ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมยุทธ์หน้ากากทอง [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #8 : หน้ากากทองสร้างชื่อ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.96K
      36
      10 ส.ค. 64


    หยุนเซียวเซียวฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลารุ่งเช้าแล้ว พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ภายในตำหนักเขียวขจี อาการเจ็บปวดหน้าอก รวมถึงรอยช้ำรูปฝ่ามือ หายเป็นปลิดทิ้ง แถมคล้ายมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นกว่าเก่า 

    แต่งกายเรียบร้อย และเดินออกมาด้านนอก บริเวณระเบียงทางเดินล้วนว่างเปล่า เงียบเหงา ผู้คนบางตา เห็นแต่เหล่าองครักษ์ บุรุษหนุ่มเหม่อมองหาสหาย และชาวยุทธ์ นึกว่าอาจรวมกันอยู่ในห้องโถง จึงเดินไปดู ระหว่างทาง พบผู้เฒ่าคนหนึ่ง ยิ้มแย้มเข้ามาทักทาย

    "อ้าว คุณชายหยุน ตื่นแต่เช้าจะรีบไปไหนหรือ"

    "เอ่อ ขออภัย ท่านคือ..."

    "ข้า คือ โอวแชบุ๊น"

    "ที่แท้ท่านหมอโอว ผู้เยาว์ขอบคุณที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ" เขารีบคำนับ

    "ฮะ ฮะ ขอบคุณผิดคนแล้ว ท่านบอบช้ำภายในสาหัส ลมปราณตีกลับจนเลือดลมโคจรย้อนกลับ ชีพจรสับสน สะเทือนถึงชีวิต หากมิใช่ท่านจ้าวยุทธิ์ใช้พลังภายในช่วยเหลือ ท่านคงมิได้มายืนพูดอยู่ตรงนี้"

    หยุนเซียวเซียวถึงกับอึ้ง เมื่อรู้ว่าเจ้ายุทธิ์ถึงกับสละเวลามารักษาเขาด้วยตัวเอง ทั้งที่เมื่อคืนมีการประชุมสำคัญ

    "แล้วตอนนี้ ท่านจ้าวยุทธิ์กับทุกท่าน..."

    "ไปกันหมดแล้ว นอกจากสำนักง่อไบ๊ ทุกพรรคล้วนบุกวังจันทรา"

    "พี่เซียว..." เสียงเรียกเจื้อยแจ้ว พร้อมกับการวิ่งมาของเหลียนเฟิ่งหวง

    "เฟิ่งหวง เจ้าไม่ได้ไปหรอกหรือ"

    "ข้าขอพี่ใหญ่อยู่ดูแล... เอ่อ อยู่ที่นี่ พี่เมี่ยวฟง กับ พี่ฟ่งอิงก็อยู่ด้วย พวกเขาล้วนเป็นห่วงท่าน จึงไม่ได้ไป ท่านหายดีแล้วใช่ไหม" นางพูดด้วยแววตาดีใจ เมื่อเห็นเขาฟื้นแล้ว

    "อืม... จริงสิ พบอาจารย์ของข้าบ้างไหม"

    "หลังจากท่านสลบไป ก็ไม่มีสำนักไหนมาเพิ่มอีก บู๊ตึ๊ง และประมุขตู้ ให้คนมาส่งข่าว รอพบที่วังจันทราเลย"

    ทั้งสองเดินคุยไปตามสะพานคดเคี้ยวพาดผ่านแอ่งน้ำซึ่งเต็มด้วยบุปผา หยุนเซียวเซียวรู้สึกกระปรี้กระเปร่า แข็งแรง ราวกับไม่เคยผ่านการบาดเจ็บมาก่อน คิดแล้วก็ฉงน จู่ๆ พลังภายในคงไม่เพิ่มขึ้นโดยไร้สาเหตุ หรือว่า...นอกจากรักษาเยียวยาแล้ว ท่านจ้าวยุทธิ์ได้ถ่ายพลังเพิ่มพูนให้เขาด้วย? แต่ว่า...มันก็แปลก ถ้าจะทำเช่นนั้นกับคนที่ไม่สำคัญเช่นเขา 

    "พี่เซียว ข้าขอโทษแทนพี่ชาย ที่ทำร้ายท่านเพราะความเข้าใจผิด" เหลียนเฟิ่งหวงบอกอย่างไม่สบายใจ นางขุ่นเคืองพี่ชายไม่น้อย ที่ลงมือกับเขา อีกทั้ง หลังจบเรื่อง เหลียนเฉิงปียังไม่ยอมรับผิด หรือคิดแม้จะขอโทษ แถมยังพูดจาราวกับสงสัยเขาอยู่อีก

    "ข้าบาดเจ็บเพราะฝีมือท่านโกวบ๊วย ไม่เกี่ยวกับพี่ชายเจ้าหรอก จริงสิ เมื่อคืน ใครจะจับตัวเจ้าไป"

    "ข้าไม่รู้จัก เป็นผู้ชาย เหมือนไม่ใช่คนวังจันทรา..." พูดไม่ทันจบ เสียงหนึ่งก็ดังมา

    "เฮ้ น้องเซียว ฟื้นก็ดีแล้ว ไป... หาเหล้ากินกันดีกว่า" เมี่ยวฟง จอมสุรานั่นเอง ที่เดินยิ้มหน้าบานมาหา คุณหนูเหลียนห่อปาก ร้อง และชี้หน้า

    "ฮ้า กินเหล้าแต่เช้า? อยากเมาตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้ อกหักรึไง"

    "อกเจ้าน่ะสิหัก! ข้าเปรี้ยวปากอยากกินเหล้า เกี่ยวอะไรกับเช้าหรือเย็น อยู่ว่างไม่มีไรทำ เบื่อจะแย่แล้ว" เมี่ยวฟงหันมาถลึงตาโตใส่

    "ทำไมไม่ไปบู๊วังจันทราล่ะ" หยุนเซียวเซียวถามยิ้มๆ

    "เฮ้ย ขี้เกียจ คนมากเรื่องเยอะ พวกผู้นำมากันหมดแล้ว พวกเราไร้ประโยชน์ ไปเที่ยวเล่นให้สบายใจดีกว่า ให้มันรู้ไป คนเป็นโขยงถล่มวังมารแห่งเดียวไม่ได้" 

    "วีรบุรุษเมี่ยวฟงไม่คิดสร้างผลงาน ห่วงแต่เป็นผีสุรา เจ้าสำราญหาใครเทียบจริงๆ..." เสียงหนึ่งลอยมา เหยาฟ่งอิงเดินกอดอกมา นั่งลงบนขอบสะพาน ศิษย์พี่ใหญ่หัวร่ออารมณ์ดี เดินมาตบไหล่

    "เสียดายผู้เฒ่าเหมาไม่มาด้วย จะได้ครื้นเครงหนำใจกว่านี้อีก..." บอกแล้วหันกลับมา 

    "นี่ เฟิ่งหวง ข้า น้องเซียว และฟ่งอิง จะล่วงหน้าไปก่อน เจ้าไปชวนพี่สาว แล้วพบกันที่โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์นะ" บอกแล้วลากแขนหยุนเซียวเซียวกับเหยาฟ่งอิงรีบเดินไปทันที

    "หนอยแน่ะ นึกแล้วเชียวว่าต้องมีอะไร เจ้าเล่ห์นักนะ" เหลียนเฟิ่งหวงร้องอย่างหมั่นไส้



    "ฮ่า... สะใจ เหล้าบุปผานี่รสชาติดีไม่แพ้นารีแดงเลย ต้องเหมากลับบ้านสักสองไห"

    บนโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ สองหนุ่มกับสามสาวนั่งบนดาดฟ้า สุราอาหารเต็มโต๊ะ เป็นมื้อเช้าที่เอร็ดอร่อยและอิ่มท้องที่สุดนับแต่จากบ้านมา โดยเฉพาะเมี่ยวฟง ที่มีท่าทางคึกคัก สดใส กว่าใครเพื่อน 

    "เป็นเพราะตำหนักเขียวขจีไร้สุราเลิศรส ไม่ถูกปากท่านเมี่ยว จึงต้องมาดื่มที่โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์แทน"

    โอวหยางซือซือ ผู้ถูกเหลียนเฟิ่งหวงลากออกมาจากตำหนักจนได้ หยอกยิ้มๆ เมี่ยวฟงถึงกับรีบวางจอก ละล่ำละลักเป็นการใหญ่

    "ฮ้า ไม่... ไม่ใช่อย่างนั้นเลย สุราอาหารตำหนักเขียวขจีเป็นเลิศ ทั้งหน้าตา และรสชาติ สวยงาม อร่อยมาก ราวกับมาจากพระราชวัง เสียแต่ว่าข้าเป็นคนหยาบๆ กินแต่ของดินๆ จนเคยตัว เลยไม่รู้คุณค่าของมัน อาหารน่ะข้าไม่รู้จักกิน แต่ว่าคน...ข้ารู้จักเลือกนะ"

    ประโยคท้าย บอกเสียงเบาด้วยแก้มแดง แถมหลบสายตา เหลียนเฟิ่งหวงหัวร่อคิก เหยาฟ่งอิง กับ หยุนเซียวเซียวอมยิ้ม เพราะต่างก็รู้ความในใจของเมี่ยวฟงกันหมด เมี่ยวฟงหันมาค้อนพวกสหาย ท่านหญิงโอวหยางลอบถอนใจที่หลวมตัวออกมา  

    "คุณชายหยุน จะไปวังจันทราหรือไม่" นางจึงรีบเปลี่ยนบรรยากาศ

    "ต้องไปแน่นอน!" หยุนเซียวเซียวอ้าปาก คุณหนูเหลียนกลับโพล่งแทน "ตอนนี้ พี่เซียวหายดีเป็นปกติแล้ว ถึงแม้ 6 พรรค 7 สำนัก จะไปกันมากมาย แต่ผู้ที่เป็นเหยื่อคือพ่อข้า ข้าเป็นลูกยังไงก็ต้องไป ส่วนพี่เซียว สัญญาไว้ว่าจะช่วยข้า ช่วยท่านพ่ออีกแรงหนึ่ง"

    "อะฮ่า ธิดามังกรเสื้อส้ม ปกติ ออกท่องยุทธจักร พานพบอุปสรรคที่ไหน ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร เดี๋ยวนี้ คำก็พี่เซียว สองคำก็พี่เซียว ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ตัวติดกันเกินไปรึเปล่าเนี่ย คึกๆๆ" 

    เมี่ยวฟงได้ทีหยอกกลับบ้าง แถมหัวร่อคิกคัก สองหนุ่มสาวผู้ถูกกล่าวหาสบตากันอย่างตกใจ หยุนเซียวเซียวสำรวมอาการได้ดี แต่เหลียนเฟิ่งหวงแก้มแดง ออกอาการร้อนรน

    "โธ่เอ๊ย ปากพล่อยพูดจาไปเรื่อย ไม่ดูสถานการณ์เลย ตอนนี้ ทุกคนล้วนแต่พึ่งพากัน ข้า... เอ่อ... ข้าเคารพนับถือพี่หยุนเซียว ผ่านความเป็นตายมาด้วยกัน สนิทก็ไม่แปลก ท่านอย่าเพ้อเจ้อ หัวเราะน่าเกลียดนักเลย" นางแก้เขินด้วยการเด็ดกิ่งไม้ข้างๆ ปาใส่หน้าเขา เมี่ยวฟงยังหัวร่อกวนประสาท ทั้งสองทำท่าจะรบกัน เหยาฟ่งอิงจึงระงับศึก

    "เอาล่ะ เอาล่ะ ยังเหลือเวลาอีกมาก กว่าวังมารจะเปิด เรากินให้อิ่ม นอนให้หลับ แล้วค่อยไปลุยวังจันทรากัน" แม้ภายนอกจะยิ้มแย้ม แต่ภายในใจนางกลับเป็นกังวลขึ้นมา

       

    เมื่อกลับถึงตำหนัก โอวหยางซือซือ เหยาฟ่งอิง และเหลียนเฟิ่งหวง แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย เก็บแรงไว้เพื่อศึกคืนนี้ หยุนเซียวเซียว กับ เมี่ยวฟง ไปเยี่ยมไฉจิ้งฟง และเกาฮวยเอี้ยน ซึ่งเป็นสองคนที่อาการเจ็บหนักที่สุด จากการบุกวังจันทรา และยังไม่หายดีนัก พูดคุยกันในห้องสักพักก็ออกมา สวนกับหมอเทวดา โอวแชบุ๊น ซึ่งออกมาจากห้องหนึ่งพอดี

    "ท่านหมอโอว ช้าก่อน..."

    "อ้อ คุณชายหยุน มิทราบมีเรื่องใด"

    "อาการของแม่ชีโกวบ๊วย เป็นอย่างไรบ้างครับ" เขาถามเสียงเบา

    "ตอนนี้ เป็นปกติแล้ว เหลือแต่พักฟื้นร่างกายนิดหน่อย ก็เหมือนเดิมทุกอย่าง"

    "อ้อ แล้วมิทราบว่า ท่านป่วยเป็นโรคอะไร"

    "เอ่อ..." ท่านหมอโอวชะงัก คล้ายลังเลที่จะพูด ทันใด ประตูห้องเปิดออก กอน่ำเอ็ง และ ซุนยีหนัน ถือกระบี่ก้าวออกมา พอเจอหน้าหยุนเซียวเซียวก็ชะงัก

    "เจ้า! มารร้ายที่ลอบทำร้ายอาจารย์นี่ ยังอยู่อีกเหรอ" กอน่ำเอ็งตวาด ชักกระบี่ แล้วพุ่งเข้าใส่ทันที "ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าเพิ่ง!" ซุนยีหนันร้อง แต่มิอาจห้ามได้ หยุนเซียวเซียวหลีกหลบกระบี่นางอย่างคล่องแคล่ว ก่อนเตะกระบี่นางไปปักบนเสา

    "แม่นาง ฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องเข็มพิษนั้น ไม่ใช่ฝีมือข้า" หยุนเซียวเซียวบอกเรียบๆ

    "เฮอะ ในที่นั้นมีแต่เจ้ากับพวกข้า ถ้าไม่ใช่เจ้าจะเป็นใคร เจ้าสู้อาจารย์ไม่ได้ เลยใช้วิธีต่ำช้า"

    "ฮะ ฮะ เจ้านี่ก็หน้าตาสวยนะ ไม่น่าโง่เลย" เมี่ยวฟงหัวร่อกังวานอย่างขบขัน เดินเข้ามาเถียงแทน "หากว่าเขาตั้งใจทำร้ายอาจารย์เจ้า จะปล่อยเจ้าพากลับมารักษาเหรอ เมื่อครู่เจ้าก็เห็น ฝีมือเขาสูงกว่าเจ้ามาก จัดการพวกเจ้าสามคน แล้วขุดหลุมฝังแม่ชีโกวบ๊วยเสียตรงนั้นก็สิ้นเรื่อง"

    "ปากเสีย บังอาจแช่งชักอาจารย์" กอน่ำเอ็งโมโห วาดมือจะตบหน้า เมี่ยวฟงคว้าแขนไว้ แล้วบิดกลับหลัง นางร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เพราะแขนถูกบิดงอจนพลิกตัวไม่ได้

    "พูดดีๆ ไม่ชอบ คนง่อไบ๊นี่ขยันแต่ใช้มือใช้เท้า ไม่มีสมองรึไง ฮ้า"

    "เจ้าชั่ว ปล่อยข้านะ ปล่อย โอ๊ย..."

    "ศิษย์พี่ใหญ่..." ซุนยีหนันก้าวเข้ามา

    "พี่ฟง ปล่อยนางเถอะ" หยุนเซียวเซียวขอร้อง

    "หยุดนะ!!" เสียงทรงอำนาจดังขึ้น เจ้าสำนักง่อไบ๊เดินออกมา พร้อมกับติงหลิง ศิษย์คนรอง เมี่ยวฟงปล่อยแขน กอน่ำเอ็ง กับ ซุนยีหนัน เดินกลับไปหาอาจารย์

    "เรื่องอะไร มาทำร้ายศิษย์ของข้า" แม่ชีโกวบ๊วยตวาดเสียงเข้มกับเมี่ยวฟง

    "ก็ศิษย์ของท่านพูดจาไม่รู้เรื่อง ใส่ร้ายผู้คน แถมลงมือต่อยตี ข้าก็แค่อธิบายให้นางเข้าใจเท่านั้นเอง" เมี่ยวฟงเถียงฉาดฉานอย่างไม่กลัวบารมี เพราะไม่ถูกชะตาเจ้าสำนักง่อไบ๊มาแต่ไหนแต่ไร แม่ชีโกวบ๊วยดวงตาขุ่นเขียว แสดงถึงความไม่พอใจ หยุนเซียวเซียวต้องรีบก้าวเข้ามา คำนับอย่างนอบน้อม

    "หยุนเซียวเซียว ศิษย์พรรคอักษรกระบี่ คำนับ เจ้าสำนักโกว เรื่องเมื่อครู่ เป็นการเข้าใจผิด ขอท่านอภัยด้วย"

    ซุนยีหนันรู้สึกชื่นชมในมารยาทของเขา อาจารย์ของนางกลับเขม้นมองอย่างสงสัย 

    "เจ้า คือ... คนที่ข้าซัดฝ่ามือใส่งั้นรึ?" นางสูญเสียความทรงจำตอนที่ลงมืออาละวาด เมื่อฟื้นขึ้นจึงจำได้เพียงเลือนลาง เหล่าศิษย์เล่าเรื่องให้ฟังอย่างคร่าวๆ 

    "เอ่อ..." ชายหนุ่มยากจะตอบ "ใช่ค่ะ อาจารย์" ซุนยีหนันตอบเบาๆ มาแทน

    "อ้อ โดนฝ่ามือกวนอิมห้าส่วน ยังยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ไม่ธรรมดาจริงๆ"

    "หามิได้ เพราะจ้าวยุทธ์ช่วยเหลือจึงรอดตาย เมื่อคืน ตอนต่อสู้กัน มีคนอยู่บนหลังคา อาศัยทีเผลอ ซัดเข็มใส่ท่าน ข้าอยากจะตามไป จนใจที่บาดเจ็บ ก็เลย..." 

    "พอแล้ว...!" แม่ชีโกวบ๊วยตวาด สีหน้าที่เคร่งขรึม เหมือนจะเครียดหนักขึ้น หันมาบอกลูกศิษย์ "ข้าจะเก็บตัว ฟื้นฟูพลังภายในหนึ่งชั่วยาม อย่าให้ใครรบกวน" 

    "ค่ะ อาจารย์" ศิษย์ทั้งสามรับคำ แม่ชีโกวบ๊วยกลับเข้าห้อง ติงหลิงตามเข้าไปแล้วปิดประตู กอน่ำเอ็งหันมาจ้องเมี่ยวฟงตาขุ่นเขียว หยุนเซียวเซียวดึงกระบี่ออกจากเสา มายื่นมอบให้ เจ้าของสะบัดหน้า ซุนยีหนันจึงรับแทน อยากจะพูดบางอย่าง แต่ไม่สะดวก จึงเงียบ หยุนเซียวเซียวชวนเมี่ยวฟงและท่านหมอโอวเดินจากไป 
     


    "อาการของท่านโกวบ๊วยนั้นแปลกมาก ไม่ได้โดนวางยาแต่ก็เหมือน ร่างกายไม่พบความผิดปกติ ข้าสอบถามดูแล้ว ท่านเพิ่งเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ก็เมื่อตอนนั่งทานข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยมนั่นเอง จู่ๆ ท่านก็รู้สึกเจ็บบริเวณลำคอ เหมือนถูกอะไรต่อย หลังจากนั้นก็ไม่ได้สติอีกเลย ความทรงจำตอนลงมือทำร้ายลูกศิษย์ก็สูญหายไปด้วย" 

    โอวแชบุ๊นเล่าให้ฟัง ทั้งสามนั่งอยู่ในศาลากลางสวนอุทยานตำหนัก 

    "ประหลาดจริงๆ นะเนี่ย ยัยแม่ชีถึกอาจเป็นโรคแปลกๆ อยู่ก่อนรึเปล่า"

    "เพิ่งเกิดครั้งแรกเมื่อคืนนี้ แถมตรวจไม่พบสารพิษ... ท่านหมอโอว แล้วได้ตรวจที่ลำคอของนางหรือไม่" หยุนเซียวเซียวอยากจะหาคำตอบให้ได้

    "ตรวจสิ เป็นรอยแดง ช้ำเล็กๆ บวมนิดหน่อย ลักษณะเหมือนถูกสัตว์มีพิษต่อย!"

    "สัตว์มีพิษ?! จำพวกแมลงมีปีก...อย่างนั้นรึครับ" 

    "อืม.. ก็น่าจะราวๆ นั้น" หมอเทวดาลูบเครา สีหน้าเคลือบแคลง

    "สัตว์อะไรต่อยคนแล้วทำให้เป็นบ้าได้ ข้าว่าถ้ามี คงเป็นสัตว์ประหลาดแล้วล่ะ" เมี่ยวฟง บอกอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ หยุนเซียวเซียวกล่าวขอบคุณ ก่อนปล่อยท่านหมอไป

    "นี่ น้องเซียว เจ้าเชื่อว่าเป็นเพราะสัตว์จริงเหรอ ยัยแม่ชีเถื่อน อาจเป็นโรคจิตบางชนิดก็ได้นะ" เมี่ยวฟงปากคอเราะร้าย เมื่อไม่ชอบใคร ก็มักใช้คำเรียกเสียๆ หายๆ แต่ใจไม่ได้ร้ายอย่างปาก หยุนเซียวเซียวจึงไม่ถือสา นิ่งคิดตริตรอง ก่อนกล่าวอย่างระวัง

    "ตอนต่อสู้กันนั้น มีคนแอบบนหลังคา หากคนผู้นี้ ซุ่มอยู่นานแล้ว เป็นไปได้ว่า คือ ตัวต้นเหตุอาการคลุ้มคลั่งของแม่ชี ก่อนหน้านั้น หากเขาสั่งสัตว์มีพิษโจมตีแม่ชีโกวบ๊วยด้วยวิธีบางอย่าง เพื่อให้สำนักง่อไบ๊ฆ่ากันเอง ข้าว่า...มันก็พอฟังขึ้น"

    "เดี๋ยวก่อน สัตว์ชนิดไหน ต่อยคน แล้วทำให้คนอาละวาด จับอาวุธ ฆ่าคนอื่นได้ มันมีแบบนี้บนโลกด้วยเหรอ" เมี่ยวฟง ผู้เชื่อแต่สัญชาตญาณตัวเอง เริ่มคล้อยตามสหาย

    "จุดนี้...ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อ๊ะ!!" จู่ๆ หยุนเซียวเซียวพลันทำสีหน้าตกใจ

    "อะไร? คิดอะไรออกเหรอ"

    "ในงานโค่นหมัดพยัคฆ์ คนมากมายไปชุมนุมกัน ท่านลองจินตนาการ หากมีฝูงสัตว์อสรพิษนับร้อย รุมกันมาโจมตี แล้วจู่ๆ ทุกคนก็หยิบอาวุธ เข้าประหัตประหารกันเองล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น!!?" 

    "เฮ้ย!" เมี่ยวฟงตกใจตาม "หมายความว่า... เป็นพวกวังจันทราเหรอ"

    "อาจเป็นไพ่ตาย ที่ใช้กวาดล้าง 6 พรรค 7 สำนัก!" หยุนเซียวเซียวบอกเสียงเครียด 



    "ฟ่งอิง..." เสียงเคาะประตู ทำให้เหยาฟ่งอิง ซึ่งนั่งเท้าคางซึมๆ อยู่บนโต๊ะ ลุกมาเปิด

    "หยุนเซียว..." สหายหนุ่มที่นางคิดถึง ยืนอยู่เบื้องหน้า

    "ข้ามาลาเจ้า ขอล่วงหน้าไปวังจันทราก่อนก้าวหนึ่ง" 

    "เพราะอะไร?" ได้ยินประโยคนั้น ถึงกับตาสว่าง โพล่งแปลกใจ หยุนเซียวเซียวก้าวเข้ามานั่งบนโต๊ะ นางจึงปิดประตูห้อง เข้ามานั่งด้วย

    "งานนี้ ข้าออกโรงเองไม่ได้ เมื่อจะเป็นจอมยุทธ์หน้ากากทอง จำต้องแยกเดี่ยว" สหายบอกอย่างตรงไปตรงมา 

    "มีอะไรคับขันเหรอ"

    "คิดว่ามีแน่... ตอนไปถึงที่นั่น หากข้าเป็นหยุนเซียวเซียว คงทำอะไรไม่ถนัด เพื่อความสะดวก และมีอิสระ จอมยุทธ์หน้ากากทองจำต้องเคลื่อนไหวแทน"

    "ข้าไปด้วย" นางโพล่งทันที เขายกมือห้าม บอกจริงจัง

    "ไม่ได้ ถ้าไปกันหมด พี่ฟง กับ เฟิ่งหวง ต้องรู้สึกไม่ดีแน่ และดูน่าสงสัยด้วย เจ้าช่วยหาข้ออ้างแทนข้า โดยเฉพาะเฟิ่งหวง บอกให้นางมั่นใจ หยุนเซียวจะช่วยบิดานางให้จงได้"

    เหยาฟ่งอิงลุกขึ้น เดินไปยืนหันหลังให้ น้ำเสียงคล้ายแง่งอน  "ตอนนี้ ท่านห่วงแต่ความรู้สึกเฟิ่งหวง ไม่สนใจข้าแล้วใช่ไหม" 

    "เป็นไรไป?" หยุนเซียวเซียวตกใจ เดินเข้ามาหา ไม่รู้ความในใจของอิสตรี

    "ฟ่งอิง เกิดอะไรขึ้นเหรอ" นางพยายามข่มกลั้นความรู้สึก ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

    "ไม่เป็นไร ข้าก็แค่เป็นห่วง ท่านไปเถอะ ทางนี้ ข้าจัดการเอง"  



    "คุณชายหยุนคะ..." หยุนเซียวเซียวกำลังจะกลับห้องเพื่อแต่งตัว ต้องหันกลับมา 

    "แม่นาง... มีธุระกับข้าหรือ" นางผู้เลอโฉมแห่งง่อไบ๊ ยิ้ม และทักทายอ่อนหวาน

    "ข้าชื่อ ซุนยีหนัน อยากจะขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต"

    "เรื่องเล็กน้อย โปรดอย่าจำใส่ใจเลย" ตอบตามมารยาท ก่อนจะเพ่งพินิจ... 

    เขารู้สึกว่านางนั้นงดงาม แต่ซุกซ่อนความเศร้าอย่างประหลาด ผู้หญิงที่เขาเจอ...ยามออกท่องยุทธภพ ล้วนต่างสีสัน แต่ไม่มีใครสดใส เบิกบาน แสนดี และน่ารัก ได้เท่ากับ เหลียนเฟิ่งหวง  

    "อีกหนึ่งชั่วยาม เราจะเดินทางไปวังจันทรา พวกท่านจะไปด้วยกันหรือไม่"

    "...แน่นอน เอ่อ... ตอนนี้ ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน" จำต้องโกหก แล้วปลีกตัวทันที



    หนึ่งชั่วยามต่อมา สำนักง่อไบ๊ ก็ออกจากตำหนักเขียวขจี

    นำโดย เจ้าสำนักง่อไบ๊ แม่ชีโกวบ๊วย กอน่ำเอ็ง ติงหลิง และซุนยีหนัน โดยมี เมี่ยวฟง   เหยาฟ่งอิง และเหลียนเฟิ่งหวง ร่วมเดินทาง เหยาฟ่งอิงอธิบายสาเหตุที่หยุนเซียวเซียวล่วงหน้าไปก่อน เพราะได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ทั้งหมดไม่สงสัยกระไร

    ด้านหยุนเซียวเซียว ในคราบจอมยุทธ์หน้ากากทอง ควบม้าเร็วผ่านทางลัดมาไกลหลายลี้ จวนจะถึงวังจันทรา ระหว่างทาง ได้สอบถามข่าวคราวขบวนจ้าวยุทธ์กับเหล่าชาวยุทธ์ทั้งหลาย ซึ่งชาวยุทธ์ทั่วไปนั้น ต่างรู้จักและนับถือเขา (บางคนติดหนี้บุญคุณ) ได้ความว่า ขบวนจ้าวยุทธ์ปะทะกับฝ่าย 3 มารตลอดทาง ซึ่งเป็นครั้งแรก ที่เหล่า 3 มาร ออกมากันอย่างพลุกพล่าน ทั้งก่อเรื่อง และอาละวาดฝ่ายธรรมะ เจตนา คล้ายขัดขวางไม่ให้ 6 พรรค 7 สำนัก ไปร่วมงานโค่นหมัดพยัคฆ์ 

    จ้าวยุทธ์จึงออกคำสั่ง แยกกันเป็นสามสาย เพื่อกระจายกำลังศัตรู จุดนัดพบ คือ เนินเขาทะยานเมฆ (ใต้ภูเขา คือ ถ้ำขังอดีตประมุขวังจันทรา) หยุนเซียวเซียวได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ แสดงว่า จ้าวยุทธ์ เข้าใกล้การค้นพบที่ตั้งแท้จริงของวังจันทราแล้ว

    ทว่า เมื่อเดินทางไปอีกหน่อย แวะถามข่าวอีก พบว่า กลุ่มของจ้าวยุทธ์ สามารถบรรลุถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ แต่อีกสองกลุ่มกลับยังมาไม่ถึง...! หยุนเซียวเซียวร้อนใจนัก ชาวยุทธ์พวกนั้น รู้รายละเอียดคร่าวๆ จากที่ฟังกันมา จึงไม่ทราบว่า อาจารย์ของเขา ประมุขตู้เทียนต้า อยู่กลุ่มไหน? หยุนเซียวเซียวเดินทางต่อ ไม่ได้ไปเนินเขาทะยานเมฆ แต่ไปตามเส้นทางที่กลุ่มหนึ่งถูกลอบโจมตี

    บนถนนแคบในป่านั้นเอง เขาพบซากศพ และกองเลือดมากมาย ที่น่าตกใจ คือ พวกที่ทอดร่างเป็นศพ ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายธรรมะ มีทั้งสำนักบู๊ตึ๊ง สำนักคุนลุ้น และพรรคอักษรกระบี่! หยุนเซียวเซียวตะลึงวูบ วิ่งเข้าไปหาศพพวกพ้อง ร้องเรียกอย่างเจ็บปวดใจ

    "อั๊ก...อั๊ก..." คนหนึ่งนอนอาบเลือดแต่ยังไม่ตาย ยกมือมาทางเขา หยุนเซียวเซียวรีบวิ่งไปคุกเข่า คว้ามือไว้  

    "ทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะถ่ายพลังช่วยท่าน"

    "ม...ไม่ทันแล้ว...พ...พวกเรา...ฆ่า...กันเอง"  ศิษย์บู๊ตึ๊งพยายามเค้นเสียงเฮือกสุดท้าย 

    หยุนเซียวเซียวตะลึง ภาพแม่ชีโกวบ๊วยผุดขึ้นมา หรือว่า...

    "ช...ช่วย...เจ้าสำนัก...ด้วย..." ขาดคำก็สิ้นใจตาย โดยก่อนจะตาย ยกมือชี้นิ้วไปทางซ้าย หยุนเซียวเซียวลุกขึ้นยืน ก่อนตรวจทุกสภาพศพอย่างรวดเร็ว ไม่มีบรรดาผู้นำของทุกสำนักอยู่ และทุกบาดแผลล้วนเกิดจากกระบี่ และดาบของพวกเดียวกันจริงๆ ด้วย

    ...ไม่อยากเชื่อเลย 6 พรรค 7 สำนัก มีวันที่หยิบอาวุธฆ่าฟันกันเอง มันเกิดจากอิทธิฤทธิ์ใดกันแน่!! จอมยุทธ์หน้ากากทองก้มหน้า รำพึง กำมืออย่างเจ็บปวด

    เดินหน้า ลุยฝ่าป่ารกไปตามทางที่ผู้ตายชี้ พบเข้ากับ ร่างของศิษย์เอกสำนักคุนลุ้น ดาบซื่อสัตย์ เถี่ยหลงอัน นอนสลบอยู่บนกองหญ้า 

    "น้องเถี่ย... น้องเถี่ย..." ร้องเรียก แล้วพยุงร่างขึ้นนั่ง พบว่ายังไม่ตาย จึงช่วยเหลือ ขณะถ่ายพลังสู่แผ่นหลังของเถี่ยหลงอัน ค้นพบว่า ตัวเองมีพลังลมปราณเพิ่มขึ้นมากจริงด้วย รู้สึกซาบซึ้งในบันดล ท่านจ้าวยุทธ์ช่างมีเมตตา เปี่ยมด้วยน้ำใจ มิเพียงรักษาเยียวยา ยังเพิ่มพูนลมปราณให้อีกด้วย

    "แค่ก...แค่ก... ท...ท่าน...เป็นใคร" เถี่ยหลงอันบาดเจ็บแค่ภายนอก จึงฟื้นอย่างรวดเร็ว

    "เรียกข้าว่า หวงจิน เถอะ ทำไมท่านบาดเจ็บ แล้วคนอื่นไปอยู่ไหนหมด"

    "ข้า...หลบหนีการต่อสู้จากพวกเดียวกัน อาจารย์ กับ... เจ้าสำนักท่านอื่น ถูกมันจับไป" เถี่ยหลงอันพูดหอบๆ ค่อยๆ หันมา ถึงกับชะงัก เบิกตาค้าง

    "ท่าน... จอมยุทธ์หน้ากากทอง... ที่เขาร่ำลือกัน?!"

    "เรื่องนั้นไว้ทีหลัง พวกวังมารใช้อะไรเล่นงานพวกท่าน ถึงได้ลงมือฆ่ากันเอง"

    "ไม่... ไม่ใช่วังจันทรา เป็น...สุสานกระดูกขาว"

    "สุสานกระดูกขาว!!?" หยุนเซียวเซียวอุทานอย่างพิศวง

    "ข้าต้องรีบไปช่วยอาจารย์" เถี่ยหลงอันใจร้อน พอค่อยยังชั่วแล้ว ก็ลุกขึ้นจะเดินไปทันที หยุนเซียวเซียวรีบประคอง แล้วเดินไปพร้อมกัน


    PA
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×