ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมยุทธ์หน้ากากทอง [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #9 : สุสานกระดูกขาว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.82K
      39
      10 ส.ค. 64



    หยุนเซียวเซียวประคองเถี่ยหลงอันมาถึงกระท่อมชายป่า ร่องรอยบนพื้นบ่งบอกว่ามีผู้คนมากมายผ่านทางนี้ เขาแม้ใจร้อน อยากพบอาจารย์ไวๆ ก็ไม่อาจทิ้งศิษย์เอกคุนลุ้นไปเพียงลำพังได้

    "น้อง... เอ่อ จอมยุทธ์เถี่ย พักสักครู่เถอะ"

    "ท่าน... เอ่อ จอมยุทธ์หวง..."

    "เรียกข้า "หวงจิน" ก็ได้" เขาบอกเสียงอ่อนโยน ถูกชะตากับเถี่ยหลงอันตั้งแต่แรกเห็น

    "พี่หวงจิน ข้า เถี่ยหลงอัน ศิษย์เอกสำนักคุนลุ้น ขอบคุณที่ช่วยเหลือ ยินชื่อเสียงมานาน ผู้คนกล่าวขาน ...จอมยุทธ์อิสระ พิทักษ์คุณธรรม ช่วยเหลือชาวยุทธ์ ผดุงความดี... ตอนนี้ สามสำนักถูกโจมตี ศิษย์น้องล้มตาย อาจารย์หายสาบสูญ ข้าขอไหว้วานท่าน..."

    "วางใจเถอะ เรื่องนี้ ข้าต้องช่วยแน่..." มิทันขาดคำ เงาหนึ่งโดดออกหน้าต่าง ปาดกระบี่เฉี่ยวหน้าเขาไปเพียงเสี้ยว หยุนเซียวเซียวหมุนตัวหลบ มายืนกลางลานกว้าง...

    ผู้มาเป็นบุรุษหนุ่ม หน้าตาดี แต่รัศมีเข่นฆ่าเต็มเปี่ยม กวัดแกว่งกระบี่ซ้ายขวา กวาดบนกวาดล้าง ว่องไวดุเดือด กระบวนท่าเหี้ยมโหด มุ่งหมายชีวิตคน เพลงกระบี่สิบทิศ วิชาอันดับหนึ่งของสำนักบู๊ตึ๊ง ลือชาทั่วแผ่นดิน คุณลักษณะ องอาจห้าวหาญ เยือกเย็น สง่างาม ผู้ที่ใช้กลับหักดิบ เพียงขั้นที่สี่ ก็โหมใช้พลังแข็งกร้าว ปราศจากสมดุล

    "พี่อิงเจี๋ย อย่า!" เถี่ยหลงอันยกมือห้าม หยุนเซียวเซียวจึงได้รู้ ผู้ลงมือ คือ มังกรเหินหาว เพ่ยอิงเจี๋ย ศิษย์เอกสำนักบู๊ตึ๊ง ขึ้นทำเนียบจอมยุทธ์เมื่อสามปีก่อน บุตรชายคนเดียวของเพ่ยเอี๊ยง ศิษย์หลานอนาคตไกลของเตียโกวฮวง เจ้าสำนักบู๊ตึ๊งคนปัจจุบัน

    ยามนี้ เพ่ยอิงเจี๋ยเห็นทั้งสองเป็นพรรคมาร จึงลงมือหมายเข่นฆ่าให้สิ้น หยุนเซียวเซียวชักกระบี่ต่อสู้ ใช้วิชาลึกลับจากอักขระโบราณ และพรสวรรค์ในการประยุกต์วิชา ย้อนกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม ใช้เพลงกระบี่สิบทิศที่เพ่ยอิงเจี๋ยสอน เล่นงานตัวเขาเอง ศิษย์เอกบู๊ตึ๊งสลบก่อนทันแตกตื่น หยุนเซียวเซียวประคองเขานอนลง ตรวจลำคอ และร่างกาย พบจุดบวมแดงบริเวณต้นแขน... พลันนึกถึงคำของหมอโอวแชบุ๊น...

    "น้องเถี่ย ก่อนหน้าเกิดการต่อสู้ ถูกตัวอะไรกัดรึเปล่า"

    "ฮ้า ไม่นี่ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน... เหมือนมีหลายคนบ่นว่าถูกผึ้งต่อย แต่ว่าข้าไม่โดน" เถี่ยหลงอันให้เบาะแสที่เข้าใกล้ความจริง หยุนเซียวเซียวลุกขึ้นยืน นิ่งคิดเยือกเย็น

    "สุสานกระดูกขาวไปทางไหน"

    "ข้าด้อยประสบการณ์ ไม่เคยไปเช่นกัน"

    "อย่างนั้นไหว้วานท่าน ดูแลจอมยุทธ์เพ่ยอยู่ที่นี่ เขาฟื้นขึ้นมาคงเป็นปกติ ข้าจะตามรอยไปยังสุสานของมันเอง" บอกแล้วจะเดินไปทันที เถี่ยหลงอันประคองตัวเองขึ้นยืน

    "ช้าก่อน ข้าต้องไปช่วยอาจารย์" มือกุมบาดแผล เดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา

    "สภาพท่านไม่สมบูรณ์พอ ทางข้างหน้าอันตราย มิเพียงรับมือพรรคมาร ยังอาจต้องรับศึกพวกเดียวกัน ข้าไปลำพังสะดวกกว่า อ้อ... อีกประมาณครึ่งชั่วยาม พวกสำนักง่อไบ๊จะมาถึงเนินหกลี้ ท่านควรไปขอความช่วยเหลือ โชคดี"

    เถี่ยหลงอันมองหยุนเซียวเซียวคำนับ แล้วพุ่งขึ้นฟ้า ปลายเท้าแตะใบไม้แผ่วพริ้ว วูบเดียวทะยานหายไร้ร่องรอย รำพึงชื่นชม ...จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ บุคลิกอย่างนี้เอง...




    "คั่ก...คั่ก...คั่ก...คั่ก..."

    เสียงหัวเราะประหลาดดังออกมาจากศาลเจ้าร้างสุดป่ารกทึบ ที่ซึ่งหยุนเซียวเซียวยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกมาพักใหญ่แล้ว เขาแอบมองลอดช่องขอบประตู ภายในนั้นมีตัวประหลาด รูปร่างเหมือนคน แต่ใบหน้า และลักษณะท่าทางเหมือนภูตผี อยู่ทั้งหมด 5 ตัว แน่นอนว่า ชื่อเสียงของพวกมัน ชาวบู๊ลิ้มรู้จัก ในฉายา ห้าภูติกระดูกขาว ประมุข และน้องร่วมสาบานทั้งสี่ แห่ง สุสานกระดูกขาว มนุษย์ครึ่งคนครึ่งผี เพราะสวมหน้ากากหนังผีตลอดเวลา แต่งกายขาวล้วน สัญลักษณ์ คือ โครงกระดูกขาว เป็นทั้งเครื่องประดับ และอาวุธ

    วังจันทราลึกลับเรื่องที่ตั้ง แต่สุสานกระดูกขาว ลึกลับเรื่องวรยุทธ์ แม้นเคยออกป่วนยุทธภพ น้อยคนนักจะสามารถแก้เคล็ดวิชาที่มันใช้ได้ กระทั่งจับจุดยังไม่ถูก พวกมันมีวิชาประหลาดมากมาย และพิษสงเหลือร้าย ทั้งชำนาญยาพิษ ยากแก่การรับมือ

    "เมื่อไหร่ พวกวังจันทราจะมา นี่มันเลยเวลานัดหมายแล้ว" โค่วโกวงั้ง ประมุขสุสานกระดูกขาว และพี่ใหญ่สุด นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ถามมาเสียงเข้ม 

    "ถ้ามันไม่มา เราก็พาคนกลับสุสาน แล้วค่อยตลบหลังพวกมัน ตอนโดน 6 พรรค 7 สำนัก ขยี้ โทษฐานไร้สัจจะ ฮิ ฮิ ฮิ" ผู้ที่หัวเราะเสียงแหลมเล็ก ท่าทางกระตุ้งกระติ้ง อ้อนแอ้นเหมือนอิสตรี คือ โค่วเล่าซา

    "พาคนกลับทำไม เหนื่อยแรง ฆ่าทิ้งซะ" ผู้ที่ตัวอ้วน น้ำเสียงคำราม คือ โค่วเล่ายี่

    "ยังมีประโยชน์ ใช้เพ่ยเอี๊ยงขู่เตียโกวฮวงได้ ข้าอยากได้เพลงกระบี่สิบทิศ" โค่วเล่าซาว่า

    "คั่ก...คั่ก...คั่ก... เอาเพลงกระบี่สิบทิศไปทำไร เมื่อมีคัมภีร์สรรพยุทธิ์อยู่ตรงหน้า!" โค่วเล่าโง้ว คือ ผู้ที่มีเสียงหัวเราะประหลาดน่าขนลุก

    คัมภีร์สรรพยุทธิ์... หยุนเซียวเซียวตกใจ สุสานกระดูกขาวพูดถึงคัมภีร์สรรพยุทธิ์? ที่พวกมันนัดหมายกับวังจันทรา หรือว่า เพื่อแลกตัวประกันทั้งสามกับคัมภีร์? เป็นไปไม่ได้ ประมุขวังจันทราไม่มีคัมภีร์... ราชันย์หมื่นทิศ ที่เขาเจอในถ้ำไม่น่าจะโกหก... ถึงมี แล้วเรื่องอะไร ที่วังมารจะต้องแลกกับผู้นำพรรคทั้งสาม ทั้งที่งานโค่นหมัดพยัคฆ์จะเริ่มในคืนนี้อยู่แล้ว เรื่องนี้ แปลกพิสดารจริงๆ   

    "เหลวไหล เพ้อเจ้อ นางมารคังเฉียวจับง้วนเต็งอ้วงไปขังเป็นสิบปีแล้ว ยังรีดเอาคัมภีร์มาไม่ได้ มีแต่นางเท่านั้นยังบ้าเชื่อว่ามีอยู่จริง" โค่วโกวงั้งตวาดน้องๆ 

    "แต่มันมีจริงๆ นะ พี่ใหญ่ ตอนวังจันทราพินาศเมื่อสิบปีก่อน เหลียนไถ้ กับ ซิหมิง ก็อยู่เป็นพยาน หากง้วนเต็งอ้วงไม่มี ไม่แน่อาจอยู่กับสองคนนี้ก็ได้" โค่วเล่าสี่ว่าบ้าง

    ...ประมุขเหลียน กับ ไต้ซือซิหมิง เคยเห็นคัมภีร์!? หยุนเซียวเซียวแปลกใจอีก แต่ประมุขง้วนบอกว่าคัมภีร์อยู่กับเขา หรือว่า ที่ทั้งสองถูกจับ เพราะคัมภีร์สรรพยุทธิ์?  

    "เจ้านี่คิดตื้นนัก หากสองคนนั้นได้ไปจริง สิบปีมานี้ จะยังดมตีนเจ้าถิงฟงอยู่เหรอ อีกอย่าง คังเฉียวทำไมเพิ่งรีดไถเอาป่านนี้ ข้าว่า มันมีจุดประสงค์อื่นมากกว่า" โค่วเล่ายี่ว่า

    "เลิกพูดได้แล้ว งานโค่นหมัดพยัคฆ์ไม่เกี่ยวกับเรา ที่ออกมา แค่ซื้อขายกับวังจันทราเท่านั้น มันต้องการตัวสามประมุข เราก็จัดหาให้ แลกกับ กระบี่หยาดโลหิต นับว่าคุ้มค่า อีกครึ่งก้านธูป หากมันไม่มา ข้าสาบาน ต้องบุกไปถล่มมันแน่" ประมุขโค่วตัดบท

    ...ที่แท้ สุสานกระดูกขาว ลอบทำร้ายสามพรรค เพราะการจ้างวานของวังจันทรา เพื่อจับตัวผู้นำทั้งสามแลกกระบี่วิเศษ เดี๋ยวก่อน! การที่ 6 พรรค 7 สำนัก แบ่งกลุ่มกัน เป็นคำสั่งของจ้าวยุทธิ์ แบ่งโดยเลือกกันเองว่าใครไปกับใครนี่นา ทำไม คนที่วังมารต้องการตัวทั้งสามคน (เพ่ยเอี๊ยง / ตู้เทียนต้า / เยี่ยม่อฉี) จึงมาอยู่รวมกันได้ เป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่า ที่ประมุขน้อยพูดจะเป็นเรื่องจริง ใน 6 พรรค 7 สำนัก มีไส้ศึกของ 4 มาร แอบแฝงอยู่!? ปริศนาใหญ่สุด คือ วังมารต้องการตัวทั้งสามก่อนงานโค่นหมัดพยัคฆ์ไปทำไม? 

    "ก่อนวังมารจะมา หาอะไรเชือดเล่น คร่าเวลาก่อนดีกว่า คั่ก...คั่ก...คั่ก...!" โค่วเล่าโง้วกระซิบ พร้อมหัวร่อน่าขนลุก...

    หยุนเซียวเซียวใจหายวาบ คิดอะไรเพลิน ต้องรีบตั้งท่ารับมือ เมื่อปีศาจตัวที่ห้าของสุสานกระดูกขาว บินโฉบออกจากประตูราวกับมีปีก ว่องไวแทบดูไม่ทัน เขานึกว่าตัวเองถูกค้นพบ มิคาด มันกลับพุ่งไปอีกด้าน คว้าร่างผู้ที่แอบอยู่ข้างหน้าต่าง

    "มารชั่ว มอบท่านพ่อมานะ!" เป็นดรุณีสาวชุดแดงวัยสะพรั่ง หน้าตาสะสวย แต่ดวงตาดุร้าย ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด พุ่งกระบี่ใส่จอมมาร นางรอดจากสงคราม แอบติดตามมา เพื่อช่วยบิดา ด้วยบาดเจ็บก่อนหน้า และวิชาตัวเบาไม่ล้ำเลิศ จึงถูกพบเห็น

    "คั่ก...คั่ก...คั่ก... ที่แท้เป็นลูกสาวเยี่ยม่อฉี สวยอย่างนี้ เก็บไว้เล่นดีกว่า..."

    ที่แท้นางคือ หงส์สะคราญ เยี่ยอิ๋งอิ๋ง ธิดาคนเดียวของเจ้าสำนักคุนลุ้น ขึ้นทำเนียบจอมยุทธิ์สามปีก่อน ตำแหน่ง หญิงงามอันดับห้าแห่งบู๊ลิ้ม 

    โค่วเล่าโง้วไม่รู้ใช้ท่าใด ตวัดแขนครั้งเดียว กระบี่นางปลิว ถูกจี้สกัดจุดหลับ ร่างไหลระทวยในอ้อมแขนมัน หยุนเซียวเซียวขยับเท้าแล้วชะงักอย่างรู้จักสถานการณ์

       

    "คั่ก...คั่ก...คั่ก...คั่ก..."

    กระดูกขาวตัวที่ห้า ย่องเข้ามาในห้องพักเล็กๆ ถึงแม้ที่นี่ไม่ใช่สุสานกระดูกขาว ถูกทิ้งร้างไว้ แต่สภาพภายในยังดี บนเตียง ร่างของเยี่ยอิ๋งอิ๋งนอนสลบอยู่ 

    "คั่ก... ของหวาน...ของหวาน..." มันปาดน้ำลายหื่นกระหาย ในบรรดาห้าปีศาจ มันขึ้นชื่อเรื่องบ้านารี ยามนี้ มีหญิงแสนงามทอดกายอยู่เบื้องหน้า งานด้านนอกจึงไม่สนใจอีก

    "มามะ...มามะ...คนสวย..." มันกำลังจะถึงเตียง ข้อเท้าพลันเกี่ยวถูกด้ายขาวที่แอบขึงไว้ จานชามล้มโครมจากโต๊ะ มันหันขวับ แต่หูสำเหนียกเสียงในตู้เก็บของด้านหลัง แม้ตัวจะหันไป แต่สะบัดมืออ้อมมาซัดลมปราณใส่ห้าส่วน ตูม! พลังภายในของมันแปลกพิสดาร สามารถซัดทำลายสิ่งในตู้ได้ โดยบานประตูไม่พัง มันก้าวจะไปเปิด ขาพลันเกี่ยวด้ายอีกหน แจกันใบใหญ่บนตู้ตกลงมา มันหมุนตัวหลบ แล้วซัดฝ่ามือใส่อย่างเมามัน เพล้ง! แจกันระเบิดกลางอากาศ มันแหงนหน้า เท้าสะเอว หัวร่อสะใจ

    "คั่ก...คั่ก...คั่ก... ไม่ได้กินข้าหรอก"

    ตึก!! ก้อนหินลูกหนึ่งพุ่งมาจากรูเล็กนอกหน้าต่าง อาศัยเสียงจานชาม และเสียงแจกัน ก่อกวนสมาธิ เพื่อหลบซ่อนตัว ก่อนใช้เสียงหัวร่อย่ามใจอำพรางเสียงลมปราณ ดีดไปกระแทกแผ่นหลัง สกัดจุดนิ่ง จนมันหัวร่อค้าง หยุนเซียวเซียวโดดเข้ามา ยืนเบื้องหน้ามัน ยิ้มขำใต้หน้ากากนั้น

    "ชั้นเดียวไม่ได้ผล สองชั้นไม่ได้ผล สามชั้นต้องได้แน่!" กระดูกขาวตัวที่ห้า ยามนี้ หมดพิษสง มีแต่สายตากลอกกลิ้ง ลอกแลก จ้องถลึงอย่างเจ็บใจ 

    ผู้สยบมันก้าวไปประคองหญิงสาวขึ้นนั่ง ตบแผ่นหลังบนจุดตื่น "เจ้า...!" เยี่ยอิ๋งอิ๋ง เพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้าย เมื่อได้สติ จึงตวัดมือทันที เขาคว้าข้อมือไว้

    "แม่นางเยี่ย ข้ามาดี โค่วเล่าโง้วถูกสยบแล้ว" 

    เยี่ยอิ๋งอิ๋งมองหน้ากากทองอย่างตะลึง ก่อนผุดลุกขึ้น ก้าวมายืนเบื้องหน้ามัน

    "มารชั่ว คิดข่มเหงข้า ตายซะเถอะ" นางควักมีดสั้นข้างเอว เงื้อขึ้น เขาคว้าข้อมืออีกครั้ง

    "หากเจ้าอยากช่วยบิดา ทำให้มันเปิดปากบอกที่ซ่อน" 

    คำเตือนทำให้ได้สติ เยี่ยอิ๋งอิ๋งลดมือลง มองไปรอบๆ ตัวมัน แววตาอำมหิต แสยะยิ้มหึ ๆ อย่างสะใจ แกว่งใบมีดผ่านหน้ามันช้าๆ ราวกำลังเพลิดเพลินกับเหยื่อในกำมือ

    "อยากกินข้านักใช่ไหม คนอุบาทว์ต่ำช้าอย่างเจ้า หากไม่มีไอของนั่นขึ้นมา จะเจ็บปวดรวดร้าวสักแค่ไหนนะ" ฉึก! ขาดคำ มีดสั้นปาดลงเบื้องล่าง หยุนเซียวเซียวสะพรึง อึ้งไปวูบ ถึงกับเบือนหน้าหนี ปีศาจนารีผู้สูญเสียความเป็นเพศชายกะทันหัน ตาเหลือกโพลง ขนทุกเส้นสั่นระริก ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นจู่โจมทั่วร่าง แต่จะร้องก็มิได้ ขยับก็มิได้ มีเพียงกางเกงท่อนล่างที่เปียกชุ่ม และโลหิตหยดแหมะลงบนพื้น!!

    "คลายจุดให้มันเปิดปาก ข้าอยากได้ยินเสียงร้องทรมานของมัน" นางสั่งเย็นชา

    หยุนเซียวเซียวมองแผ่นหลังของนางนิ่ง หากไม่เห็นกับตาตัวเอง ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด หญิงสาวผู้งามปานนางฟ้า จะมีวิธีโหดเหี้ยม เลือดเย็น ในการทรมานคนเช่นนี้  

    เยี่ยอิ๋งอิ๋ง... คุณหนูแห่งสำนักคุนลุ้น ไม่ธรรมดาเลย!!

    เขาคลายจุดพูด คำแรกที่ได้ยิน เหมือนเสียงโหยหวนของสัตว์ป่า ฟังแล้วชวนสังเวช หญิงสาวที่ไม่อ่อนแออย่างตาเห็น ยิ้มเยาะสะใจ 

    "เป็นไง เจ็บมากล่ะสิ บอกมา ขังพ่อข้าไว้ที่ไหน?"

    "ฆ...ฆ...ฆ... ฆ่าเจ้าาาา..." มันลากเสียงโหยหวน แววตาปีศาจแดงก่ำ

    "เงียบนะ ขืนไม่พูดจะควักลูกตาเจ้า" นางเงื้อมีดอีก เขารีบบอก

    "แม่นางเยี่ย มันเจ็บจนพูดไม่ไหว ควรสกัดจุดห้ามเลือดก่อน"

    "ไม่ต้อง! ฆ่าคนมามากมาย แค่นี้ทำสำออยรับไม่ไหว ข้าจะค่อยๆ เฉือนเนื้อเจ้าออกมาทีละชิ้น ดูซิว่าจะทนได้นานแค่ไหน" 

    หญิงสาวใจเสือ คิดแต่จะใช้วิธีโหดเหี้ยมรีดเค้นคน ทั้งไม่ขอบคุณเขาที่ช่วยเหลือ ทั้งตวาด ไม่แยแสผู้มีคุณ ที่ทำให้นางได้มายืนทรมานคนอยู่เช่นนี้ หยุนเซียวเซียวเห็นว่าตนช่วยนางด้วยจิตสำนึก มิใช่ เป็นลูกน้องนาง มารผู้นี้ เขาเป็นคนสยบได้ ควรมีส่วนในการซักถาม จึงสกัดจุดห้ามเลือดมัน ก้าวมาเผชิญหน้า ไม่สนใจเยี่ยอิ๋งอิ๋งที่ยืนจ้องตาขวาง

    "บอกเราว่าตัวประกันอยู่ที่ไหน ข้าสัญญาจะปล่อยเจ้าไป" 

    โค่วเล่าโง้วแววตาอาฆาต เขารู้ดีว่าหากปล่อยมัน ชีวิตภายหลังไม่มีทางอยู่เป็นสุข แต่เขาไม่ใช่คนตระบัดสัตย์ กลับกลอก บอกปล่อยก็คือปล่อย

    "...ล...หลังศาล..." กระดูกขาวที่ห้าหวังรอด จึงยอมบอกตามจริง...

    ฉึก!! "อย่า...!" หยุนเซียวเซียวขวางไม่ทัน มีดของเยี่ยอิ๋งอิ๋งเด็ดขั้วหัวใจ มันตายในท่ายืนเช่นนั้น เขาหันขวับมาจ้องนาง แวบแรก แทบสะกดกลั้นความเดือดดาลไม่อยู่

    ...คนชั่วอาจสมควรตาย แต่คนดี เมื่อลั่นวาจาออกไปแล้ว สมควรรักษา เขารับปากว่าจะปล่อย นางกลับสังหารตัดหน้า หากไร้วาจาสัตย์ จะต่างอะไรกับพรรคมาร!? 

    "มารชั่ว อยู่ไปก็รกโลก!" เยี่ยอิ๋งอิ๋งพูดใส่หน้าเขา แล้วเดินจากไป ทิ้งหยุนเซียวเซียว ให้ยืนสะกดอารมณ์เพียงลำพัง...




    ...คนผู้นี้น่าสงสัย สวมหน้ากากปิดบังซ่อนเร้น หากเป็นคนดี ใยไม่สู้หน้าผู้คน จู่ๆ ก็โผล่มา ช่วยเราอาจจะเป็นอุบาย อย่าเอามันไปดีกว่า...

    ขณะมุ่งหน้าไปหลังศาล เยี่ยอิ๋งอิ๋งเดินนำหน้า จิตใจหวาดระแวง แม้นเคยยินชื่อจอมยุทธ์หน้ากากทอง แต่ไม่เคยคิดศรัทธาเลื่อมใส คิดแล้วแสร้งทำเป็นเจ็บท้อง ทรุดลงไปนั่ง หยุนเซียวเซียวก้าวมา นางหันวูบตวัดมีดปาดต้นขา หมายจะให้เจ็บปวดเสียหลักก่อน แล้วค่อยสกัดจุด มิคาด เขาไวกว่านาง ยกเท้าสลับข้าง เตะข้อมือมีดปลิวไป พอลุกก็ถูกจี้จุดทันที จอมยุทธ์หน้ากากทองระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อเห็นอิทธิฤทธิ์นางในห้อง เยี่ยอิ๋งอิ๋งหน้าซีด แววตาคู่นั้นจ้องมองอย่างเครียดขรึม 

    "ใจคนยากแท้หยั่งถึง! เจ้าระแวงข้าพอเข้าใจ แต่ลงมือเช่นนี้ มิเพียงโง่เขลา ยังไร้คุณธรรม แม่นางเยี่ย ฝ่ายธรรมะถือสัจจะกตัญญู เจ้าเหี้ยมโหดเนรคุณ ข้าจะถือว่า เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ขออภัย ที่ไม่อาจร่วมทางด้วยได้"

    หยุนเซียวเซียวบอกเสียงเย็น แล้วผละไป เดินไปห้าก้าวก็ถอดใจ ใจดำไม่พอทิ้งนางเป็นเหยื่อ จึงพาไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัยก่อน



    เสียเวลากับเยี่ยอิ๋งอิ๋งจึงมาล่าช้า พบว่า หลังศาลเจ้าทำการแลกเปลี่ยนกันแล้ว 4 ภูติกระดูกขาว ยืนอยู่หน้าโลงศพใบใหญ่สามใบ บุรุษหน้าตาคมสัน ชุดขาว ถือพัดโบก สั่งการให้ลูกน้องสิบกว่าคนนั้น หาบโลงไป ส่วนตนเองเดินนำหน้าไปก่อน

    กลิ่นหอมโบตั๋นลอยมา เป็นคนวังจันทราไม่ผิดแน่ ตวนหมิ่น...! หยุนเซียวเซียวอุทานในใจ บุรุษหนุ่มผู้มารับคน คือ ธิดาเทพ แปลว่า วังจันทราทำการซื้อขายจริงๆ

    โค่วโกวงั้งถือกระบี่หยาดโลหิต กลับเข้าไปข้างในกับพรรคพวก หยุนเซียวเซียวไม่รอช้า ลอบติดตามขบวนทัพวังมารไป...

    ออกจากศาลเจ้า ผ่านป่าใหญ่ กลายเป็นอีกเส้นทางที่ไม่รู้จัก จอมยุทธ์หน้ากากทองล่อลูกหาบที่เดินหลังสุดออกมา ทำให้สลบ แล้วเปลี่ยนชุด สวมรอยไปเดินต่อแทน (เก็บหน้ากาก และชุด ไว้ในหลังเสื้อ) อนึ่ง สาวกวังจันทรามีแต่สตรี คนหาบกลับเป็นบุรุษล้วน เดาว่า ตวนหมิ่น ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ จึงจ้างคนนอก

    หยุนเซียวเซียวคิด ที่ตั้งวังมารซับซ้อน แม้คืนนี้จะเปิดให้เข้า แต่เขามิอาจรอได้ ชีวิตอาจารย์อยู่ในกำมือมัน อีกสองผู้นำก็ถูกจับเพิ่ม พวกมันจับคนก่อนงานจะเริ่ม แปลว่า มีแผนการใหม่ เขาไม่อาจรอจนถึงยามสาม เพราะเกรงวังมารกุมทุกอย่างไว้หมดแล้ว หากเข้าวังเวลานี้ สถานการณ์ย่อมพลิกได้ คิดแล้ว จึงแฝงกายต่อไป...

    4 ภูติกระดูกขาว มาพบศพน้องเล็ก แค้นใจอย่างมาก มั่นใจเป็นฝีมือเยี่ยอิ๋งอิ๋ง จากที่ตั้งใจจะกลับสุสาน เบนเป้าหมายล่าขบวนทัพวังมารแทน เพื่อสังหารเยี่ยม่อฉี แก้แค้นให้โค่วเล่าโง้ว รวมถึงเยี่ยอิ๋งอิ๋ง ซึ่งอาจไปช่วยบิดา... เยี่ยอิ๋งอิ๋งถูกหยุนเซียวเซียวซ่อนไว้ในตู้เก็บของนั้นเอง (ที่ที่อันตรายที่สุด คือ ที่ที่ปลอดภัยที่สุด) พวกมันไม่ค้นหา จุดนางยังไม่คลายออก ได้ยินทุกประโยค วูบหนึ่ง เกิดสำนึกเสียใจที่สังหารมัน เป็นเหตุให้บิดารับเคราะห์ พาลเกลียดมาถึงจอมยุทธ์หน้ากากทอง ที่ไม่สังหารพวกมันให้สิ้นซาก!



    ฝ่ายเถี่ยหลงอัน รอจนเพ่ยอิงเจี๋ยฟื้น จึงชวนกันไปดักรอขบวนง่อไบ๊ที่เนินหกลี้ แม่ชีโกวบ๊วยนำคนทั้งหลายมาถึงพอดี จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

    "ว่าไงนะ ท่านเพ่ย เจ้าสำนักเยี่ย และประมุขตู้ ถูก 5 ภูติกระดูกขาวจับไป!?" นักพรตโกวคาดไม่ถึง ค่อนข้างพิศวง

    "ทั้งสามล้วนฝีมือสูง ทำไมเสร็จห้าภูติง่ายๆ" เมี่ยวฟงแปลกใจ

    "ไม่รู้พวกมารใช้วิชาอะไร ทำให้สามพรรคจับอาวุธห้ำหั่นกันเอง แล้วฉวยโอกาสตอนทุกคนบอบช้ำ จับตัวท่านทั้งสามไป อ้อ... คุณหนูเยี่ยก็หายไประหว่างต่อสู้ด้วย" เถี่ยหลงอันเล่า เยี่ยอิ๋งอิ๋งมีศักดิ์เป็นศิษย์น้อง แต่นิสัยนางเย่อหยิ่ง ถือตัว จึงไม่สนิทกัน

    "แล้วพวกท่าน รอดมาได้ยังไงคะ" ซุนยีหนันถาม เพ่ยอิงเจี๋ยตามองนางตลอดเวลาอยู่แล้ว ชิงตอบแทน

    "เพราะข้ามีไหวพริบ หนีออกจากการต่อสู้ เอ่อ...ข้าก็จำไม่ค่อยได้หรอก รู้แต่ว่า การเห็นศิษย์ร่วมสำนักฆ่ากันเอง มันช่างเจ็บปวดทรมานนัก" ศิษย์เอกบู๊ตึ๊งทำหน้าเศร้า

    เถี่ยหลงอันมองอึ้งๆ เขาจำได้ดี ตอนสามพรรคห้ำหั่นกันเอง เพ่ยอิงเจี๋ยตวัดกระบี่เร็วกว่าใคร ฆ่าอย่างเมามันมาก ศิษย์น้องร่วมสำนัก ไม่รู้กี่ราย ตายในเงื้อมมือเขา! เพ่ยอิงเจี๋ยฟื้นมาจำไม่ได้ เขาก็ไม่อยากบอกให้สะเทือนใจ 

    "ตัวข้าเกือบจะตาย ดีที่ได้จอมยุทธ์หน้ากากทองช่วยไว้" เถี่ยหลงอันไม่ยกยอตัวเองเหมือนศิษย์บู๊ตึ๊ง เล่าถึงความดีของผู้มีพระคุณ 

    "จอมยุทธ์หน้ากากทอง!!" เหลียนเฟิ่งหวงโพล่งอย่างตื่นเต้น ยินดี ด้วยชื่อนี้ เป็นจอมยุทธ์ขวัญใจนางมาเนิ่นนานแล้ว วีรชนผู้กล้า แบบอย่างตำนานวีรบุรุษ มิเพียงทำดีไม่หวังผล ทั้งบุคลิก ลักษณะนิสัย ล้วนถูกชื่นชม แง่มุมดีๆ กล่าวขานมาเข้าหูบ่อย นางใคร่ปรารถนายลชมตัวจริง หรือเพียงพบปะสักครั้งในชีวิต ก็เป็นปลาบปลื้ม

    ขณะเหลียนเฟิ่งหวงถามที่มาที่ไปของจอมยุทธ์หน้ากากทองด้วยใจเต้นแรง เหยาฟ่งอิงครุ่นคิดเงียบขรึม ...เนินเขาทะยานเมฆอยู่เบื้องหน้าไม่ไป กลับเลือกหนทางลำบาก สมเป็นหยุนเซียวเซียวจริงๆ  

    "เมื่อครู่ จ้าวยุทธ์สั่งพรรคกระยาจกมาส่งข่าว กลุ่มประมุขหลาน พบอุปสรรคเล็กน้อย แต่ถึงเนินเขาทะยานเมฆแล้ว ข้าฝากบอกเรื่องที่เราถูกโจมตี คิดว่า อีกเดี๋ยว คงส่งคนมาช่วย" เถี่ยหลงอันบอก 

    "แค่ห้าภูติกระดูกขาว ต้องขนคนมาเยอะทำไม พวกเราก็เหลือเฟือแล้ว" เมี่ยวฟงบอก

    "ข้าก็ร้อนใจ อยากช่วยท่านพ่อเร็วๆ ชักช้าอาจไม่ทัน" เพ่ยอิงเจี๋ยบอก

    "สุสานกระดูกขาวอยู่ไม่ไกล งานวังมารก็เริ่มค่ำ งั้นเราไปช่วยคนก่อน ค่อยไปเนินเขาทะยานเมฆ" นักพรตโกวตัดสินใจ ให้ติงหลิงนำศิษย์ง่อไบ๊ไปจุดนัดพบ แจ้งข่าวแก่จ้าวยุทธ์ ว่าจะไปช่วยเหลือสามสำนัก ที่เหลือ มุ่งหน้าสุสานกระดูกขาว...



    ระหว่างทาง เดินเกาะกลุ่มไปเป็นคู่ นักพรตโกวบ๊วย กอน่ำเอ็ง นำหน้า ตามด้วย เมี่ยวฟง เหลียนเฟิ่งหวง ต่อมา เพ่ยอิงเจี๋ย ซุนยีหนัน ปิดท้ายด้วย เถี่ยหลงอัน เหยาฟ่งอิง

    "แม่นางเหยา พี่หยุนไม่มาด้วยเหรอ" เถี่ยหลงอันชวนคุย รู้สึกดีใจมากที่พบนาง 

    "อ๋อ เขาล่วงหน้ามาก่อนนานแล้ว ป่านนี้ คงถึงเขาทะยานเมฆ" 

    "พี่หยุนเซียวเพิ่งผาดโผน กล้าท่องยุทธภพคนเดียว ช่างกล้าหาญ" เถี่ยหลงอันชมจากใจ ที่จริง อยากชวนคุยเรื่องนาง แต่อายไม่กล้าเริ่มต้น เหยาฟ่งอิงยิ้มขำคำพูดเขา

    "น้องยีหนัน ดีใจที่เจ้าไปช่วยบิดาพร้อมกับข้า" เพ่ยอิงเจี๋ย ตั้งใจมาเดินคู่ศิษย์สาวง่อไบ๊ และไม่ขี้อายเหมือนเถี่ยหลงอัน ประโยคแรกก็ทำนางสะดุดใจ 

    "6 พรรค 7 สำนัก ควรช่วยเหลือกัน อีกทั้ง อาจารย์เป็นผู้สั่งการ" ซุนยีหนันตอบวางตัว

    "เอ่อ... ทางข้างหน้าอันตราย เจ้าจงอยู่ใกล้ๆ ข้า จะได้ช่วยเหลือคุ้มครองกัน" เพ่ยอิงเจี๋ยยังรุกต่อ หญิงงามฟังออก เริ่มอึดอัดใจ แต่ต้องรักษามารยาท

    "ถึงข้าฝีมืออ่อนหัด แต่มีอาจารย์อยู่ด้วย ท่านอย่าเป็นห่วงเลย" ตอบนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ศิษย์บู๊ตึ๊ง ผู้หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น อึ้งไปวูบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

    "จอมยุทธ์หน้ากากทอง...จอมยุทธ์หน้ากากทอง..." เหลียนเฟิ่งหวงยิ้มแย้มแจ่มใส พึมพำชื่อจอมยุทธ์ขวัญใจตลอดทาง เมี่ยวฟงมองเขม่นอย่างหมั่นไส้

    "ท่องเข้าไป ท่องเข้าไป จะท่องจนถึงสุสานกระดูกขาวเลยไหม ฟังแล้วเอียนเป็นบ้า"

    "อ๋อ พอรู้ว่าท่านจอมยุทธ์หน้ากากทองจะมา หนาวๆ ร้อนๆ ไฟเหมือนลุกออกตาใช่รึเปล่า ไม่แปลก คนเขาเก่งกว่าท่าน ดังกว่าท่าน นิสัยดีกว่าท่าน เหนือกว่าท่านทุกด้าน เมี่ยวฟงผู้ทระนงตน ถูกรัศมีท่านจอมยุทธ์ข่มจนอิจฉาตาร้อนแล้ว คิก คิก..." คุณหนูเหลียนหยอกล้ออย่างสนุกสนาน เด็ดกิ่งไม้ข้างทางมาถูหน้า สหายหนุ่มจอมโผงผาง เอามือปัดไล่

    "พอๆๆๆ มีอะไรน่าอิจฉา วันๆ เอาแต่สวมหน้ากาก แสดงป่าหี่สองสามท่า แล้วได้ขึ้นทำเนียบลมปาก เชอะ จอมยุทธ์บ้าไรไม่กล้าเผยโฉม คลั่งไคล้มันเข้าไปเถอะ ภายใต้หน้ากากสีทองนั้น ข้าว่า ต้องเป็นเจ้าอัปลักษณ์ หน้าตาน่าเกลียด ไม่ก็ตาแก่หนังเหี่ยวย่น ปลอมอายุหลอกคนแน่เลย ฮะ ฮะ" 

    "ชะ สู้เขาไม่ได้ ทำมาปากดี คอยดูนะ ถ้าเจอตัว จะบอกเขาว่าท่านอยากประลองด้วย"

    "เชิญเลย เชิญเลย อยากเจออยู่แล้ว เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ จะใช้ท่าเท้าวายุ เตะกลิ้งลงจากทำเนียบชั้นจอมยุทธ์เลย คอยดูสิ เฮอ เฮอ เฮอ" เมี่ยวฟง ไม่ใช่คนจิตริษยาเหมือนประมุขน้อย แค่หมั่นไส้ชื่อเสียง "จอมยุทธ์หน้ากากทอง" และไม่ชอบพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ อำพรางตัว ซึ่งดูขัดกับบุคลิกจอมยุทธ์ที่ควรเปิดเผยต่อกัน


    PA
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×