ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sweet Serial Killer.

    ลำดับตอนที่ #16 : Tragedy

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 62


    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Tragedy Moodboard










    ความเจ็บปวดคือสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่


    คนหลายคนที่ประสบความทุกข์ทรมานจากอาการทางจิตจึงเลือกที่จะทำร้ายร่างกายตัวเอง เพราะความเจ็บปวดคือสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขายังรับรู้ถึงตัวตนอันเจือจางของตัวเอง ในขณะเดียวกันมันก็คือการลงโทษตัวเองอย่างหนึ่ง เพราพวกเขาคิดว่าตัวเองดีไม่พอ ความเจ็บปวดจึงเป็นหนทางเดียวที่ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น


    แต่บางครั้งแค่ความเจ็บปวดไม่อาจที่จะเยียวยาทุกอย่างได้ คนบางคนจึงก้าวขั้นไปไกลกว่านั้น จากการทำร้ายร่างกายสู่การฆ่าตัวตาย


    โดโลเรสกำลังนึกถึงความพยายามฆ่าตัวตายครั้งแรกของตัวเองด้วยการกรีดข้อมือ ยังจดจำกลิ่นคาวและสัมผัสของเลือดอุ่น ๆ ที่ไหลรินผสมกับน้ำในอ่างอาบน้ำของตัวเองจนทุกอย่างกลายเป็นสีแดงฉาน เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด การเสียเลือดจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้เธอหมดสติจนไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก


    ความตายไม่เจ็บปวด แต่การยังมีชีวิตอยู่ต่างหากล่ะคือความเจ็บปวด


    นี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรย แต่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอจริง ๆ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาอีกทีที่โรงพยาบาลพร้อมกับผ้าขาวที่รัดข้อมืออย่างแน่นหนา โดโลเรสไม่รู้ว่าจะสรรหาคำบรรยายใดจะมาอธิบายความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากบาดแผลยาวลึกบนแขน บาดแผลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจจะตายแต่กลับไม่ได้ตาย เธอเลยต้องอดทนกับความเจ็บปวดนี้อยู่หลายวันทีเดียว การฆ่าตัวตายครั้งนั้นเป็นความเจ็บปวดที่เธอไม่อาจจะลืมได้เลย


    ความเจ็บปวดคือสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งความเจ็บปวดบนร่างกายจากบาดแผลที่เรารังสรรค์ขึ้น และความเจ็บปวดภายในใจที่ไม่ได้สิ้นลมหายใจอย่างที่ปรารถนาไว้


    และความเจ็บปวดนั้นก็ได้หวนกลับมาอีกครั้งในตอนที่โดโลเรสลืมตาขึ้นในห้องเล็ก ๆ ห้องเดิม ห้องที่กักขังอิสรภาพของเธอไว้อย่างเนิ่นนานชั่วกาล เด็กสาวยกมือขึ้นแตะลำคอของตัวเองอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าที่ถูกพันทบกันอย่างแน่นหนา พร้อมกับความเจ็บปวดที่แทรกซึมอย่างรวดเร็วในยามที่เธอจงใจกดนิ้วลงบนรอยแผลที่เกิดจากคมมีด


    และโดโลเรสก็ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง


    เธอคงยังกดมีดไม่ลึกพอที่จะตัดเส้นเลือดใหญ่หรือหลอดลมบนคอของตัวเองได้ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเธอยังไม่ตาย และเธอก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากขุมนรกแห่งนี้ได้สมความตั้งใจ


    เด็กสาวปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ก่อนจะหวนนึกถึงมารดาของตนที่ถูกจับตัวมาด้วยเช่นกัน แววตาของหล่อนที่มองเธอในยามนั้นยังคงที่ติดลึกอยู่ในความทรงจำราวกับเหตุการณ์นั้นพึ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น น่าแปลกที่โดโลเรสไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงผู้เป็นแม่เท่าที่ควร อาจเพราะเธอรู้ดีอยู่แล้วว่าอย่างไรเสียแม่เธอก็คงไม่รอดแน่ บิลไม่เคยปล่อยให้ใครรอดยกเว้นเธอเพียงคนเดียว


    อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้เป็นคนฆ่าแม่ เธอไม่ใช่ฆาตกร นั่นเป็นเดียวที่ทำให้โดโลเรสรู้สึกดีขึ้นท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดหม่นและไร้ซึ่งทางออก


    จะมีวิธีไหนอีกที่จะทำให้เธอหลุดพ้นไปจากฝันร้ายที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้สักที?


    เด็กสาวเงียบเสียงลงอย่างรวดเร็วเมื่อบานประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของบิล เธอมองร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาในห้องด้วยความกลัว โดโลเรสยังจดจำได้ดีถึงการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้ เธอทั้งฝ่าฝืนคำสั่งและท้าทายเขาไปอย่างชัดเจนก่อนที่จะลงมือปาดคอตัวเอง แน่นอนว่าบิลย่อมไม่พอใจมาก และเธอก็รู้ดีว่ายิ่งเธอสร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่ายมากเท่าไร การลงโทษก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น


    เธอรู้ซึ้งแล้วว่าความตายนั้นดีกว่าการมีชีวิตอยู่เป็นไหน ๆ โดยเฉพาะชีวิตที่ต้องมาอยู่กับฆาตกรโรคจิตเช่นนี้


    เด็กสาวแทบจะไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำยามที่บิลนั่งลงข้างเธอบนเตียง ไม่มีเสียงพูด มีเพียงความเงียบอันน่าอึดอัดที่รายล้อมท่ามกลางคนทั้งสอง ดวงตาสีดำน่าขนลุกคู่นั้นจ้องมองเธอดุจดังมองให้ทะลุเข้าไปข้างในถึงเนื้อหนังและกระดูก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่โดโลเรสก็ไม่อาจอ่านใจผู้ชายคนนี้ออกได้เลย บิลนั้นเหมือนกระดาษอันว่างเปล่า ไม่มีอะไรนอกจากหมึกสีดำที่ถูกย้อมละเลงจนหน้ากระดาษนั้นดำสนิท


    ในช่วงเวลาอันน่าอึดอัด บิลยกมือของตัวเองขึ้นมาอย่างเชื่องช้า และโดโลเรสก็รู้ได้โดยทันทีว่ามันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งตัวเกร็ง ยอมรับสิ่งที่จะตามมาอย่างจำนนต่อโชคชะตา


    สัมผัสแผ่วเบาจากฝ่ามือที่แตะลงบนหัวนั้นทำให้เด็กสาวที่กำลังหวาดกลัวต้องประหลาดใจ เธอหันไปมองบิลแล้วเห็นว่าเขายังคงมีสีหน้าที่ราบเรียบไร้อารมณ์ มือของเขาไม่ได้ทำร้ายเธออย่างเช่นทุกครั้งที่ต้องลงโทษ ในเวลานี้เขาทำเพียงแค่ลูบศีรษะเธออย่างช้า ๆ เท่านั้น


    พักผ่อนเถอะ


    เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะจากไป ความอ่อนโยนอันผิดคาดทำให้เธอทั้งแปลกใจและงุนงงในเวลาเดี๋ยวกัน ดวงตาสีเขียวจ้องมองบานประตูที่ค่อย ๆ ปิดลงไป เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบงันอันเวิ้งว้างและความรู้สึกอันสับสนอยู่ในห้วงคำนึง


    ผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?


    ไม่มีทางเลยที่เธอจะรับรู้ความคิดข้างในจิตใจเขาได้ ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว



    ..............................



    “ฉันบอกแล้วว่าเธอกับฉันเหมือนกัน”


    โดโลเรสสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ลมหายใจหอบถี่กระชั้นชิดเช่นเดียวกับจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว เธอใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าที่จะเริ่มตั้งสติได้หลังจากอกสั่นขวัญแขวนกับความสยดสยองที่เกิดขึ้นในความฝัน ร่างบางลุกจากเตียงขึ้นเปิดไฟแล้วตรงรี่เข้าไปในห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยากจะอาเจียนกระทันหัน หลังจากปลดปล่อยเศษซากอาหารเหม็นเน่าปะปนกับน้ำกรดขมๆ ไหลพรั่งพรูลงสู่โถชักโครกเรียบร้อยแล้ว โดโลเรสก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เธอทรุดตัวพิงชักโครกอย่างอ่อนล้า ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกกลับไปยังเตียงนอนของตัวเอง ฉับพลันนั่นเองภาพในความฝันผุดขึ้นมาเป็นระลอกๆ เสมือนจะตอกย้ำถึงฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้น


    คืนนี้เธอฝันร้ายอีกแล้ว เป็นฝันร้ายครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจนับได้ แต่ความฝันครั้งนี้มันแตกต่างไปจากที่เคย มันสมจริงจนเหมือนไม่ใช่ความฝัน เธอฝันถึงตัวเองที่กำลังยืนอยู่ในห้องใต้ดิน ได้เสียงท้องฟ้าคำรามครืนอยู่ด้านนอกเคล้าคลอไปกับเสียงฝนด้านนอก กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั่วจนพาลอยากจะอ้วก แสงโคมไฟเดี๋ยวหรี่อ่อนเดี๋ยวสว่างสลับกันไปมา แต่ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็มองเห็นทุกสิ่งอย่างภายในห้องใต้ดินได้อย่างแจ่มชัด เธอมองเห็นเตียงเหล็กที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า บนนั้นมีแม่ของเธอนอนอยู่ หล่อนไม่ได้ถูกมัด หล่อนนอนอย่างสงบนิ่ง เปลือกตาปิดสนิทประหนึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา


    เสมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ โดโลเรสยื่นมือเข้าไปหาแม่ แล้วตอนนั้นเองร่างที่กำลังหลับใหลก็ลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่เธอเขม็ง โดโลเรสเริ่มตัวสั่น เธอจดจำได้อย่างแจ่มชัดถึงความเคียดแค้นในแววตาคู่นั้นของผู้เป็นแม่ตัวเอง


    นังลูกทรพี แกน่าจะตายไปซะตั้งแต่ตอนที่ฉันกินยาขับแล้ว”


    เธอก้มมองมือของตัวเอง เห็นมีดเล่มหนึ่งอยู่บนมือ มันเป็นมีดเล่มที่บิลมอบให้เธอในตอนนั้น แต่สถานการณ์ในความฝันแตกต่างไปจากเรื่องจริงโดยสิ้นเชิง ในความฝันโดโลเรสไม่มีความลังเลเลยสักนิด เธอเงยมีดขึ้นแล้วจ้วงแทงไปที่แม่ของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จ้องมองร่างอาบเลือดที่ดิ้นพล่านและร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งจนกระทั่งแน่นิ่งไปในที่สุด


    และในตอนนั้นเองเด็กสาวก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือของใครบางคนที่กำลังสัมผัสไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา โดโลเรสจดจำสัมผัสนั้นได้ เธอรู้ได้โดยทันทีว่าคน ๆ นั้นคือบิล เด็กสาวได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาของเขาตามด้วยเสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหู


    “ฉันบอกแล้วว่าเธอกับฉันเหมือนกัน”


    ประโยคของบิลยังคงตามมาหลอกหลอนทั้งยามนอนและยามตื่น ทำให้เธอหวาดผวาจนแทบคลั่ง โดโลเรสซบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนจะสะอื้นไห้จนตัวโยน เด็กสาวรู้ตัวดีว่าไม่อาจอดทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้วแม้แต่วินาทีเดียว สิ่งที่ผู้ชายคนนี้กระทำกับเธอนั้นมากเกินกว่าที่เธอจะรับได้ไหว เขาทำลายชีวิตเธอทั้งชีวิต เขากักขังเธอจากโลกภายนอก เขาฆ่าทุกคนที่อยู่รอบตัวเธอ และเขากำลังเปลี่ยนแปลงเธอไปอย่างช้าๆ 


    โดโลเรสกลัวเหลือเกินว่าคำพูดของบิลจะเป็นจริง เธอกลัวเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องกลายเป็นฆาตกรเช่นเดียวกับเขา


    มือเล็กเอื้อมไปแตะบนแผลที่คอของตัวเองอีกครั้ง ร่องรอยจากคมมีดในวันนั้นแปรเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อแข็งนูนยาวบนลำคอในวันนี้ เธอไล่นิ้วไปบนแผลเป็นของตัวเองอย่างช้าๆ น่าแปลกที่เธอรู้สึกสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อยามได้สัมผัสกับมัน มีคนเคยกล่าวไว้ว่าบาดแผลคือประวัติศาสตร์และความทรงจำที่ฝังอยู่บนร่างกายมนุษย์ และโดโลเรสก็เชื่อเช่นนั้น


    เธอหลับตาลง นึกย้อนถึงความกล้าหาญของตัวเองในวันนั้น วันที่เธอปฏิเสธบิลแล้วตัดสินใจลงมือปาดคอตัวเองอย่างไม่ลังเลและหวาดกลัว


    บาดแผลนี้เป็นสิ่งเดียวที่ย้ำเตือนให้โดโลเรสรู้ว่าเธอจะไม่มีทางเป็นเหมือนบิลอย่างเด็ดขาด


    “ไม่ ฉันจะไม่มีทางเป็นเหมือนนาย”


    เด็กสาวพึมพำซ้ำไปซ้ำมาอย่างอ่อนแรงก่อนจะลืมตาขึ้น แววตาส่องประกายมุ่งมั่นเจิดจ้า


    เธอตัดสินใจแล้วว่าจะต้องหลุดพ้นไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตามที



    .............................



    โศกนาฏกรรมคือเรื่องเล่าที่จบลงด้วยความเศร้า


    ทุกโศกนาฏกรรมล้วนมีเรื่องราวแบบเดียวกัน พบ พราก และจากลาด้วยความตาย ความร้าวรานที่ถ่ายทอดทางบทประพันธ์นี้เองที่ทำให้โศกนาฏกรรมได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนทั่วไป จากบทกวีและหนังสือก็ได้ถูกผลิตต่อในรูปแบบละครและภาพยนตร์ และยังคงวนเวียนอยู่ต่อไปเหนือกาลเวลา


    โดโลเรสนึกอยากจะรู้ว่าโศกนาฏกรรมของเธอจะจบลงเช่นไร


    หากโศกนาฏกรรมทุกเรื่องจบที่ความตาย นั่นควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่เหรอ? เพราะความเจ็บปวดที่แท้จริงคือการมีชีวิตอยู่เหมือนคนที่ตายทั้งเป็นต่างหาก


    เธอไม่อยากให้โศกนาฏกรรมของตัวเองต้องจบลงเช่นนั้น


    โดโลเรส


    เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของชื่อละสายตาจากหน้าหนังสือก่อนจะหันไปมองคนตัวสูงที่นอนอยู่ข้าง ๆ เขาเท้าแขนและมองดูหนังสือที่อยู่ในมือของเธอ อีกครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองเธออย่างพิจารณา


     เธอกำลังอ่านเรื่องอะไรอยู่


    “Titus Andronicus[1]


    โดโลเรสกล่าวก่อนจะหันเหความสนใจไปที่หนังสือในมืออีกครั้ง คล้ายจะไม่ใส่ใจกับการมีอยู่ของคนอีกคนภายในห้องนี้ ตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น บิลก็ไม่เคยปล่อยให้เธออยู่คนเดียวอีกเลย เขาคอยจับตามองเธอตลอดทั้งวันและทั้งคืนอยู่ในห้องแห่งนี้ เธอรู้ว่าเขากำลังหวาดระแวงเธอ กลัวว่าเธอจะทำอะไรแผลง ๆ เหมือนเช่นวันนั้นอีก ไม่รู้ว่านั่นจะเรียกได้ว่าความเป็นห่วงหรือเปล่า แต่บางทีอาจจะเป็นแค่การจับผิดของเขาก็ได้


    สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ตอนนี้คือการวางตัวให้เป็นปกติเท่านั้น เพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอกำลังวางแผนที่จะทำอะไรแผลง ๆ ยิ่งกว่าการปาดคอตัวเองคราวนั้นเสียอีก


    เธอคิดว่าหนังสือเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง


    สนุกดี” เธอตอบแทบจะในทันทีที่เขาถาม แต่ฉันคิดว่ายังไงก็เทียบกับต้นฉบับอย่างPhilomela[2]ไม่ได้หรอก


    ว้าว เสียงหัวเราะเยียบเย็นดังขึ้นจากริมฝีปากหนา ดวงตาสีมืดคล้ายว่าประหลาดใจ เธอชอบอ่านอะไรแบบนี้งั้นเหรอ


    ฉันชอบโศกนาฏกรรมน่ะ ฉันคิดว่ามันเป็นอะไรที่ย้อนแย้งดี


    ย้อนแย้ง?”


    สายตาของบิลนั้นสร้างความอึดอัดให้แก่เธอไม่น้อย และโดโลเรสก็คิดว่าคงอ่านหนังสือต่อไปไม่ได้แน่ ๆ หากมีเขาจ้องอยู่เช่นนี้ คราวนี้เด็กสาวจึงปิดหนังสือแล้วเห็นไปสนทนากับเขาตรง ๆ


    ก็คงเพราะ..ชีวิตคนทั่วไปก็มีแต่เรื่องให้ทุกข์ใจมากมายอยู่แล้ว แทนที่จะหาอะไรที่บันเทิงผ่อนคลายเอาก็ได้ แต่ทำไมโลกนี้ถึงยังมีการสร้างสรรค์ผลงานโศกนาฏกรรมต่าง ๆ ให้จิตใจตัวเองต้องทุกข์หนักไปกว่าเดิมด้วยล่ะ


    เขาทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยการเงียบ สบตากับเธอ แล้วก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มอันลึกลับและคาดเดาไม่ได้ โดโลเรสคิดว่ารอยยิ้มของบิลเหมือนกับโมนาลิซ่า เมื่อก่อนนั้นเธอเคยหลงใหลกับรอยยิ้มของเขาเสียเหลือเกิน และโดโลเรสก็ไม่เคยคิดเลยว่าในที่เวลาต่อมาเธอจะเกลียดรอยยิ้มของเขาได้มากมายขนาดนี้


    เกลียดจนอยากทำลาย อยากจะฉีกกระชากให้เป็นชิ้น ๆ


    แล้วเธอชอบความทุกข์หรือความสุขมากกว่ากัน?”


    เมื่อเขาเปิดปากก็กลายเป็นเธอเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายเงียบลงบ้าง ดวงตาสีเขียวเหม่อมองหนังสือในมืออย่างครุ่นคิด ไม่มีใครเลือกได้หรอก


    ใช่ เธอเลือกไม่ได้ ถ้าเลือกได้ก็คงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้หรอก


    บทสนทนาคล้ายจะจบลงกลายๆ เมื่อไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก เด็กหนุ่มจ้องมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายเงียบ ๆ ในขณะที่มือใหญ่เอื้อมไปสัมผัสกลุ่มผมยาวสีน้ำตาลของหล่อนเล่นราวกับหยอกล้อ มือของเขาไล่ระดับจากปลายผมขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปที่ลำคอของอีกฝ่าย ปลายนิ้วผอมลูบไล้รอยแผลเป็นที่นูนเด่นบนลำคอที่ขาวซีดอย่างเชื่องช้า


    ฉันสงสัยมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น เขาพึมพำ ระหว่างมีชีวิตอยู่กับตาย เธอจะเลือกอย่างไหน


    โดโลเรสไม่มีโอกาสได้ตอบคำถามนั้นเมื่อร่างของเธอถูกจับกดลงไปบนเตียง มือที่เคยสัมผัสรอยแผลเป็นบัดนี้กลับบีบรัดรอบลำคอของเธออย่างแน่นหนา แรงกดอันรุนแรงปิดกั้นกระบวนการหายใจอย่างสิ้นเชิง ร่างบางดิ้นพราดตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด สองมือปัดป่ายทุบตีคนข้างบนแต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของอีกฝ่ายได้ บิลทำเหมือนกับว่ามันเป็นการกระทำที่แสนธรรมดาในวัน ๆ หนึ่ง เขายังคงมีท่าทีสบาย ๆ ยามจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังขาดอากาศหายใจด้วยน้ำมือของเขาเอง


    ใบหน้าทีปกติซีดเซียวบัดนี้กลับยิ่งซีดจนเหมือนศพ โดโลเรสรู้สึกเหมือนคอของเธอได้แหลกเหลวไปเสียแล้ว ไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดแต่กลับทรมานอย่างยิ่งยวด ตอนนี้เธอแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างดูพร่าเลือนไปหมด เด็กสาวยังคงพยายามดิ้นรนหายใจแม้จะเป็นการกระทำไร้ประโยชน์ก็ตามที  ท่ามกลางความตายที่อยู่แค่เอื้อม โดโลเรสก็ยังคงเหลือกตามองชายผู้กำลังบีบคอเธออย่างไม่วางตา สิ่งที่เธอเห็นในเวลานี้ไม่ใช่บิลแต่เป็นเงาร่างสีดำทะมึนที่เลือนราง เหมือนปีศาจในฝันร้ายที่เธอเคยฝันถึงตอนยังเด็ก


    เธอควรจะตายในอีกไม่กี่นาทีนี้ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่ชิงปล่อยมือเสียก่อน สิ่งแรกที่โดโลเรสทำหลังเป็นอิสระคือหอบหายใจอย่างบ้าคลั่ง โกยอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เด็กสาวพึ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองร้องไห้ก็ตอนที่มือเผลอไปโดนใบหน้าแล้วสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นของหยาดน้ำตา แต่เธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาตัวเอง ได้แต่นอนหายใจพะงาบเหมือนปลาใกล้ตายที่ถูกคลื่นน้ำซัดมาเกยตื้นอยู่บนฝั่ง


    ฉันอยากให้เธอจำเอาไว้ว่าไม่มีใครฆ่าเธอได้แม้แต่ตัวเธอเอง ฉันคนเดียวเท่านั้นที่สามารถฆ่าเธอได้ แค่ฉันคนเดียว” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของอีกฝ่ายออกก่อนจะยิ้มเล็ก ๆ  แต่ไม่ต้องกังวลหรอกที่รัก เพราะยังไงฉันก็ไม่มีวันฆ่าเธออยู่แล้ว”


    ใบหน้าของเขาโน้มต่ำก่อนจะจูบเบา ๆ บนหน้าผากเด็กสาวที่กำลังนอนตัวสั่นอย่างต้องการปลอบประโลม แล้วริมฝีปากก็เคลื่อนไปประทับบนรอยแผลเป็นที่คอของเธอ มันเป็นรอยแผลที่เกิดจากการไม่เชื่อฟัง รอยแผลแห้งชีวิตและอิสระ รอยแผลแห่งการกบฏ


    “บอกฉันหน่อยโดโลเรส ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกอะไรอยู่ โกรธ เกลียด หรือกลัวฉัน?


    โดโลเรสรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชันโดยที่ขาข้างหนึ่งของเธอหย่อนลงไปแล้ว ร่างกายโอนเอนไปมาอย่างไม่มั่นคง หากมีสายลมเบา ๆ พัดเข้ามาเธอก็พร้อมที่จะตกลงไปตายที่หุบเหวข้างล่างได้ทุกเมื่อ เธอรู้ดีว่านี่คือสถานการณ์ที่อันตราย ฉะนั้นเด็กสาวจึงเงียบ ไม่เอ่ยอะไรออกมานอกจากจ้องตาของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ


    ในสถานการณ์เช่นนี้ความเงียบคือคำตอบที่เธอได้มอบให้กับเขาแล้ว


    บิลแค่นหัวเราะออกมา ยังกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องตลกสำหรับเขา และจู่ ๆ เขาก็ทำเหมือนนึกอะไรบ้างอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เด็กหนุ่มดึงข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนที่จะเอามือนั้นวางไว้บนคอของเขาเอง


    เอาเลย ฆ่าฉันสิ


    นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง


    สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้โดโลเรสสับสนอย่างมาก เธอไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรจากเธอกันแน่ เมื่อสักครู่เขาเกือบจะฆ่าเธอตายคามือแต่ตอนนี้กลับเรียกร้องให้เธอเป็นฝ่ายฆ่าเขาเสียอย่างนั้น ความคาดเดาไม่ได้ของเขาทำให้เธอรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ อย่างบอกไม่ถูก เมื่อเธอทำท่าจะดึงมือตัวเองกลับก็ถูกคนตัวสูงกว่ารั้งข้อมือเอาไว้


    ลงมือซะทีสิ! ฉันเปิดโอกาสให้เธอแล้วไงเขาตะคอกเสียงดังจนเด็กสาวสะดุ้งโหยงถ้าเธอเกลียดฉัน อยากฆ่าฉัน นี่ก็เป็นโอกาสเดียวของเธอแล้วโดโลเรส


    เสียงตะคอกอันเกรี้ยวกราดของเขากระตุ้นความทรงจำอันเลวร้ายที่ฝังแน่นในหัวเธอขึ้นมาครั้ง เหมือนแผลเก่าที่ถูกมีดกรีดย้ำซ้ำรอยเดิม โดโลเรสน้ำตาไหลเมื่อนึกถึงความทรมานต่าง ๆ นา ๆ ที่เธอได้รับมาจากชายผู้นี้ ความรู้สึกเสียใจและชิงชังผสมปนเปกันจนแทบแยกไม่ออก ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหลายครั้งเธอนึกอยากจะฆ่าเขาให้ตายมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นแค่ความคิดที่เธอไม่กล้าจะลงมือทำสักที จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผู้ชายคนนี้ได้เปิดโอกาสให้เธอลงมือฆ่าเขา


    ใช่ นี่คือโอกาส โอกาสแห่งการแก้แค้น โอกาสแห่งการหลุดพ้น


    เด็กสาวรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีบีบคอของอีกฝ่ายทันที กดมือไปที่ลำคอของเขาเหมือนที่เขาทำกับเขาก่อนหน้านี้ เธอคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นท่าทีทุรนทุรายและทรมานอย่างเดียวกับที่เธอได้รับจากเขา แต่สิ่งที่เห็นกลับตรงกันข้าม เมื่อบิลไม่ได้ดิ้นรนเอาตัวรอดเลยสักนิด เขานิ่งเฉยเสมือนยอมรับชะตากรรมโดยดี ดวงตาสีดำคู่จ้องมองเธออย่างไม่กระพริบ ในเวลานี้เขาดูเหมือนหุ่นหรือซากศพมากกว่ามนุษย์เสียอีก


    ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม


    โดโลเรสเริ่มมือสั่น ความสงสัยอัดแน่นจนเอ่อล้นเหมือนแก้วน้ำที่ถูกเติมอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ใช่เพียงแค่ความสงสัยว่าทำไมบิลจึงไม่เจ็บปวดแม้ว่าถูกเธอบีบคออยู่ แต่เป็นความสงสัยมากมายต่อตัวเขาที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจเธอมาเนิ่นนาน


    ทำไมเขาไว้ชีวิตเธอ ทำไมเขาไม่ลงมือฆ่าเธอ ทำไมเขาทำดีกับเธอ ทำไมเขาทำร้ายเธอ ทำไมเขาถึงอยากให้เธอฆ่าเขา


    ทำไมถึงต้องเป็นเธอ?


    ทำไม


    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่โดโลเรสเผลอคลายมือออกจากคอคนตรงหน้า เด็กสาวสบตากับอีกฝ่ายคล้ายกับว่ารอคอยคำตอบจากเขา และครั้งนี้บิลก็ไม่ได้นิ่งเฉยอย่างเช่นทุกที เธอมองเห็นว่าแววตาของเขาสั่นไหว บางอย่างในดวงตาของทำให้เธอไม่อาจละสายตาออกไปได้


    เหมือนกับในวันนั้น วันที่เขาจูบเธอเป็นครั้งแรก


    เพราะฉันรักเธอ


    สุดท้ายเด็กสาวก็ไม่อาจจ้องมองคนตรงหน้าต่อไปได้อีก เธอหลุบตาลงก่อนจะเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ที่เธอร้องไห้ไม่ใช่เพราะจากคำพูดของเขาเท่านั้น แต่เพราะโดโลเรสเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความรู้สึกของเธอเป็นเช่นไร เป็นความรู้สึกแท้จริงที่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้


    ว่าเธอก็รักเขาเช่นกัน


    มือใหญ่ของบิลบรรจงเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเชื่องช้า แต่ยิ่งเขาเช็ดมันออกไปเท่าไร น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น โดโลเรสซบหน้าลงกับแผงอกของเขาแล้วสะอื้นไห้ และเขาเองก็สวมกอดเธออย่างแนบแน่น สองร่างเชื่อมโยงแนบแน่นดุจดังพันธนาการที่ฉุดรั้งกันและกันเอาไว้ ไม่อาจตัดขาดและก็ไม่อาจหลุดพ้น


    ความรู้สึกของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องประหลาดเกินกว่าจะมีใครหาคำตอบได้ มันเต็มไปด้วยซับซ้อน ย้อนแย้ง แต่ก็พัวพันลึกซึ้งจนแยกจากกันไม่ออก ดั่งเช่นความรู้สึกของเธอและเขา เธอเกลียดเขาเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันก็รักเขาจนไม่อาจฆ่าเขาได้ เขาเองก็เกลียดเธอไม่ต่างกัน แต่ก็ฆ่าเธอไม่ได้เพราะว่าเขารักเธอ


    ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วความรักกับความเกลียดมันมีเพียงแค่เส้นขนานบาง ๆ กั้นอยู่เท่านั้น ช่างแตกต่างแต่ก็คล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ


    แล้วโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะจบลงเช่นไรกันแน่? จะยอมรับความรักหรือจะหลีกหนีจากมัน นี่เป็นสิ่งเดียวที่เด็กสาวสามารถเลือกได้และจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นไหว ไม่ว่าจะเลือกหนทางไหนล้วนต้องลงเอยด้วยความเจ็บปวดทั้งนั้น


    โดโลเรสหลับตาลง ฟังเสียงหัวใจของบิลที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาคือชายผู้เป็นทั้งความหวาดกลัวและความปลอดภัยของเธอ เป็นทั้งสรวงสวรรค์และก็ห้วงนรก ทั้งเธอและเขาล้วนผ่านอะไรด้วยกันมามากมายเหลือเกิน มากจนไม่อาจสรรหาบทประพันธ์โศกนาฏกรรมบทไหน ๆ มาเทียบเทียมกับเรื่องราวระหว่างเธอและเขาได้


    และตอนนี้เธอก็ได้ตัดสินใจเลือกจุดจบในโศกนาฏกรรมของตัวเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว



    ____________________



    [1] Titus Andronicus เป็นวรรณกรรมเรื่องแรกๆที่Shakespeareเขียน เล่าถึงแม่ทัพโรมันนามTitus Andronicusผู้รบชนะเมืองกอธและได้ฆ่าบุตรของราชินีเมืองกอธ จึงเกิดเป็นความแค้นที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น วรรณกรรมเรื่องนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบเป็นอย่างมากถึงความรุนแรงและป่าเถื่อน

    [2] Philomelaเป็นกวีกรีกโบราณ(เชื่อว่าShakespeareได้รับแรงบันดาลใจมาเขียนTitus Andronicus) เรื่องของสองพี่น้องProcne(คนโต)และPhilomela(คนเล็ก) Procneได้แต่งงานกับกษัตริย์Tereus ด้วยความคิดถึงน้องสาวจึงได้ให้ Tereusไปรับน้องสาวตนมาอยู่ด้วย แต่Tereusได้ข่มขืนPhilomelaและตัดลิ้นนางเพื่อไม่ให้บอกใคร แต่Philomelaได้บอกเล่าเรื่องราวผ่านการทอผ้าให้พี่สาว สองพี่น้องจึงร่วมมือกันแก้แค้นTereusอย่างโหดเหี้ยม

                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×