ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Town of Sinfulness

    ลำดับตอนที่ #3 : III

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 281
      32
      1 ม.ค. 63

    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง




    คำสาป? ไร้สาระนะมิเรียม


    คริสติน่าขุดดินไปแล้วก็หัวเราะร่วนไปราวกับไม่ใส่ใจเรื่องเล่าจากปากเพื่อนตัวเองเท่าไรนัก มิเรียมคาดเดาได้อยู่แล้วว่าปฏิกิริยาของหล่อนจะต้องเป็นเช่นนี้เมื่อได้ฟังเรื่องที่เธอเล่า อันที่จริงเด็กสาวก็รู้ดีแก่ใจว่าเรื่องเช่นนี้ฟังดูยังไงก็เป็นเรื่องไร้สาระงมงาย แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด เธอจึงได้ติดใจสงสัยกับเรื่องเล่านี้นัก บางทีอาจเพราะความแห้งแล้งกันดารอย่างไม่น่าเชื่อของเมืองนี้ทำให้เธอสงสัยใคร่รู้ถึงสาเหตุของมัน และคำบอกเล่าของชายชราก็ดูคล้ายว่าเป็นคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้


    ไม่รู้สิ ฉันว่าที่นี่มันแปลก ๆ นะ มิเรียมพูดไปอย่างที่ตัวเองคิด หวังเพียงได้ระบายความคับข้องใจกับใครสักคน ซึ่งในทีนี่ก็มีเพียงคริสติน่าคนเดียวที่เธอสามารถคุยได้ แม้จะรู้ดีว่าหล่อนไม่ได้สนใจกับเรื่องที่เล่าเลยแม้แต่น้อย ที่นี่ประสบภัยแล้ง แถมคนในหมู่บ้านยังดูเก่าแก่กันดาร ยังกับว่าอยู่ในยุคกลาง เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้นเลย


    มิเรียม เราอยู่ในปี 1942 นะ โลกนี้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่มีคำสาปไร้สาระอะไรนั่นหรอก ถ้าบอกว่าอเมริกาแอบมาทดลองอะไรแปลก ๆ ที่นี่ยังน่าเชื่อมากกว่า คริสติน่ากล่าวหนักแน่น แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อ ก่อนจะเว้นวรรคหอบหายใจชั่วครู่แล้วใช้มือปาดเหงื่อเหนียว ๆ บนใบหน้าตัวเองออกเป็นรอบที่ร้อยบอกเลยนะ ไอ้เรื่องลึกลับประเภทแม่มด คำสาป ปีศาจ เป็นอะไรที่ฉันไม่เคยเชื่อเลยสักนิดเดียว เรื่องแบบนี้มันก็เป็นแค่นิทานหลอกเด็กขู่ให้คนสมัยก่อนกลัวเท่านั้นแหละ


    ถ้าปีศาจเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก งั้นพระเจ้าก็คงเป็นนิทานหลอกเด็กด้วยสินะ


    สองแม่ชีฝึกหัดสะดุ้งพร้อมกันเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา และที่ชวนให้หวาดหวั่นเป็นพิเศษก็ตอนที่พบว่าแขกที่ว่านั่นคือแม่ชีผู้เป็นอาจารย์ มิเรียมเหล่มองชายผ้าคลุมสีดำที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วจึงแลเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่เธออยู่เช่นกัน


    ซะ..ซิสเตอร์ซาร่า


    เจ้าของนามมีสีหน้าเรียบเฉย ยืนสงบนิ่งค้ำเหนือหัวดุจดังเสาต้นใหญ่ที่บดบังแสงแดดจ้าชั่วขณะ หล่อนเลื่อนสายตาไปที่คริสติน่า ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง


    ปีศาจคือตัวแทนของความชั่วร้าย และพระเป็นเจ้าก็คือของความดีงาม สองสิ่งเป็นดั่งเช่นคู่ขนาน หากเธอไม่เชื่อในการมีอยู่ของปีศาจ นั่นก็เท่ากับว่าเธอไม่เชื่อถือในพระเจ้าด้วยเช่นกัน


    แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่แม่ชีฝึกสอนกล่าวเป็นการตั้งคำถามหรือแค่คำสั่งสอน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะปริปากอะไรออกมา มิเรียมมุ่นคิ้วอย่างว้าวุ่นใจ ไม่นึกว่าการแอบคุยอยู่สองคนจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปเสียได้ ทั้งที่ตั้งใจคุยกันเงียบ ๆ แท้ๆ แต่ใครจะคาดคิดเล่าว่าจู่ ๆ จะมีแม่ชีสักคนเดินเข้าแปลงผักแล้วมาได้ยินเข้าจนได้ ช่างเป็นความบังเอิญที่จวบเหมาะอะไรเช่นนี้


    มิเรียม เด็กสาวสะดุ้งเป็นรอบที่สองเมื่อถูกแม่ชีซาร่าขานนามโดยตรง ไหนเมื่อเธอเสร็จงานของตัวเองแล้ว งั้นก็ตามฉันกลับเข้าไปในโบสถ์จะดีกว่านะ


    คริสติน่าหันขวับไปมองเพื่อนตัวเองด้วยแววตาที่บอกเป็นนัยว่า ซวยแน่ และไม่ต้องให้มีใครพูดออกมา มิเรียมก็รู้ได้ด้วยตัวเองแต่แรกอยู่แล้ว เธอส่ายหน้าเล็กน้อยให้เพื่อนสาวของตนด้วยเชิงว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะลุกขึ้นและเดินตามแม่ชีฝึกสอนไปโดยทันทีไม่อิดออด เพราะเกรงว่าหากอิดออดชักช้าอาจจะทำให้ตัวเองแย่ไปว่านี้


    แม่ชีซาร่านับว่าเป็นแม่ชีที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาครูฝึกสอน แม้จะไม่ได้มีบุคลิกที่เข้มงวดจริงจังเช่นแม่ชีอันนา แต่อย่างไรเหล่าโนวิสก็ย่อมรู้สึกเกรงอกเกรงใจอยู่ดี มิเรียมเดินตัวเกร็งไปตลอดทาง สายตาจับจ้องแผ่นหลังของสตรีตรงหน้าไม่วางตา ไม่รู้ว่าคำพูดไร้สาระเมื่อสักครู่จะพาให้ตัวเองโดนลงโทษอะไรหรือเปล่า


    เธอบอกว่าหมู่บ้านนี้มีคำสาปอย่างนั้นเหรอ?”


    ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในโบสถ์แล้ว แม่ชีซาร่าก็หยุดฝีเท้าลงทันที พลอยให้เด็กสาวที่เดินตามหลังมาต้องพลอยหยุดกะทันหันไปด้วย หล่อนเบี่ยงตัวหันมามองเธออย่างเต็มตา มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ทำให้มิเรียมรู้สึกประหลาดอยู่หน่อย ๆ


    ใช่ค่ะ มีคนแถวนี้บอกฉันมาอย่างนั้น เขาพูดว่าที่นี่โดนสาปทำให้แห้งแล้ง แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากกว่านั้นเธอบอกไปตามตรง ไม่คิดบิดพลิ้วเอาตัวรอด ในเมื่ออย่างไรอีกฝ่ายก็คงได้ยินจากปากเธอไปเยอะแล้วก่อนหน้านี้


    แล้วเธอเชื่อที่เขาบอกไหม?”


    ไม่หรอกค่ะ คราวนี้เด็กสาวรีบปฏิเสธทันที ออกจะร้อนรนเล็กน้อยด้วยซ้ำ เพราะถูกคริสติน่ามองว่างมงายก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าถูกแม่ชีที่เป็นผู้ฝึกสอนมองว่างมงายหรอก “ฉันแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก ที่ว่าครั้งหนึ่งที่แบบนี้ดูเหมือนจะเคยอุดมสมบูรณ์มาก่อน แล้วจู่ ๆ ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร ต้นไม้ตาย น้ำก็แทบไม่มี มันดู...ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”


    ทุกอย่างมีเหตุผลเสมอนั่นแหละ แม่ชีซาร่าไม่ได้ดูมีท่าทางจับผิดหรือเข้มงวดแต่อย่างใด ตรงกันข้ามท่าทีของหล่อนผ่อนคลายลงไปจากตอนแรกมากโข ชวนให้มิเรียมรู้สึกแปลกใจ และยิ่งแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อได้ยินประโยคถัดไปจากปากคนตรงหน้า ฉันเคยอยู่ที่นี่ตอนยังเด็ก ๆ และฉันก็ได้ยินเรื่องเล่าแบบที่เธอได้ยินมานั่นแหละ


    หญิงสาวยิ้มออกมาเล็กน้อย ดูราวกับกำลังรำลึกความหลังหวานชื่นคืนสุขในวัยเยาว์ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นหมองหม่นไปในฉับพลัน แววตาเหม่อลอยเสมือนคนตกอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง ฉันอยู่ไม่ทันเห็นว่าที่นี่ยังมีต้นไม้หรอก เพราะตั้งแต่จำความได้ ฉันก็เจอแต่ความแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็มีแต่ดินและทราย ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปเมืองโลว์แลนก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งผู้คนทั้งสถานที่ เหมือนเดิมไปหมด”


    ไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม่ชีซาร่าจะเป็นคนที่นี่ด้วยเช่นกัน มิเรียมคันปากขึ้นมาทันที มีคำถามมากมายอยากจะถามเช่นที่เธออยากถามแก่ชายชราปริศนาก่อนหน้านี้ แต่รู้ดีว่ามันคงจะไม่เหมาะสมสักเท่าไร จึงได้แต่รักษาอาการสำรวมและระงับความสงสัยเอาไว้อยู่ในใจเท่านั้น


    และในเพียงครู่เดียว แม่ซีซาร่าก็ดูเหมือนจะกลับมาปกติอีกครั้งหนึ่ง หล่อนถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจมิเรียมที่อยู่ใกล้ ๆ  เอาเถอะ ฉันคงรบกวนเวลาเธอมากแล้ว วันนี้เธอคงได้ออกแรงไปเยอะพอดู ฉันว่าเธอควรพักผ่อนสักหน่อยนะ


    มิเรียมขมวดคิ้วโดยทันที ซิสเตอร์จะไม่ลงโทษฉันเหรอคะ?


    ไม่หรอก แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดเช่นนั้น ฉะนั้นเวลาพูดอะไรก็ควรระวังหน่อยก็แล้วกัน


    แม่ชีสาวแย้มรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ มิเรียมประหลาดใจไม่น้อยกับท่าทีเป็นมิตรของอีกฝ่าย เพราะโดยปกติแล้วเหล่าคณาจารย์ล้วนมีภาพลักษณ์เคร่งขรึมชวนให้ยำเกรงอยู่ตลอด รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อนจึงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะได้เห็นอย่างง่าย ๆ และเหนือสิ่งอื่นใด คำพูดของแม่ชีซาร่าก็ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมืองนี้ช่างเป็นเมืองที่แปลกโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพของเมืองหรือผู้คนของเมืองก็ตามที

     


    ................................



    ร้อน ร้อนเหลือเกิน


    เด็กสาวนอนกระสับกระส่ายไปมา อุณหภูมิเพิ่มสูงอย่างเฉียบพลันให้ความรู้สึกราวกับกำลังอยู่ในเตาอบขนาดใหญ่ เม็ดเหงื่อผุดพรายจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มโฉก เมื่อร้อนรุ่มจนถึงจุดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป มิเรียมตัดสินใจลืมตาโพล่งทันควัน


    แรกเริ่มเธอเห็นเพียงความมืดอยู่รายล้อม เด็กสาวดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ แล้วทันใดนั้นรอบ ๆ ตัวจึงค่อย ๆ ปรากฏเงาร่างของบรรดาต้นไม้แห้งกรังเรียงราย กิ่งก้านแตกแขนงหงิกงอประหนึ่งมือของปีศาจกำลังโอบล้อมจากทุกทิศทาง ตามมาด้วยกลุ่มก้อนของไฟที่จู่ ๆ ก็ลุกโชนเผาไหม้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าเธออย่างกะทันหัน ก่อนจะลามไล่ไปเป็นทอด ๆ จนทั่วแห่งหนชโลมย้อมด้วยแสงไฟสว่างจ้าแดงฉาน


    ร้อน ร้อน


    ร่างกายของเด็กสาวไม่ได้สัมผัสเปลวเพลิงเลยแม้แต่นิด แต่กลับรู้สึกแสบร้อนทรมานอย่างเหลือหลายประดุจตัวเองเป็นต้นไม้ที่กำลังถูกเผาก็ไม่ปาน เธอหอบหายใจรุนแรง หวุดหวิดจะล้มกลิ้งอยู่หลายรอบด้วยความเจ็บปวดแต่ฝืนประคองตัวเองให้ยืนอยู่ต่อไปให้ได้ นัยน์ตากวาดมองกลุ่มไฟท่ามกลางความมืดอย่างกระวนกระวาย


    ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้


    นั่นเป็นความคิดแรกและความคิดเดียวที่ปรากฏขึ้นมาในหัว สัญชาตญาณบอกแก่เธอว่าเธอต้องรีบออกไปจากที่แห่งนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงไปกว่านี้ ร่างแบบบางเดินสะเปะสะปะไปทั่ว ควานหาช่องว่างท่ามกลางเพลิงร้อนเพื่อหลุดไปจากที่นี่ และในคราวนั้นเองสายตาของเธอก็มองเห็นเข้ากับบางสิ่งที่อยู่ใจกลางกองเพลิงตรงหน้า


    มันเป็นเงามืด เงาอันทะมึนมัวและสั่นไหวจนไม่อาจมองได้ชัดเจนว่าคืออะไรกัน มันอยู่ในกองไฟอย่างนิ่งสงบคล้ายว่าไม่รู้สึกถึงความร้อนใด ๆ เค้าหน้าสีดำหันมาที่เธออย่างเปิดเผย แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่มิเรียมก็ตระหนักรู้ว่ามันกำลังมองมาที่เธออยู่


    มันก้าวออกมาจากกองไฟ ตรงเข้ามาที่เธอด้วยความรวดเร็วอย่างน่ากลัว เร็วเสียจนเด็กสาวไม่มีโอกาสได้ถอยหนี พริบตาเดียวมันก็มาถึงตัวเธอเสียแล้ว กายเงาใหญ่สีดำทะมึนตัดกับสีสันของเพลิงส่องสว่างราวกับรัตติกาลและรุ่งอรุณได้มาอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวที่โดดเด่นเหนือความดำมืดของมันคือดวงตาสีเหลืองวาววับคู่นั้น


    เสียงกระซิบไร้ที่มาดังพึมพำอยู่ในหูซ้ำไปซ้ำมา และเป็นเสียงที่มิเรียมฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ชั่วขณะนั้นเงาดำคว้าจับเข้าที่แขนขวาของเธอ แรงบีบมหาศาลราวกับจะทำให้กระดูกแขนหักเสียให้ได้ มิเรียมร้องโหยหวนด้วยความเจ็บอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ออกจากปากของเธอกลับเป็นเสียงพึมพำเฉกเช่นเสียงกระซิบในหู ฟังดูเหมือนบทสวดบางอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินและไม่มีวันเข้าใจ


    ฉับพลันเปลวเพลิงก็ก่อตัวขึ้น เริ่มจากมือของมันส่งมาสู่แขนของเธอ ความร้อนจัดแล่นก่อตัวลุกลามรวดเร็วจนกลายเป็นเปลวเพลิงท่วมทั้งร่าง มิเรียมทั้งหวาดกลัวและเจ็บแสบเหลือเกิน มองดูผิวหนังตัวเองที่กำลังถูกไฟเผาไหม้จนเดือดพล่าน เธอกรีดร้องขึ้นอีกคราว และคราวนี้มันไม่ใช่เสียงพึมพำอีกแล้ว


    กริ๊ดดดดดดดดด!”


    มิเรียม!”


    เด็กสาวเจ้าของชื่อทะลึ่งพรวดทันใด ก่อนจะรับรู้ได้ว่ายามนี้ตัวเองอยู่บนเตียงภายในห้องนอนรวม สายตาอันแปลกประหลาดจากเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ พุ่งตรงมาเธอเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่กับคริสติน่าผู้เป็นเพื่อนสนิท หล่อนนั่งอยู่บนเตียงเดียวกันตรงหน้าเธอ


    เธอโอเคหรือเปล่า จู่ ๆ เธอก็กริ๊ดขึ้นมา พวกเราตกใจหมดเลยนะ คริสติน่ายิงคำถามทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาแล้ว


    ไม่มีอะไรหรอก มิเรียมมองเพื่อนตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสักครู่เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น ฉันแค่ฝันไม่ดีเท่าไร


    นั่นคงเป็นฝันที่น่ากลัวมากแน่ ๆ คริสติน่าส่ายหัวก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องขบขันเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดจากเด็กสาวบนเตียง นี่ก็เช้าพอดี ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ จะได้ไปหาซิสเตอร์กัน


    กล่าวจบคริสติน่าก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เฉกเช่นเดียวกับสายตาแปลก ๆ จากคนอื่นที่หายไปด้วย ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำธุระของตนเองอีกครั้ง เหลือเพียงมิเรียมที่ยังนั่งอยู่บนเตียง หัวใจเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ แม้จะรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน แต่ความหวาดกลัวลึก ๆ ในใจก็ดูเหมือนจะไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย


    นี่ไม่ใช่ฝันร้ายครั้งแรกของเธอ ก่อนหน้านี้มิเรียมเคยมีความฝันถึงเงาดำประหลาดนี้มาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก และในฝันนั้นมันจะยืนมองดูเธออยู่ที่มุมไกล ๆ เสมอ เธอเลิกฝันถึงมันไปก็ตอนที่ตัวเองหนีออกจากบ้านแล้วตัดสินใจสมัครเรียนเป็นแม่ชี นั่นนับว่าผ่านมาได้เป็นปี ๆ แล้ว จนกระทั่งมาวันนี้ที่เธอได้ฝันถึงมันอีกครั้ง และครั้งนี้มันไม่ได้อยู่ห่างไกลเช่นเคย มันเข้ามาถึงตัวเธอ และจับเข้าที่แขนของเธอ สัมผัสเสมือนจริงนั่นชวนให้อกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างยิ่ง น่ากลัวยิ่งกว่าฝันครั้งใด ๆ


    มิเรียมยกแขนของตนขึ้นมา แขนข้างขวาอันเป็นข้างเดียวกับที่ถูกเจ้าเงาดำประหลาดแตะต้องจากในฝัน ทันใดนั้นเด็กสาวก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดขีด เมื่อพบว่าที่แขนของตนในเวลานี้ปรากฏเป็นรอยรูปมือสีดำทาบทับอยู่ และนั่นก็ทำให้เธอสะดุ้งตกใจจนแทบจะตกเตียงเลยเสียด้วยซ้ำ


    แต่เพียงแค่กะพริบตาเท่านั้น รอยรูปมือสีดำบนแขนก็ได้หายไปแล้ว ราวกับว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เด็กสาวมองดูเรียวแขนขาวโลนของตัวเองด้วยความฉงน จนกระทั่งเสียงเรียกชื่อจากคริสติน่าดังเป็นรอบที่สอง เธอจึงจำใจต้องแบกร่างตัวเองลงมาจากเตียงในที่สุด แม้ว่าจะยังมีความสงสัยติดค้างอยู่ในใจก็ตามที

     


    ................................



    หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พระอาทิตย์ก็โผล่พ้นจากขอบฟ้าทอแสงอย่างเต็มดวง นี่คงเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของเมืองโลว์แลนด์ การเป็นเมืองแล้งทำให้มันไม่เคยได้สัมผัสความมืดครึ้มหมองมัวของเมฆฝน ไม่ว่าจะมองไปในทิศทางใดก็พบเจอแต่ความสว่างไสว เหมือนว่าจะสดใสถ้าหากเมืองนี้มีต้นไม้อยู่บ้างสักต้นสองต้น ไม่ได้แห้งแล้งโล่งเตียนเช่นนี้


    ขบวนแม่ชีฝึกหัดนักปลูกผักเคลื่อนตัวออกจากโบสถ์ ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน คริสติน่าคันปากยิบ ๆ ยามลอบสังเกตใบหน้าที่เหมือนอยู่ในภวังค์ของมิเรียม ดูเหมือนความเครียดบางประการจะส่งผลให้เจ้าตัวดูไม่สดใสเลยแม้แต่น้อยในเช้าวันนี้ และอาการนี่อาจจะเกี่ยวพันกับฝันร้ายที่เธอพูดถึงตอนตื่นนอนก็ได้


    คริสติน่าเริ่มรู้สึกเป็นห่วงอยู่นิดหนึ่ง หล่อนจึงเอ่ยปาก เธอโอเคหรือเปล่ามิเรียม


    มิเรียมคล้ายว่าจะได้สติ เด็กสาวเบนสายตาไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะส่ายหน้าทันควัน ไม่เป็นไรหรอก


    ไม่มีประโยชน์จะเล่าเรื่องเช่นนี้ให้คริสติน่าฟัง หล่อนจะมองเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น อันที่จริงไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระไปกันหมดนั่นแหละ เด็กสาวที่โตมาจนอายุสิบแปดแล้วแท้ ๆ แต่กลับประสาทแดกกลัวจนหัวหดกับอีแค่ฝันร้ายบ้า ๆ นั่น มิเรียมคิดเช่นนั้นจึงตัดสินใจที่จะเงียบและตั้งอกตั้งใจกับการทำหน้าที่ของตัวเองแทน เธอแก้ปัญหาความสงสัยในใจของตัวเองด้วยการยัดคำว่าไร้สาระให้แก่มันด้วยเช่นกัน หวังจะให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นบ้างหลังจากฝันร้ายและภาพหลอนแปลก ๆ นั่น


     อย่างน้อย ๆ มันก็ได้ผลบ้าง การมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับงานที่ต้องออกแรงกายอย่างมากพาให้หายฟุ้งซ่านพอสมควร อากาศที่นี่ร้อนแห้งเหลือหลาย เศษฝุ่นดินตลบทุกครั้งที่กะเทาะและขุดแซะ ทั่วทั้งหน้าและแขนเปรอะเปื้อนด้วยดินแห้งปนหยาดเหงื่อ ทั้งหมดนี้ช่างเป็นกิจกรรมที่ช่วยฆ่าเวลาได้ดีอย่างยิ่ง เวลาพ้นผ่านจากนาทีไปเป็นชั่วโมงไปโดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ กว่าจะรู้ตัวอีกทีงานในมือก็เสร็จลงเรียบร้อยพร้อมเวลาเที่ยงตรงเช่นเดียวกับเมื่อวันก่อน


    มิเรียมเงยหน้าขึ้นจากหลุมดินที่สุด แล้วพบว่าตัวเองยังคงเป็นบุคคลที่ทำงานเสร็จได้เป็นคนแรกเฉกเช่นเคย เด็กสาวกวาดสายตามองคนอื่น ๆ ก่อนจะเกิดเป็นความรู้สึกประหลาดเหลือเกินเมื่อตัวเองกลายเป็นคนเดียวที่ได้ลุกขึ้นยืนในขณะที่คนอื่น ๆ ก้มหน้าก้มตาจนหน้าแทบจะมุดดินอยู่แล้ว


    อธิษฐานซะสิ ขออภัยต่อบาปของแกซะ!”


    เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทำให้เด็กสาวสะดุ้งโหยงโดยพลัน นั่นเป็นเสียงของแม่ ทั้งเสียงและประโยคที่เธอได้ยินมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยในทุกครั้งก่อนที่แม่จะลงโทษเธอ และยามนี้เธอก็ได้ยินมันอีกครั้งอย่างเต็มสองหู มิเรียมหันซ้ายแลขวา ไม่พบสิ่งใดที่ผิดแปลกไปจากเดิม ทุกคนยังตั้งหน้าตั้งตากับการขุดดินของตัวเองต่อไป


    ก็แค่หูแว่วเท่านั้น มิเรียมปลอบใจตัวเองแม้ว่าจะกำลังตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว แม่คือผู้มีอิทธิพลต่อตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักกี่ปีก็ตาม หากนึกถึงแม้เพียงเศษเสี้ยวของหล่อนก็มักจะพาให้หวาดหวั่นหรือย่ำแย่ทางใจได้เสมอ เด็กสาวสูดลมหายใจ รวบรวมความคิดให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งก่อนจะหยิบเอาฝักบัวอันเก่าขึ้นมาเพื่อที่จะออกไปตักน้ำยังลำธารแห่งเดิม คงมีเพียงแค่การทำงานเท่านั้นแหละที่จะทำให้หายฟุ้งซ่านได้


    ร่างบอบบางเยื้องย่างย่ำผ่านละอองดินสู่พื้นอิฐที่ปูเป็นทางเดินรอบโบสถ์อย่างโดดเดี่ยว ไมมีผู้ใดอยู่หน้าและไม่มีผู้ใดอยู่ข้างหลัง ความเงียบทำให้ใจสงบและทำให้ฟุ้งซ่านได้ในเวลาเดียวกัน มิเรียมตระหนักรู้เป็นอย่างดีหลังจากที่มักถูกมารดาจับขังอยู่ในห้องสวดมนต์บ่อยครั้ง เด็กสาวตัดสินใจฮัมเพลงทำลายความเงียบลง อันที่จริงไม่ควรจะเรียกว่าเพลงด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่ท่วงทำนองส่ง ๆ ที่บังเอิญว่าคิดได้ในหัวเท่านั้น ซึ่งเธอได้ค้นพบมาตั้งแต่เด็กว่ามันเป็นการผ่อนคลายง่าย ๆ ที่ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว


    แต่ความบันเทิงใจเล็ก ๆ จำต้องหยุดลงชั่วคราวเมื่อดวงตามองเห็นผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังเดินมาจากอีกฟากหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่คือแม่ชีซาร่า มิเรียมจึงเบี่ยงฝีเท้าของตัวเองเพื่อหลบทางให้อีกฝ่าย แต่กลายเป็นว่าแทนที่หล่อนจะเดินผ่านเลยไป หล่อนกลับหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเธออย่างพอดิบพอดี


    มิเรียม หญิงสาวมองแม่ชีฝึกหัดที่อยู่ตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วขึ้นคล้ายว่าประหลาดใจ จะออกไปข้างนอกอย่างนั้นเหรอ


    ค่ะซิสเตอร์ เด็กสาวค้อมหัวเล็กน้อยยามพูด แสดงความนอบน้อมตามแบบฉบับของคนอายุน้อยกว่า ก่อนที่มืออีกข้างจะยกฝักบัวเป็นตัวช่วยยืนยันคำพูดตัวเอง ฉันทำในส่วนปลูกเสร็จแล้ว เลยต้องไปตักน้ำต่อค่ะ


    กลายเป็นว่าสายตาของเจ้าหล่อนไม่ได้โฟกัสที่ฝักบัวในมือมิเรียมแม้แต่น้อย แม่ชีซาร่าขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะดึงข้อมือของคนอายุน้อยกว่าเข้ามาใกล้กะทันหัน มิเรียมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนึกตกใจอยู่พอสมควร แต่ก็ยังมีสติมากพอที่จะไม่เผลอชักข้อมือกลับมาเสียก่อน ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างสูงต่อแม่ชีรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ตัวเองด้วย


    แขนของเธอไปโดนอะไรมาน้ำเสียงเข้มงวดดังขึ้น เด็กสาวจึงมีโอกาสได้สังเกตในสิ่งที่อีกฝ่ายเห็น บนข้อมือข้างขวาของเธอยามนี้ปรากฏเป็นรอยวงกลมเล็ก ๆ สีคล้ำเข้มที่เหมือนจะเป็นรอยช้ำ เมื่อเห็นดังนั้นมิเรียมจึงเป็นฝ่ายที่ต้องขมวดคิ้วบ้าง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีรอยเช่นนี้อยู่ที่แขนของตนด้วยหากแม่ชีซาร่าไม่ทักขึ้นมาเสียก่อน


    ฉันคิดว่าน่าจะไปกระแทกอะไรบางอย่างตอนขุดดินนะคะเธอพิเคราะห์รอยช้ำบนมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคาดเดาเช่นนั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอโดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะในการทำงานขุดดินปลูกที่ต้องใช้แรงเยอะเช่นนี้ อาจมีไปกระแทกดินหรือกระแทกด้ามส้อมพรวนดินก็เป็นไปได้ทั้งนั้น


    แม่ชีซาร่ายังคงไม่ปล่อยมือจากเรียวแขนของเด็กสาว นิ้วโป้งของหล่อนสัมผัสแผ่วเบาไปตรงรอยช้ำนั้น น่าประหลาดที่เธอไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อยแม้จะถูกแตะต้องตรง ๆ ที่รอยช้ำก็ตาม ดวงตาสีเข้มจากคนอาวุโสกว่าจดจ้องมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลอยทำให้มิเรียมเกร็งจนไม่กล้าขยับตัวไปด้วย เป็นเวลาครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่อีกฝ่ายจะยอมปล่อยมือจากเธอ


    ระมัดระวังตัวด้วยมิเรียม ร่างกายของเธอมีค่า หากบาดเจ็บไปคงไม่ดีแน่


    หล่อนกล่าวตักเตือนเช่นนั้นก่อนจะยอมปล่อยมือจากแขนของเธอในที่สุด และเคลื่อนตัวจากไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าให้ได้ยิน แปลกชะมัด มิเรียมนึกในใจพลางเหลียวหลังมองเจ้าของผ้าคลุมสีดำที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ แต่ก็ตัดสินใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ เธอหันกลับมาเหล่มองรอยช้ำที่มืออีกเล็กน้อยก่อนจะเดินทางต่ออีกครั้งทันที จุดหมายปลายทางนับว่าอยู่ห่างไกล ฉะนั้นยิ่งเดินทางได้ไวเท่าไรก็ยิ่งดี


    เมื่อผ่านพ้นเขตแดนของโบสถ์ เด็กสาวก็ก้าวเดินไปตามทางด้านนอกอย่างชำนาญ ถึงแม้ว่าจะได้ออกจากที่นี่ไปเพียงแค่ครั้งเดียวแต่เธอก็สามารถจดจำเส้นทางได้แม่นยำแล้ว ซึ่งไม่นับว่ายากเย็นอะไรนักเมื่อพบว่าที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเลยสักอย่าง มองไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่าโล่งเตียน สิ่งเดียวที่เป็นจุดสนใจอันเด่นชัดที่สุดก็หนีไม่พ้นหมู่บ้านเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางคนแห้งแล้ง เตือนให้ตระหนักรู้ว่าดินแดนแห่งนี้ยังพอมีชีวิตหลงเหลืออยู่บ้าง


    มิเรียมระมัดระวังตัวเป็นพิเศษยามที่ต้องผ่านเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนั้น เพราะยังคงจดจำได้ดีถึงสภาพของหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความหดหู่เงียบเหงา และรวมถึงสายตาแปลก ๆ จากคนที่นั่นด้วย อันที่จริงเธอไม่ใคร่สบายใจนักที่จะต้องผ่านที่นี่ไป แต่เพราะมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะไปถึงลำธารได้ จึงทำได้เพียงแค่เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพื่อจะได้ผ่านพ้นไปจากหมู่บ้านนี้ไวขึ้นไปด้วย


    แต่การณ์กลับตรงกันข้าม ในทันทีที่มาถึงหมู่บ้าน เด็กสาวก็พบว่าเมืองเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวาที่ได้เห็นเมื่อตอนนั้นได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากหน้ามือเป็นหลังมือ นับตั้งแต่เสียงหัวเราะดังแว่วมาตามสายลม และผู้คนหลายคนที่พาจับกลุ่มสนทนากันอยู่นอกบ้านของตน บางส่วนก็ทำกิจกรรมในส่วนของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บ้างก็ร้องรำทำเพลง บ้างก็เล่นหมากรุก หรือไม่ก็อ่านหนังสือ ส่วนเด็ก ๆ ที่อายุยังน้อยก็พากันเล่นวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน


    แปลกชะมัด


    เป็นอีกครั้งที่ความคิดนี้ได้แล่นเข้ามาในหัว มิเรียมหยุดเดินอย่างไม่รู้ตัว มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตนด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้นกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้เห็น และในตอนนั้นเอง ตัวตนของเธอก็ถูกสังเกตเห็นโดยหญิงสาวผู้หนึ่งในหมู่บ้านเข้าจนได้ หล่อนไม่ได้มองเธอด้วยสายตาประหลาด ๆ เช่นก่อนหน้านี้แต่อย่างใด ซ้ำยังยิ้มแย้มแจ่มใสเสียด้วย มิเรียมรู้สึกเกร็งเล็กน้อยยามที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเธอ


    ท่านคงเป็นแม่ชีที่มาใหม่สินะจ๊ะหญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส กำลังจะไปที่ไหนเหรอจ๊ะ?”


    ฉันจะไปตักน้ำที่ลำธารค่ะ มิเรียมตอบตามมารยาท แม้จะเกร็งอยู่บ้างกับการสนทนากับคนแปลกหน้าแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอย่างสุภาพให้คนตรงหน้า


    ทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น หญิงสาวผู้นั้นก็เบิกตากว้าง ก่อนจะยกมือทาบอกตัวเองคล้ายว่าไม่เชื่อ ตายจริง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนี้เนี่ยนะต้องลงไปตักน้ำในลำธารคนเดียว ปกติที่นั่นมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่ลงไปได้นะจ้ะ


    มิเรียมอยากจะตอบไปว่าไม่ใช่แค่เธอเพียงคนเดียวหรอกที่ต้องลงไปตักน้ำที่นั่น แม่ชีฝึกหัดคนอื่นก็ต้องทำเช่นเดียวกันเพราะมันเป็นหน้าที่ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็ดึงข้อมือของเธอขึ้นมาซะก่อน สายตาของหล่อนมองไปที่รอยช้ำก่อนจะทำสีหน้าที่ดูตกอกตกใจหนักกว่าเดิม ดูนี่สิ! มีรอยช้ำด้วย


    มันเกิดจากตอนทำงานนะคะ ที่โบสถ์เราต้องปลูกผักและรดน้ำให้มันทุกวัน


    คำพูดของเธอดูจะเรียกความสงสารจากคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะใช้ฝ่ามือของตนตบเบา ๆ ที่หลังมือของแม่ชีฝึกหัด ท่านควรจะพักสักหน่อยนะจ๊ะ อย่างน้อย ๆ ก็แวะกินน้ำกินท่าที่นี่ก่อนก็ได้ เดินเท้าฝ่าแดดฝ่าลมมาแบบนี้คงจะเหนื่อยแย่


    ขอบคุณนะคะ แต่ฉันต้องไปทำงานให้เสร็จเรียบร้อย คงพักไม่ได้หรอก


    มิเรียมบอกปัดอย่างรวดเร็วด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง แต่หญิงสาวตรงหน้ายังคงจับแขนของเธอไว้ไม่ปล่อย และก็ยังไม่ละความพยายามในการรบเร้าแม้แต่น้อย อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย เดี๋ยวฉันจะให้สามีเป็นคนจัดการให้ ท่านพักสักหน่อยเถอะจ้ะ แค่เล็กน้อยคงไม่น่าเป็นปัญหาหรอกนะจ๊ะ


    การพูดจาของหล่อนทำให้เธอใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย และอันที่จริงหล่อนก็ไม่ได้กล่าวผิดนักกับเรื่องของความเหนื่อยยากในการเดินทางไปตักน้ำที่ลำธาร แดดร้อน ๆ ของที่นี่ทำให้เธอรู้สึกกระหายน้ำอย่างเหลือทน ไหนจะความเมื่อยล้าจากเท้าที่ต้องเดินเและจากแขนที่ต้องแบกฝักบัวใส่น้ำนั่นอีก แม้ที่ผ่านมาจะอดทนได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้สึกเหนื่อยเสียหน่อย เพียงแต่เธอไม่เคยมีโอกาสได้พักอย่างจริงจังเลยนับตั้งแต่ที่มาอยู่ที่นี่


    คิดได้เช่นนั้นมิเรียมก็ถอนหายใจแผ่วเบา แค่พักสักนิดก็คงไม่เสียหายหรอกมั้งนะ?


    มิเรียมยอมเดินตามหญิงสาวผู้นั้นไปในที่สุด ตลอดทางมีผู้คนมากมายที่หันมามองที่เธอพร้อมส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ มิเรียมจึงส่งยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน เกิดอาการเก้อเขินเล็กน้อยที่กลายเป็นจุดสนใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอัดอึดเหมือนก่อนหน้านี้ตอนมาที่นี่ครั้งแรก บรรยากาศที่ดีขึ้นของที่นี่พาให้เด็กสาวรู้สึกดีตามไปด้วย


    เรือนผมสีดำสนิทของหญิงสาวกระพือไหวเป็นจังหวะยามที่หล่อนก้าวนำทางพาเธอมาเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่ง ซึ่งดูโดดเด่นเหนือบ้านหลังอื่นเพราะเป็นเพียงหลังเดียวเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีเทาที่ดูแข็งแกร่งทนทาน ซึ่งมิเรียมเดาว่าคงเป็นบ้านของหญิงสาวผู้นั้น


    หล่อนไม่ได้พาเธอเข้าไปในบ้านแต่อย่างใด แต่จัดแจงให้เธอนั่งเก้าอี้อยู่ข้างนอกพร้อมกับเอ่ยปากขอตัวเข้าไปในบ้าน และเพียงไม่นานหญิงสาวก็กลับออกมาพร้อมกับแก้วสีน้ำตาลเข้มใบโตที่บรรจุน้ำเต็มเปี่ยม ก่อนจะยื่นมันให้แก่เธอ


    ดื่มน้ำสักนิดก่อนเถอะจ๊ะ


    มิเรียมมองแก้วน้ำในมือตน ประหลาดใจนักที่พบว่าน้ำข้างในใสสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ผิดจากน้ำขุ่น ๆ ที่ลำธารอย่างสิ้นเชิง นี่คงเป็นน้ำที่มีราคามากอย่างไม่น่าสงสัยเมื่อเทียบกับความแห้งแล้งของที่นี่ เมื่อคิดเช่นนั้นมิเรียมก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงเจ้าของบ้านอย่างลังเล และอีกฝ่ายก็เหมือนจะรับรู้ความคิดเธอได้เป็นอย่างดี หล่อนจึงพยักหน้าเป็นการยืนยันความตั้งใจตัวเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงยอมดื่มน้ำจากแก้วในที่สุด


    อากาศร้อนจัดทำให้ลำคอของเธอแห้งเป็นผง มิเรียมจึงกระดกดื่มน้ำเปล่าด้วยความกระหายจนหมดแก้วภายในเวลาอันรวดเร็ว ความเย็นฉ่ำจากปลายลิ้นไหลลงคอชวนให้รู้สึกดียิ่ง เพียงแค่แก้วเดียวเท่านั้นความเมื่อยล้าที่มีก็เลือนหายและถูกแทนที่ด้วยความสดชื่นโดยพลัน นับว่านานเลยทีเดียวที่เธอไม่ได้ดื่มน้ำสะอาดเช่นนี้หลังจากที่ได้มาอยู่เมืองที่แสนแห้งแล้งแห่งนี้


    เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ


    อีกฝ่ายจับจ้องเธอไม่วางตา เด็กสาวจึงได้หันไปมองหญิงสาวผู้มีน้ำใจอีกครั้ง หวังจะเอ่ยปากขอบคุณ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก จู่ ๆ สายตาของเธอก็เกิดพร่ามัวชั่วขณะ มิเรียมสะบัดหัวเล็กน้อย และพยายามกะพริบตาถี่รัวหวังจะให้ตัวเองมองเห็นชัดขึ้น แต่นั่นไม่ช่วยอะไรเลย ซ้ำร้ายการมองเห็นกลับยิ่งแย่ลงไปอีก มิเรียมลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ก็ต้องกลับไปนั่งตามเดิมเมื่อพบว่าร่างกายหนักอึ้งเป็นอย่างยิ่งจนไม่อาจทรงตัวได้ และในเวลาไม่นานนักร่างบอบบางก็เอนไถลไปกองกับพื้นในทันที


    จิตใต้สำนึกกรีดร้องโหยหวน ความหวาดกลัวเกาะกุมในทุกสติสติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่ มีบางอย่างที่ไม่ปกติกำลังเกิดขึ้นกับเธอ มิเรียมนึกอยากส่งเสียงร้อง แต่กลับไม่มีอะไรออกมาจากริมฝีปากแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าร่างกายทุกส่วนกำลังค่อยๆ หยุดการทำงานลงไปอย่างรวดเร็ว


    ท่ามกลางความพร่ามัวในดวงตา มิเรียมมองเห็นเงาของชาวบ้านที่กำลังมุงล้อมรอบเธออยู่ ก่อนที่จะทุกอย่างจะดับมืดไปอย่างฉับพลัน ประหนึ่งแสงเทียนสุดท้ายที่ถูกสายลมกระโชกแรงแรงพัดพาเข้าใส่จนมอดหายไป




    __________________


    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×