คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : II
รถบัสคันเก่ากึกเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อขรุขระ
ปล่อยกลุ่มควันมลพิษและเศษฝุ่นดินกระจายว่อนในทุกที่ที่ขับผ่าน
ทั้งสองข้างทางเป็นลานดินปนทรายสีนวลโล่งเวิ้งว้าง มีต้นหญ้าแห้งอยู่บนพื้นเป็นหย่อม
ๆ พอไม่ให้โดยรวมดูแห้งแล้งมากไปนัก อากาศร้อนจัดจนเหงื่อซ่ก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนทั้งคันอยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดของแม่ชีฝึกหัดที่มิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า
สักนิดหนึ่งก็คงไม่เป็นไรมั้ง
มิเรียมคิด ก่อนจะแอบเลิกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย
ให้เรียวขาของตนสัมผัสอากาศภายนอก อีกด้านหนึ่งของที่นั่ง—หรือก็คือด้านข้างของเธอ
ถูกจับจองด้วยร่างท้วมของคริสติน่าที่กำลังกระสับกระส่าย
ความร้อนทำให้เหงื่อไคลหมักหมมอยู่ตามซอกพับยับจากชั้นไขมันหนาของหล่อน
เกิดเป็นกลิ่นอับร้ายกาจที่ชวนให้มิเรียมต้องย่นจมูก ก่อนจะยื่นหน้าผ่านหน้าต่างรถกรอบสเตนเลสเพื่อสูดอากาศจากด้านนอก
เพราะอย่างน้อยฝุ่นผงพวกนี้ก็ไม่ได้มีกลิ่นร้ายกาจเฉกเช่นกลิ่นตัวมนุษย์อ้วน
“ให้ตายสิ
ฉันยอมเผชิญหน้ากับนาซีซะดีกว่าต้องมาตายเพราะโดนแดดเผาที่นี่”
คริสติน่าบ่นอุบอิบ สองมือหนาใหญ่โบกพัดให้ตัวเองพัลวัน ก่อนจะเคลื่อนตัวใหญ่เทอะทะของตัวเองเพื่อชะโงกหน้ามองวิวข้างนอก
ถึงตรงนี้จมูกของมิเรียมก็เริ่มจะชินชากลิ่นตัวของเพื่อนตัวเองเข้าแล้ว “นี่มันเมืองอะไรแน่เนี่ย
ทำไมถึงได้กันดารมากขนาดนี้นะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อน ดวงตาสีเขียวเข้มของมิเรียมก็เหลือบเห็นป้ายไม้เก่า
ๆ ที่เหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ปักอยู่ข้างทาง บนป้ายมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ยินดีต้อนรับสู่โลวแลนด์
รถเลี้ยวทันทีที่ผ่านพ้นป้ายนั้น ส่งผลให้คนทั้งคันรถหกคะเมนตามแรงเหวี่ยง
ตามด้วยเสียงหวีดว้ายอย่างตกอกตกใจ ก่อนที่ในครู่ต่อมารถจะจอดอย่างสนิท
แล้วทุกคนก็พากันชะเง้อมองดูสถานที่ใหม่ผ่านหน้าต่างด้วยความสนอกสนใจราวกับว่าเหตุการณ์น่าตกใจเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
“นี่พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่”
กระแสเสียงของผู้อาวุโสทำให้ความวุ่นวายหยุดชะงักโดยพลัน ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นแม่ชีอันนาก้าวขึ้นมาด้านหลังของรถ
แม่ชีผู้นี้ถือว่าเป็นแม่ชีที่มีอายุเยอะที่สุด แล้วยังนับได้ว่าเป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ของทุกคนในเวลานี้ด้วย
สายตาเข้มงวดไล่มองบรรดาแม่ชีฝึกหัดในชุดคลุมสีขาวอย่างพินิจ
ชวนให้เหล่าดรุณีพากันตัวแข็งเกร็งอย่างหวาดหวั่น
“ลงจากรถให้เป็นระเบียบ ตอนนี้เรามาถึงโบสถ์โลว์แลนด์แล้ว”
กล่าวเพียงแค่นั้นหญิงวัยกลางคนก็ลงจากรถไปพร้อมกับบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่
เด็กสาวหลายคนถอดถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะทยอยลงอย่างลงอย่างรักษากิริยา
ไม่ให้โดนดุได้อีก มิเรียมลงจากรถเป็นคนเกือบสุดท้าย แล้วจึงมองโบสถ์ประจำเมืองโลว์แลนด์อย่างเต็มสองตา
สภาพของโบสถ์ชวนให้เธอนึกประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในที มันถูกสร้างจากไม้เป็นส่วนใหญ่
เก่าแก่โรยราเหมือนพร้อมจะพังทลายได้ตลอด ดูแล้วก็น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งเดียวที่ดูจะทันสมัยที่สุดคงเป็นเพียงแค่ลำโพงกระจายเสียงที่ติดอยู่บนหลังคาของโบสถ์เท่านั้นเอง
เชื่อได้ว่าในใจของเด็กสาวหลายคนย่อมคิดไม่ต่างกันนัก
เสียแต่ไม่มีโนวิสผู้ใดกล้าพูดถึงสภาพน่าอดสูของโบสถ์แห่งนี้ อย่างน้อย ๆ
ก็ต่อหน้าบรรดาแม่ชีคนอื่นที่เป็นผู้ฝึกสอนพวกหล่อน และโดยเฉพาะกับแม่ชีอันนา
ผู้อาวุโสประจำกลุ่มยังคงมีอาการสงบนิ่งสำรวมเป็นอย่างยิ่ง
หล่อนกล่าวทักทายแก่บาทหลวงผู้หนึ่งที่ออกมาต้อนรับ พูดคุยกันเงียบ ๆ
อยู่สองสามประโยค
ก่อนที่ขบวนผู้ฝึกหัดและแม่ชีที่มีด้วยกันสิบห้าคนถ้วนจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ที่พำนักแห่งใหม่
ณ ที่นี้
ด้วยว่าโบสถ์แห่งนี้นับว่าเล็กกว่าโบสถ์ทั่วไปนัก
แม่ชีผู้ฝึกสอนจึงจัดสรรให้โนวิสจำนวนห้าคนพักรวมกันในหนึ่งห้อง และก็เป็นที่แน่นอนว่ามิเรียมจะได้พักร่วมกับคริสติน่าผู้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ
ร่วมด้วยอีกสามคนคือเรเบคา โดโรธี และฮันนา ทั้งหมดเข้าไปยังห้องนอนของตนพร้อมเพรียงกัน
และแสดงสีหน้าประหลาดที่แตกต่างกันทันทีที่เห็นห้องพัก ด้านในมีเพียงเตียงเล็ก ๆ ห้าเตียงเรียงสลับชิดคนละด้านของผนังที่เกาะไปด้วยฝุ่นหนาเป็นนิ้ว
มีโต๊ะเล็ก ๆ ไว้เขียนหนังสือตั้งอยู่หนึ่งเดียวริมหน้าต่าง นั่นคือทั้งหมดที่มี
ต่างคนต่างมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจพร้อมเพรียง
“เหมือนกับบ้านผีสิง” แล้วคริสติน่าก็เป็นฝ่ายพูดคนแรก
ซึ่งมิเรียมก็ตอบรับคำพูดเพื่อนตัวเองด้วยการถลึงตาใส่
“ถ้าเธอพูดแบบนี้ต่อหน้าซิสเตอร์ เธอโดนลงโทษแน่”
“แต่ตอนนี้ซิสเตอร์ไม่อยู่นี่”
คริสติน่าดูไม่ยี่หระ
หล่อนตรงรี่ไปจับจองเตียงเป็นคนแรกของห้องด้วยการนั่งลงบนเตียง
แล้วใช้นิ้วป้ายเอาฝุ่นที่เกาะผนังขึ้นมาดู
ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่านิ้วมือของตนดำเป็นปื้นใหญ่ “ฉันคิดว่าเราต้องทำความสะอาดกันครั้งใหญ่เลยล่ะ”
ในบรรดาเด็กสาวทั้งหมดในห้อง มิเรียมดูจะปรับตัวรับสภาพความเป็นอยู่ได้ว่องไวที่สุด
เหตุเพราะเธอเคยชินกับความลำบากนับตั้งแต่ก่อนที่จะมาเป็นแม่ชีฝึกหัด
เตียงเล็กแคบและความสกปรกจึงไม่ชวนให้เธอรู้สึกย่ำแย่เท่าไร
แต่กลับทำให้เด็กสาวนึกย้อนถึงเรื่องราวเก่า ๆ ของตัวเอง
ทั้งบ้านเก่าที่เป็นเหมือนนรก แม่ใจร้าย พี่ชายชั่ว
ความอัตคัดและงานบ้านที่หนักหนาสาหัส ไม่มีอะไรจะแย่ไปมากกว่านั้นอีกแล้ว
แม้กระทั่งความผุพังของโบสถ์แห่งนี้ก็ตามที
มิเรียมนึกถึงเหตุการณ์นั้น
เหตุการณ์ที่เธอได้บรรลุโทสะแล้วพลั้งมือทำร้ายแม่ของตัวเอง
ก่อนจะตัดสินใจหนีไปตายเอาดาบหน้า เสียงสาปแช่งด่าทอของแม่ดังไล่หลังตามมาติด ๆ
เหมือนกับเงา ก่อนที่เสียงของแม่จะเปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้อ้อนวอนขออภัยจากพระเจ้า
“พระเป็นเจ้าลูกนี้มีบาปนัก
บาปที่ได้ให้กำเนิดความชั่วร้ายสู่โลก ปลดปล่อยมันสู่อิสระ พระเป็นเจ้าโปรดอภัยให้แก่ลูกด้วย”
“มิเรียม!”
เด็กสาวเจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก ภาพตรงหน้าเป็นคริสติน่าที่กำลังชะโงกหน้าจ้องเธอด้วยความฉงน
“มาเร็วเข้า
ซิสเตอร์อันนาเรียกพวกเราทุกคนไปรวมตัวที่ห้องโถง
เธอคงไม่อยากให้ซิสเตอร์โกรธหรอกนะ”
..................................
ห้องโถงเก่านั้นคับแคบไม่ต่างจากส่วนอื่นในโบสถ์เท่าไรนัก
บรรดาสตรีผู้รับใช้ของศาสนาทั้งสิบห้าคนต่างนั่งเบียดเสียดกันแน่นขนัด ส่วนคนที่สิบหกอย่างแม่ชีอันนาเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่
หล่อนกวาดตามองทุกคนในห้อง ประหนึ่งว่ากำลังสบตากับคนทีละคนไล่ไปจนครบ มิเรียมเกิดอาการขนลุกเล็กน้อยยามที่ตาสีน้ำตาลคู่นั้นสบประสานกับเธอในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะละไป
“คำปฏิญาณสามประการ[1]ที่เรายึดถือ หนึ่งความยากจน
สองพรหมจรรย์ และสามความนอบน้อม และสิ่งที่เราได้เผชิญอยู่ยามนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในบททดสอบจากพระเจ้า
เพื่อพิสูจน์ว่าโนวิสทั้งหลายจะยึดถือคำปฏิญาณทั้งสามประการได้มากน้อยแค่ไหน
คู่ควรแล้วหรือไม่ที่จะได้เป็นเจ้าสาวแห่งพระคริสต์[2]อย่างเต็มภาคภูมิ” สตรีอาวุโสเยื้องย่างเชื่องช้าก่อนจะชี้นิ้วไปที่แม่ชีฝึกหัดผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้
ๆ “ไหนลองอธิบายคำปฏิญาณข้อที่ว่าความยากจนสิ”
“การไม่ถือกรรมสิทธิ์ใด ๆ
ไม่ยึดติดในเงินทองและความสะดวกสบาย ใช้ชีวิตอย่างสมถะ
และอดทนอดกลั้นต่อความยากจนขัดสนค่ะ”
หล่อนกล่าวตอบอย่างฉะฉาน แม่ชีอันนาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
แล้วจึงกล่าวสำทับ “ความยากลำบากของเรานี้
แทบจะเทียบไม่ได้กับพระเยซูยินดีผู้รับบาปแทนมนุษย์
และยังเทียบไม่ได้กับคนอีกหลายล้านคนที่กำลังเผชิญหน้ากับสงครามที่แสนเลวร้ายน่าอดสู
พึงสำนึกไว้เถิดว่าการได้อยู่ที่นี่นับเป็นโชคดีอย่างสูง จงตั้งใจเปิดรับความลำบากแสนน้อยนิดนี้เป็นบททดสอบ
เพื่อให้เข้าใจคำสอนอย่างลึกซึ้ง และปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม”
ทุกคนในห้องโถงนั่งเงียบสนิท รับฟังทุกถ้อยคำอย่างตั้งใจ
และเชื่อได้ว่ามีหลายคนที่คงกำลังรู้สึกผิดอยู่ในเวลานี้ แม่ชีอันนาฉลาดหลักแหลมนัก
หล่อนรับรู้ถึงความไม่ชอบใจของโนวิสเยาว์วัยที่มีต่อสถานที่คร่ำครึแห่งนี้
แต่แทนที่จะตำหนิตรง ๆ กลับใช้การสอนอย่างเปรียบเปรยให้สำนึกได้ด้วยตัวเอง
ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี บัดนี้ต่อไปคงไม่มีใครกล้าบ่นอะไรอีกแล้ว
ถึงแม้แม่ชีอาวุโสจะกล่าวเตือนใจบรรดาดรุณีไว้เช่นนั้น และมิเรียมเองก็ไม่ได้เป็นคนที่เดือดร้อนกับความเป็นอยู่อันอัตคัดที่ต้องพบเจออย่างใครอื่น
แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกสบายใจเท่าไรนักในการอยู่ที่นี่ ซึ่งไม่ใช่ด้วยสภาพแวดล้อมเก่า
ๆ อันน่ากลัว แต่เป็นไปด้วยความอึดอัดที่อยู่ภายในใจต่างหาก
มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่เท้าของเธอได้เหยียบลงสู่โลว์แลนด์แล้ว เด็กสาวเกิดรู้สึกว้าวุ่นแปลกประหลาด
เป็นความรู้สึกที่ออกไปทางขมุกขมัวเหมือนท้องฟ้าจวนค่ำ
ไม่ชัดเจนแต่ก็รับรู้ได้
เหมือนกับว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ ๆ เธอควรมาเลยแม้แต่น้อย
แต่มันคงเป็นแค่ความรู้สึกประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น คนที่ต้องไปอยู่แปลกที่แปลกทางกะทันหันย่อมมีความรู้สึกเถือก
ๆ นี้กันหมดไม่ใช่แค่เธอคนเดียว มิเรียมจึงยังรักษาความสงบสำรวมเอาไว้ได้และไม่คิดปริปากถึงความรู้สึกตนเองให้ใครฟัง
โดยเฉพาะกับคริสติน่าที่สามารถหาเรื่องบ่นเกี่ยวกับที่นี่ได้อยู่เรื่อย ๆ
“ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ซิสเตอร์ต้องชี้แจงกับทุกคน”
เสียงของแม่ชีอันนาดึงความสนใจของมิเรียมให้กลับไปสนใจเจ้าตัวอีกครั้ง
คราวนี้เธอเห็นถึงความลำบากใจที่ฉายชัดผ่านแววตาของอีกฝ่าย “เนื่องด้วยเมืองโลว์แลนด์มีประชากรเพียงเล็กน้อย
และประสบความแห้งแล้งและขาดแคลนอาหาร ไม่มีการบริจาคเข้าโบสถ์ของที่นี่มานานแล้ว
ฉะนั้นเมื่อเราย้ายมาที่นี่ เราจึงมีความจำเป็นที่ต้องหุงหาอาหารด้วยตัวเอง
จะมีการแบ่งปันหน้าที่กันเป็นสัดส่วนหลังจากนี้
เป็นภารกิจที่ควบคู่ไปกับการศึกษาและฝึกปฏิบัติตามธรรมวินัยด้วย”
แม้จะไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา แต่ความรู้สึกของบรรดานงเยาว์ล้วนไม่ต่างกันมากนักเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่ชีอันนากล่าว
แม้จะสำนึกดีแล้วว่าสถานะที่เป็นอยู่ไม่ได้สบายนัก
แต่การต้องจัดการอาหารการกินด้วยตัวเองทั้งหมดดูจะไม่ใช่สิ่งที่บรรดาแม่ชีฝึกหัดผู้ด้อยประสบการณ์คาดคิดเอาไว้
มิเรียมลอบมองสีหน้าของคนอื่น ๆ
และเดาได้ทันทีว่าหลายคนในนี้คงไม่เคยแม้แต่จับตะหลิวด้วยซ้ำ
มิเรียมนึกสวดภาวนาในใจ
ขอให้ตัวเองได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายทำอาหารด้วยเถิด อย่างน้อย ๆ
การกินอาหารฝีมือตัวเองก็ดูจะปลอดภัยกว่ากินอาหารจากมือคนอื่น
ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าคน ๆ นั้นทำอาหารเป็นหรือเปล่า
แต่คำภาวนาก็ไม่เป็นผล
มิเรียมตระหนักรู้ในตอนที่กลุ่มคณาจารย์มอบหมายหน้าที่ให้เธอเป็นส่วนหนึ่งในฝ่ายปลูกผักแทนที่จะได้เป็นฝ่ายทำอาหารอย่างที่คิดเอาไว้
และหน้าที่ใหม่นี้ก็ชวนให้เด็กสาวหวนนึกถึงชีวิตครั้งเก่าของตัวเองอีกแล้ว เธอนึกถึงตัวเองตอนยังเด็กที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับการปลูกและเก็บเกี่ยวผักตามที่แม่ออกคำสั่งไว้
มันเป็นงานที่หนักหนาอย่างยิ่ง
ต้องเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงท่ามกลางแดดร้อนจนผิวแดงแสบไหม้และมือที่สากแข็งจากการออกแรงหยิบจับไม่หยุดหย่อน
เป็นงานที่เธอไม่คิดอยากทำเลยแม้แต่น้อย
บรรยากาศเช่นนั้นได้กลับมาอีกครั้งแล้วในวันนี้ มิเรียมต้องนั่งขมักเขม่นใช้ส้อมขึ้นสนิมเก่า
ๆ พรวนหน้าดินแข็ง ๆ ตั้งแต่สี่โมงเช้า จนเมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนตรงมาอยู่กลางหัว และเหงื่อที่ชุ่มโชกตั้งแต่หัวไปจนถึงเท้า
ในที่สุดดินก็ร่วนซุยกำลังดี เธอจัดการโยนเมล็ดผักกาดลงหลุมเล็กที่ขุดไว้อย่างรวดเร็ว
เมล็ดผักหล่นลงสู่พื้นดินไปพร้อมๆ กับเม็ดเหงื่อที่หยดติ๋ง ๆ
‘เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า
จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม[3]’ ประโยคจากไบเบิ้ลปรากฏขึ้นในหัว
ชวนให้เข้าใจลึกซึ้งถึงคำสาปร้ายแรงของพระเจ้าที่มอบให้แก่อดัมผู้ทำบาป และคำสาปก็ถูกส่งสืบทอดมาสู่ลูกหลานชาวมนุษย์จนมาถึงเธอในที่สุด
มิเรียมใช้แขนเสื้อซับเหงื่อเปียกชุ่มบนหน้าตัวเอง แล้วอดคิดไม่ได้ว่าบางทีถ้าเอาเหงื่อของแม่ชีฝึกหัดที่ยุ่งกับการปลูกผักท่ามกลางแดดร้อน
ๆ มารวมกัน มันอาจมีจำนวนมากพอที่จะเอาไปรดผักได้ทั้งไร่แทนน้ำจริง ๆ ได้เลยเชียวล่ะ
ลงเมล็ดพืชเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือรดน้ำ เด็กสาวจึงเดินไปหยิบเอาฝักบัวที่อยู่ไม่ไกล
ในเวลาเดียวกับที่คริสติน่าได้เงยหน้าขึ้นจากหลุมผักของตัวเองหลังขุดหลุมเสร็จเป็นหลุมแรก
หล่อนหอบหายใจแฮ่ก ๆ จากการใช้แรงมากเกินกว่าที่คาดไว้
ก่อนจะมองเห็นเพื่อนสนิทของตนที่มีฝักบัวเขลอะสนิมอยู่ในมือเรียบร้อย
จึงตะโกนถามโดยทันที
“เธอเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ”
มิเรียมหันไปมองเพื่อนสาวร่างใหญ่ ใบหน้าอูม ๆ
เต็มไปด้วยเหงื่อไคลไหลย้อยและแดงก่ำเป็นสีเหมือนกับหนังหมู
ชวนให้เด็กสาวนึกสงสารอยู่ในที
“ฉันเสร็จแล้วล่ะจ้ะ”
เธอตะโกนตอบ ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด แล้วจึงพูดต่อ “ถ้าฉันรดน้ำผักส่วนของฉันหมดแล้ว ฉันจะไปช่วยเธอขุดดินนะ”
“โอเค ขอบใจมาก ๆ ” คริสติน่าฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะหันไปเริ่มขุดดินหลุมที่สองต่ออย่างตั้งใจ
มิเรียมจึงได้หอบหิ้วเอาฝักบัวรดน้ำออกจากที่ดินของโบสถ์ที่ถูกแบ่งส่วนหนึ่งมาเป็นที่ปลูกผักของเหล่าแม่ชีฝึกหัด
เพราะเสร็จงานในส่วนเตรียมดินและลงเมล็ดไวกว่าคนอื่น
เด็กสาวจึงกลายเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ออกมาจากที่นั่นก่อนหน้าใคร ๆ จนชวนให้เป็นที่แปลกใจของใครหลายคน
ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อยสำหรับสาวน้อยมิเรียมผู้ผ่านการทำงานอันทรหดทุกสิ่งอย่างมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยจนเคยชิน
เธอจำได้จากแม่ชีผู้ดูแลว่ายังมีลำธารน้ำติดกับป่าจากฝั่งทิศเหนือที่พอยังใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคได้
และหน้าที่ของผู้ปลูกผักก็คือการต้องขนน้ำจากลำธารที่ว่าเพื่อกลับมาเพื่อรดผักของที่นี่
แต่เพราะแหล่งน้ำอยู่ห่างไกลจากโบสถ์และหมู่บ้านพอสมควร จึงอาจต้องใช้เวลาเดินทางนานพอดู
และการต้องไปตักน้ำในที่ห่างไกลนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มิเรียมจะได้ออกจากอาณาเขตของโบสถ์นับตั้งแต่ที่ได้มาเยือนที่นี่เสียด้วย
ความรู้สึกไม่สบายใจกลับมาอีกครั้งยามที่เด็กสาวก้าวขาพ้นจากโบสถ์ไปเรียบร้อยแล้ว
มิเรียมกระชับฝักบัวไว้ในมือแน่นยามเมื่อเยื้องย่างบนแผ่นดินแข็ง ๆ
เข้าสู่หมู่บ้านโลว์แลนด์เป็นครั้งแรก มองเห็นบ้านเรือนที่ทำจากไม้เก่า ๆ
ปลูกเรียงชิดกันอย่างไม่เป็นระเบียบ น่าแปลกที่ไม่มีเสียงพูดคุยใด ๆ ดังขึ้นเลยภายในหมู่บ้านนี้
ดูเงียบเหงาวังเวงราวกับเป็นเมืองที่รกร้างอย่างไรอย่างนั้น
แต่เธอก็ยังคงพอมองเห็นผู้คนเดินไปมาอยู่บางตา จึงเดาไปว่าคงเป็นเพราะแดดร้อน ทำให้ไม่ค่อยมีคนอยากออกจากบ้านตัวเองกันเท่าไรนัก
เลยพลอยทำให้เมืองทั้งเมืองดูซึมเซาไร้ชีวิตชีวาไปด้วย
ข้อนี้ดูจะยกเว้นให้กับเด็กชายตัวน้อยผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งเล่นพร้อมกังหันกระดาษในมืออย่างสนุกสนาน
ทำให้บรรยากาศในเมืองนี้ยังดูสดใสขึ้นบ้างเล็กน้อย เขาเป็นคนแรก ๆ
ที่สังเกตเห็นเธอ มิเรียมจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กผู้นั้นหยุดวิ่งโดยฉับพลันทันที
แล้วเงยหน้าจ้องเธอเขม็งราวกับกำลังมองบางสิ่งที่แปลกประหลาดในที่แห่งนี้
ไม่ใช่เพียงแค่เด็กชายเท่านั้น คนอื่น ๆ ในเมืองก็เช่นกัน
ทุกคนต่างหยุดการกระทำของตัวเองลงกะทันหัน แล้วค่อย ๆ พากันหันมามองที่เธอเป็นตาเดียว
มิเรียมคิดเอาว่าพวกชาวบ้านคงนึกสงสัยที่มีคนแปลกหน้าโผล่มาในหมู่บ้าน แต่การที่ถูกทุกคนหันมามองอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้ก็ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าน่ากลัว และเมื่อตัวเองกลายเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจกะทันหันก็ชวนให้อึดอัดอย่างไรไม่รู้ เด็กสาวจึงก้มหน้าก้มตาและสาวเท้าให้พ้นจากหมู่บ้านโดยไว ไม่คิดเงยหน้ามองอะไรอีก
การเดินทางใช้เวลาไม่มากเท่าที่คิด พ้นจากหมู่บ้านนั้นไม่นานเท่าไร เธอก็มองเห็นสิ่งที่คาดว่าลำธารด้านหน้าแล้ว
เด็กสาวจึงเร่งเท้าไปจนถึงแหล่งน้ำที่ว่าในที่สุด แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าลำธารที่ดูกว้างขวางบัดนี้หดเหลือเพียงคูน้ำเล็ก
ๆ ที่น้ำแทบไม่ไหลแล้ว แล้วน้ำก็ยังขุ่นคลั่กด้วยดินปนเปื้อนจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม นอกจากนี้สภาพของป่าที่อยู่อีกฝั่งของลำธารก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน
ไม้ยืนต้นมากมายตายสนิท ไม่มีใบไม้สีเขียวสดบนต้นสักใบเดียว เหลือเพียงแค่ลำต้นและกิ่งก้านแห้งกรังบิดเบี้ยว
เป็นเศษซากให้ระลึกถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืนได้
มิเรียมรู้ว่าครั้งหนึ่งป่าแห่งนี้คงเคยเขียวชอุ่มสมบูรณ์
และลำธารก็เต็มไปด้วยน้ำไหลใสสะอาด แต่ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นถึงทำให้ทุกอย่างกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
นึกถึงชาวบ้านที่ต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมแสนอนาถาเช่นนี้ก็พาให้หดหู่ใจนัก เด็กสาวถอดถอนหายใจ
ก่อนจะตัดสินใจถกแขนเสื้อขึ้นแล้วคล้องฝักบัวไว้ที่แขน
แล้วไต่ลงสู่ลำธารแห้งขอดอย่างระมัดระวัง เพื่อทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้น
ลำธารนี้กว้างและลึกพอสมควร กว่าจะไต่ลงมาได้ก็เสียเวลาไปไม่น้อย
ครั้นมาถึงด้านล่างมิเรียมก็ตรงเข้าไปตักเอาน้ำขุ่น ๆ บรรจุให้เต็มฝักบัว
ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยเหมือนกันเมื่อดูจากจำนวนน้ำอันน้อยนิด พอตักเอาน้ำมาได้จนเต็มแล้ว
เด็กสาวก็ต้องปีนกลับขึ้นไปด้านบนอีกครั้งอย่างทุลักทุเล กว่าจะเสร็จกระบวนการทั้งหมดก็ชวนให้เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย มิเรียมจึงตั้งใจไว้ว่าหากพาตัวเองขึ้นไปถึงข้างบนเมื่อไร
คงต้องขอหยุดพักหายใจสักพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว ถึงค่อยเดินทางกลับอย่างตั้งใจ
แต่ความตั้งใจก็เป็นอันต้องถูกหลงลืมไปในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อมิเรียมกลับขึ้นมาด้านบนได้ในที่สุด
และพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ณ ที่แห่งนี้ แต่กลับมีชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ในมือของเขาถือถังน้ำเอาไว้ เด็กสาวจึงคาดเดาว่าอีกฝ่ายก็คงจะมาตักน้ำเพื่อเอาไปใช้เช่นเดียวกัน
เพราะไม่อยากอยู่รบกวนผู้อื่น เธอจึงส่งยิ้มบาง ๆ ให้ชายชราผู้นั้น
และเตรียมจะเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยปากทักขึ้นมาเสียก่อน
“แม่ชีท่านนี้มาตักน้ำไปทำอะไรหรือขอรับ”
คำพูดคำจาของเขาฟังดูโบราณพิกล มิเรียมนึกแปลกใจแต่ก็ตอบกลับไปตามมารยาท
“ฉันยังไม่ใช่แม่ชีหรอกค่ะ
เป็นแค่แม่ชีฝึกหัดเท่านั้นเอง” กล่าวเสร็จเด็กสาวก็ชูฝักบัวในมือตนขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น
“ฉันมาเอาน้ำจากที่นี่เพื่อไปรดผักที่พึ่งปลูกนะคะ”
ดวงตาสีเทาขึ้นฝ้าจาง ๆ ของชายชรามองไปที่ฝักบัวเก่า ๆ ปริ่มน้ำ
ก่อนจะพ่นเสียงหัวเราะอันแหบแห้งออกมาราวกับได้ฟังเรื่องตลกอะไรสักอย่าง มิเรียมขมวดคิ้วมุ่น
ไม่เข้าใจว่ามีสิ่งใดน่าตลกในคำพูดของตนจนทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ และเหนือสิ่งอื่นใด
เสียงหัวเราะของเขากำลังทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ
ชายชราหยุดหัวเราะในที่สุด แล้วจึงเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “ฉันคงต้องบอกว่ามันไม่ได้ผลเสียหรอก
ท่านคงเสียแรงเปล่าแล้วล่ะ”
“อะไรนะคะ?” มิเรียมไม่ใคร่เข้าใจในสิ่งที่ผู้สูงอายุกล่าวเท่าไรนัก
“เมืองนี้เป็นเมืองต้องคำสาป ไม่มีพืชพรรณงอกเงยในเมืองนี้หรอก
ทุกครั้งที่มีใครพยายามปลูกอะไรก็ตาม มันก็จะตายไปเสียหมด”
ความไม่เข้าใจทับถมเพิ่มพูนหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ฟังเรื่องแสนประหลาดจากปากของคนตรงหน้า
มิเรียมสูญเสียกิริยาอันสำรวมไปชั่วขณะ รีบเร่งถามอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้นระคนสงสัยยิ่งยวด
“คำสาป? หมายความว่ายังไงกัน แล้วทำไมที่นี่ถึงมีคำสาปเหรอคะ?”
“เมื่อท่านอยู่ที่นี่ต่อไปสักพัก ท่านจะได้เข้าใจเอง” ชายชราไม่ตอบคำถามนั้น
เขาฉีกยิ้มกว้างจนมองเห็นฟันสีเหลืองอ๋อยที่หลงเหลือเพียงไม่กี่ซี่
ก่อนจะหันหน้าไปที่ฝั่งลำธาร จ้องมองผืนป่าตายซากและลำน้ำที่แห้งขอดด้วยประกายตาครุ่นคำนึง
“แต่ฉันเชื่อมั่นว่าในอีกไม่ช้านานดินแดนนี้จะกลับมาดีเหมือนเดิมแน่
อีกเพียงไม่นานหรอก”
ประโยคสุดท้ายพึมพำแผ่วเบา แต่มิเรียมได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ
เธอมีคำถามมากมายในหัวที่อยากจะเอ่ยถาม แต่ก็ไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้น
เพราะชายชราหันมาโค้งให้เธอก่อนจะตรงรี่ไปที่ลำธารแล้วหย่อนตัวลงไปในร่องลึกอย่างชาญชำนาญ
ดูว่องไวคล่องแคล่วผิดกับสภาพร่างกายอันเสื่อมโทรมตามวัย การสนทนาจบลงแค่นั้น และเป็นอีกครั้งที่มิเรียมขมวดคิ้ว
ความสับสนถูกกวนและตีตะกอนจนขุ่นคลั่กอยู่ในใจ ไม่ต่างจากน้ำที่ปนเปื้อนไปด้วยดินโคลนสกปรกในฝักบัวของเธอเลยแม้แต่น้อย
______________________
[1]
คำปฏิญาณสามประการ
เป็นสิ่งที่นักบวชทั้งชายและหญิงในศาสนาคริสต์ยึดถือ อันได้แก่ 1.ยึดถือความยากจน ถือตัวสมถะ
ไม่ถือครองทรัพย์สินและยึดติดกับทรัพย์สินใด ๆ 2.ถือพรหมจรรย์ ไม่แต่งงาน 3.ความนอบน้อมเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ผู้ปกครองอาวุโส
[2]
ศาสนจักร(กล่าวคือประชากรชาวคริสต์) ถือได้ว่าเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์
เป็นการเปรียบเปรยถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สมรสแก่พระเมษโปดก(พระเยซูคริสต์)สู่ดินแดนแห่งสวรรค์
และเจ้าสาวแห่งพระคริสต์ยังนิยามแทนได้ถึงแม่ชีที่ถือครองพรหมจรรย์ตลอดชีพ
ประพฤติตัวอย่างเหมาะสม และอุทิศตัวให้กับศาสนา
[3]
จากหนังสือปฐมกาล 3:19 พระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับมาตรฐาน 2011
เมื่อพระเจ้าได้กล่าวคำสาปแช่งไว้แก่อดัมก่อนจะขับไล่ออกจากสวนอีเดน
ความคิดเห็น