ตอนที่ 26 : กระต่ายน้อยสื่อรัก (รีไรต์)
หญิงสาวทอดสายตามองสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า ช่วงเวลาผ่านมาร่วมสามเดือน สิ่งที่นางทุ่มเทมาตลอดนั้นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจนเกือบสมบูรณ์แล้ว อีกไม่นานหอเริงรมย์แห่งนี้คงได้เปิดทำการแสดงให้ผู้คนนั้นได้ยลกันเสียที นางแหงนมองป้ายชื่อสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนางเป็นผู้สั่งการให้บ่าวรับใช้เพิ่งนำขึ้นไปติดเอาไว้เมื่อครู่ หอซือซิง
ซือซิง ดวงดาวแห่งความสุข ชื่อนี้ได้มาจากอาชีพนักแสดงของนางนั่นเอง อาชีพที่หลายคนเปรียบว่าเป็นเสมือนดวงดาวที่ประดับบนท้องฟ้า นางก็เคยเป็นดวงดาวดวงหนึ่งที่ส่องแสงทอประกายให้ผู้คนได้ชื่นชมอย่างมีความสุขผ่านการแสดงของนาง ถึงตอนนี้นางก็อยากจะให้สถานที่แห่งนี้เป็นดั่งดวงดาวที่ส่องแสงสร้างรอยยิ้มและความสุขให้ผู้คนที่นี่เช่นกัน
" หอซือซิง เจ้าเข้าใจตั้งนามสถานที่นะ หนี่ว์เอ๋อร์ "
เสียงของบุรุษดังขึ้นจากทางด้านหลังของนาง แม้ไม่หันกลับไปมองนางก็รับรู้ได้ในทันที ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของเสียงห้าวนี้ บุรุษที่ระยะหลังมานี้นำพาตนเองเข้ามาวนเวียนในชีวิตของนางเข้าไปทุกที เขาทำดั่งที่ได้กล่าวเอาไว้กับนางในวันนั้น ' เปิ่นหวางจะทำให้เจ้ารักเปิ่นหวางให้ได้ ' จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาสามเดือน นางพบพานเขาอยู่บ่อยครั้ง
หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน สามวันพบหน้า สี่วันห่างไกล ทว่าก็ยังหมั่นเพียรส่งของกำนัลมาให้นางเอาไว้ดูต่างหน้าอยู่เรื่อย
พี่ใหญ่ก็ช่างกระไรเป็นไปกับจวิ้นอ๋องเสียด้วย เคยเห็นแต่พี่ชายนั้นหวงน้องสาว แต่นี่กลับเปิดทางให้บุรุษเข้าใกล้นางทุกครั้งเมื่อมีโอกาสเสียได้ ซ้ำยังรับฝากสิ่งของจากผู้เป็นนายนำมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง กระทำตนไม่ต่างจากพ่อสื่อก็มิปาน
ดอกไม้เอย ปิ่นปักผม กำไลหยก เครื่องประดับลวดลายแปลกตา ภาพวาดจากฝีมือจิตรกรเลืองชื่อ และอื่นๆอีกหลายอย่างที่สรรหามาให้นางจากทุกที่ที่เขาผ่านไปพบเข้า หลายคราที่นางนั้นบอกเขาไปว่าไม่ได้เป็นผู้ที่เห็นแก่สิ่งของ สิ่งเหล่านี้นางมิได้ต้องการ แต่ก็เหมือนดั่งว่ากล่าววาจาผ่านสายลมที่ว่างเปล่า
' สิ่งเหล่านี้จวิ้นอ๋องหาได้ใช้มันเพื่อซื้อใจเจ้าหรอกนะหนี่ว์เอ๋อร์ หากแต่ไปที่ใด...เมื่อเห็นสิ่งของแปลกตาก็ทรงคิดถึงแต่เจ้าต่างหาก คิดว่าเจ้าจะชอบมันหรือไม่...บุรุษหนึ่งที่ไม่ว่าจะไปที่ใด ทำสิ่งใด มองรอบกายก็นึกถึงแต่สตรีนางหนึ่งตลอดเวลา เจ้าว่ามันคือเหตุผลเพียงพอที่ข้าจะเปิดทางให้บุรุษผู้นั้นเข้าใกล้สตรี ผู้เป็นน้องสาวอันเป็นที่รักของข้าหรือไม่ '
พี่ใหญ่นั้นกล่าวกับนางในวันหนึ่ง หลังจากที่นางฝากผู้เป็นพี่ชายนำความไปบอกให้จวิ้นอ๋องหยุดส่งของมีค่าเหล่านั้นมาให้นางเสียที มิใช่ว่านางรำคาญหรือไม่ชอบแต่นางเกรงใจเสียมากกว่า
ซึ่งนอกจากไม่รับฝากสิ่งของกลับไปให้ผู้เป็นนายแล้ว ยังกล่าวถ้อยคำให้นางได้คิดตามอีกต่างหาก และประโยคนั้นของจางฮุ่ยหรานก็ติดอยู่ภายในความคิดนางตลอดเวลา
หวนคิดดูตามที่เขาพูด หรือนางจะปิดกั้นตนเองจนเกินไป ทั้งควรเปิดใจมองบุรุษสูงศักดิ์ผู้นั้นในอีกหลายด้าน มากกว่าที่นางเคยเห็นว่าเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ
" หม่อมฉันอยากให้มันเป็นที่ที่สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับทุกคนเพคะ "
นางหันกลับไปยอบกายลงถวายบังคม พลางเอ่ยตอบสิ่งที่จวิ้นอ๋องได้กล่าวเมื่อสักครู่ หากแต่เมื่อมองไปยังสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือของจวิ้นอ๋องก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ลูกกระต่ายตัวน้อยสีขาวสะอาดช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ดวงตากลมของมันมองมาทางนางตาแป๋ว เท่านั้นล่ะนางก็เผลอเดินเข้าไปใกล้มันอย่างลืมตัว
" ว่าอย่างไร เจ้าตัวเล็ก น่ารักเชียว ดูสิมองข้าตาแป๋วเลย "
นางเอ่ย พลางเอื้อมมือไปลูบบนขนนุ่มๆสีขาวราวหิมะของมันอย่างอดใจไม่ได้
" มันรู้ความกระมัง จึงอยากฝากตัวกับผู้เป็นเจ้าของ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยพลางยิ้มอย่างเอ็นดู ทั้งเจ้าตัวที่อยู่ในอ้อมแขน และนางที่เคลื่อนกายเข้ามาอยู่ใกล้เขาจนแทบประชิดตัวในตอนนี้
ทว่าว่านางมิได้สนใจเขาแต่อย่างใด กลับสนใจเจ้ากระต่ายน้อยตัวนี้ต่างหาก นี่ก็คงเผลอเข้ามาใกล้เขาอย่างลืมตัวเป็นแน่ แต่นั่นมันกลับทำให้เขารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
" หมายความเช่นไรเพคะ อุ้ย..."
นางเงยหน้าขึ้นมาจากเจ้ากระต่ายน้อยทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อสักครู่ แต่กลับพบว่าจวิ้นอ๋องนั้นก้มหน้าลงมาทางนางอยู่ตั้งแต่แรก จึงทำให้ในตอนนี้ใบหน้าของนางและจวิ้นอ๋องนั้นห่างกันแค่คืบ ยามที่นางเงยหน้าขึ้นมาแก้มนางจึงเฉียดปลายจมูกของเขาไปเล็กน้อย ด้วยความอึ้งและตกใจนางจึงรีบขยับตัวถอยห่างออกมาในทันที
" ขอประทานอภัยที่เสียมารยาทเพคะ "
นางกล่าวออกไปด้วยรู้ตัวว่านางนั้นผิด ที่เข้าไปใกล้เขาด้วยความประมาทเลินเล่อ หากแต่ใบหน้านางตอนนี้ก็อดที่จะร้อนผ่าวไม่ได้ ช่างน่าขายหน้านัก
" นุ่มดีนะ "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าว พลางมองใบหน้านวลของจางซูหนี่ว์ที่แดงระเรื่อขึ้นมา ก็อดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้
" หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย "
หญิงสาวหน้าม้านขึ้น ในใจนึกขัดเคืองไยเขาจึงกล่าวออกมาได้หน้าตาเฉย รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเช่นนั้นทำให้นางนึกหมั่นไส้คนตรงหน้าเหลือเกิน
" เปิ่นหวางหมายถึงเจ้ากระต่ายตัวนี้ต่างหาก ขนมันนุ่มดีนะ เจ้าว่าไหม "
" อะ อะไรนะเพคะ "
หญิงสาววางหน้าไม่ถูก ก็สีหน้ากรุ้มกริ่มแบบนี้นางมองอย่างไรก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หาใช่เรื่องเจ้าตัวน้อยในมือเขาสักนิด
" เปิ่นหวางหมายถึงกระต่าย หรือเจ้าหมายถึงสิ่งใดหนี่ว์เอ๋อร์ "
สายตาของเขาจับจ้องใบหน้าของสตรีตรงหน้าที่มีทีท่าอิหลักอิเหลื่อ ช่างน่าเอ็นดู...
หมั่นไส้.....นางรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ กับรอยยิ้มของบุรุษสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางในขณะนี้
" พระองค์ทรงคิดอย่างไร หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ "
นางเอ่ยตอบออกไปแบบส่งๆ
" ดีจริง เช่นนั้นเจ้ากับเปิ่นหวางก็คงใจตรงกันกระมัง "
" อะไรนะ เพคะ "
" ใจตรงกันอย่างไรล่ะ เรื่องที่ว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ขนนุ่มจริงๆ "
มู่หรงหย่งหมิง จำต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ เมื่อเห็นสีหน้าเหวอและเตรียมจะโต้พาทีกับเขาอยู่ทุกขณะในตอนนี้ จึงต้องเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของนางเสียก่อน
" เปิ่นหวางได้มันมาจากตลาด เมื่อครู่มีชาวบ้านนำมันมาขาย ได้ยินว่าจับมันได้ที่ชายป่าคงพลัดหลงกับแม่ของมันกระมัง ตัวเล็กอายุคงน้อยนักสงสารจึงซื้อมันมา แต่เปิ่นหวางมิค่อยมีเวลาดูแล จึงคิดว่าจะให้เจ้าช่วยเลี้ยงดูมันแทนได้หรือไม่ "
" หม่อมฉันหรือเพคะ "
" แต่ถ้าเจ้าไม่สะดวกก็มิเป็นไร เดี๋ยวเปิ่นหวางจะนำมันไปปล่อยในป่า ให้มันไปตามหาแม่ของมันเองน่าจะดี ลางทีมันอาจจะตามหาลูกของมันอยู่ก็ได้ แต่ก็น่ากลัวจะเจอสัตว์อื่นล่าไปเป็นอาหารนี่สิ หรือไม่ก็ถูกชาวบ้านจับมาอีก "
มู่หรงหย่งหมิง แสร้งทำเป็นเกรงใจและคิดหาวิธีอื่นให้เจ้าตัวน้อยสีขาวนี่ เห็นสีหน้าลังเลและเหลือบมองกระต่ายในมือเขาตาละห้อยของหญิงสาวตรงหน้า ก็อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้
สตรีกับสัตว์เลี้ยงน่ารักมักเข้ากันได้ดีเป็นส่วนใหญ่ พระมารดาของเขาได้เคยกล่าวไว้
" หม่อมฉันจะเลี้ยงมันเองเพคะ ปล่อยมันไปจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ไม่รู้ "
จางซูหนี่ว์นั้นอดที่จะคิดภาพตามสิ่งที่จวิ้นอ๋องกล่าวไม่ได้ ดูสิ...ตัวเล็กนิดเดียวเอง เจอสัตว์ตัวใหญ่กว่าขย้ำทีเดียวก็คงไม่เหลือเป็นแน่ แล้วดูเถิดน่ารักเพียงนี้ ใครจะใจดำปล่อยเจ้าไปเผชิญชะตากรรมเพียงลำพังได้เล่า เจ้ากระต่ายน้อยเอ๋ย
มู่หรงหย่งหมิง ยื่นเจ้าตัวเล็กในมือเขาส่งให้นางเอาไปอุ้ม ก็เห็นว่านางดูจะสนใจสิ่งมีชีวิตในอ้อมแขนเล็กของนางเป็นอย่างมาก เห็นนางยิ้มแย้มเช่นนี้ เขาก็มีความสุขไม่น้อยอดที่จะมองรอยยิ้มสดใสของนาง และประทับมันเอาไว้ภายในหัวใจของเขามิได้
" โถ...อยู่กับข้านะ ซือซือ ข้าจะเป็นแม่ให้เจ้าเอง "
นางใช้มือลูบไปตามลำตัวของมันเป็นการสร้างความคุ้นเคย
" เช่นนั้นเปิ่นหวางก็คงเป็นพ่อของเจ้านะ ซือซือ "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยพลางตีเนียนเป็นบิดาของเจ้ากระต่ายน้อยสีขาว ที่มีนามหมาดๆว่า ซือซือ
" หม่อมฉันเป็นทั้งแม่ และเป็นทั้งพ่อให้ซือซือได้เพคะ "
" เจ้านี่ก็ใจแคบ ถามซือซือหรือยังว่าอยากได้เจ้าเป็นพ่อหรือไม่ หากเจ้าเป็นแม่ก็เป็นไป แต่เปิ่นหวางจะเป็นพ่อให้ซือซือเอง เปิ่นหวางเป็นผู้ช่วยชีวิตเปรียบดั่งบิดา ส่วนเจ้าเป็นผู้ดูแลอภิบาลเปรียบดั่งมารดา ก็ถูกต้องสมเหตุผลดีแล้ว อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นักเลย กับสัตว์ก็ไม่เว้นนะเจ้า อยากให้ลูกมีปัญหาหรืออย่างไร ที่บิดามารดาทะเลาะกันน่ะ "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยอย่างรวบรัดในแบบของเขา ซึ่งสตรีตรงหน้านั้นได้แต่ยืนอึ้งก็ไม่รู้ว่าโกรธอยู่ หรือคิดหาถ้อยคำมาโต้แย้งเขาไม่ทันกันแน่ หากแต่ถ้านางเป็นมารดา เขาย่อมเป็นบิดา เจ้ากระต่ายตัวนี้แน่นอน
" ซือซือ เป็นกระต่ายเพคะ มิใช่มนุษย์...คงไม่คิดสิ่งใดเป็นเรื่องราวมากมายและลึกซึ้งได้ เช่นที่พระองค์ทรงกล่าวมาหรอกเพคะ "
นางยืนอึ้งกับคำพูดของคนตรงหน้าไปชั่วครู่ อะไรทำให้เขากล่าวได้เป็นเรื่องราวเพียงนั้น เขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่ นี่ลูกกระต่าย มิใช่ลูกคน แล้วมันจะมีปัญหาได้อย่างไร คิดแล้วก็อดที่จะโต้แย้งบุรุษตรงหน้าออกไปไม่ได้
" เจ้ากล่าวเช่นนี้ มิเคยมีสัตว์เลี้ยงใช่หรือไม่ "
" ไม่เคยเพคะ"
" มิน่าล่ะ "
" มิน่าอันใดเพคะ..."
นางชอบสัตว์เลี้ยงน่ารักน่าเอ็นดูก็จริง หากแต่ไม่เคยคิดนำมาเลี้ยงหรือดูแลเป็นกิจจะลักษณะแต่อย่างใด ด้วยอาชีพของนางในกาลก่อน มิได้มีเวลาว่างที่จะคอยดูแลพวกมันถึงเพียงนั้น หากแต่นางก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอันใดกับที่เคยเลี้ยง หรือไม่เคยเลี้ยงสัตว์เหล่านี้มาก่อนอยู่ดี
" มิน่าล่ะ...ที่เจ้าคิดจะเลี้ยง แต่ไม่คิดจะใส่ใจความรู้สึกของมันอย่างไรล่ะ "
" ดูพระองค์จะทรงทราบเรื่องนี้ดีเหลือเกิน เคยมีสัตว์เลี้ยงมาก่อนหรือเพคะ "
นางเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วดั่งสงสัย หากแต่ตั้งใจรวนอีกฝ่ายมากกว่า
" แน่นอน เปิ่นหวางย่อมเคยเลี้ยง "
มู่หรงหย่งหมิง กล่าวอย่างมั่นใจ
" สุนัขจิ้งจอก เหยี่ยว เสือ จระเข้ หรือว่าอะไรเพคะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยออกไป แต่ละสิ่งที่กล่าวนั้นล้วนอยู่ในภาพมโนของนางทั้งสิ้น ด้วยบุคลิกของจวิ้นอ๋องตั้งแต่คราแรกนั้น เหมาะสมกับการเลี้ยงสัตว์พวกนี้ยิ่งนัก ดูโหด เข้ากับภาพลักษณ์ของจวิ้นอ๋องโจรป่าผู้นี้ทีเดียว
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย คนดีดีที่ไหนกันเลี้ยงจระเข้ แต่ละอย่างที่นางคิดกับเขานั้นมิเคยมีดีเลยหรืออย่างไร
" เปิ่นหวางเลี้ยงแมว "
" แมว?? "
จวิ้นอ๋องกับแมว คิดดูอย่างไรก็ไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไรเลย คิดภาพคนตัวโตหน้าโหดๆนั้นตกเป็นทาสแมว ก็นึกขำอยู่เหมือนกัน มิใช่อะไรหรอก...แต่บุคลิกเขามันไม่ใช่ในแบบที่นางคิดก่อนหน้าเลยแม้เพียงนิด
" ใช่ แมว...หากแต่ก็นานหลายปีมาแล้ว เมื่อครั้งเปิ่นหวางยังเยาว์วัยเคยเลี้ยงแมวอยู่หนึ่งตัว สีขาวสะอาดเหมือนกับซือซือนี่ล่ะ มันน่ารักขี้อ้อนดี ทั้งยังชอบตามเปิ่นหวางไปเกือบทุกหนแห่ง แต่เพราะเปิ่นหวางเอาใจใส่มันไม่ดีพอ วันหนึ่งมันก็หายไปจากตำหนัก พบอีกทีมันก็ถูกคนใจอำมหิตวางยาพิษจนตาย ถึงตอนนี้ยังมิรู้เลยว่าใครเป็นผู้กระทำ "
มู่หรงหย่งหมิง คิดย้อนไปถึงสัตว์เลี้ยงตัวแรกของเขา เป็นแมวหายากสายพันธ์หนึ่งมาจากต่างเมือง ที่คณะทูตนำมาถวายให้ฮ่องเต้พร้อมกับเครื่องบรรณาการอื่นๆ ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ และพระบิดาได้พระราชทานมันให้แก่เขาเป็นผู้เลี้ยงดูแมวตัวนั้น
เรื่องการได้รับความใส่พระทัยและเป็นที่โปรดปรานจากผู้เป็นพระบิดา สำหรับเขาในวัยเยาว์นั้นเห็นเป็นเรื่องปกติ มิได้คิดอ่านสิ่งใดลึกซึ้งเลยด้วยว่าพระมารดานั้นก็เป็นที่รักและโปรดปรานของพระบิดาอยู่มาก เขาจึงกลายเป็นพระโอรสที่ทรงโปรดปรานตามลำดับ
หากแต่เมื่อเจริญวัยยิ่งขึ้นจึงรับรู้ได้ว่ามันเปรียบได้กับดาบสองคม พระบิดารักใคร่โปรดปรานย่อมเป็นเรื่องดี แต่อีกด้านการที่ได้รับสิ่งต่างๆมากกว่าพี่น้องต่างมารดาคนอื่นๆ ใช่ว่าจะดีนัก
ความอิจฉาริษยาเกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้ใดบ้างใครจะรู้ ทั้งยังกลายเป็นที่จับตามองจากขุนนาง และนำไปเปรียบเทียบกับองค์ไท่จื่อโดยปริยาย ผู้ใดจะรู้ว่าหนทางการใช้ชีวิตในวังหลวงนั้น มิได้งดงามดั่งเช่นที่มองจากภายนอกเลยแม้สักนิด
แผ่นดินมักมองว่าท้องฟ้านั้นสูงส่งจนสุดเอื้อม
หากแต่มันจะรับรู้หรือไม่ว่า..บนท้องฟ้านั้นอ้างว้างเพียงใด
" เอ่อ...มันเป็นเรื่องน่าเศร้าเพคะ ใครกันช่างจิตใจดำมืด อำมหิตฆ่าได้กระทั่งแมวตัวเล็กๆเพียงนั้น แต่ว่ามันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ถ้าเจ้าแมวตัวนั้นรับรู้ว่าพระองค์ทรงรักและเอ็นดู ทั้งยังคิดถึงมันอยู่มิได้ลืมเลือน มันคงดีใจมากเพคะ เอาอย่างนี้..หม่อมฉันยินยอมให้พระองค์เป็นบิดาของซือซือก็ได้เพคะ ถือเสียว่ามันเป็นตัวแทนของเจ้าแมวตัวนั้นดีหรือไม่ "
จางซูหนี่ว์เมื่อได้รับฟังชะตากรรมของเจ้าแมวตัวนั้นของคนตรงหน้า ก็ให้นึกสงสารยิ่งนัก นึกรู้ว่าคงเป็นฝีมือของใครสักคนหรือหลายคน ที่มีความอิจฉาริษยาอยู่ในหัวใจเป็นผู้กระทำ แต่การที่นำความรู้สึกเกลียดชังจวิ้นอ๋องไปลงที่สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งช่างเป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้จริงๆ ชีวิตใครใครก็รัก ไม่ว่าคนหรือสัตว์
และจากสีหน้าที่ขรึมลง แววตาเจือแววเศร้าเพียงนิดของบุรุษตรงหน้า เป็นภาพที่นางไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจากคนคนนี้ ก็ให้รู้สึกผิดนักที่นางไปยียวนชวนให้เขาหวนคิดถึงเรื่องราวน่าเศร้านี้ เขาก็คงจะรักสัตว์เลี้ยงตัวนี้อยู่มากทีเดียว
ทั้งกระต่ายน้อยซือซือนี่ก็น่ารักน่าเอ็นดู และมีสีขาวสะอาดคล้ายเจ้าแมวตัวนั้น คงทำให้เขาคิดถึงแมวน้อยที่ตายไปแล้วก็ได้ เอาเป็นว่านางยอมให้เขาเป็นบิดาของมันก็ได้ ไหนๆอย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ช่วยชีวิตมันมาแต่แรกแล้วนี่นา
" เจ้ายอมให้เปิ่นหวางเป็นบิดาของลูกเจ้าแล้วหรือหนี่ว์เอ๋อร์ "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยกลับทันทีที่ได้ฟังนางกล่าวจนจบประโยค ซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งขรึม
" เพคะ "
" เปิ่นหวางยินดียิ่งนัก "
รอยยิ้มกว้างอย่างยินดีของบุรุษตรงหน้า ยังไม่เท่าแววตาเจ้าเล่ห์ที่ฉายออกให้นางได้เห็น ทำให้หญิงสาวฉุกคิดว่าเมื่อสักครู่นางได้กล่าวสิ่งใดออกไป
และเมื่อนึกถึงประโยคก่อนหน้าของเขา ‘เจ้ายอมให้เปิ่นหวางเป็นบิดาของลูกเจ้าแล้วหรือ’ ก็ให้นึกเจ็บใจนี่นางหลวมตัว หลงไปกับความเจ้าเล่ห์เพทุบายของคนตรงหน้าอีกแล้วหรือนี่
" หม่อมฉันหมายถึง บิดาของเจ้ากระต่ายตัวนี้ต่างหากเพคะ "
" เปิ่นหวางก็หมายถึงกระต่ายน้อย ลูกของเราตัวนี้อย่างไรล่ะ..เจ้านี่ชอบคิดสิ่งใดซับซ้อนอยู่เรื่อยนะ "
หญิงสาวไม่รู้จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบกับความหน้ามึนของคนตรงหน้าดี ช่างกล่าวได้หน้าตายยิ่งนัก บิดา มารดา ลูกของเรากระนั้นหรือ...
ทว่าเพราะเหตุใดก็ไม่รู้ได้ลึกๆนางก็อดจะขำกับวิธีเกี้ยวนางของคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อย คิดๆดูก็เป็นสีสันอย่างหนึ่งในชีวิตของนาง ณ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ไม่ได้น่าเบื่อมากนัก
" ว่าแต่เรื่องหอซือซิงนี่อีกไม่นานก็คงได้เปิดทำการเสียทีสินะ เตรียมการไปถึงไหนแล้วล่ะ "
มู่หรงหย่งหมิง เปลี่ยนไปกล่าวเรื่องสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า เมื่อเห็นว่าได้หยอกเย้านางจนเป็นที่พอใจแล้ว ด้วยสตรีตรงหน้านั้นเริ่มมองค้อนเขาอยู่เป็นระยะ อันเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจได้มีการปะทะคารมกันเป็นแน่หากเขาไม่หยุดกล่าววาจา อันเป็นที่ไม่ถูกใจนาง
" ภายในเดือนหน้าคาดว่าการตกแต่งด้านในจะแล้วเสร็จ ก็คงเริ่มเปิดทำการได้เลยเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันก็ให้คนไปป่าวประกาศแจ้งวันเปิดทำการแสดงของหอซือซิงให้ผู้คนในเมืองนี้ได้รับรู้แล้ว วันแรกจะเปิดให้ผู้คนเข้าชมโดยไม่คิดเงินเพคะ เรื่องนักแสดงนางรำต่างๆ แต่เดิมพวกนางก็มีพื้นฐานมาบ้าง หม่อมฉันเพียงนำพวกนางมาฝึกเพิ่มเติมให้ฝีมือในศาสตร์ร่ายรำ ขับร้อง และบรรเลงเครื่องดนตรีของพวกนางนั้นดียิ่งขึ้นไปอีก "
เมื่อกล่าวในสิ่งที่รัก ที่ชอบ และถนัดนางก็สามารถกล่าวได้อย่างลื่นไหล และกล่าวไปได้เรื่อยๆ มีความสุขที่ได้เอ่ยถึงในสิ่งที่นางได้สร้างมันขึ้นมาจนใกล้จะเป็นรูปเป็นร่างนี้ ถือเป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จ อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ทิ้งความสามารถที่มีอยู่ไปอย่างเปล่าประโยชน์ สามารถนำมันมาต่อยอดเพื่อดำรงชีวิตอยู่ในยุคนี้ได้
" เจ้าฝึกสอนพวกนางด้วยตนเองทั้งหมดเลยเชียวหรือ "
" ก็มีบ้างเพคะ...แต่หม่อมฉันก็ได้ว่าจ้างผู้มีความชำนาญในด้านนี้มาฝึกสอน ทรงจำวันที่พบหม่อมฉันที่หอบุปผาเริงรมย์ได้หรือไม่เพคะ "
" จำได้สิ...คุณชายซูจากต่างเมือง เกี้ยวแม่นางในหอคณิกาเสียอายม้วน ไยเปิ่นหวางจะจำมิได้ "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยพลางล้อเลียนนางอย่างนึกขำ จากที่เคยพบนางวางท่าเรียบร้อยทว่าใบหน้าเชิดเสมอมา วันนั้นได้เห็นแววตากรุ้มกริ่มเลียนแบบท่าทางบุรุษเจ้าสำราญก็ให้นึกขำนางมิน้อย สีหน้าเจ้าชู้นัยน์ตาแพรวพราว นางได้เปิดหูเปิดตาเขามากทีเดียว อีกด้านของนางก็คงแสบสันไม่น้อย
" กระทำตัวให้พริ้วไหวดั่งสายน้ำ มิทวนกระแส จึงจะนับว่าอยู่เป็นเพคะ...แต่นั่นมิใช่ประเด็น สิ่งที่หม่อมฉันจะกล่าวก็คือ หม่อมฉันได้ซื้อตัวนางในหอคณิกาที่มีความสามารถมาสองสามคน เพื่อที่จะให้มาอยู่ที่หอซือซิง คอยฝึกสอนศาสตร์ร่ายรำต่างๆให้คนของหม่อมฉันเพิ่มเติม มาอยู่ที่นี่อยู่ดีกินดี มีเบี้ยหวัด มีอิสระ มิต้องขายเรือนร่างให้บุรุษได้เชยชม ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ แม้จะต้องจ่ายแพงหน่อยก็นับว่าคุ้ม คิดเสียว่าช่วยพวกนาง ที่บางคนก็ถูกครอบครัวนำมาขายตั้งแต่ยังเล็กนักด้วยความที่ฐานะยากจน "
" เป็นความคิดที่ดี ถือว่าเจ้าได้สร้างบุญกุศลในการช่วยเหลือคนไปด้วย "
" หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้น ความจริงหม่อมฉันอยากได้แม่นางฉางเยว่มาอยู่ที่นี่มาก นางเป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านนี้สูงนัก แต่ให้ราคาเท่าใดนางก็มิยอมมา ทั้งให้พี่รองไปเกลี้ยกล่อมก็ไม่เป็นผล ช่างน่าเสียดายจริงๆ "
หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย หากได้แม่นางฉางเยว่มาอยู่ที่นี่คงวางในให้ช่วยดูเรื่องการแสดง และผ่อนแรงนางไปได้มากโข
ต่อให้เจ้าทุ่มซื้อตัวนางด้วยราคาสูงลิบลิ่วเพียงใด ก็ซื้อนางไม่ได้หรอกหนี่ว์เอ๋อร์ มู่หรงหย่งหมิงคิดอยู่ภายในใจ มิได้เอ่ยออกมาให้สตรีตรงหน้าได้รับรู้ความคิดนี้ของเขา พลางเอ่ยถึงเรื่องอื่นเสีย...
" การแสดงชุดแรกนั้นสำคัญ มันจะเรียกความสนใจจากลูกค้าได้มาก เพราะหอซือซิงนี้ใหญ่โตแน่นอนว่าต้องได้รับความสนใจจากชาวเมืองอยู่ไม่น้อย และหากมีการแสดงอันสวยงาม ทั้งยังแตกต่างจากที่อื่นๆหมุนเวียนการแสดงไปเรื่อยๆ ย่อมดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในครั้งต่อๆไปเป็นแน่ "
" เคยได้ยินเรื่อง โฉมงามกับองค์ชายอสูร หรือไม่เพคะ "
" เปิ่นหวางมิเคยได้ยินเลย เนื้อเรื่องเป็นเช่นไรหรือ "
" หากพระองค์ทรงอยากรู้ว่ามีเนื้อเรื่องเป็นเช่นไร หม่อมฉันก็ขอทูลเชิญพระองค์ให้เสด็จมาชมการแสดง ณ วันที่เปิดหอซือซิงเพคะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยพลางยิ้มกริ่ม ถ้าหากว่าระดับจวิ้นอ๋องยังไม่รู้จัก นิทานเรื่องนี้แล้วล่ะก็ คนธรรมดาคงไม่ต้องพูดถึงหรอก จะว่าไปถ้าคนในยุคนี้รู้จักก็คงจะแปลก เพราะมันเป็นนิทานในยุคของนาง เช่นนั้นแล้วนิทานเรื่องอื่นๆนางก็คงสามารถนำมาประยุกต์เป็นการแสดงให้คนที่นี่ได้ชมไปได้อีกนานทีเดียว
เถียนเถียนเองค่ะ
ได้ข่าวว่ารถอ้อยคว่ำอยู่นะตอนนี้ 555555 บทนี้เขียนเอาใจแม่ยกเฮียอ๋องเสียหน่อย เพราะบทก่อนๆเทใจให้ชายหมอไปไม่น้อย เป็นยังไงกันมั่งเอ่ยยยย อ่ะๆ ช่วงนี้อยู่ใกล้สาวเฮียก็จะขยันยิ้มหน่อยๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถูกแย่งความดีความชอบไม่พอยังต้องมาเจอภาพบาดใจอีก
ไรต์จะทำร้ายพ่อโจรป่ามากไปแล้ววววววววววววว