ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #39 : ภาคที่ 5 - เพิร์ลทั้งสอง / บทที่ 4 - กรงแห่งความฝัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 145
      0
      24 พ.ค. 49

    PART V: TWO PEARLS
    Chapter IV: The Cage of Dreams


    ภาคที่ 5: เพิร์ลทั้งสอง
    บทที่ 4: กรงแห่งความฝัน


    ไม่ว่าเธอจะหันไปทางใด...ฉันก็จะไปอยู่ที่นั่น
    เปิดใจของเธอสิ...แล้วฉันจะไปอยู่ที่นั่น
    ปีนกำแพงข้ามมา
     
    - Radiohead, Climbing up the walls


    เอลาซัลลืมตาขึ้น...

    สื่งแรกที่เขารู้สึกคือความร้อน ความชื้น และความไม่สบายตัวในระดับหนึ่ง กลิ่นชื้นของดินกับพืชที่กำลังเน่าเปื่อยลอยอ้อยอิ่งอย่างหนาแน่นในบรรยากาศอันอบอ้าวรอบตัว แขนขาของเขาชาเหมือนกับเพิ่งตื่นจากการหลับลึก เขาจำได้เพียงลางๆ ว่าผล็อยหลับไปในช่วงเช้ามืดหลังจากตรากตรำเดินมาทั้งวัน นี่ไม่ใช่วันแรก แต่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

    ชายหนุ่มพยายามนึกให้ออกว่าทำไม แต่ผัสสะของเขานั้นยังคงด้านชาราวกับถูกวางยา

    แต่แล้วภาพเหตุการณ์ก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อในใจของเขา เขานึกถึงแบล็คเพิร์ลได้เป็นคนแรก และรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังตามรอยเธออยู่ในป่าดงดิบ แล้วก็นึกได้อีกว่าอเล็กซานดร้าคือเพื่อนร่วมทางของเขา ซึ่งไม่น่าแปลกใจนัก แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเคยทรยศเขา และจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ตามเขามาคืออะไร

    ชายหนุ่มค่อยรู้สึกตื่นตัวขึ้นหลังจากนึกขึ้นได้ เขาใช้ศอกยันกายลุกขึ้นก่อนจะมองไปยังที่ข้างๆ ตัวอย่างลังเล

    มีเพียงกองผ้าห่มยับยู่ยี่ แต่ไม่มีอะไรอย่างอื่น...

    เอลาซัลเริ่มระวังตัวขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ เห็นเพียงแนวป่าที่ล้อมรอบกายอยู่ ทว่าไม่มีสัญญาณของชีวิตใดๆ แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่าบางครั้งซานดร้าจะออกไปเดินสำรวจตอนเช้าหากตื่นก่อนเขา ดูเหมือนเธอจะกระตือรือร้นอยากพบแบล็คเพิร์ลมากกว่าเขา และถึงแม้ชายหนุ่มจะรู้สาเหตุ ทั้งสองก็ยังเก็บเรื่องนี้เงียบไว้ไม่ยอมพูดกันให้รู้เรื่อง คริสตี้เป็นคนบอกทางไปวิหารกับซานดร้า และซานดร้าก็บอกเอลาซัลว่าแบล็คเพิร์ลกำลังมุ่งหน้าไปที่นั่น แม้จะไม่ชอบใจนัก แต่เอลาซัลก็ต้องยอมรับว่าเธอช่วยเขาได้มาก

    ทั้งสองคิดถึงแต่เรื่องถึงปัจจุบัน และปิดเรื่องในอดีตเงียบไว้เหมือนกับย้อนกลับไปสู่ยามฤดูร้อนปีที่แล้วที่ออกเดินทางไปด้วยกันอีกครั้ง ไม่มีใครพูดว่าเหตุการณ์อะไรอาจเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองพบแบล็คเพิร์ลจริงๆ แม้ทั้งคู่จะรู้ดีว่าต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกครั้ง

    บางครั้งเอลาซัลรู้สึกเหมือนตัวเองเหนื่อยเกินว่าจะคิดถึงเรื่องนั้น ขณะนี้แบล็คเพิร์ลดูแลตนเองได้ และถ้าซานดร้าพลาดไปล่ะก็ เขาจะเข้าไปขวางเอง แต่นอกจากนั้นแล้วเขาไม่อยากคิดถึงเรื่องอนาคตเลย มีเพียงการตามหาในปัจจุบันนี้เท่านั้นที่สำคัญ

    ในตอนนี้เองที่ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าซานดร้าตามหาแบล็คเพิร์ลเพราะเธอยังเชื่อว่าผลึกชีวิตของแบล็คเพิร์ลนั้นคือ "มุกเทพยดา" ที่มีกล่าวถึงในคัมภีร์ในฐานะกุญแจเปิดประตูวิหาร...

    และแล้ว...เอลาซัลก็รู้สึกตัวในทันใดนั้นว่าอะไรกันที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้น ความฝันนั่นเอง เขาพยายามเค้นความทรงจำออกมาทีละน้อยๆ...จนเริ่มจำภาพแสงสว่าง และเสียงที่พูดกับเขาได้

    "สักวันหนึ่งเจ้าจะฝันถึงคำตอบ...ลาปิสลาซูลี่ และเจ้าจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร"

    เอลาซัลจ้องมองไปในราวป่าสีเขียว

    ดาบแห่งชะตากรรม...เขาคิด มุกแห่งเทพยดา...นั่นคือ...

    แล้วเพิร์ล...จริงๆ แล้วเค้าคือ...

    เรารู้แล้ว...

    ...อเล็กซานดร้าคิดผิดไปจริงๆ ด้วย

    เสียงแสกสากในหมู่ไม้บอกให้รู้ว่ามีบางสิ่งเข้ามาใกล้ ครู่ต่อมาอเล็กซานดร้าก็เดินออกมาอย่างกระปรี้กระเปร่าและระแวดระวัง เธอปรายตามองเอลาซัล เมื่อเห็นว่าเขาตื่นแล้วจึงได้พูดอย่างร่าเริง

    "เจอรอยอยู่ทางทิศตะวันตก ฉันว่าหล่อนต้องอยู่ใกล้ๆ นี้แน่"

    "เธอพูดแบบนี้มาสามวันแล้วนะ" เอลาซัลตอบก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นสายที่เมื่อยล้า "แต่ครั้งนี้เธอพูดถูกจริงๆ"

    หญิงสาวกำลังเก็บสัมภาระของตนใส่เป้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเธอก็หยุดมือพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

    "ดูเหมือนคุณจะแน่ใจจัง นี่รู้อะไรที่ฉันไม่รู้งั้นเหรอ"

    นั่นเป็นเพียงการล่อเล้น แต่คำถามนั้นกลับตรงจุดอย่างไม่ตั้งใจ ทว่าเอลาซัลไม่รู้สึกอยากจะเฉลยเธอเลยในตอนนี้

    "รู้สิ" เขาตอบ "แต่ถ้าเค้าอยู่ใกล้ๆ นี่ล่ะก็ ฉันว่าเรารีบไปกันจะดีกว่า"

    "ถ้างั้นก็เก็บของสิ" เธอว่า

    ชายหนุ่มทำตาม ทั้งสองทิ้งตะวันรุ่งไว้เบื้องหลังก่อนจะออกเดินทางต่อไป


    ซานดร้าก้าวยาวๆ ไปข้างๆ เอลาซัล ทั้งสองต่างตามรอยเท้าของแบล็คเพิร์ลเข้าไปในป่า และยังคงพูดกันเพียงเล็กน้อยเพราะความเร่งรีบเช่นเดียวกับสามวันที่ผ่านมา

    สำหรับซานดร้าแล้ว เอลาซัลดูเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังจะไปที่ไหน และเขาก็เป็นฝ่ายนำทางให้เธอตามไปแทบตลอด หญิงสาวรู้สึกได้ว่าเหมือนกับเขารู้ทางและมีจุดประสงค์ใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้เธอสงสัยมากกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

    ตะวันใกล้ลับฟ้าแล้วเมื่อจู่ๆ ทั้งสองมาจนถึงกำแพงหินสีขาว ซานดร้าบอกว่านี่คือส่วนของกำแพงที่ล้อมอาณาบริเวณวิหารซึ่งเคยเป็นสวน ทั้งสองตามรอยต่อไปทางตะวันออก และไม่ถึงสิบนาทีต่อมา ซานดร้าก็หยุดชะงัก

    "ดูนั่นสิ" เธอเรียกพร้อมกับชี้ "ประตูวิหาร"

    ทั้งสองเห็นรูปปั้นเทพยดาปีกเดียวแล้วในตอนนี้ ดวงตาว่างเปล่าของรูปสลักจ้องตรงไปทางป่าดงดิบ กำแพงสีขาวถูกเถาไม้เลื้อยขึ้นคลุมระเกะระกะตามที่นักสำรวจของคริสตี้เขียนไว้ ดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยลับลงไปทางทิศตะวันตกทำให้วิสัยทัศน์โดยรอบไม่ดีนัก ดังนั้นชาวจูมิทั้งสองจึงไม่อาจเห็นร่างที่นั่งอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นได้จนกระทั่งเข้ามาใกล้

    นั่นคือแบล็คเพิร์ล...


    หญิงสาวกำลังนั่งคุกเข่า เส้นผมสีทองยาวสยายปรกคลุมร่าง ดูราวกับว่าเธอกำลังสวดภาวนาอยู่เบื้องหน้าเทวรูปแห่งเทพอันสาบสูญ หรือมิเช่นนั้นก็หมดสติแล้วไปด้วยความเหนื่อยอ่อน  ซานดร้าสงสัยว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่มานานเท่าใด หนึ่งชั่วโมง...สองชั่วโมง...หรืออาจจะนานกว่านั้นกระมัง

    ทั้งสองเข้ามาใกล้พอที่อีกฝ่ายจะได้ยินเสียงแล้ว ทว่าแบล็คเพิร์ลยังคงนิ่งเฉย ซานดร้าลดเสียงฝีเท้าลงตามสัญชาตญาณพร้อมกับเหลือบมองเอลาซัล สายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่แบล็คเพิร์ล และสำหรับซานดร้าแล้ว เขาดูจะไม่ประหลาดใจกับภาพที่เห็นเลย

    เหมือนกับเขารู้อยู่แล้ว...หญิงสาวคิดขึ้นมาในทันใด ว่าเราจะเจอหล่อนที่นี่

    ความสงสัยของเธอยิ่งเพิ่มขึ้น แม้จะตั้งใจที่จะทำตามแผนการที่จะฆ่าแบล็คเพิร์ลต่อไป และเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าแล้ว เธอก็ยังรู้สึกได้ว่ากริยาที่แปลกไปของเอลาซัลดูจะสำคัญต่อแผนการของเธอ จึงได้ยั้งมือไว้ก่อนในตอนนี้ บางทีเธออาจได้เรียนรู้เรื่องอะไรที่มีประโยชน์ก็ได้

    เมื่อทั้งสามอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่หลาแล้ว แบล็คเพิร์ลก็เอ่ยขึ้น

    "มาถึงนี่จนได้นะ"

    "ครับท่านหญิง" เอลาซัลตอบ ซานดร้ายังคงเงียบอยู่

    "มาดูความล้มเหลวของข้า" แบล็คเพิร์ลเอ่ย

    "ความล้มเหลวหรือครับท่านหญิง" เอลาซัลถามเบาๆ

    "ใช่แล้ว" หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงว่างโหวง "ข้าทำให้องค์เทวทูตทรงผิดหวังอีกแล้ว ดาบแห่งชะตากรรมไม่ยอมตอบรับข้า ประตูวิหารไม่ยอมเปิด"

    แต่ก่อนที่ซานดร้าจะทันได้พูดอะไร เอลาซัลก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน

    "เพราะท่านยังใช้ดาบไม่ถูกวิธีต่างหาก ท่านหญิง"

    ชายหนุ่มเข้าไปใกล้รูปปั้นโดยไม่มองซานดร้า ก่อนจะหยิบดาบที่แบล็คเพิร์ลวางไว้แทบเท้ารูปปั้นนั้นขึ้นมา ซานดร้าก้าวเข้ามาใกล้ ความสงสัยบัดนี้ก่อตัวขึ้นเป็นความตื่นเต้น

    ใช่แล้ว...เธอคิด คำตอบของเราอยู่ที่นี่นี่เอง แผนของเราใกล้จะสำเร็จแล้ว ไม่รู้ว่าเอลาซัลมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรยังไง แต่เดี๋ยวเราคงได้รู้เอง ที่สำคัญที่สุดคือการปลดปล่อยเทวทูต...แล้วเราก็ไม่สนด้วยว่าใครกันคือกุญแจไขปริศนาสุดท้าย

    เอลาซัลพูดต่อไปเบาๆ "มีเพียง 'มุกแห่งเทพยดา' เท่านั้นที่จะเปิดประตูวิหารนี้ได้"

    เขาใช้ปลายนิ้วแตะหินสีขาวที่ฝังอยู่ในด้ามดาบ

    "เทวทูตจูมิ" ชายหนุ่มเอ่ย "ผมมาเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้นตามที่ท่านมอบหมาย ผมจำได้แล้ว"

    หินก้อนนั้นเริ่มส่องแสง และเลื่อนหลุดออกจากด้ามลงสู่อุ้งมือของเอลาซัลอย่างง่ายดาย เอลาซัลเดินไปยังรูปปั้นก่อนจะวางหินสีขาวลงในร่องลึกกลางอกของรูปปั้น ประกายแสงจากหินก้อนนั้นส่องสว่างขึ้นในทันใดจนรูปปั้นสีขาวดูราวกับจะเรืองแสงจากภายในน้อยๆ

    และแล้ว...ประตูวิหารก็เริ่มส่งเสียงพร้อมกับเลื่อนเปิดออกช้าๆ

    เอลาซัลหันกลับไปมองอเล็กซานดร้าอย่างเคร่งขรึม

    "ไม่มีผลึกชีวิตอันไหนจะเปิดประตูวิหารนี้ได้หรอก" เขาบอก "อเล็กซานดร้า มุกแห่งเทพยดาน่ะไม่ใช่ผลึกชีวิตของชาวจูมิคนไหนทั้งนั้น องค์หญิงพูดถูกแล้วว่าเธอกำลังจะทำผิดพลาดอย่างมหันต์ มุกแห่งเทพยดาคือผลึกชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของร่างจุติของเทวทูต เทพีมาน่านำผลึกชีวิตของเทวทูตมาประดับด้ามดาบหลังจากที่เทวทูตเสียกายเนื้อไปแล้ว เพื่อที่เทวทูตจะได้ไม่มีทางกลับคืนมาได้ เพราะอย่างนี้เทวทูตถึงได้ต้องการดาบเล่มนี้"

    อเล็กซานดร้าไม่ตอบว่าอะไร แม้จะหลบสายตาไปจากสายตาเคร่งขรึมของอัศวินลาปิสลาซูลี่ ทว่าแบล็คเพิร์ลกลับลุกขึ้นยืนในทันใด

    "ใช่แล้ว" เธอร้อง "องค์เทวทูตทรงขอให้ข้าไปนำดาบมาจากหอคอยเพื่อที่จะเปิดประตูวิหาร...แต่ข้ากลับล้มเหลวเพราะความอ่อนแอของข้า ทว่าตอนนี้องค์เทวทูตทรงเรียกข้าอยู่ พระองค์ยังทรงต้องการข้า...และคราวนี้ข้าจะล้มเหลวไม่ได้!"

    และก่อนที่เอลาซัลหรือซานดร้าจะหยุดเธอไว้ หญิงสาวก็วิ่งเข้าไปในวิหารเสียแล้ว

    "มาเร็ว" ซานดร้ารีบพูด "ฉันไม่รู้ว่าหล่อนคิดจะทำอะไร แต่ฉันต้องดูด้วยตาของตัวเองให้ได้ ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรน่าสนแน่"


    นักรบชาวจูมิทั้งสองเดินผ่านประตูที่เปิดกว้างเข้าไปในโถงอันมืดสลัว เอลาซัลรู้สึกได้ว่าครั้งหนึ่งสถานที่นี้เคยเป็นที่ที่สวยงามมาก จากชิ้นส่วนของรูปปั้นและแก้วประดับที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทว่าในยามนี้กลับให้ความรู้สึกมืดมนราวกับมีภูตพรายที่มองไม่เห็นสิงสู่อยู่คอยเฝ้ามองผู้บุกรุก เมื่อเดินลึกเข้าไปในวิหารก็ความมืดทะมึนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ความร้อนก็กลับลดลง บรรยากาศยิ่งเย็นเยือกขึ้นขณะที่ทั้งสองเดินลงไปยังบริเวณที่เอลาซัลเดาว่าน่าจะอยู่ใต้พื้นดิน ทั้งสองพูดกันน้อยมาก และมุ่งหน้าไปด้วยกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เนื่องจากพื้นที่ซึ่งลาดชันลงไปอย่างอันตรายนั้นทำให้ต้องชะลอฝีเท้าลง

    หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ซานดร้าจึงได้หยุดกึกที่สุดทางเดินหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่ช่องซึ่งน่าจะเคยมีประตูอยู่ แต่ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองมองเห็นก็มีเพียงห้วงมืดอันว่างโหวง

    ทั้งสองได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง...เป็นเสียงพูดในภาษาที่ไม่อาจฟังออก เอลาซัลจำเสียงของแบล็คเพิร์ลได้ในทันที เขาจึงรีบก้าวเข้าไปข้างใน

    ทั้งสองเข้ามาอยู่ในโถงมืดที่มีแท่นบูชาอยู่สุดปลายด้านหนึ่ง แบล็คเพิร์ลยืนหันหลังให้กับทั้งสองอยู่กลางห้องโถง ดูเหมือนเธอกำลังร่ายมนต์บางอย่าง

    ทีแรกเอลาซัลไม่เข้าใจว่าเธอกำลังทำอะไร แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นซานดร้าคุกเข่าลง ไล่นิ้วไปตามรอยบนพื้น ชายหนุ่มจึงได้ก้มลงมองใกล้ๆ ก่อนจะจำได้ว่ารอยพวกนี้คืออักขระรูนจารึกเรียงต่อกันเป็นรูปวงกลม

    แต่แล้วซานดร้าก็ผุดลุกขึ้นในทันใดพร้อมกับคว้าแขนของเอลาซัลดึงตัวเขาไป

    "ระวัง!" เธอร้อง

    เอลาซัลขยับตามทันทีโดยสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่เขาจะขอให้เธออธิบายเหตุผล แสงสีแดงก็สว่างเข้าตาเสียก่อน

    ในทันใดนั้น...อักขระรูนบนพื้นส่องแสงวาบขึ้นทีละตัวพร้อมกับแผ่รัศมีพลังสีแดงแผดเผาราวกับมีชีวิต จนกระทั่งเกิดเป็นวงกลมล้อมรอบแบล็คเพิร์ลซึ่งยืนนิ่งอยู่ภายในม่านอักขระรูนที่ส่องแสงโชติช่วง เสียงร่ายมนต์ขาดหายไป และเธอก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เอลาซัลจับตามองเธอก่อนจะเหลือบมองซานดร้า ดวงตาของจูมิแห่งอเล็กซานดร้าจับต้องแบล็คเพิร์ลพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับริมฝีปาก หลังจากเตือนเขาแล้วเธอก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลย เอลาซัลเข้าใจเหตุผลในทันที จุดมุ่งหมายของเธอนั้นดูจะบรรลุแล้ว เธอใกล้จะได้คำตอบของเธอแล้ว

    ความคิดของเขาถูกขัดด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนเมื่อแบล็คเพิร์ลทรุดลงคุกเข่ากุมศีรษะของตน เอลาซัลทำท่าจะปราดเข้าไปหาเธอตามสัญชาตญาณ ทว่ามีม่านพลังงานขวางกั้นอยู่ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงเฝ้ามองเท่านั้น

    "ไม่!" แบล็คเพิร์ลร่ำร้อง สองมือที่กุมศีรษะสั่นเทิ้ม "ไม่นะ! ปล่อยข้าเถอะ!"

    ซานดร้ารีบก้าวออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะพ้นจากอำนาจของกำแพงอักขระรูน

    "นั่นคือเทวทูตงั้นเหรอ" เธอร้องพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายอย่างตื่นเต้น "เธอกำลังปลดปล่อยองค์เทวทูตใช่มั้ย ตอบฉันมาสิ!"

    ทว่าแบล็คเพิร์ลดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของเธอ

    "ปล่อยข้าเถอะ!" หญิงสาวย้ำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทรมาน "ท่านกำลังจะทำลายข้า ข้าพยายามดิ้นรนต่อต้านมานานแล้ว...ข้าขอร้อง...อย่าบังคับให้ข้าต้องทำตามคำสั่งท่านอีกเลย"

    "เพิร์ล..." เอลาซัลกระซิบ หัวใจของเขาเริ่มเต้นระรัวอยู่ในอก ทีแรกเขาเข้าใจว่าแบล็คเพิร์ลกำลังร่ายมนต์ปลดปล่อยเทวทูตจากสะกด แต่ทว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

    แบล็คเพิร์ลเงยหน้าขึ้น

    "องค์เทพีผู้ทรงศักดิ์!" เธอร้องออกมาในทันใด "ช่วยข้าบาทด้วย! โปรดทำลายบริวารของพระองค์ที่ทรมานข้าอยู่ในตอนนี้ด้วยเถอะ ข้าขอวอน...ช่วยข้าด้วย!"

    แต่แล้วน้ำเสียงของหญิงสาวก็กลับแผ่วเบาลงอีกครั้งขณะที่เธอคู้ร่างลง

    "ข้าได้กระทำบาปลงไปแล้ว..." เธอกระซิบ "ได้โปรดทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของข้าเป็นจริงด้วยเถอะ ช่วยข้าด้วย...

    "ช่วยข้าด้วย...

    "...เอลาซัล..."


    เอลาซัลรู้สึกตัวว่าตนเองถูกล้อมรอบด้วยรัศมีสีฟ้าสว่างอ่อนโยน...ให้ความรู้สึกสงบและบริสุทธิ์

    "เอลาซัล..." เสียงหนึ่งร้องเรียก

    ชายหนุ่มหันไปเห็นเงาร่างสีขาวเลือนลางปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทว่าเขาจำเสียงนั้นได้

    "ท่านหญิงแบล็คเพิร์ล" ชายหนุ่มเรียกเบาๆ

    แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร หญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

    "ลาปิสลาซูลี่ ข้ามีเวลาจำกัด ดังนั้นจงฟังข้าให้ดี องค์เทพีมาน่าประทานห้วงเวลาสั้นๆ ให้ข้าได้พูดกับเจ้า และอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าฟัง แต่ที่นี่คือวิหารแห่งเทวทูต อำนาจต่อต้านของมันจึงแข็งกร้าวมาก ข้ามิอาจอยู่ได้นานนัก"

    เอลาซัลยืนเงียบทำตามแต่โดยดี มีเพียงน้ำเสียงของแบล็คเพิร์ลที่สะท้อนอยู่อย่างแผ่วเบาในแสงสีฟ้า

    "เอลาซัล...วิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น ณ ที่ที่เทวทูตจูมิปรากฏกายเป็นครั้งแรกในช่วงมหาสงครามเมื่อหลายพันปีมาแล้ว...ณ ที่นี่ พลังอำนาจของเทวทูตถูกองค์เทพีทรงสะกดไว้เป็นการลงทัณฑ์ ยามนี้เทวทูตพยายามจะควบคุมจิตใจข้า...ให้ข้าเป็นหุ่นเชิดตามความต้องการของมันอีกครั้ง ข้าพยายามต่อต้านมานานหลายปี แต่ข้ากลัวว่าข้าคงจะขัดขืนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ข้ารู้ว่าเทวทูตติดต่อเจ้าและหลอกใช้เจ้าเช่นกัน เพราะอย่างนี้ข้าจึงต้องพูดกับเจ้าในตอนนี้

    "เอลาซัล...เจ้าคงจำได้ว่าเทวทูตเป็นผู้สอนให้บรรพบุรุษของเราชาวจูมิใช้อำนาจหลั่งน้ำตาเยียวยา เพราะอย่างนี้พวกเขาจึงได้รักเทวทูตเหนือสิ่งอื่นใด...รักมากยิ่งกว่าองค์เทพีมาน่าเสียอีก เทวทูตจึงได้หยิ่งทะนงสำคัญว่าตนเองเหนือกว่าองค์เทพี และตั้งใจจะใช้อำนาจเยียวยาของเผ่าจูมิสร้างฐานอำนาจเพื่อโค่นล้มองค์เทพีให้ได้

    "ทว่าดาบอักขระที่องค์เทพีทรงมอบให้ทราบแผนของเทวทูต จึงได้พยายามต่อต้านแผนการกบฎนั้น เพื่อที่จะกันไม่ให้ดาบมาขัดขวางแผนการ เทวทูตจึงได้สะกดมันไว้ในหอคอยแห่งเลย์เรส แต่สายไปเสียแล้ว เพราะเทพีมาน่าทรงทราบเรื่องที่เทวทูตแข็งข้อผ่านทางดาบ พระองค์จึงทรงสกัดผลึกชีวิตของเทวทูตออกจากร่างแล้วทรงผนึกมันไว้ในด้ามดาบ นอกจากนี้เพื่อเป็นการลงโทษ พระองค์ยังทรงกักเทวทูตไว้นอกสรวงสวรรค์ ไม่ยอมให้กลับคืนพร้อมกับหกเทวทูตที่จุติลงสู่โลกมนุษย์ระหว่างสงคราม

    "เทวทูตจึงเสียร่างเนื้อและความทรงจำไป ได้แต่วนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์เป็นเวลานานสองพันปี ไม่สามารถจะปรากฏกายในโลกแห่งวัตถุ หรือกลับสู่สวรรค์ได้

    "แต่แล้วเมื่อพันปีก่อน...ข้าก็ได้เห็นภาพนิมิต เมื่อนั้นข้ายังเด็กและเปี่ยมด้วยความศรัทธา ข้ารักเทพีมาน่าเหนือผู้ใด มีเสียงหนึ่งบอกให้ข้าเข้าไปในป่า และเมื่อข้าไปตามเสียงนั้น ก็ได้พบกับวิหารแห่งนี้ ที่นี่เทวทูตได้ติดต่อกับข้า ข้าหลงเชื่อว่ามันเป็นผู้นำสารขององค์เทพี มันสัญญากับข้าว่าจะมอบอำนาจมหาศาลให้ข้าถ้าข้าช่วย ข้าตอบตกลง เทวทูตจึงได้แฝงกายในตัวข้ากลับสู่นครแห่งเผ่าจูมิ

    "เทวทูตค่อยๆ ได้สติคืนกลับมาเมื่อเวลาผ่านไป มันนึกขึ้นได้ว่ามันต้องรวบรวมพลังอำนาจกลับมาอีกครั้ง จึงได้บอกให้ข้าร่ายอาณาเขตมนต์ครอบคลุมนครแห่งเผ่าจูมิ โดยหลอกข้าว่านั่นคือเกราะที่จะป้องกันชาวจูมิจากโลกภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นคือผนึกที่ช่วยให้เทวทูตรวบรวมพลังงานจากชาวจูมิได้ จากนั้นเทวทูตจึงได้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงผลึกชีวิตของข้าเพื่อจุดประสงค์ของมัน และใช้ผลึกชีวิตของข้าเป็นตัวกลางดูดซับพลังจากผลึกชีวิตของชาวจูมิมาหล่อเลี้ยงตัวมันเอง ข้ามีชีวิตยืนนานกว่าชาวจูมิคนใด และมีพลังเวทมนตร์อันมหาศาล แต่ทว่าผลึกชีวิตของข้าก็กลับมืดมนชั่วร้ายเหมือนกับต้องคำสาป และข้าก็ตกเป็นทาสของเทวทูต

    "หลายร้อยปีผ่านไป เทวทูตที่เริ่มแข็งเกร่งขึ้นได้ความทรงจำคืนมาในที่สุด จุดมุ่งหมายต่อไปของมันคือการตามหาดาบที่เก็บ 'มุกแห่งเทพยดา' ผลึกชีวิตของมันเอาไว้ มันหวังจะใช้ผลึกนั้นหาทางกลับสู่สวรรค์ แต่เมื่อมันสั่งให้ข้าไปนำดาบมา ข้าก็พยายามต่อต้าน ในตอนนั้นข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และข้าก็ไม่อยากจะทำตามแผนการร้ายของเทวทูตอีกต่อไปแล้ว

    "เทวทูตพิโรธยิ่งนัก แม้จะพยายามขู่เข็ญให้ข้าทำตามคำสั่งของมันแค่ไหน ข้าก็ไม่ยอม สุดท้ายเมื่อเห็นว่าไม่มีทางใช้อำนาจควบคุมข้าได้ เทวทูตจึงลงโทษข้าด้วยการลบความทรงจำของข้า และทำให้จิดของข้าฟั่นเฟือนไป วิญญาณของข้าได้แต่เร่ร่อนไปในยามราตรี มีภูตผีของชาวจูมิที่สิ้นชีวิตไปเพราะการกระทำของข้าคอยตามหลอกหลอน

    "สุดท้าย จิตของข้าก็อ่อนแอเกินกว่าจะขัดขืนได้อีกต่อไป ข้าจึงได้เริ่มค้นหาดาบเล่มนั้น เพื่อการนี้ข้าได้ใช้ปัญญาของพระบิดาขององค์หญิงฟลอริน่า และต่อมาก็องค์หญิงฟลอริน่า ค้นคว้าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตำนานและหอคอยแห่งเลย์เรส จนในที่สุดข้าจึงได้ดาบอักขระมนตร์ที่เก็บ 'มุกแห่งเทพยดา' มา

    "ทว่าดาบซึ่งเป็นสาวกขององค์เทพีและผู้พิทักษ์ชาวจูมิยังคงต่อต้านเทวทูต มันพยายามทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อที่จะขัดขวางแผนของเทวทูต เมื่อข้าพยายามจะฆ่าอเล็กซานไดรท์ซึ่งเป็นชาวจูมิเช่นกัน อำนาจของดาบกลับย้อนเข้ามาสู่ตัวข้าเอง เพราะการกระทำของข้านั้นเป็นสิ่งต้องห้าม ดาบนั้นสามารถขับอำนาจของเทวทูต และชำระล้างผลึกชีวิตของข้าได้ในระยะเวลาหนึ่ง ข้ากลับกลายเป็นเพิร์ลอีกครั้ง แต่จิดสำนึกของข้าไม่อาจเรียกความทรงจำเดิมคืนได้ เหลือเพียงภาพหลอนผสมกับภาพนิมิตจากเทวทูตเท่านั้น ข้าได้แต่ร่อนเร่ไปในความฝัน ตามหาเทวทูตองค์อื่นๆ ที่กลับคืนสู่สรวงสวรรค์ และถูกชาวจูมิที่ตายไปแล้วหลอกหลอน

    "แต่ข้าก็ยังได้ผลประโยชน์ข้อหนึ่งจากสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ดาบได้แปรเปลี่ยนพลังงานที่ถูกเก็บกักไว้ในผลึกชีวิตของข้าและปลดปล่อยพลังนั้นออกมาในฐานะพลังเยียวยาที่รักษาบาดแผลของทั้งข้าและเจ้า

    "ทว่าเทวทูตยังไม่ยอมแพ้ มันรู้ว่าข้าสับสนเกินกว่าจะทำตามคำสั่งของมันได้แล้วในตอนนี้ มันจึงได้ติดต่อเจ้า...เอลาซัล..ในสภาวะที่เจ้ากำลังใกล้ตาย และหลอกเจ้าให้ช่วยปฏิบัติภารกิจสุดท้าย คือเปิดประตูวิหารแห่งนี้ แต่เจ้าทำลงไปโดยบริสุทธิ์ใจ องค์เทพีจึงไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า

    "แต่ในขณะนี้เทวทูตพยายามที่จะทำลายวิญญาณของข้า และเข้ายึดครองร่างของข้าเพื่อทำตามจุดประสงค์ของมัน ก่อนหน้านี้ข้าเคยต่อต้านมันได้ครั้งหนึ่ง แต่ ณ ที่นี่ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจเดิมของมัน ข้ามิอาจทนต่อไปได้อีกแล้ว ไม่นานมันจะครอบงำจิตใจของข้าโดยสมบูรณ์ องค์เทพีมาน่าจึงได้มอบช่วงเวลาสุดท้ายนี้ให้ข้า เพื่อให้ข้าได้บอกให้เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร...

    "เอลาซัล...ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าต้องหยุดยั้งข้าให้ได้! เทวทูตตั้งใจจะบังคับเทพีมาน่าให้ทรงยอมปล่อยมันกลับสู่สวรรค์ และมันก็จะใช้ชาวจูมิเป็นเครื่องมือเพื่อการนั้น จงหยุดยั้งเทวทูตให้ได้...แม้จะต้องฆ่าข้าก็ตาม จงใช้ดาบมาน่า ที่เจ้าเรียกว่า 'ดาบแห่งชะตากรรม' ฆ่ามันเสีย"

    เอลาซัลรู้สึกตัวราวกับตื่นขึ้นจากห้วงภวังค์ ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเพียงเสียงทุ้มนุ่มของแบล็คเพิร์ลบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ และได้รับรู้ประสบการณ์ของเธอผ่านภาพความทรงจำที่ฉายต่อเนื่อง แต่ในยามนี้เขากลับมาอยู่เบื้องหน้าห้วงแสงสีฟ้าอ่อนโยนที่องค์เทพีทรงสร้างขึ้นเพื่อให้ทั้งสองได้ติดต่อกันอีกครั้ง ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างโปร่งใสของแบล็คเพิร์ลค่อยๆ เลือนหายไปในลำแสงนั้น น้ำเสียงของเธอนั้นเล่าก็แผ่วเบาเหลือเกิน ทว่าคำพูดสุดท้ายของหญิงสาวยังคงล่องลอยผ่านแสงสีฟ้าเข้ามายังใจของเขา

    "เอลาซัล อย่างสุดท้ายที่ข้าจะเตือนคือ...จงระวังเพิร์ลไว้! นางคือเด็กสาวที่ไม่สมหวังในรักซึ่งยังคงอยู่ภายในตัวข้า และนางรักเจ้า นางจะทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้เจ้ามา และกลัวการสูญเสียเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด จงอย่าปล่อยให้ความรักของนางมีอำนาจเหนือการตัดสินใจของเจ้า!"

    เอลาซัลเอ่ยขึ้นในที่สุดด้วยเสียงแผ่วเบา

    "แล้วท่านหญิงล่ะครับ ท่านหญิงรักผมหรือเปล่า...หรือมีแต่เพิร์ลเท่านั้นที่รู้สึกถึงความรักนี้"

    "เพิร์ลกับข้า...คือคนคนเดียวกัน...และมีหัวใจดวงเดียวกัน"


    เอลาซัลลืมตาขึ้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในวิหารมืด แสงสว่างจากอักขระรูนนั้นแทบจางหายไปแล้ว แต่แล้วน้ำเสียงเร่งรีบของซานดร้าก็ดังเข้าหูของเขา

    "นี่คือเครื่องย้ายห้วงมิตินี่ เอลาซัล! แบล็คเพิร์ลกำลังใช้เครื่องย้ายห้วงมิติเดินทางไปอีกที่นึง! เร็วเข้า! ไม่อย่างนั้นเราจะเสียโอกาสไปนะ!"

    หญิงสาวคว้ามือของเขาก่อนจะดึงเขาตามไป ครู่ต่อมาที่แสนสับสนเอลาซัลรู้สึกตัวว่าถูกล้อมรอบด้วยแสงสีแดง ขณะที่ซานดร้าท่องมนต์อักขระรูนสั่งให้ห้วงมิติยังคงเปิดอยู่ และแล้วแสงก็ดับวูบลงทิ้งให้ทั้งสองอยู่ในความมืด

    เอลาซัลเหลียวมองไปรอบๆ พบว่าทั้งสองอยู่ในโถงทางเดินเล็กๆ ที่สว่างสลัวด้วยแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าตาบานสูง เงาร่างของซานดร้าเริ่มเคลื่อนไหวก่อน

    "โล่งอกไป" เธอพูด "เมื่อครู่นี้ฉันกลัวว่าเราสองคนจะตายซะแล้ว ไปกันเถอะ"

    "นี่เธอยังจะเสี่ยงอีกเหรอ" เอลาซัลถาม

    "ก็ฉันไม่อยากให้หล่อนหนีไปนี่" หญิงสาวเอ่ยอย่างร้อนใจ "ว่าแต่เมื่อตะกี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ ฉันรู้สึกเหมือนกับคุณใจลอยยังไงไม่รู้ตอนอยู่ในวิหาร"

    เอลาซัลไม่ตอบ เพียงแต่ถามกลับไปว่า

    "นี่พวกเราอยู่ที่ไหนกันล่ะ วิหารอีกแห่งงั้นเหรอ"

    "ไม่รู้สิ" ซานดร้าตอบ "ไปดูกันเถอะ"

    หญิงสาวจับมือของเขาไว้...ให้ความรู้สึกแสนสบายอย่างแปลกประหลาดราวกับได้กลับบ้านหลังจากเผชิญกับความมืดที่ดูราวกับมีภูตพรายซ่อนเร้นอยู่ในวิหาร มือของเธอนั้นอบอุ่นยิ่งนัก เอลาซัลถอนหายใจ มีเรื่องที่เขาต้องคิดและทำมากมายเหลือเกิน แต่เขาก็รู้สึกอยากจะขอลืมทุกสิ่งไปให้หมดในชั่วครู่หนึ่ง

    "มีประตูอยู่ทางนี้" ซานดร้าบอกพร้อมกับชี้ไปที่ปลายทางเดินซึ่งมีแสงส่องเข้ามาจางๆ "ฉันแน่ใจว่าหล่อนต้องไปทางนี้แน่"

    แต่แล้วก็มีบางสิ่งปราดเข้ามาขวางทางแสง เอลาซัลชะงักกึกในทันทีพร้อมกับดึงตัวซานดร้ามาอยู่ข้างๆ เพราะเขาสังเกตได้ว่าที่หน้าประตูนั้นคือกลุ่มร่างของบางสิ่งที่ยืนออกันอยู่

    "ระวัง" เขากระซิบ

    และแล้วอีกเสียงหนึ่งก็พูดขึ้น

    "หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ"

    "แกเป็นใคร" เอลาซัลถามออกไป เขาคิดว่าเขาจำเงาร่างของกลุ่มคนสวมเสื้อเกราะได้ เช่นเดียวกับเสียงเหล็กกระทบกันจากการชักดาบออกจากฝัก "นี่พวกเราอยู่ที่ไหน"

    "อัศวินลาปิสลาซูลี่ ตอนนี้แกอยู่ในนครอัญมณี" ชายคนนั้นตอบ "และแกกับอเล็กซานไดรท์ถูกจับกุมแล้ว...ตามบัญชาของท่านหญิงแบล็คเพิร์ล"


    Translator's Comment: พลิกล็อคจริงๆ ล่ะครับตอนนี้ ขนาดผมที่ตามแปลมาตลอดยังนึกไม่ถึงว่าผู้เขียนจะวางให้เทวทูตเป็นตัวร้ายแบบนี้

    ตอนนี้ของทั้งสองเวอร์ชั่นจะเหมือนกันครับ (เบาแรงผมลงนิดหน่อย) แต่รู้สึกเหมือนขาดรสบางอย่างไปเลยแฮะพอใส่แค่รายละเอียดกลางๆ ไม่ให้เอลาซัลดูเหมือนรักเพิร์ลหรือซานดร้ามากกว่ากัน (แต่ถ้าเป็นผมจะรู้สึกเหมือนเอลาซัลรักเพิร์ลแฮะ ถึงได้ถามแบล็คเพิร์ลอย่างนั้น)

    คำพูดของแบล็คเพิร์ลในภาษาอังกฤษต้นฉบับคือ "Pearl and I...are one and the same." เป็นคำพูดที่ผมชอบมากครับ จำได้ว่าชอบตั้งแต่เล่นเกม LoM แล้วเจออีเวนท์นี้เลย แต่พอต้องมาแปลเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกว่าการแปลประโยคสั้นๆ แค่นี้ให้ออกมาสวยจับใจด้วยยากแฮะ ("เพิร์ลกับข้า...คือคนคนเดียวกันและเหมือนๆ กัน"...รู้สึกเหมือนมันแปลกๆ นะ หรือผมจะคิดไปคนเดียวก็ไม่รู้สิ) เลยใช้ใจคิดดูว่าจะถอดเป็นคำพูดยังไงให้สวยและความหมายตรงด้วย สุดท้ายเลยออกมาเป็น "เพิร์ลกับข้า...คือคนคนเดียวกัน...และมีหัวใจดวงเดียวกัน" มีความเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไรบอกกันได้นะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×