ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ ๒/๗ - ตราต้องห้าม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 198
      1
      11 ก.ย. 52

    ๗. ตราต้องห้าม


    กลุ่มคนสวมเสื้อเกราะทิ้งข้าไว้ในคูหาเล็กๆ ที่ก่อจากหิน มีความกว้างเพียงพอแค่นั่งซุกตัวกอดเข่าเท่านั้น

    คูหาที่ว่าไม่มีประตู แต่ดูเหมือนพวกเขาจะร่ายอาคมบางอย่างกันไว้...เหมือนกำแพงล่องหนที่เคยกักข้าใกล้เมืองแห่งสายลม อากาศว่างเปล่าที่หน้าคูหาร้อนราวกับไฟเมื่อข้าสัมผัสด้วยปลายนิ้ว ข้าไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้เป็นใคร จู่ๆ พวกเขาก็ปรากฏตัวจากแสงดาวที่พุ่งลงสู่พื้นทรายเบื้องหน้าข้า ชักอาวุธออกขู่ข้าให้ตามมาแต่โดยดี ยิ่งไม่ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงพาข้ามาที่นี่

    ...แล้วเหตุใด จึงมีใครอีกคนพยายามช่วยข้า...

    ข้าไม่รู้จักนาง ไม่คิดว่าตนเคยพบหญิงที่มีปีกนกเช่นนั้นมาก่อน นางโผลงใส่ชายสวมผ้าคลุมทั้งสองที่กรากเข้ามาจับตัวข้า กางกรงเล็บออกตะปบพวกเขา ทว่าคนเหล่านั้นใช้ดาบฟันปีกของนางขาดร่วงลงมาอย่างง่ายดาย ดูจากแผลที่ได้รับ...ข้าเชื่อว่านางคงไม่พ้นความตาย

    นั่นทำให้ข้ายิ่งไม่เข้าใจ...ว่านางสู้เพื่อปลดปล่อยข้าสุดชีวิตด้วยเหตุใด กระนั้น ข้ายังระลึกถึงสัมผัสที่รู้สึกได้จากนาง ในเวลาเพียงชั่วครู่สั้นๆ

    เป็นสัมผัสที่ทั้งอบอุ่นอ่อนโยน และหวงแหนแข็งกร้าวในขณะเดียวกัน ทั้งคุ้นเคย...และแปลกประหลาดอย่างไม่อาจบรรยาย

    “ช่างน่าเสียดาย” ข้าได้ยินเสียงแว่วมาจากเบื้องนอกห้องขัง เป็นเสียงของสตรีที่ฟังกระด้าง

    “พี่หญิง ข้ากลับไม่เห็นว่า นั่นเป็นเรื่องที่ท่านต้องเสียดายอันใดเลย” เสียงอันหวานกว่ามากของสตรีอีกคนเอ่ย

    “เจ้าพูดเช่นนั้นได้ อินันนา เพราะเจ้ามิใช่ผู้ที่ต้องลงไปพิพากษาวิญญาณในอิร์คัลลาเช่นข้า จนมิอาจอยู่ฟังการพิพากษา ‘ครั้งพิเศษ’ ในดิลมุนได้ต่างหาก”

    “การพิพากษาเทพระดับล่างมีสิ่งใดน่าดู”

    “’เทพระดับล่าง’ ที่เจ้าพูดถึง มีพ่อองค์เดียวกับนัมทาร์โอรสข้าเทียวนะ”

    ข้าเบิกตากว้าง ประหลาดใจจนไม่อาจห้ามตนเองมิให้ร้องถาม

    “หมายความว่าอย่างไร!”

    เสียงเบื้องนอกหัวเราะสั้นๆ

    “แต่จะให้มานับญาติกันคงไม่มีวันเสียละ สาบมนุษย์เน่าเหม็นยังติดตัวหนาขนาดนั้น”

    “หมายความว่าอย่างไร” ข้าปราดเข้าไปที่หน้าคูหา อยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่ตนจะทนได้ขณะชะเง้อ หวังเห็นคนพูดแม้เพียงสักนิด “ข้าไม่เข้าใจ หากท่านรู้ว่าข้าเป็นใคร...ได้โปรดบอกข้าทีเถอะ!”

    “เสียงน่ารำคาญนั่นอะไร สิ่งที่อยู่บนหน้าของมัน คือสิ่งที่เป็นตัวมันที่สุดกระมัง” หญิงเสียงกระด้างตอบเพียงเท่านั้น

    ข้าหน้าชา สองมือยกขึ้นปิดหน้าของตนในทันใด...แม้จะมีผ้าปกคลุมอยู่อีกชั้น ไม่ว่านางจะเป็นใคร...นางก็รู้เรื่องสิ่งอัปลักษณ์บนใบหน้าข้า

    ...อักษรที่สลักไว้ว่า ‘ต้องห้าม’...

    นี่คือสิ่งที่ข้าเห็นจากเงาสะท้อนบนผิวโอเอซิส และหวาดกลัวมาตลอด ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตนเคยทำความผิดอันใด

    “พี่หญิงเอเรชคิกัล” หญิงเสียงนุ่มนวลเอ่ย “ท่านว่าจะรีบกลับอิร์คัลลามิใช่หรือ ไปเถิด ไยต้องมาพูดเรื่องไร้สาระใกล้ที่คุมขัง นัมทาร์รอท่านอยู่ในอิร์คัลลา เช่นเดียวกับเนอร์กัลสวามีท่าน”

    หญิงเสียงกระด้างที่ข้าเพิ่งได้ยินชื่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    “หากเจ้าพบท่านพี่เอนลิล ฝากบอกเขาให้แวะมาดูหน้าลูกสักหน่อยเถอะ ข้าจะต้อนรับเขาอย่างดี ไม่ให้ต้องผ่านประตูทั้งเจ็ดเหมือนครั้งนั้นอีก”

    “ข้าจะทำตามนั้น”

    ได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งห่างออกไปบนพื้นหิน ทว่าเสียงฝีเท้าอีกคู่กลับเข้ามาใกล้ ข้าตกใจจนถอยหลังชิดผนังคูหาอีกด้าน

    ทว่าใบหน้าที่ปรากฏเบื้องหน้าคูหากลับอ่อนโยนยิ่ง ซ้ำงดงามจนข้าแลตะลึง แม้นไร้ความทรงจำก่อนหน้านี้มากมาย ข้าก็ยังรู้สึกว่าโฉมของนางเลิศเลอกว่าหญิงใดในพิภพนี้แน่แท้ ผมของนางดำเหมือนรัตติกาล ห้อมล้อมดวงหน้าผุดผ่องเรืองรองเหมือนแสงจันทร์ เป็นความงามที่เย็นตาและผ่อนคลาย

    “สิมูน” นางเรียกข้า ด้วยเสียงอ่อนหวานซึ่งรับกับดวงหน้าเป็นที่สุด “อย่าถือสาเอเรชคิกัลเลย นางเพียงน้อยใจ ที่บิดาของเจ้าไม่เหลียวแลนางกับลูกของนางเท่านั้น”

    “บิดาของข้า...หรือ” ข้าตัดสินใจพูด “ข้าจำเขาไม่ได้ เขาเป็นใครกัน”

    หญิงเบื้องหน้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย

    “จริงอย่างที่เขาว่า เจ้าสะกดความทรงจำของตนเองสินะ”

    “สะกดความทรงจำของตนเอง!” ข้ายิ่งประหลาดใจ “ข้า...จะทำเช่นนั้นไปทำไมกัน”

    “คงไม่ใช่หน้าที่ของข้าที่จะบอกเจ้า” นางกลับปฏิเสธทางอ้อม ทว่าข้ายังรู้สึกเหมือนเดาบางสิ่งได้...สิ่งที่เกี่ยวกับตราประทับบนใบหน้าข้า

    “เพราะ...ข้าทำเรื่องต้องห้ามใช่ไหม” ข้าแตะผ้าคลุมหน้าที่ปกปิดตรานั้น “ข้าจึงได้ถูกลงโทษ และสะกดความทรงจำของตนเอง”

    “เพราะรัก สิมูน” หญิงอีกคนกลับกระซิบ “รักไม่ใช่ความผิด แม้สิ่งที่เจ้าทำเพื่อรักจะผิดกฎก็ตาม”

    ข้ามองนางอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงพูดเช่นนั้น

    “เจ้าลืมข้าไปจริงๆ หรือนี่” นางถอนใจน้อยๆ พร้อมกับยิ้มเฝื่อนๆ “ข้าคืออินันนา เทพกัญญาแห่งรัก นับตามศักดิ์แล้ว ข้าถือเป็นอาของเจ้า”

    “แล้วพ่อของข้า...เป็นใคร”

    “วายุเทพเอนลิล”

    “...เอนลิลน่ะหรือ” ข้าแทบไม่เชื่อหูของตน “แล้วหญิงที่พูดกับท่านเมื่อครู่...ที่ชื่อเอเรชคิกัล...นางเป็น...ชายาอีกองค์ของเอนลิลหรือ”

    “ก็แค่คู่รักชั่วคราว...ตอนที่เขาถูกจองจำในอิร์คัลลา หรือปรภพอันเป็นที่อยู่ของนาง ตอนนี้นางมีสวามีใหม่แล้ว และนางก็เป็นอาของเจ้าเช่นเดียวกับข้า อย่าถือสานางเลย พวกเรารู้กันดีว่านางอารมณ์รุนแรงเพียงใด ตอนสวามีเก่าของนางเสีย นางเคยเชิญข้าลงไปเยี่ยมถึงอิร์คัลลา ข้ารับจะไปเพราะเห็นใจนาง นึกว่านางจะรับรองข้าในฐานะอาคันตุกะ แต่นายทวารบาลทั้งเจ็ดของนางกลับริบอาภรณ์ของข้าไปจนหมด ซ้ำเอเรชคิกัลยังจับข้าตอกตรึงขังไว้เป็นนาน ร้อนถึงพระองค์ต้องส่งทูตมาปลดปล่อยข้า ถึงอย่างนั้น เอเรชคิกัลยังไม่วายเรียกร้องให้ส่งผู้อื่นลงมาอยู่กับนางแทนข้า แลกกับอิสระเสียอีก”

    “...แล้วท่านไม่โกรธนางหรือ”

    “โกรธสิ โกรธมากด้วย” อินันนายิ้มเฝื่อนๆ “ทว่าการกลั่นแกล้งของนางก็มีเหตุผล หากข้าไม่ถูกจองจำในอิร์คัลลา ก็คงไม่ได้รู้ว่าตนเองมีความสำคัญ และมีผู้อื่นบนโลกมนุษย์รักข้ามากถึงเพียงนี้ คงยิ่งไม่ได้รู้ว่าคนรักของข้าทรยศข้า ข้าเลยส่งเขากับหญิงคนนั้นลงไปอยู่กับนางแทนเสียให้เข็ดหลาบ นางขังข้าไว้เพราะต้องการให้ข้ารู้ความจริง ว่าไป นางก็...มีวิธีแสดงความรักอย่างประหลาดๆ ของนางนั่นล่ะ”

    ความไม่เข้าใจของข้าคงออกทางสีหน้าชัดเจน กระทั่งอินันนาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะถอนใจ

    “มนุษย์คงเห็นความสัมพันธ์ของเทพอย่างพวกเราพิลึกจนไม่อาจเข้าใจจริงๆ สินะ”

    “แต่ข้าเป็นเทพ...เหมือนกับพวกท่านมิใช่หรือ”

    “เจ้ามีทั้งส่วนที่เป็นเทพ และส่วนที่เป็นมนุษย์ สิมูนหลานข้า” อินันนาส่งยิ้มให้ข้าอีกครั้ง “แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม เจ้าถือกำเนิดมาด้วยความรัก และรู้จักความรักในอีกแบบกับเอเรชคิกัล ข้าจึงชอบเจ้าเช่นกัน”

    ข้าสบกับนัยน์ตาสีท้องฟ้าของนาง ขณะที่ใจครุ่นคิดตามถ้อยคำเหล่านั้น

    “เอนลิลเป็นบิดาของข้า แต่มารดาของข้าเป็นมนุษย์.....ใช่ไหม”

    อินันนาพยักหน้ารับ

    “เพราะอย่างนั้น ข้าจึงเป็น...สิ่งต้องห้ามหรือ”

    “นั่นไม่ใช่เหตุที่ทำให้เจ้าเป็นสิ่งต้องห้ามเลย แต่เป็น ‘รัก’ อย่างที่ข้าบอกต่างหาก” นางตอบ “ผู้ที่เกิดมาด้วยรักและมีรัก น่าจะยินดีที่ได้รับพรของข้า มากกว่าเห็นตนเองเป็นสิ่งต้องห้ามเสียอีก”

    “แต่ว่า...” ข้าพยายามเรียบเรียงความกังวลของตนเป็นถ้อยคำ “ข้าถูกจับมาที่นี่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะทำสิ่งต้องห้าม เลยต้องถูกตัดสินโทษหรือ แล้วที่ข้าถูกลงโทษก่อนหน้านั้น...ก็เพราะทำสิ่งต้องห้ามเหมือนกัน”

    ข้าไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดอินันนาจึงดูไม่ทุกข์ร้อนเลย...ทั้งๆ ที่พูดอยู่กับปากว่าข้าเป็นหลานของนาง และนางชอบข้า ข้าถูกพาตัวมาที่นี่เพื่อพิพากษาโทษโดยไม่รู้สิ่งใด หากนางรักและหวังดีต่อข้าจริง ก็ควรเล่าให้ข้าฟังว่าข้าทำอะไรลงไป และมีสิ่งใดรอข้าอยู่...มิใช่หรือ

    “เมื่อถึงเวลานั้น ทุกสิ่งจะเรียบร้อย สิมูน” อินันนายังคงยิ้ม “ผู้ที่เจ้ารักไม่ทอดทิ้งเจ้า นั่นคือสิ่งที่ข้าเห็นชัดเจนที่สุด”

    “ผู้ที่ข้ารัก...ท่านหมายถึงเอนลิลหรือ หรือว่า...” ข้าชะงักเมื่อชื่อของชายอีกคนผุดขึ้นในใจทันที แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไป

    “เอเรชคิกัลกล่าวเช่นนั้น เพราะอิจฉาเจ้ากับแม่ของเจ้า” นางไม่ตอบคำถามของข้า แต่เอ่ยอีกอย่าง “ข้าเองยังอิจฉาเจ้าเลย คนรักคนใดที่ข้ามีก็ไม่อาจกล้าหาญสู้ชายคนรักของเจ้าได้จริงๆ”

    ยิ่งนางพูด ข้าก็ยิ่งกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล จำไม่ได้เลยว่าตนมีคนรัก ซ้ำชายที่ข้านึกถึงขึ้นมา ก็ไม่ได้รู้จักใกล้ชิดกันในฐานะที่นางว่าด้วยซ้ำ

    “ข้าจะรอดู ว่าเขาตั้งใจทำสิ่งใดในโถงพิพากษา ชายจากอาณาเขตของอีกคณะเทพนี้ ช่างน่าสนใจดีแท้” อินันนากล่าวแล้วก็ลุกขึ้น หันไปอีกทางหนึ่ง

    “เดี๋ยวก่อน!” ข้าพยายามร้องเรียก ทว่านางไม่ตอบหรือหันมาอีกเลย และทิ้งข้าไว้กับความสงสัยมากมาย

    บิดาของข้าคือเอนลิล...ข้าทำสิ่งต้องห้ามเพราะรัก...ข้าไม่อยากจดจำจึงได้สะกดความทรงจำของตน...ข้าถูกนำตัวมาที่นี่เพื่อพิพากษาโทษ...แล้ว...อามอนยังจะตามติดมาถึงนี่เพื่อช่วยข้าอย่างไรอีกหรือ

    * * * * *

    ปริศนาต่างๆ ก็เริ่มคลี่คลายออกมามากแล้ว เหลือภารกิจคือการช่วยเหลือสิมูนครับ (ลงทีละสองตอนก็เดินเรื่องไวขึ้นดีจัง) จากนี้จะค่อนไปทางเทพของเมโสโปเตเมียมากขึ้นล่ะ

    ชื่อ

    ดิลมุน - Dilmun (ดินแดนที่อาศัยของเทพเมโสโปเตเมีย)

    อิร์คัลลา - Irkalla (ปรภพของเมโสโปเตเมีย)

    อินันนา - Inanna (เทพีแห่งความรักและสงคราม มีอีกชื่อว่า Ishtar เทียบได้กับ Aphrodite ของกรีก)

    เอเรชคิกัล - Ereshkigal (เทพีแห่งปรโลก ฝาแฝดของอินันนา)

    นัมทาร์ - Namtar (เทพแห่งโรคภัย โอรสของเอนลิลกับเอเรชคิกัล)

    เนอร์กัล - Nergal (สวามีของเอเรชคิกัล เทพแห่งปรโลก)

    ฉบับแรกที่เขียน เอนลิลเป็นพี่ชายของสิมูน แต่เพื่อเน้นความแปลกแยกของสิมูนในฐานะกึ่งเทพ จึงให้เป็นลูกแทนครับ ที่จริง ผมแปลกใจปริศนาในตำนานของเอนลิล ที่ว่าข่มเหงนินลิลจนมีลูก จึงต้องลงไปใช้โทษในปรภพ แต่นินลิลก็ยังตามลงมาในปรภพด้วย และมีลูกกันอีกหลายคน ความฉงนจึงออกมาเป็นเวอร์ชั่น...ประหลาดๆ ที่ทำให้แม่ของสิมูน (ซึ่งไม่ยืนยันว่าชื่อนินลิลหรือไม่) กลายเป็นปีศาจไป

    ส่วนฉากที่สิมูนพูดกับอินันนา ที่จริงไม่ได้เดินเรื่องเท่าไร แต่คิดว่าคงต้องให้เห็นสภาพและความคิดของสิมูนในตอนนี้บ้าง จึงออกมาเป็นฉากคุยกันของอาหลาน ซึ่งคุณอาเธอออกจะ make love, not war ผิดจากบางตำนานที่ดุขนาด...โดนปฏิเสธรักก็วิ่งไปหาท่านพ่อผู้เป็นมหาเทพ วีนขอให้ส่งกระทิงสวรรค์ลงมาทำลายโลกมนุษย์กันทีเดียว ^^a

    ตำนานที่อินันนาลงไปถูกเอเรชคิกัลขังมีจริงครับ มูลเหตุเป็นอะไรไม่แน่ชัด แต่เพราะอินันนาตายแห้งอยู่ในปรโลก บนโลกมนุษย์ก็เกิดความแห้งแล้งด้านชีวิตรักเฉียบพลัน ไม่มีการสืบทอดเผ่าพันธุ์ ทวยเทพจึงสร้างสิ่งมีชีวิต "ไร้เพศ" ลงไปขอตัวเธอขึ้นมา และคนที่ถูกอินันนาส่งลงไปแทนด้วยความโมโหคือเทพแห่งการล่าสัตว์ ทัมมุซ/ดูมูซี/ดูมูซิด/ดามู สวามีของตน ที่ลัลล้าเมื่อชายาไม่อยู่ กับน้องสาวของเขา ซึ่งบางตำนานก็บอกว่าคนรักด้วย

    เห็นผู้อ่านเงียบกันไปหลายตอน คิดว่าคงเพราะลงถี่เลยทยอยตามอยู่ แต่ก็หวังว่าจะทักทายกันบ้างนะครับ หวั่นเกรงเหมือนกันว่าเรื่องนี้อาจเรียบๆ ไปหรือเปล่า ถ้ามีคำแนะนำจะยินดีมากฮะ ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×