ตอนที่ 25 : คำตอบ (รีไรต์)
" แปลกนะหยางเฉิง ที่วังหลวงข้ากับเจ้านั้นมิค่อยได้พบเจอกันสักเท่าใด หากแต่นอกวังนั้นกลับบังเอิญพบกันบ่อยเสียนี่ "
มู่หรงหย่งหมิง กล่าวพลางคลี่ยิ้มเล็กน้อยส่งไปให้ผู้เป็นน้องชายต่างมารดา ทว่าภายในใจนั้นอารมณ์ความรู้สึกช่างสวนทางจากรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเขามากนัก
" หม่อมฉัน เพียงแวะมาเยี่ยมเยือนคุณหนูจางก็เท่านั้น จึงถือโอกาสตรวจอาการของนางด้วย จริงสิ คุณหนูจาง เมื่อสักครู่จากที่ตรวจชีพจรนั้นเป็นปกติดี พักอีกสักวันก็คงกลับไปช่วยพี่ชายของเจ้าดำเนินการเรื่องหอเริงรมย์ของเจ้าได้แล้วล่ะ แต่คราวนี้ก็จงระวังอย่าหักโหมจนร่างกายย่ำแย่อีกล่ะ "
มู่หรงหยางเฉิง เอ่ยตอบพี่ชายคนรอง หากแต่นึกขึ้นได้จึงหันกลับไปบอกผลการตรวจให้จางซูหนี่ว์รับรู้ ทั้งเอ่ยเตือนนางให้รักษาสุขภาพด้วยความเป็นห่วง
" ขอบพระทัยเพคะ ที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันจะดูแลตนเองเป็นอย่างดี ยังไม่อยากที่จะกินยาสมุนไพรขมๆขององค์ชายบ่อยนักเพคะ หม่อมฉันเกรงใจ "
จางซูหนี่ว์ เอ่ยตอบองค์ชายห้า พลางส่งยิ้มและกล่าวติดตลกไปในตอนท้าย แต่ก็เป็นเรื่องจริงยาสมุนไพรที่องค์ชายห้าส่งมาให้นั้น รสชาติแย่ยิ่งกว่าบอระเพ็ดเสียอีก
แลกกับการที่ไม่ต้องกลับไปกินสมุนไพรเหล่านั้นนางย่อมต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดีแน่นอน
" เช่นนั้นก็ดี หากแต่ถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาอีก ท่านหมอมู่ผู้นี้ก็ยังพร้อมที่จะรักษาเจ้าอยู่เสมอนะ อ้อ..สมุนไพรขมๆ แต่สรรพคุณดีนั้น เปิ่นหวางก็มีใช้รักษาเจ้าอยู่มิน้อย "
มู่หรงหยางเฉิง นึกขำจึงเอ่ยเย้านางกลับไปเช่นนั้น และท่าทางนางยามพูดนั้นน่าเอ็นดูดีไม่น้อย นางไม่ค่อยมีจริตเหนียมอาย หรือหลบสายตาเขาเหมือนสตรีอื่นที่พบ หากแต่ก็ไม่ได้มีจริตยั่วยวนเหมือนอีกหลายนางที่กระทำยามพบเขาเช่นกัน
ทว่าแม้นางไม่กระทำเช่นนั้น นางก็มีเสน่ห์ในแบบของนางที่เย้ายวนให้บุรุษถวิลหาอยู่ไม่น้อย
" คนของหม่อมฉัน คงจำได้ดีเพคะ ว่าสามารถตามท่านหมอมู่ได้จากที่ใด "
จางซูหนี่ว์ กล่าวพลางส่งยิ้มไปให้บุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า เอ่ยถึงบ่าวรับใช้ที่จางฮุ่ยเฟิงใช้ให้ไปตามหมอมารักษานางเมื่อครั้งที่นางหมดสติ
เมื่อนางมององค์ชายห้าที่ระบายยิ้มอ่อนโยนมาให้ ก็รู้สึกได้ว่าบุรุษผู้นี้ช่างเป็นคนที่นุ่มนวล เรียบง่ายและไม่ถือตัว เหมือนสายน้ำอันเย็นฉ่ำ ผู้ใดอยู่ใกล้ก็ให้รู้สึกสดชื่นและสบายใจ ซึ่งก็คงจะรวมถึงตัวนางด้วยเช่นกัน...
สายตาละมุนละไม รอยยิ้มจริงใจ การพูดคุยของทั้งคู่ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ช่างดูสนิทสนมกันมากกว่าเขาอยู่มาก มู่หรงหย่งหมิงยืนมองภาพการสนทนาระหว่างจางซูหนี่ว์และมู่หรงหยางเฉิง
เหตุใดจึงรู้สึกเจ็บแปลบที่ใจได้ถึงเพียงนี้ นางมิเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยหรืออย่างไร
แล้วประโยคที่กล่าวเรื่องสมุนไพรนั่นอีกล่ะ...หึ
" ไม่ทราบว่าจวิ้นอ๋องเสด็จมาถึงที่จวนสกุลจาง ทรงมีสิ่งใดให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ "
เป็นจางฮูหยินที่กล่าวขึ้นในที่สุด ด้วยเห็นว่าบุตรสาวนั้นมิได้ใส่ใจในจวิ้นอ๋องมากเท่าที่ควร ทั้งที่ก็ทรงประทับยืนอยู่ตรงนี้มิไกลเลย
ความจริงตั้งแต่ที่กลับมาจากการทดแทนคุณจวิ้นอ๋องที่วัง แม้ว่านางจะถามไถ่ความเป็นไปในระหว่างเจ็ดวันที่บุตรสาวพำนักอยู่ที่นั่น แต่นางก็มักบ่ายเบี่ยงตลอด เสมือนไม่อยากเอ่ยถึง ยังอดคิดมิได้ว่าต้องมีสิ่งใดปิดบังอยู่เป็นแน่
จวบจนวันนี้ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่นางคิดนั้นถูกต้อง ระหว่างจวิ้นอ๋องกับบุตรสาวของนางต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นแน่นอน มิเช่นนั้นซูหนี่ว์คงมิวางเฉยใส่จวิ้นอ๋องเช่นนี้
" เปิ่นหวางเพียงต้องการมาเยี่ยมเยือนหนี่ว์เอ๋อร์ ด้วยทราบจากฮุ่ยหรานว่านางนั้นล้มป่วย ครั้งก่อนนางเองก็เคยดูแลเปิ่นหวาง ครั้งนี้เปิ่นหวางจึงอยากมาดูอาการของนางบ้าง แต่ดูเหมือนว่านางคงจะไม่เป็นสิ่งใดมาก และคงจะหายในเร็ววันกระมัง "
มู่หรงหย่งหมิง หันไปกล่าวกับจางฮูหยิน หากแต่ก็อดปรายสายตามามองทางสตรีที่เข้าใจยากผู้นั้นไม่ได้ ซึ่งบัดนี้นางก็ได้หันกลับมาสบสายตากับเขาพอดี
หนี่ว์เอ๋อร์ ไยเจ้าจึงเป็นสตรีที่เข้าใจยากนัก บางครั้งนางก็ฉลาด บางครั้งนางก็ไม่ยอมเข้าใจหรือรับรู้อะไรเลย ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดนางล้วนมองเขาในด้านร้ายอยู่เสมอ
ที่ผ่านมานั้นเริ่มแรกก็รู้ว่ากระทำผิดต่อนางเอาไว้จริง เขามิขอแก้ตัวสิ่งใดแม้สักน้อย
ทว่าบัดนี้อยากแก้ไขสิ่งที่ผ่านมา ไยนางจึงไม่เปิดใจมองเขาในแง่ดีเสียบ้าง
เพียงเขามิได้กล่าววาจาอ่อนหวาน นุ่มนวล ดั่งเช่น หยางเฉิง กระนั้นหรือ....
ต่อให้เพียรทำสิ่งใดให้ ในสายตาของนางเขาจึงเป็นเพียงคนเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ เท่านั้น....
หากถ้อยคำเหล่านี้ที่อยู่ภายในใจของเขา สามารถเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดผ่านทางสายตาได้ในตอนนี้ เขาก็อยากจะให้นางรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเขา และอยากถามนางเหลือเกินว่า...ต้องทำอย่างไรนางจึงจะหันกลับมามองเขาบ้าง
" ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงเพคะ "
หญิงสาวเอ่ยออกมาในที่สุด หลังจากที่เผลอไปสบสายตากับจวิ้นอ๋องเข้า ก็ให้รู้สึกสะดุดใจนักด้วยสายตาที่ใช้มองนางนั้น ราวกับว่ากำลังบอกกล่าวสิ่งใดต่อนาง
สายตาวูบไหวดั่งว่ากำลังตัดพ้ออะไรนางอยู่อย่างนั้นแหละ หากแต่ชั่วครู่ก็กลับไปนิ่งขรึมเช่นเดิม
นางไม่รู้ว่าควรจะมองเขาเช่นไรดี ก็อยากจะค้นหาความจริงภายในใจเขาอยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมาเคยมอบความจริงใจให้นางบ้างหรือไม่
หากจะว่าไปเรื่องราวระหว่างนางกับจวิ้นอ๋องนั้น คงเริ่มมาจากการที่เขาช่วยเหลือนาง นางคิดตอบแทนคุณ แต่เขากลับหลอกใช้ และคิดจะเอาชีวิตนางเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายในวังหลวง
ทว่าพอจะมีสิ่งใดให้นางเริ่มจะมองในแง่ดีอยู่บ้าง เขาก็มาล่วงเกินนางอีก ทั้งที่ทำไปนั้นใช่ว่าจะรักนาง เพราะเขารู้สึกกับนางเช่นไรตัวเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไป แล้วยังกล้ายกตำแหน่งจวิ้นหวางเฟยให้นางอย่างง่ายดาย ไร้ความหมาย ไร้ความรู้สึก ไร้คุณค่า นางไม่อยากได้
ทั้งที่ตั้งใจจะไม่พบกันอีก หากแต่คืนนั้นหลังจากเจอกันโดยบังเอิญที่หอบุปผาเริงรมย์ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ทว่าวันนี้กลับมีใบหน้าถมึงทึงอีก บางครั้งนางก็เดาอารมณ์ความรู้สึกเขาไม่ถูกนักหรอก
ในขณะเดียวกันมู่หรงหยางเฉิง ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่หญิงสาวข้างกาย กับพี่ชายต่างมารดาของเขานั้นใช้มองกัน ให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจมิได้...
ทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์เช่นใดกันแน่ มองผิวเผินในคราแรกนั้นออกจะดูห่างเหิน หากแต่เมื่อได้ลองสังเกตสายตานั้นเล่า มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในสายตาของทั้งคู่ ทั้งสองคนจะรับรู้ได้อย่างที่เขารู้สึกหรือไม่นั้น เขาก็ไม่แน่ใจนักหรอก
หากแต่สิ่งที่เขาแน่ใจนั่นคือ...เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้ ใช้สายตาเช่นนั้นมองผู้ใดเลยนอกจากเขา
" เอ่อ...นี่ก็ใกล้จะได้เวลามื้อกลางวันแล้ว อย่างไรทูลเชิญจวิ้นอ๋องและองค์ชายห้าเสวยกลางวันที่นี่ได้หรือไม่เพคะ "
จางฮูหยินเอ่ยแทรกขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่นางรู้สึกว่าช่างอึมครึมอย่างไรชอบกล
" เปิ่นหวางคงต้องขอตัว เพราะได้ทูลเสด็จแม่เอาไว้ว่าวันนี้จะกลับไปร่วมมื้อกลางวันด้วย เอาไว้ครั้งหน้าหากมีโอกาส เปิ่นหวางคงได้ลิ้มรสอาหารฝีมือการปรุงของฮูหยินจางนะ "
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยขึ้น ในใจนั้นนึกเสียดายอยู่มิน้อย หากแต่ก็รับปากพระมารดาเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จึงไม่อยากผิดคำพูด
" หากเป็นเช่นนั้น เอาไว้โอกาสหน้า หม่อมฉันคงได้ทูลเชิญองค์ชายห้าเสวยพระกระยาหารที่จวนสกุลจางอีกครานะเพคะ "
" แน่นอนว่า เปิ่นหวางคงมิปฏิเสธอีกเป็นครั้งที่สองแน่ "
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยกับจางฮูหยิน ก่อนที่จะหันไปกล่าวกับผู้เป็นพี่ชาย
" พี่รอง หม่อมฉันคงต้องขอทูลลาก่อน "
มู่หรงหย่งหมิงเพียงยิ้มและพยักหน้าให้เท่านั้น เป็นเชิงรับคำผู้เป็นน้องชาย
จางซูหนี่ว์กลับเข้ามาด้านใน หลังจากที่เดินออกไปส่งเสด็จองค์ชายห้าที่หน้าประตูใหญ่ด้านหน้าจวน นางพบเพียงจวิ้นอ๋องที่ทรงประทับอยู่ลำพังพระองค์เดียว
หันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นมีผู้ใด แปลกนักหายไปที่ใดกันหมด ทั้งมารดาของนาง พี่ใหญ่ที่ปกติตามติดดั่งเงาจวิ้นอ๋องก็หายเงียบ บ่าวรับใช้ที่ปกติต้องอยู่คอยรับใช้ก็ไม่มี เพ่ยเพ่ยที่ประคองนางเข้ามาเมื่อครู่ก็ถูกตามตัวให้เข้าไปช่วยที่ครัวกะทันหัน จึงเหลือเพียงนางที่เผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้เพียงลำพัง
" คุยเป็นเพื่อนเปิ่นหวางได้หรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิงทอดสายตามองสตรีตรงหน้า พลางกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงกว่าที่เคย
มิใช่คำสั่ง หากแต่เป็นคำขอร้อง
เขาก็อยากจะพูดคุยกับนางดีดีอย่างที่นางพูดคุยกับน้องชายของเขาบ้าง มิใช่พูดพลางทะเลาะ ประชดประชันกันดั่งเช่นที่ผ่านมา ก็รู้ตัวว่าคำพูดของเขาหลายครั้งมันอาจจะฟังดูห้วน และไม่ถูกใจนางสักเท่าไร
" เพคะ "
จางซูหนี่ว์ ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ไม่ไกลจากจวิ้นอ๋องนัก อย่างน้อยก็เป็นมารยาทของเจ้าบ้านล่ะนะ
บรรยากาศนั้นตกอยู่ในภวังค์ความเงียบไปชั่วครู่ หนึ่งคนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกล่าวสิ่งใดก่อนดี อีกหนึ่งก็รอคอยที่จะฟังว่าคนตรงหน้าจะกล่าวสิ่งใด หากเมื่อสบตากลับรู้สึกว่ามีคำพูดอยู่ในนั้นมากมายนัก
" เปิ่นหวาง...."
" หม่อมฉัน...."
ทว่าเมื่อเริ่มกล่าวสิ่งใด กลับเอ่ยออกมาพร้อมกันเสียอย่างนั้น ต่างคนต่างชะงัก ในที่สุดก็อดที่จะยิ้มออกมาด้วยความเก้อมิได้....
" เชิญจวิ้นอ๋องก่อนเถิดเพคะ "
" เจ้ากล่าวก่อนเถิด "
" หม่อมฉันเพียงจะถามว่าเสี่ยวไป๋สบายดีหรือไม่เพคะ "
นางกล่าวไปเช่นนั้นล่ะ...อาจเป็นคำถามที่ฟังดูไร้สาระที่สุดกระมัง แต่นางไม่รู้จะกล่าวอะไรกับคนตรงหน้าดี ถามว่าสบายดีไหม ก็เห็นอยู่ว่าเขาไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ถามว่าทานอะไรมาหรือยังนั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่...
มู่หรงหย่งหมิงชะงักไปเล็กน้อย นางไม่คิดจะถามอะไรเกี่ยวกับตัวเขาสักหน่อยหรือไร หรือเขาอาจจะคาดหวังมากจนเกินไป
" ก็เห็นนางยังกินได้ นอนหลับ ไม่เจ็บป่วยสิ่งใด "
เขาเองก็ตอบนางไปอย่างนั้น นึกเคืองสตรีตรงหน้าอยู่เหมือนกัน นางนั้นหรือช่างเห็นสาวใช้ดีกว่าเขาได้ คิดพลางน้อยใจเล็กน้อย
" แล้วเมื่อสักครู่ จวิ้นอ๋องจะทรงกล่าวสิ่งใดหรือเพคะ "
หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปบ้าง
" เจ้าคิดว่าหยางเฉิงเป็นอย่างไรบ้าง "
ก็ว่าจะไม่กล่าวสิ่งใดที่ทำให้เสียบรรยากาศที่เป็นอยู่ หากแต่ปากก็ไวเหลือเกิน เขาเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้
" หมายถึงพระอุปนิสัยหรือเพคะ "
" ก็ทำนองนั้น "
" ก็ทรงอ่อนโยน พระทัยเย็น สุภาพ วางพระองค์เรียบง่ายเข้าถึงราษฎร ประมาณนี้เพคะ "
นางกล่าวออกไปอย่างที่ใจคิด
" แล้วชอบหรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิง เห็นนางกล่าวถึงน้องชายทั้งมีรอยยิ้มยามเอ่ยถึง ก็ให้นึกขัดหูขัดตาอย่างไรชอบกล
" เป็นใครก็ย่อมต้องชื่นชอบ และชื่นชมอยู่แล้วมิใช่หรือเพคะ "
" แค่ชื่นชอบ และชื่นชม เพียงเท่านั้นได้หรือไม่ "
" จวิ้นอ๋องจะทรงกล่าวสิ่งใดกันแน่เพคะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยถามออกไปตรงๆ นางนึกรู้ว่าคนตรงหน้าหมายความถึงสิ่งใด แต่ก็อยากให้เขากล่าวออกมามากกว่ามาพูดอ้อมค้อมเช่นนี้
ความหมายที่เขากล่าว ก็คือ ไม่ให้นางคิดอะไรกับองค์ชายห้า มากไปกว่าการชื่นชอบและชื่นชม ทั้งที่นางก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมากไปเกินกว่านี้อยู่แล้ว แต่สมมติถ้านางจะคิดจริงๆมันก็ถือเป็นสิทธิ์ของนางมิใช่หรือ
" เช่นที่กล่าวนั่นล่ะ "
" แล้วถ้าหม่อมฉันจะคิดล่ะ "
" เป็นเปิ่นหวางแทนได้หรือไม่ "
กล่าวออกไปแล้วก็ให้เงียบทั้งสองฝ่าย ดูสตรีตรงหน้าจะอึ้งไปหลังจากที่เขาเอ่ยออกไปเช่นนั้น หากแต่เมื่อตัดสินใจพูดแล้ว ถึงขั้นนี้ก็อยากเอ่ยให้นางรับรู้ความในใจของเขาบ้าง
" เป็นเปิ่นหวางได้หรือไม่ ที่เจ้าจะคิดและมีความรู้สึกมากกว่าชื่นชอบและชื่นชม "
" ทรงกล่าวสิ่งใดรู้พระองค์หรือไม่เพคะ "
" รู้สิ เปิ่นหวางรู้ตัวดีเชียวล่ะ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเคยถามเปิ่นหวางรู้สึกเช่นไรกับเจ้ากันแน่ วันนี้เปิ่นหวางมีคำตอบให้เจ้าแล้ว "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำในทุกคำพูดที่เอ่ย สีหน้าจริงจังไม่ต่างกัน
" เปิ่นหวางคิดว่ามีใจให้เจ้าเข้าแล้ว "
จางซูหนี่ว์ สบตากับบุรุษตรงหน้าอย่างต้องการค้นหาความจริงในแววตาคู่นั้น
เชื่อได้หรือไม่... ไม่ได้คิดจะหลอกใช้อะไรนางอีกหรอกนะ แต่ว่าที่ฉายชัดออกมาในแววตาคมคู่นั้นกลับเห็นถึงความจริงใจ แลดูจริงจังจนนางเดาความรู้สึกเขาไม่ได้
มู่หรงหย่งหมิงเห็นสายตาของสตรีตรงหน้า ก็รู้ดีว่านางคงไม่เชื่อคำพูดเขาเสียทีเดียว ก็เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เขาทำกับนางนั้นก็ไม่ได้น้อยเลย เขาลุกขึ้นเอื้อมมือไปคว้าเอาดอกไม้ที่จัดเอาไว้ในแจกันบริเวณนั้น พลางยื่นมันให้สตรีตรงหน้า ที่ทำไปนั้นก็ใช่ว่าว่าจะไม่รู้สึกเขินหรอกนะ....
" เปิ่นหวางจะไม่พูดว่ารักในตอนนี้ เพราะรู้ดีว่าเจ้าคงไม่เชื่อ แต่เปิ่นหวางจะทำให้เจ้ารักเปิ่นหวางให้ได้ และนี่ก็คือคำตอบของเปิ่นหวาง "
จางซูหนี่ว์ออกจะเหวอไปไม่น้อย จะจีบนางแล้วว่างั้น!!
แต่ก็เอาเถิด..นางจะคอยดูว่าเขาจะทำให้นางรักได้อย่างไรกัน
ว่าแต่จะเกี้ยวสตรีเป็นถึงจวิ้นอ๋องไม่ลงทุนหน่อยหรือ ดอกไม้นี่ก็ของในบ้านนางแท้ๆ หากแต่ก็อดที่จะอมยิ้มให้กับความซื่อบื้อของคนตรงหน้าไม่ได้ ความจริงพูดดีดีก็ได้ ที่ผ่านมาไม่เห็นจะต้องทำเสียงเข้ม หน้าบึ้ง หน้าโหดตลอดเวลาเลย...
เถียนเถียนเองค่ะ
ความรักมันเป็นของแปลกว่ามั้ย มันไม่สามารถกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ บางคนรักทั้งที่ไม่รู้ตัว บางคนรักทั้งที่คนๆนั้นไม่เคยทำดีกับเราเลย บางคนทำดีกับเราแต่เราไม่รักสะอย่างงั้น บางคนคิดว่าความรู้สึกดีด้วยมันคือความรัก แท้จริงอาจจะไม่ใช่ก็ได้.....#ไรต์พูดอะไรเนี่ย มันก็จะงงๆ วนเวียนๆ หน่อยๆ แบบนี้จะเข้าใจกันมั้ย 555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จวิ้นอ๋องน่ารักกกก
เป็นห่วงสุขภาพหนี่ว์เอ๋อร์จัง อยากให้หายจากโรคหัวใจมากๆ
ตอนแรกยังนึกหน้าตาหล่อแบบร้ายกาจเป็นแบบไหน
ตอนนี้เคลียร์ละ
หรือเราเข้าใจอะไรผิดไป
หรือเราเข้าใจอะไรผิดไป
ป.ล.ขอโทษด้วยค่ะอ่านมารวดเดียวเพิ่งจะมาเม้น