนจะต้องตาย ไม่ใช่เพราะนำน้ำพุแห่งความทรงจำให้ข้า แต่เพราะเงื่อนไขของการล้างคำสาปคือการเอาชีวิตของเขามาแต่ต้น

    “ข้าทำไม่ได้” ข้ายืนกราน “แล้วเรื่องหม้อน้ำของธิดาแห่งดานาโอสที่เจ้าเล่าให้ฟังเล่า...ยังมีหนทางอื่นไม่ใช่หรือ เจ้านำน้ำพุแห่งความทรงจำมาได้สำเร็จใช่ไหม”

    “น้ำพุนั้นเป็นสมบัติของเทพในอาณาเขตอื่น เราไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวและต้องนำไปคืน” เอนลิลตอบด้วยเสียงเย็นชา “เทพสองดินแดนห้ามก้าวก่ายกัน นี่เป็นกฎ”

    ข้าหันขวับไปมองเขา

    “ท่านเล่า ท่านได้ชื่อว่าเป็นบิดาของข้า แต่ท่านต้องการช่วยข้าหรือทรมานข้ากันแน่ ไยถึงต้องให้ข้าฆ่าคนอื่นเพื่อพ้นโทษด้วย!”

    เขายังคงไม่มองมาทางข้า แม้จะให้คำตอบ

    “เพราะนี่เป็นกฎ”

    “กฎอะไร!”

    “ผู้ทำความผิดต้องลบล้างความผิดนั้นด้วยตนเอง”

    “แต่ข้าไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด!”

    “สังหารอามอน แล้วเจ้าจะได้รู้”

    “ข้าไม่เข้าใจ! พวกท่านเป็นอะไรกันไปหมด!”

    “ยังดื้อด้านไม่เปลี่ยน!” พระองค์แค่นเสียง
    “น่าสมเพชพอกันทั้งคู่ เทพเลือดสกปรกเปลี่ยนแปลงชะตากรรม สะกดความทรงจำของตนไว้เสียเอง...แล้วก็ยังมาพูดได้ว่าตนอยากรู้ ส่วนมนุษย์ผู้โง่เขลาก็ยอมทิ้งชีวิตอันแสนสั้นของตนเองไปเสียง่ายๆ เพราะความรักอันไร้ค่าบังตาจนมืดบอด!”

    "ใช่แล้ว...เป็นเพราะรัก แต่ความรักไม่ได้ไร้ค่าเสมอไป!" อามอนเงยหน้าขึ้นตอบทันควัน "ท่านเป็นถึงเทพแห่งฟ้าที่กว้างใหญ่แท้ๆ แต่ใจเห็นจะคับแคบไม่มีที่ให้บรรจุความรัก...เพราะขนาดลูกหลานแท้ๆ ของท่านเอง ก็ยังทำใจหินทรมานกันได้ถึงขนาดนี้!"

    "สามหาว!"

    ร่างบนบัลลังก์เพียงสะบัดหัตถ์วูบ...ข้าพลันรู้สึกถึงพลังขุมหนึ่ง พลังนั้นกระแทกอามอนจนแทบปลิวไปข้างหลัง ร่างของเขากระเด็นกระทบพื้น

    “อามอน—!” ข้ากรีดร้อง ทว่าเสียงของตนกลับแผ่วเบาเหลือเกิน เมื่อเทียบกับสุรเสียงของพระองค์ที่บริภาษต่อไป

    "มนุษย์ที่ต่ำต้อยเยี่ยงเจ้าย่อมไม่มีทางเข้าใจ...เพราะพวกสัตว์อย่างเจ้านิยมแต่ความวุ่นวาย! เห็นความรู้สึกสำคัญกว่าเหตุผลและกฎเกณฑ์!" มหาเทพตรัสบริภาษอีกครั้ง
    "พวกเราเหล่าเทพมีกฎของเรา! กฎที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้เป็นอันขาด! สมดุลแห่งชะตากรรมคือสิ่งที่ต้องรักษา และผู้ทำความผิดต้องลบล้างความผิดนั้นด้วยตนเอง!"

    ข้าหวั่นใจเมื่อเห็นอามอนกระอักเลือดลงบนพื้น ทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้ม แต่แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองพระองค์อย่างท้าทายทั้งๆ ที่เลือดไหลเป็นทางจากริมฝีปาก

    แล้วเขาก็หัวเราะออกมา...หัวเราะเหมือนขบขันเต็มประดา

    “มนุษย์! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”

    “หากบ้าหมายความว่าไร้เหตุผล...ก็เป็นท่านต่างหากที่บ้า!” เสียงของอามอนสะท้อนก้องทั่วโถง “บ้าในความเป็นเทพเจ้า...บ้าในศักดิ์ศรี...บ้าในอำนาจ...ในความสูงส่งของตัว ยกย่องตนเองเป็นผู้มีคุณธรรมรักษากฎแห่งชะตากรรม...ทั้งๆ ที่จริงๆ พวกท่านก็ไม่อาจล่วงรู้ชะตากรรมทุกอย่าง และมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นแท้ๆ !”

    “พล่ามอะไรของเจ้า!”

    “ตอบข้ามา ท่านมหาเทพแห่งนภา” ชายหนุ่มยังคงเงยศีรษะอย่างท้าทาย “เมื่อครั้งที่ข้ายังใช้ชีวิตเป็นเซ็ฟ พวกท่านปล่อยให้ข้ารอดชีวิตมาจนแก่เฒ่าได้อย่างไร...ถ้าข้ามีชะตาต้องตายเพราะโจรพวกนั้น”

    หลังเสียงสะท้อนในห้องโถงจบลง มีเพียงความเงียบกริบที่ครอบคลุม ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่อามอนพูด แต่ก็รอฟังด้วยใจระทึก

    “หากเซ็ฟต้องตายตั้งแต่ตอนนั้น ลูกหลานของเขาก็ไม่ควรเกิด หากแม่ของสิมูนต้องสิ้นชีวิตไปตั้งแต่ตอนคลอดนาง แล้วเด็กๆ ที่ตายเพราะนางกลายเป็นปีศาจจะตายได้อย่างไร ชะตากรรมที่จริงเป็นอย่างไรกันแน่ ทวยเทพเห็นชะตากรรมทั้งหมดจริงๆ หรือ”

    “เทพอาจไม่เห็นชะตากรรมทั้งมวล แต่ก็รู้ว่าสิ่งใดที่ไม่ควรกระทำเพื่อแทรกแซงชะตากรรมของมนุษย์” พระองค์ตอบในที่สุด
    “สิ่งที่วายุเทพและธิดาของเขาทำคือการแทรกแซงนั้น พวกเขาจึงต้องชดใช้โทษด้วยตนเอง!”

    อามอนหัวเราะออกมาอีกครั้ง

    “แล้วโทษทัณฑ์ที่ท่านกับคณะเทพพิพากษาให้ทั้งสอง...ไม่ถือเป็น ‘การแทรกแซง’ หรือ”

    “อย่างไรอีก!”

    “หากแม่ของสิมูนต้องตาย...ท่านก็ส่งทหารเทพของท่านมาสังหารนางได้อย่างง่ายดาย พอๆ กับสังหารเซ็ฟหลังรอดจากพวกโจร ไยจึงสั่งให้เอนลิลกับสิมูนฆ่าพวกเขาเอง...ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าทั้งสองไม่อาจทำได้ ปล่อยให้ทั้งอาร์ดัท-ลิลิกับเซ็ฟมีชีวิตอยู่แทรกแซงชะตากรรมของผู้อื่นต่อไปอีกนานหลายปี ในทางกลับกัน หากเซ็ฟกับอาร์ดัท-ลิลิ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ที่ท่านบัญชาให้สิมูนกับเอนลิลสังหารทั้งสองเสียจะไม่ใช่การแทรกแซงชะตากรรมได้อย่างไร...ในเมื่อท่านกำลังสั่งให้เทพฆ่าผู้ที่ไม่ถึงที่ตาย! ผู้ที่จะให้กำเนิดหรือล้างชีวิตคนอื่นๆ อีกตามชะตากรรม!”

    ข้ายังไม่เข้าใจคำพูดของอามอนนัก แต่เสียงของเทพองค์อื่นเริ่มกระหึ่มขึ้นในโถงพิพากษา เซ็งแซ่ไม่รู้ความใด

    “กฎเกณฑ์ทั้งสองข้อของท่านฟังดูเป็นสิ่งที่ดี สวยหรูสมเป็นกฎของเทพเจ้า แต่ในทางปฏิบัติพวกมันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง! ท่านก็แค่เอากฎพวกนี้มาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้อำนาจเผด็จการของตัว สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่เอนลิลกับสิมูนผู้กระทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ยิ่งขึ้น เพื่อสนองความคิดที่ว่าเทพอื่นๆ อย่างพวกท่านเที่ยงตรงสูงส่งกว่าพวกเขา...สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างพวกเราที่เห็นความรู้สึกสำคัญกว่ากฎ ที่จริงพวกท่านเป็นสิ่งมีชีวิตที่หน้ามืดตามัวและลักลั่นย้อนแย้งที่สุด!”

    พระองค์แผดเสียงคำราม อำนาจที่มหาศาลคราแรกแล่นมาปะทะอามอนอีกครั้ง ข้าผวาไปตามเสียงร่างของเขากระทบพื้นดังสนั่น แต่ไม่อาจหลุดจากการเกาะกุมของทหารเทพทั้งสองได้

    ข้าได้แต่มอง มองด้วยน้ำตานองหน้าขณะที่ร่างของชายหนุ่มแผ่หลาอยู่บนพื้น โลหิตเริ่มนองจากใต้ร่างนั้น

    “องค์เทพบิดา! โปรดยั้งมือก่อน!” เอนลิลผุดลุกขึ้นขวางหน้าเขาไว้ “หากพระองค์สังหารเขาเสียตอนนี้ สิมูนจะล้างความผิดของนางได้อย่างไร!”

    “เจ้าคิดว่านางจะตัดใจทำได้...ก่อนที่มนุษย์น่ารำคาญนั่นจะทำให้ข้าหมดความอดทนจริงๆ หรือ!”

    “เช่นนั้นก็ปลดตราต้องห้ามให้ข้าเถิด ข้า...จะบังคับให้นางสังหารเขาให้ได้เอง”

    “ไม่!” ข้าร้อง “ไม่ว่าพวกท่านจะทำอะไร...ข้าก็จะไม่ฆ่าเขา!”

    “อย่าดื้อด้าน!” เอนลิลกลับตวาดข้า “อามอนเป็นเพียงมนุษย์ ต้องอำนาจทำลายล้างของพระองค์เข้าไปถึงเพียงนี้ ภายในคงใกล้ป่นเป็นผงแล้ว หากทิ้งเวลาให้เนิ่นช้า...เขาจะตายเสียก่อนเจ้าได้ลงมือ แล้วโอกาสล้างโทษของเจ้าจะเสียไปชั่วนิรันดร์!”

    “แต่ว่า—“

    เอนลิลกลับหยิบกริชใต้ผ้าคลุมออกมาทิ้งตรงหน้าข้า มันตกกระทบพื้นสะท้อนก้องทั่วโถง

    “จบชีวิตให้เขา...ในครั้งเดียว” เขากระซิบ “อย่าให้เขาต้องทรมาน ถึงเขาต้องตายจากร่างนี้...เขาก็จะถือกำเนิดใหม่ได้ไม่มีวันจบสิ้น ลงมือเสีย...ทั้งเพื่อเจ้าและตัวเขาเอง”

    ข้ายังคงสั่นศีรษะ

    หากอามอนตายไป...วิญญาณของเขาอาจยังคงอยู่ ไม่สูญสลาย แต่ความเป็นตัวของเขาเล่า ต่อให้เขาถือกำเนิดใหม่ เขาก็จะมิใช่ ‘อามอน’ ที่ข้ารู้จักอีก เช่นนี้จะบอกว่าอามอนยังมีตัวตนอยู่ได้อย่างไร

    “สิ...มูน...” ข้าหันไปตามเสียงเรียกนั้น เห็นอามอนจ้องตรงมาทางข้า ปลายนิ้วของเขาพยายามขยับ...ทั้งๆ ที่ดูฝืดฝืนเหลือเกิน “...ลงมือ...เถอะ...”

    ข้ากัดริมฝีปาก ไม่อาจบอกเขาว่าข้าทำไม่ได้...แต่ก็ไม่อาจห้ามน้ำตาที่หลั่งไหล

    “การลาจาก...ไม่ใช่จุดสิ้นสุดหรอกนะ...สิมูน...”

    ข้าเบิกตาโพลง

    เขารู้จักถ้อยคำนี้...เช่นเดียวกับที่ข้าเคยได้ยิน

    ดาลแห่งความทรงจำของข้าเอย...โปรดหักสะบั้นลงในยามนี้เถิด ข้าหลับตาลง ร่ำร้องทั้งๆ ที่อาการปวดก่อตัวในศีรษะ มันอาจไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็อดหวังมิได้ ว่าหากได้ความทรงจำของตนคืนมา...ทุกสิ่งอาจเปลี่ยนไป ข้าอาจไม่ต้องฆ่าอามอน แต่พบหนทางที่ดีกว่านี้

    พลันเสียงที่ข้าไม่อาจบรรยาย...เสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงอุทานไล่เป็นทอดๆ ขัดความพยายามของข้า ยังผลให้ข้าสะดุ้งสุดตัว เห็นริมฝีปากของอามอนอ้ากว้าง แผ่นอกขยับขึ้นลงโดยแรงเหมือนกำลังหอบ เป็นการหอบอันน่าสะพรึงกลัวที่ขับเลือดออกมาจากรอยแผลต่างๆ บนร่าง

    ข้างลำตัวของเขามีเลือดนองกว้างอีกแห่ง แขนเสื้อขาด แขนซ้ายและมือที่ควรมีอันตรธานหายไป

    เสียงร้องของตัวข้าเองติดอยู่ในลำคอ สายตากวาดไปตามรอยเลือดที่ไหลหยดบนพื้น สู่ท่อนแขนที่ถูกกระชากออกและมือที่นิ้วนิ่งค้างไร้แรง เอนลิลเป็นผู้ถือมันไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    เมื่อเขาเห็นข้ามองอยู่ ก็โยนแขนนั้นลงบนพื้นข้างตัวข้า มันอ่อนปวกเปียกเหมือนเนื้อชิ้นหนึ่ง ทั้งๆ ที่ปลายนิ้วยังดูเหมือนจะเต้นระริกได้เอง

    “ลงมือเดี๋ยวนี้ ก่อนข้าจะฉีกแขนขาของอามอนออกจนหมด จากนั้นข้าจะแหวะท้องและอกของเขาช้าๆ โดยที่เขายังมีลมหายใจอยู่”

    “ไม่! ไม่ได้!”

    “มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ฆ่าเขาอย่างปรานีได้ สิมูน!”

    “แต่ข้า...ข้าทำไม่ได้!” ข้ายกสองมือขึ้นปิดหน้า สัมผัสน้ำตาที่อาบชุ่มโชก “มันต้องมีทางอื่น! ทางอื่นที่ดีกว่านี้! พวกท่านฆ่าข้าเสียดีกว่า! ให้ข้าตายแทนเขาเถอะ!”

    “มนุษย์ตายแต่ไม่สูญ ส่วนเทพไม่มีวันตาย มีแต่การสูญสลายของตัวตน นั่นเท่ากับไม่เหลือสิ่งใดอีกเลย”

    “เช่นนั้นก็ทำให้ข้าสูญสลายไปเสีย! ข้าไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว! ข้าไม่อยากเป็นเทพ! ขอแค่อย่าทรมานอามอนอีกก็พอ!”

    ข้าทรุดตัวลงคร่ำครวญเบื้องหน้ากริชบนพื้น หากหยิบมันขึ้นมาแทงตนเองแล้วจบสิ้นทุกสิ่งได้ ข้าคงทำอย่างยินดีเสียเหลือเกิน

    แต่ข้าแทงตนเองมาหลายครั้งแล้ว พยายามดับชีวิตตนมาหลายครั้ง โดยไม่สำเร็จทุกครั้ง ข้ารู้ดีว่าบาดแผลของข้าไม่มีวันเรียกความเห็นใจจากเทพเจ้าเหล่านี้ได้

    “ไม่อยากเป็นเทพ...หมายความว่าเจ้าอยากลดตัวลงไปเป็นมนุษย์เหมือนกับอามอนอย่างนั้นหรือ!” เอนลิลตั้งคำถาม

    หากเป็นเช่นนั้นจริงได้คงดี...ข้าจะได้ตายร่วมกับเขา ไม่ต้องรับรู้ความอ้างว้างชั่วนิรันดร์เช่นที่ผ่านมา ข้าอยากตอบเขาเช่นนั้น แต่ไม่ทันสุรเสียงของพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์

    “เอนลิล ข้ามิต้องการให้เลือดมนุษย์นองในโถงแห่งดิลมุนมากกว่านี้ จงบังคับสิมูนให้สังหารมนุษย์นั่นให้ได้เสียที บัดนี้...ข้าปลดตราต้องห้ามให้แก่เจ้า!”

    แสงสว่างห้อมล้อมร่างของเอนลิล เจิดจ้าจนตาพร่า ทว่าข้ายังคงจ้องมองความเคลื่อนไหวของเขานิ่งอยู่ เกรงว่าหากละสายตาไปเมื่อใด...เขาจะสบช่องทำร้ายอามอนโดยที่ข้าไม่รู้ตัวอีก

    แต่เขาไม่ทำสิ่งใดเลย...จนกระทั่งแสงนั้นจางลงในครู่ถัดมา เมื่อนั้นเขาหันหน้ามาทางข้าอย่างเคร่งขรึม นัยน์ตาที่เปล่งประกายสีทองสว่างเริ่มเปล่งประกาย

    เพียงสบตากับเขา ร่างกายของข้าก็พลันเหมือนไม่ใช่ของข้า คอของข้าหันกลับไปเอง สองตาจับจ้องกริชคมปลาบ มือหนึ่งหยิบมันขึ้นมาโดยที่ข้าไม่ได้ออกคำสั่ง

    ข้าอยากกรีดร้อง บอกตนเองให้ขัดขืน แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เท้าของข้าลุกขึ้น สองขาเดินไป ข้ามแขนที่ขาดจากร่างของอามอนราวกับกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง มือกระชับด้ามกริชเย็นเยียบไว้แน่น

    ข้าพยายามสั่นศีรษะ พยายามเลื่อนสายตาไปอ้อนวอนเอนลิล ทว่าไม่อาจทำได้ มีเพียงน้ำตาที่ทั้งเขาและข้าไม่อาจห้ามหลั่งไหลอาบใบหน้า

    ข้าคุกเข่าลงบนกองเลือดข้างอามอน เขาเงยมองข้า นัยน์ตาสงบนิ่ง ริมฝีปากมีรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับจะบอกว่านี่คือสิ่งที่ควรเป็นไป แต่นั่นไม่อาจปลอบโยนข้า ไม่อาจทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นได้แม้แต่น้อย

    สองมือของข้าค่อยๆ กุมด้ามกริช หันปลายลงสู่หัวใจของเขา ข้าพยายามต้านแรง สองมือสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่อาจห้ามสองแขนของตนให้ยกขึ้นสูง

    หรือข้าควรยอมแพ้จริงๆ หากมือของข้าสั่น...ไม่อาจจ้วงแทงถูกจุดตายในคราเดียว ข้าจะทำให้เขาต้องทรมานยิ่งกว่าเดิมใช่ไหม หรือที่จริงแล้ว...

    “ไม่...ได้...” คำพูดของข้าหลุดลอดจากริมฝีปากได้ในที่สุด “ข้า...ทำไม่ได้...”

    นิ้วมือของข้าชาด้านราวกับเป็นเหน็บ ข้ารวบรวมเรี่ยวแรงเบนสองมือออกห่างจากเขาอย่างฝืดฝืน แต่ละปลายนิ้วค่อยๆ แยกออก ทิ้งกริชให้ร่วงสู่พื้น คมบาดที่ข้างแขนของข้าจนแสบแปลบแวบหนึ่ง

    เสียงคำรามของพระองค์ดังกลบเสียงกริชกระทบพื้น ทว่าข้าไม่สนอีกแล้ว...แม้นตนเองต้องเสื่อมสลาย ข้าไม่อาจยอมรับสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ ไม่อาจคร่าชีวิตของคนที่ข้าไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับความผิดของข้าได้อย่างไร ยิ่งเขาผู้นั้นเป็นคนที่ดีต่อข้า...และพยายามช่วยเหลือข้าถึงเพียงนี้

    ข้ารู้สึกถึงความร้อนที่เคลื่อนวูบ คลื่นพลังของพระองค์คงบดขยี้ข้าในไม่ช้า แล้วร่างของข้าคงจะลอยละลิ่วไปก่อนกระแทกพื้นเต็มแรง กระดูกคงป่นทั่วร่าง

    แต่ไม่เป็นไร ข้ารู้จักความเจ็บปวดเหล่านี้ดีเกินพอ...ดีหลายครั้งและเนิ่นนานเกินไปแล้ว

    ทว่า...ข้ากลับรู้สึกได้ถึงสายลมเย็น หันไปก็เห็นแผ่นหลังของเอนลิลอยู่เบื้องหน้า ได้ยินเสียงเขาพึมพำร่ายมนต์ เขาหันกลับมามองข้าแวบหนึ่ง บนหน้ามีรอยยิ้มแสนเศร้า มือข้างหนึ่งของเขาชูไปเบื้องหน้า ต้านปะทะแสงสว่างอันร้อนรุ่มจากเบื้องหน้าบัลลังก์ อีกมือเอื้อมมาแตะใบหน้าของข้า บนตราประทับอักษรต้องห้ามซึ่งร้อนเหมือนถูกเผาขึ้นชั่วขณะก่อนจะกลับเย็นลง ริมฝีปากของเขาขยับเขยื้อนโดยไร้เสียง หากข้าอ่านถูกต้อง ข้าเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่เขาเอ่ย

    ขอให้มีความสุข...ลูกสาวพ่อ

    ภาพรอบด้านพร่ามัวชั่วแวบ...ก่อนจะกลับเจิดจ้าอีกครั้ง ร่างของข้าปะทะคลื่นความร้อนที่นิ่งสนิท ไม่เคลื่อนไหว

    ครู่ต่อมา ข้าจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่คลื่นอันมีอำนาจทำลายล้างของพระองค์ คลื่นนี้หนาหนักแต่ก็ไม่รุ่มร้อนกราดเกรี้ยวเท่า มันอบอุ่นและเมตตากว่า เป็นคลื่นแห่งธรรมชาติ...แห่งทะเลทรายที่ข้าคุ้นชิน

    เหลียวมองรอบด้าน...เห็นเนินทรายสูงต่ำ เจิดจ้าใต้แสงตะวัน ข้าเริ่มงุนงงว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร ก็พอดีแลเห็นร่างของคนอีกผู้หนึ่งแผ่ยาวบนพื้นทรายเบื้องหน้า

    อามอนยกศีรษะตน ใช้แขนขวาข้างเดียวทรงกายตนเองให้ลุกขึ้นนั่ง ทั่วร่างของเขายังมีเลือดนองเปรอะเปื้อน มีปากแผลเปิดกว้างซึ่งเลือดหลั่งริน ไม่เว้นไหล่ซ้ายที่มีหยดสีแดงซึมเป็นระยะๆ แต่บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ยิ้มทั้งริมฝีปากที่มีคราบเลือดและในดวงตา

    “ปลอดภัยใช่ไหม...สิมูน”

    ลำคอของข้าตีบตัน อยากพูดนักว่าถามมาได้ เจ้าต่างหากที่ข้าต้องถามว่าปลอดภัยใช่ไหม ไม่สิ...เห็นกันอยู่ว่าบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ไม่เจ็บแผลบ้างหรือ ทำไมถึงได้บ้าระห่ำเช่นนี้ ไม่เกรงกลัวอำนาจของเทพเจ้าเลยหรือ ข้าอยากพูดอะไรมากมายกว่านั้น แต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกไป

    มีเพียงน้ำตาที่ไหลพรากผสมเลือดบนร่างกายของเขา ขณะที่เขาโอบแผ่นหลังของข้าด้วยแขนเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ ข้ากอดเขาตอบด้วยสองแขนของข้า...กอดแน่นแทบเป็นรัด

    ...ข้าอยากให้กาลเวลาอันยาวนานเป็นนิรันดร์ของตน...หยุดนิ่งอยู่ที่นี่ตลอดไป...

    แต่แล้ว...ความแสบแปลบบนแผลที่แขนก็เตือนให้ข้าตระหนัก ข้าอาจจำมิได้...แต่ก็ล่วงรู้ติดตรึงว่าอำนาจแห่งเทพในกายของตนย่อมรักษาบาดแผลเล็กน้อยเพียงนี้ได้ภายในเวลาชั่วครู่เดียว

    ...เมื่อนั้น...ข้ารู้ว่าเวลาของข้ามิได้ยาวนานชั่วนิรันดร์อีกต่อไปแล้ว...

    * * * * *

    ขอโทษครับที่หายไปนานพอควรกับเรื่องนี้ ที่จริงเขียนจบแล้ว เหลือเพียงบทส่งท้าย บางทีคิดว่าอาจต้องรีไรท์แก้ไขมากขึ้น แต่จะลงให้จบแน่นอนครับ

    ตอนนี้จบบทที่ 2 - สายธาร และจะเข้าสู่ กาลเวลา บทที่ 3 ความยาว 4 ตอนย่อย (อาจแบ่งลงได้ราว 2 ครั้ง) ขอความกรุณาติดตามความรักของสิมูนกับอามอนไปสู่ปลายทางด้วยครับ m[_ _]m
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×