ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Sun Seeker - ผู้ตามหาตะวัน (จบภาค)

    ลำดับตอนที่ #92 : บทที่ ๙ – ช่วยเหลือ - “ข้าอาจช่วยเหลือชาวถ้ำทุกคนไม่ได้ แต่ข้าช่วยคนที่ข้าพบได้”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 179
      0
      12 ม.ค. 54

    บทที่ ๙ช่วยเหลือ

     

    นานมาแล้ว เทพสายลมจุดโคมสว่างบนท้องฟ้า เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ซึ่งไม่อาจเห็นชัดในความมืด และปราศจากเขี้ยวเล็บป้องกันตนจากสัตว์อื่นๆ

    ผู้คนทั้งหลายล้วนยินดีร้องรำ พวกเขาเรียกโคมนั้นว่าดวงตาแห่งวัน หรือ ตะวัน

    ...แต่ในหมู่คนเหล่านั้นยังมีชายผู้หนึ่ง เขาเงยมองแสงตะวันร้อนแรงโดยตรง กระทั่งตาทั้งสองบอดสนิทไปในทันที

    ชายนั้นโกรธแค้น ก่นด่าดวงตะวันว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย มิไยใครจะทักท้วง ชายมืดบอดกวาดต้อนลูกหลานครอบครัวตนเข้าไปอยู่ในถ้ำ ใช้ยางไม้เหนียวทาปิดเปลือกตาของญาติมิตรทุกคน

    พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความมืดของถ้ำ ขุดโพรงรูลึกลงไปเรื่อยๆ หมายหนีแสงตะวัน เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ ก็จะถูกทาปิดเปลือกตาด้วยยางไม้เหนียวเช่นกัน คนบนภูเขา บนท้องทุ่ง บนริมฝั่งน้ำ เรียกขานคนกลุ่มนี้ว่าชาวถ้ำ พวกเขาเย้ยหยันว่าคนเหล่านั้นโง่เขลา สมควรถูกฝังในความมืดชั่วนิรันดร์

    ครั้นเวลาล่วงเลยไป ชาวถ้ำก็ถูกลืมเลือนโดยชนกลุ่มอื่น

    พวกเขาแต่งงานกันในหมู่ตน เชื่อฟังคำสั่งของบรรพบุรุษ ปิดตาของเด็กๆ ที่เกิดใหม่ทุกคน ยิ่งผู้คนเพิ่มจำนวน อาหารการกินและแหล่งน้ำในโพรงถ้ำก็ยิ่งลดลง จนต้องเริ่มออกมานอกถ้ำในยามวิกาลเพื่อหาอาหาร ยามวิกาลเป็นเวลาของสัตว์ร้าย ชาวถ้ำมากมายจึงตกเป็นอาหารของพวกมัน

    ถึงคราวชายชาวถ้ำคนหนึ่งขึ้นไปหาอาหาร เขาถูกสุนัขป่าไล่ต้อนจนหนีล้มลุกคลุกคลาน กระนั้นยังหาโพรงไม้หลบซ่อนจนหนีรอดมาได้ ทว่าเขาถูกตะปบเป็นแผลสาหัส จึงได้แต่ติดอยู่ที่นั่นจนตะวันขึ้นฟ้า และสุนัขป่าล่าถอยไป

    ชายนั้นไม่อาจเห็นแสงตะวัน แต่ก็ตกใจกลัวยิ่งนักเมื่อสัมผัสแสงอบอุ่นของยามรุ่งอรุณที่ส่องลอดม่านใบไม้ ชาวถ้ำมิได้ออกจากถ้ำมานานแล้ว ผิวของพวกเขาซีดขาวเปราะบาง ครั้นต้องแดดแรงนักก็ไหม้พุพอง ให้ทุกข์ทรมานราวกับถูกแผดเผา...

    ขณะที่เขาร้องขอความช่วยเหลือ ก็พลันมีผืนผ้าหนาทิ้งตัวลงคลุมร่าง

    มือเล็กบอบบางทว่าแข็งแรงจับมือของเขา และเสียงของสตรีก็เรียกเขาอย่างอ่อนโยน

    เขาปล่อยให้นางพาเขาไป...

    หญิงนั้นเป็นหมอของชาวเผ่าท้องทุ่ง นางพาชายชาวถ้ำไปรักษา แผลของเขาสาหัสนัก แต่สมุนไพรของชาวทุ่งซึ่งงอกในแสงตะวันมีสรรพคุณดี ไม่ช้า บาดแผลของเขาก็ค่อยๆ หายสนิท

    ขณะอยู่กับชาวทุ่ง ชายชาวถ้ำได้ฟังเรื่องมากมาย และเขาก็เริ่มสงสัย สิ่งส่งกลิ่นหอมที่พวกเขาเรียกกันว่าดอกไม้เป็นอย่างไรหรือ สัตว์เนื้อตัวอ่อนนุ่มขนฟูที่พวกเขาเรียกกันว่ากระต่ายเป็นอย่างไรหรือ ท้องฟ้าที่เขาว่ามีสีงดงามดุจหินล้ำค่าเล่าเป็นอย่างไร

    สตรีชาวทุ่งปรารถนาให้เขามองเห็นเช่นกัน นางสกัดยาจากสมุนไพรต่างๆ ล้างยางไม้ที่ปิดดวงตาของเขา และให้เขาออกไปมองโลกนอกกระโจมทีละน้อย...ทีแรกในยามราตรี ต่อมาในยามย่ำรุ่งและสนธยา แล้วจึงออกสู่แสงสว่างเต็มที่ของยามทิวา ด้วยเหตุนี้ชายชาวถ้ำจึงค่อยๆ มองเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

    เขาอาศัยอยู่กับหมู่ชาวทุ่ง เรียนรู้วิธีทำงานและล่าสัตว์แบบพวกเขาเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็รักโลกใต้แสงตะวันกับหญิงผู้ช่วยเหลือตนขึ้นไปอีก

    เขาสร้างตนเองจนมั่นคง แล้วจึงสู่ขอแต่งงานกับนางตามธรรมเนียม

    กระนั้น ชายหนุ่มก็ยังนึกถึงชาวถ้ำทั้งมวลผู้เป็นญาติ และไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นต้องเป็นทุกข์ในความมืดบอดอีกต่อไป เขาจึงปรุงยาที่หมอหญิงใช้เปิดดวงตาของตน นำติดตัวเดินทางไปยังโพรงถ้ำต่างๆ และเสาะแสวงชาวถ้ำในนั้น ถามไถ่ว่ามีผู้ใดอีกหรือไม่ที่ต้องการมองเห็นเช่นเขา และเล่าเรื่องของตนให้คนเหล่านั้นฟัง

    ชาวถ้ำส่วนหนึ่งปรารถนาจะมองเห็นอีกครั้ง ขณะที่อีกมากกว่าหวาดกลัวดวงตะวันที่ตนไม่รู้จัก และหลายคนก็มักพยายามก่นด่า ขับไล่ ทำร้ายชายชาวถ้ำที่กลับมองเห็น กล่าวหาว่าเขาเป็นคนทรยศ ลืมคำสั่งของบรรพบุรุษและกำพืดตน

    กระนั้น ชายหนุ่มก็ยังเอาชีวิตรอดมาได้ และตามหาโน้มน้าวชาวถ้ำต่อไป...และต่อไป

    คนที่อื่นหาว่าเขาโง่เขลา ทำสิ่งไร้สาระ หากชาวถ้ำคนอื่นไม่ปรารถนาจะมองเห็นเสียแล้ว ไยเขายังต้องช่วยเหลือคนที่ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ หรือดันทุรังทำต่อไปให้ตนลำบาก อีกประการ ชาวถ้ำทั่วแผ่นดินมีเท่าใด เขาคนเดียวไม่อาจอยู่ชั่วดินฟ้า จะเข้าถึงคนพวกนั้นได้หมด และทำให้พวกนั้นยอมลืมตาขึ้นหมดได้หรือไร

    ทุกครั้ง ชายผู้เคยมองไม่เห็นรับฟังโดยสงบ และตอบดังนี้

    ผู้มิได้ร้องขอ...มิได้หมายความว่าเขาไม่ขาด หรือไม่ลำบาก ข้าถามท่าน หากมิได้ภรรยาข้าช่วยไว้ ข้าจะรู้ไหมว่านอกถ้ำมืดยังมีโลกกว้างขวางและมีสีสันเช่นนี้ หากไม่มีใครไปบอกชาวถ้ำ พวกเขาจะทราบกันหรือ ข้ามิได้บังคับให้พวกเขาทุกคนเปิดตาของตน แต่หากผู้ใดไม่อยากอยู่ในความมืดต่อไป ข้าก็ย่อมยินดีช่วย ส่วนเรื่องที่ว่าข้าช่วยชาวถ้ำทั่วแผ่นดินไม่ได้นั้นเป็นความจริง เพราะข้ามีตัวคนเดียว แต่ผู้ที่จะช่วยพวกเขามิได้มีตัวคนเดียว...

    เมื่อใดที่ข้าช่วยเปิดตาให้ชาวถ้ำคนหนึ่ง ข้าจะแบ่งยาให้เขาพร้อมบอกวิธีปรุง บอกว่าหากเขาเห็นการเปิดตามองแสงสว่างเป็นสิ่งดี ก็ขอให้ทำเช่นเดียวกันกับญาติมิตรของเขา และขอให้ญาติมิตรของเขาทำเช่นเดียวกันกับญาติมิตรของญาติมิตรเขา ท่านเคยเห็นดอกไม้บนทุ่งนั้นไหม แรกเริ่มมันอาจมีเพียงดอกเดียว แต่เมื่อมันร่วงโรยทิ้งเมล็ด กอดอกไม้ก็ย่อมแผ่กว้างออกไปเรื่อยๆ ...และเรื่อยๆ ...จนเต็มท้องทุ่ง

    ข้าอาจช่วยเหลือชาวถ้ำทุกคนไม่ได้ แต่ข้าช่วยคนที่ข้าพบได้ และคนที่ข้าช่วย ก็จะช่วยคนที่เขาพบได้ ก็เท่านั้นเอง...ท่าน

    ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตของชายนั้นยืนยาวเท่าใด หรือเขากับหมอหญิงชาวทุ่งมีบุตรหลานสืบสายเลือดหรือไม่ เรื่องเล่าสิ้นสุดเพียงว่าเมื่อเขาตาย ก็มีคนฝังศพเขาบนเนินอ้างว้างแห่งหนึ่ง และไม่ช้าเนินนั้นก็กลายเป็นทุ่งดอกไม้สูงใหญ่สีเหลืองทอง ผลิดอกซึ่งหันตามดวงตะวันเรื่อยมา

    และเมื่อทุ่งทานตะวันแผ่ขยาย เรื่องของชายนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ชาวถ้ำก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไปเสียแล้ว ผู้คนจึงเชื่อว่าชายผู้เปิดดวงตาของชาวถ้ำประสบความสำเร็จ ทุกคนล้วนเรียกเขาว่านารันบาตาร์...วีรบุรุษแห่งดวงตะวัน ทั้งๆ ที่เขามิได้เป็นนักรบผู้เข้าสมรภูมิ หรือกำราบสัตว์ร้ายใดๆ ซึ่งรังควานผู้คน

    ...นั่นก็แค่เรื่องราวนิทาน ซึ่งคนในโลกไร้ตะวันที่กลายเป็นชาวถ้ำแทบทั้งหมดไม่เล่าขานกันอีกแล้ว

     

    * * * * *

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×