ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมยุทธ์หน้ากากทอง [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #7 : ค่ำคืนอันแสนปั่นป่วน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.99K
      44
      10 ส.ค. 64

    ยามค่ำ ณ ตำหนักเขียวขจี

    เหล่าชาวยุทธ์รุ่นเยาว์ ขบวนบุกวังจันทรา พากันย้อนกลับมา หลังประสบความล้มเหลวในการหาที่ตั้ง แถมถูกรุมโจมตีหนักจนได้รับบาดเจ็บไปหลายคน ไฉจิ้งฟง เกาฮวยเอี้ยน และกุ้ยอู่ เป็นสามคนที่อาการหนักที่สุด ต้องนอนพักรักษาตัว ดีที่ตำหนักเขียวขจี วิชาแพทย์ล้ำเลิศ หนึ่งในแผ่นดิน ทั้งยา และหมอเทวดาล้วนประจำอยู่ ท่านหญิงโอวหยางซือซือสั่งให้ดูแลรักษาสุดความสามารถ

    เพราะคืนพรุ่งนี้ จะถึงงานโค่นหมัดพยัคฆ์ เหล่าผู้นำของ 6 พรรค 7 สำนัก จึงเริ่มทยอยมาสมทบ ตำหนักเขียวขจี คึกคัก คลาคล่ำ ของจริง คล้ายงานชุมนุมยุทธจักรก็ไม่ปาน นอกจากคนเจ็บทั้งสามแล้ว ทุกคนที่เหลือล้วนอยู่ห้องโถงใหญ่ 

    ประมุขน้อยเหลียนเฉิงปี โอวหยางชิง และโอวหยางซือซือ เป็นเจ้าภาพต้อนรับแขก... 
    หูฮุ่ยเฉียง กัวเทียนเซิ่ง เว่ยจาจี่ เถี่ยหลงอัน เมี่ยวฟง เหยาฟ่งอิง ก็อยู่พบปะสนทนาด้วย
     
    ผู้ที่มาแล้ว เรียงตามลำดับก่อนหลัง คือ ไต้ซือหย่งเจิน รองเจ้าอาวาส ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักเส้าหลินชั่วคราว / เยี่ยม่อฉี เจ้าสำนักคุนลุ้น / สือกั๊วหวิน เจ้าสำนักคงท้ง / จั๋วเฟ่ยทง เจ้าสำนักจงน้ำ / หลิวคัง เจ้าสำนักเตียมซัง / กอเล่าตั่ว ประมุขพรรคกระยาจก และล่าสุด คือ หลานซีหลัว ประมุขหมู่บ้านดาวตก ณ ที่แห่งนี้ กลายเป็นแหล่งรวมยอดฝีมือฝ่ายธรรมะไว้มากที่สุด ยังไม่นับรวม เจ้าถิงฟง จ้าวยุทธ์หมู่ตึกเทพกระเรียน / เหลียนปิง พ่อบ้านป้อมพยัคฆ์คำราม / ตู้เทียนต้า ประมุขพรรคอักษรกระบี่ / เตียโกวฮวง เจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง / แม่ชีโกวบ๊วย เจ้าสำนักง่อไบ๊ ที่ยังมาไม่ถึง ส่วน โอวหยางซีอิม ประมุขตำหนักเขียวขจี ติดภารกิจสำคัญในวังหลวง จึงไม่อาจปลีกตัวมาร่วมได้ 

    "ข้าไร้ความสามารถ... สืบหาที่ตั้งวังจันทราไม่พบ จำต้องยอมให้มันเปิดชุมนุม พาตัวท่านพ่อมาขึ้นเขียง ช่างเป็นลูกอกตัญญูโดยแท้" เสียงขุ่นแค้นของเหลียนเฉิงปี ซึ่งพูดกับไต้ซือหย่งเจิน เรียกความสนใจของผู้ที่คุยกันอยู่ให้หันมามอง 

    "อามิตตาพุทธ... ประมุขน้อยอย่าเพิ่งสิ้นหวัง และอย่าโทษตัวเองเลย งานโค่นหมัดพยัคฆ์ยังไม่ผ่านพ้น โอกาสต้องมีแน่นอน ขอเพียงพวกมันเปิดวัง... 6 พรรค 7 สำนักบุกพร้อมกัน ไม่เชื่อมันจะสังหารผู้นำทั้งสองได้"

    "เกรงก็แต่จะเป็นกลลวง ล่อพวกเราไปติดกับน่ะสิ" สือกั๊วหวินแห่งคงท้งเอ่ยห้าวๆ

    "เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้น?" จั๋วเฟ่ยทงแห่งจงน้ำถาม

    "ก็จนป่านนี้ ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าไต้ซือซิหมิง กับประมุขเหลียน อยู่ในมือวังจันทราจริงหรือไม่ พวกมันมีแต่เทียบเชิญ ไม่มีหลักฐานยืนยันสักหน่อย คิดดูสิ มันน่าเชื่อไหม"

    "ถึงวังจันทรากำแหงแค่ไหน คงไม่กล้าเปิดงานชุมนุมโดยไม่มีตัวประกันหรอก อีกอย่าง ถ้าทั้งสองไม่ถูกมันจับไป จะไปอยู่ที่ไหน หาทางอื่น ไม่ยิ่งไร้เบาะแสกว่าเหรอ" หลิวคังแห่งเตียมซังพูดบ้าง

    "มีคนก็บุก ไม่มีคนยิ่งต้องบุก! 4 มารกำเริบเสิบสาน คิดท้าทายอำนาจเรา ปล่อยไว้ไม่ได้ ในงานยังมีอีก 3 มารด้วย ก็ดี จะได้ถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้น" เยี่ยม่อฉีแห่งคุ้นลุ้นพูดเสียงกร้าว

    "ครึ่งเดือนมานี้ ข้าสั่งลูกศิษย์ทุกสาขาร่วมกันตามหาอย่างเต็มที่ แปลกมาก ที่มีเบาะแสมากมาย กลับไม่มีอันไหนที่เป็นของจริงเลย ราวกับข่าวลือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปั่นป่วน" กอเล่าตั่วแห่งพรรคกระยาจก ลุกจากเก้าอี้ เดินมากลางวง

    "วังจันทราต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ให้พวกท่านสืบข่าวได้ เพื่อจะรอวันนี้ไม่น่าแปลก อันที่จริง จะวังจันทรา หรือ 3 มาร ร่วมมือกัน คืนพรุ่งนี้ ก็ต้องดับสลาย กลายเป็นผงธุลีทั้งหมด ไม่น่าต้องมาหนักใจกระไร" หลานซีหลัวแห่งหมู่บ้านดาวตก เป็นเพียงคนเดียวที่นั่งไขว่ห้าง จิบชา บอกมาเรียบๆ ด้วยสีหน้าเฉื่อยชา ราวกับเบื่อบรรยากาศ

    "ประมุขหลานพูดถูกใจข้า" เหลียนเฉิงปีตอบห้าวหาญ ก้าวเข้ามาหา "ความจริงเรื่องนี้ ไม่ต้องถึงมือจ้าวยุทธ์ แค่พวกเรา...ก็พอแล้ว" ประโยคหลัง น้ำเสียงออกหยิ่ง

    "ไม่น่าจะพอมั้ง! ถ้าพอ...คงพบประตูทางเข้าวังไปแล้ว ข้าว่า ให้คนหมู่ตึกเทพกระเรียนมาช่วยดีกว่า ถ้าเป็นหยางฝานผู้สายตาแหลมคม น่าจะพอมองออกว่ามันอยู่ตรงไหน"

    จู่ๆ เมี่ยวฟงก็โพล่งกวนประสาทประมุขน้อยจนหลายคนแปลกใจ เหลียนเฉิงปีหันจ้องหน้า ศิษย์เอกหมู่บ้านดาวตกทำลอยหน้าเมินไปทางอื่น 

    ที่จริง เมี่ยวฟงหมั่นไส้ประมุขน้อยหลายครั้งแล้ว ตอนออกศึกร่วมกัน ทั้งตรงทางลับที่ไม่ยอมทิ้งรหัสไว้ เป็นโอวหยางชิงที่แอบทำเครื่องหมายชี้นำพวกเขา ระหว่างเดินทางก็มีแต่สั่งคนโน้นคนนี้ แถมยังเผด็จการไม่รับฟังความเห็น ที่หลุดเข้าไปกลางวงล้อมศัตรู จนศิษย์น้องสองคนของเขาต้องบาดเจ็บหนัก ก็เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด ไม่ยอมฟังใครของเหลียนเฉิงปีนั่นเอง ถึงเขาจะอ้างว่าในกลุ่มมีไส้ศึก ก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี

    การสนทนาเริ่มดังขึ้นอีกครั้งในหมู่ผู้นำพรรค หญิงสาวสองนางกลับมานั่งทอดถอนใจพร้อมกันอยู่ในมุมเงียบๆ ของห้อง โดยไม่สนใจใคร โอวหยางซือซือ และเหยาฟ่งอิง

    "คิดถึงคุณชายหยุนหรือ?" ท่านหญิงเป็นฝ่ายถามก่อน

    "ท่านก็คิดถึงเฟิ่งหวงใช่ไหม?" นางถามกลับ ท่านหญิงถอนหายใจ

    "ถ้าผ่านรัตติกาลนี้ เฟิ่งหวงไม่กลับมา คงร้ายมากกว่าดี"

    "ถึงข้าวางใจในตัวหยุนเซียวแค่ไหน แต่ตอนนี้ยอมรับจากใจ ข้าชักเป็นห่วงเขามากมายเสียแล้ว" สองสาวสบตา ก่อนจับมือกันไว้อย่างคนหัวอกเดียวกัน ภาวนาให้ทั้งคู่กลับมา

        

    "พี่เซียว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม เราแวะทานข้าว เปลี่ยนชุดกันก่อนเถอะ"

    หยุนเซียวเซียว กับ เหลียนเฟิ่งหวง เอาตัวรอดจากวังจันทรามาได้ แม้ถูกไล่ล่าเกือบตลอดทาง ทั้งสองต่อสู้จนเหน็ดเหนื่อย เนื้อตัวมอมแมม สูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย

    "อีกนิดเดียว ก็จะถึงตำหนักแล้วนะ" 

    "ข้าไม่อยากเจอพี่ใหญ่ กับทุกคนในสภาพนี้ อีกอย่าง เราเดินมาตลอดทาง ไม่ได้พักเลย ท้องข้าเริ่มหิว" นางยกมือลูบท้อง แววตาเว้าวอนเหมือนเด็ก เขายิ้มขำๆ แต่ก็พยักหน้า

    มิคาด เพียงก้าวแรกผ่านประตู ก็ได้ยินเสียง โครม...! ทั้งสองหันมอง โต๊ะอาหารถูกคว่ำ จานชามแตกกระจาย เถ้าแก่ กับ เสี่ยวเอ้อ รีบมุดใต้โต๊ะ เมื่อลูกค้าชาวยุทธ์เพียงโต๊ะเดียวในค่ำคืนนี้ ทีแรกก็นั่งรับประทานกันปกติ จู่ๆ ไม่รู้เกิดผีเข้าหรือเป็นบ้าไร คนที่อายุมากสุดบนโต๊ะ กลับชักอาวุธออกมา ตวาดว่า แล้วลงมือกับหญิงสาวทั้งสาม แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

    "มารชั่ว! ตายซะเถอะ" แม่ชีโกวบ๊วย เจ้าสำนักง่อไบ๊คนปัจจุบัน ชักกระบี่อิงฟ้า (กระบี่ประจำสำนัก) พุ่งใส่หญิงสาวชุดม่วง ศิษย์สาวคนโต กอน่ำเอ็ง 

    "อาจารย์ ข้าไม่ใช่นะ..." กอน่ำเอ็งถอยหลัง ยกกระบี่ขวาง ต้านทานกระบี่อิงฟ้าอันกราดเกรี้ยว ศิษย์สาวอีกสองคนที่ยืนอยู่ พยายามร้องเรียก แต่ไม่กล้าเข้าขัดขวาง

    "เอ๊ะ นั่น... แม่ชีโกวบ๊วย เจ้าสำนักง่อไบ๊ กับเหล่าศิษย์นี่นา ทำไมถึงต่อสู้กันเองล่ะ" 

    เหลียนเฟิ่งหวงโพล่งอย่างงุนงง หยุนเซียวเซียวก็เช่นกัน เขาลากคุณหนูเหลียนถอยห่างจากรัศมี เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องภายในสำนัก คนนอกไม่ควรยุ่งเกี่ยว

    "อาจารย์ ท่านเป็นไรไปคะ อาจารย์..." 

    ดรุณีชุดสีชมพู รูปโฉมงดงาม กริยาท่าทางอ่อนหวาน เข้ามาช่วยศิษย์พี่ใหญ่ นางคือ ซุนยีหนัน วัยสิบเก้าปี ฉายา กระบี่นงคราญ ศิษย์เอกคนที่สามของสำนัก และครองตำแหน่ง หญิงงามอันดับสามแห่งบู๊ลิ้ม 

    "มารชั่ว อย่าอยู่เลย!" เมื่อถูกรั้งแขน อาจารย์จึงหันมาโจมตีนางแทน ซุนยีหนันถอยหนี ไม่ต่อกรเหมือนศิษย์พี่ กอน่ำเอ็งเห็นนางถูกอาจารย์รุกไล่ ก็ไม่ช่วยเหลือเหมือนที่ศิษย์น้องทำ กลับยืนมองเฉย... หยุนเซียวเซียวจำต้องสอดมือเข้ามา เพราะเห็นแน่ชัดว่า แม่ชีโกวบ๊วย จำลูกศิษย์ตัวเองไม่ได้ เขาดึงร่างงามพ้นจากคมกระบี่ ก้าวมาขวางแทน ยกมือคำนับตามมารยาทก่อน

    "อาวุโสโกวบ๊วย มีอะไรค่อยพูดค่อยจา"

    "มารร้ายโผล่มาอีกคนแล้ว จงตายซะ!" ภาพที่เจ้าสำนักง่อไบ๊เห็น หาใช่ตัวหยุนเซียวเซียวไม่! กลายเป็นคนชั่วฝ่ายอธรรมในอดีตที่เคยรบราด้วย เพราะเห็นว่าเป็นศัตรูเก่าจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจ กระบี่อิงฟ้า ยอดศาสตราวุธในตำนาน อาวุธคู่กายของเจ้าสำนักง่อไบ๊ทุกรุ่น เปล่งอานุภาพสะท้านสะเทือนสมศักดิ์ศรี ฟาดฟันทีเสียงดัง ...เฟี้ยวเฟี้ยว... ดุจจะกรีดทุกสิ่งให้พินาศดับสิ้นไป โต๊ะ และเก้าอี้ ถูกฟันขาดท่อน หยุนเซียวเซียวไม่มีโอกาสชักกระบี่นิลหยก แค่หลีกหลบคมกระบี่ก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคิด ตัดสินใจโดดออกนอกประตู เพราะเกรงว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ อาจพังทลาย ด้วยฤทธิ์กระบี่ในมือนาง  

    "พี่เซียว..." เหลียนเฟิ่งหวงร้อง วิ่งตามออกไป

    "ห้ามทำร้ายอาจารย์" ศิษย์ทั้งสามร้อง วิ่งออกมาเช่นกัน 

    ด้านนอก บนถนนร้าง แม่ชีโกวบ๊วยแววตาดุจผีเข้า ขานชื่อเขาเป็นใครอีกคน ซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าในอดีตเช่นกัน หาว่ายังไม่ตาย หยุนเซียวเซียวงงหนัก เจ้าสำนักง่อไบ๊มิเพียงเห็นหน้าคนอื่นเป็นศัตรู ยังสลับภาพใบหน้าศัตรูทุกชั่ววูบ มันเรื่องประหลาดอะไรกันแน่!?

    ไม่เสียเวลาคิดมากความ เมื่อกระบี่อิงฟ้าพุ่งมา มีแต่ต้องชักกระบี่ต้านรับ หากไม่ต้องการต่อสู้ กับคนอื่น...เขาไม่ชักกระบี่ได้ แต่การอ่อนข้อ นอบน้อมให้กับคู่ต่อสู้ที่มีกระบี่อิงฟ้าในมือ เท่ากับรนหาที่ตาย! หยุนเซียวเซียวตอนแรกคิดเพียงอยากระงับเหตุ ถึงตอนนี้ มิเพียงเหตุแก้ไม่ได้ ยังพาชีวิตตัวเองเสี่ยงตายบนปากเหว ใครจะคิด แม่ชีโกวบ๊วย เห็นคนก็จะฆ่าไปหมด!! 

    ยามต่อสู้กับสาวกพรรคมาร หรือแม้แต่ธิดาเทพวังจันทรา เขาแสดงฝีมือออกมาไม่ถึงเจ็ดส่วน เพราะต่อหน้าคุณหนูเหลียนผู้เจนจัดยุทธภพ เขากลัวจะถูกสงสัย หยุนเซียวเซียว ศิษย์คนรองพรรคอักษรกระบี่ มีวิชายุทธ์ธรรมดาอยู่ในขั้นดี แต่ "จอมยุทธ์หน้ากากทอง" ผู้ออกท่องยุทธภพ อภิบาลคนดี ฝีมือเหนือกว่าห้าเท่า เพราะวิชาที่ใช้ อยู่นอกเหนือการสอนของอาจารย์ เป็นเคล็ดวิชาที่เขาศึกษา คิดค้น ประยุกต์ขึ้นเอง และหากยามนี้ เขาไม่ทุ่มเทพลังแท้จริงออกมาสักแปดส่วน เห็นที... คงไม่มีชีวิตรอดไปจากที่นี่!

    จึงเป็นสาเหตุให้เหลียนเฟิ่งหวงตะลึงตาค้าง แปลกใจยิ่งนัก เหตุไฉน จอมยุทธ์ของนาง ผู้รบพุ่งมาทั้งวัน จึงได้มีพลังแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ฝีมือสูงส่งราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้?

    เสียงกระบี่ประสานกันดัง เคร้ง...เคร้ง... ฝ่ายหนึ่งดุดัน อำมหิต อีกฝ่ายสู้อย่างมีสติ ใช้ปัญญา ดีที่ในมือของหยุนเซียวเซียว คือ กระบี่นิลหยก ไม่ใช่กระบี่บิ่นๆ (บิ่นเพราะดาบจันทร์เสี้ยวของเหลียนเฉิงปี) ของตน แม้นชื่อชั้นไม่เท่ากระบี่อิงฟ้า แต่ก็ถือว่าแข็งแกร่งพอต้านไหว เขาพยายามเลี่ยงการปะทะ หาช่องโหว่โจมตี สยบจุดเทียนจง(จุดนิ่ง) ของแม่ชีโกวบ๊วย ด้วยเป็นทางเดียวที่จะให้หยุดมือ

    แม้นอยู่ในภาวะคับขัน ซุนยีหนันยังมองเขาละเอียด ชายผู้นี้ ฝีมือแม้ไม่ถึงขั้นหยางฝาน หรือเหลียนเฉิงปี แต่ทักษะทางร่างกาย และไหวพริบปฏิภาณเข้าขั้นยอดเยี่ยม ไม่ด้อยกว่าเลย คนเก่งแบบนี้ อยู่ในยุทธภพ ต้องเป็นจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้า เหตุใด นางจึงไม่รู้จัก? อยู่กับคุณหนูเหลียนแห่งป้อมพยัคฆ์คำรามได้ แปลว่าไม่ใช่คนชั่ว หรือว่า เพิ่งออกท่องยุทธภพ?

    หยุนเซียวเซียวมัวพะวงแต่กับกระบี่อิงฟ้า หารู้ไม่ว่าพลังสายลมปราณของสำนักง่อไบ๊ก็มีพิษสง เขาหลบคมกระบี่หนึ่งพ้น กลับไม่พ้นมืออีกข้าง "ฝ่ามือกวนอิม" สุดยอดวิชาสายลมปราณของสำนัก ซัดใส่กลางทรวงอกอย่างจัง ถึงกับลอยไปกระแทกกำแพงเสา ฟุบลงนั่งกับพื้น ยกมือนาบอก กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง!!  

    "พี่เซียว..." เหลียนเฟิ่งหวงร้องสุดเสียง วิ่งเข้ามาหา หยุนเซียวเซียวต้องรีบสกัดจุดจิวเหว่ย เพื่อคุ้มครองชีพจรหัวใจไว้  

    "จอมมาร... ข้าจะส่งเจ้าไปนรก!!" แม่ชีโกวบ๊วยลอยพุ่งมาด้วยความเร็ว หมายจะสังหารให้จบเรื่อง หยุนเซียวเซียวผลักเหลียนเฟิ่งหวงออกไป เตรียมพร้อมปะทะกระบี่ มิได้คิดฆ่าตัวตาย เขาพบหนทางสกัดจุดเทียนจง ด้วยไหวพริบชั่ววูบ  

    "อาจารย์... อย่า..." ซุนยีหนันร้องสุดเสียง ไม่ประสงค์เห็นเขาตาย! ผิดคาด แม่ชีโกวบ๊วยพุ่งไปเกือบถึงตัวแล้ว กลับลอยกระเด็นออกมา ศิษย์ทั้งสามวิ่งไปรับพร้อมกัน  

    "อาจารย์... อาจารย์คะ...?" แม่ชีโกวบ๊วยอึกอักอะไรคำหนึ่ง ก่อนสลบไปในอ้อมแขนของซุนยีหนัน ศิษย์ทั้งสามเขย่าเรียกอย่างไม่เข้าใจ หยุนเซียวเซียวเบิกตากว้าง หันขวับ... แหงนหน้ามองบนหลังคาด้านหลัง เงาดำหนึ่งวูบหลบไป!? 

    "เข็มพิษ!!" ติงหลิง ศิษย์เอกคนรองดึงเข็มดำยาวสองนิ้วที่ปักหน้าอกอาจารย์ออกมา

    "ต่ำช้า บังอาจใช้พิษทำร้ายอาจารย์ ตายซะเถอะ" กอน่ำเอ็งใจร้อนวู่วาม ไม่ไถ่ถามก็คิดล้างแค้น "หยุดนะ...!" เหลียนเฟิ่งหวงขวางหน้า ปะทะกระบี่กับกอน่ำเอ็งแทน... 

    "ศิษย์พี่ใหญ่ รีบพาอาจารย์ไปตำหนัก ให้หมอโอวรักษา" ซุนยีหนันร้องตะโกน ใจหนึ่งห่วงอาจารย์ อีกใจปกป้องเขา... เหตุการณ์เป็นอย่างไรแน่ นางก็ยังงง แต่เขาเคยช่วยชีวิตนางไว้ ถือว่าตอบแทนบุญคุณ 

    "ค่อยคิดบัญชีกับเจ้า" กอน่ำเอ็งกล่าวอาฆาต เหล่าศิษย์พาแม่ชีโกวบ๊วยจากไป

    "พี่เซียว... พี่เซียว..." เหลียนเฟิ่งหวงวิ่งกลับมาดูเขา ซึ่งนั่งกุมอก ทำท่าจะอาเจียน...

     


    "บ้าบอจริงๆ คนอุตส่าห์ช่วย ยังจะฆ่ากันอีก พวกง่อไบ๊ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว"

    เหลียนเฟิ่งหวงทุบโต๊ะระบายอารมณ์ หลังจำต้องเปิดห้องพักบนโรงเตี๊ยม เพื่อให้หยุนเซียวเซียวรักษาตัว บุรุษหนุ่มนั่งขัดสมาธิบนเตียง หลับตา สองแขนเคลื่อนไหวช้าๆ ใช้กำลังภายในรักษาอวัยวะที่บอบช้ำ แต่ก็ทำได้ลำบาก แม้เขาจะกำลังภายในสูงกว่าที่ใครๆ เห็นภายนอก ทว่า ฝ่ามือกวนอิมของเจ้าสำนักง่อไบ๊ ทั้งรุนแรง และทรงอานุภาพถึงห้าส่วน ความจริง หากเขาไม่มีกำลังภายในเร้นลับ (แอบฝึก) ที่แข็งแกร่งระดับหนึ่ง คุ้มครองชีพจรหัวใจเอาไว้ คงตายใต้ฝ่ามือนั้นไปแล้ว 

    "อาจารย์เขาคลุ้มคลั่ง และถูกลอบทำร้าย ไม่แปลก ที่ข้าจะเป็นผู้ต้องสงสัย" ระบายลมหายใจทางปาก พูดเรียบๆ อย่างไม่แค้นเคืองใจ 

    "ว่าไงนะ ลอบทำร้ายเหรอ?"

    "ตอนนั้น มีคนอยู่บนหลังคา เป็นคนที่ซัดเข็มพิษใส่แม่ชีโกวบ๊วย!" เขาบอกตามตรง 

    "ฮ้า เป็นใครกัน ทำไมท่านไม่บอกแต่แรก"

    "วิชาตัวเบาล้ำเลิศ ซัดเสร็จก็เผ่นหนี ข้าเห็นเพียงชายเสื้อนิดเดียว คนร้ายไม่อยู่ ถึงอธิบายปากเปล่าก็ไร้ประโยชน์" 

    "แย่จริงๆ ใครกันนะ ลอบเล่นงานสำนักง่อไบ๊ แล้วอาการคลุ้มคลั่งของแม่ชีโกวบ๊วยล่ะ เกิดจากอะไร ทำไมมองลูกศิษย์ หรือใครๆ เป็นพรรคมารไปหมด" 

    "เรื่องนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แค่ก... แค่ก..." หยุนเซียวเซียวรู้สึกสะเทือนทรวงอกจนไอออกมา ร่างกายบอบช้ำ ไม่อาจฟื้นฟูในเวลารวดเร็ว 

    "ดูท่านสิ..." คุณหนูเหลียนร้อง มานั่งลงเคียงข้าง ลูบหลังและมองด้วยสายตาเป็นห่วง

    "เหนื่อยหนักมาทั้งวัน ยังยื่นมือช่วยเหลือคน ถูกซัดบาดเจ็บถึงเพียงนี้  จะกระเทือนอวัยวะสำคัญรึเปล่า ข้านี่แย่จริงๆ ไม่น่าแวะโรงเตี๊ยมเลย" 

    หยุนเซียวเซียวยิ้มเบาๆ อยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง เขามีแต่ชอบนางเพิ่มมากขึ้น เหลียนเฟิ่งหวงผู้ไม่เคยห่วงชีวิตตัวเอง คิดถึงสนใจแต่คนรอบข้างเสมอ เมื่อครู่นี้ นางก็เสี่ยงชีวิตปกป้องเขา ทั้งที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว 

    "ไม่ได้การละ รีบไปตำหนักเขียวขจีเถอะ ที่นั่นมีหมอเทวดา ที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน ผู้เฒ่า โอวแชบุ๊น ต้องรักษาท่านให้หายได้แน่ ไปกันเถอะ" 

    บอกไปเป็นไป เหลียนเฟิ่งหวงจับแขนเขาจะช่วยพยุง เขาเพียงหย่อนเท้าลงพื้น เสี่ยวเอ้อก็เปิดประตูเข้ามาบอกนอบน้อม (คุณหนูเหลียนเพิ่งชดใช้ค่าเสียหายของทางร้านแก่มัน เพราะสงสาร และจำเป็นต้องใช้บริการ)  

    "นายท่านทั้งสอง อาหารเตรียมพร้อมแล้ว จะทานตรงนี้ หรือว่าข้างล่างดีครับ"

    เหลียนเฟิ่งหวงอ้าปากจะปฏิเสธ เสียงท้องร้องก็ประกาศความหิวของตัวเองอย่างน่าอาย เขายิ้มขำ ขณะที่นางวางหน้าไม่ถูก 

    "กินเสร็จค่อยไปเถอะ อาการข้ารอได้ แต่กระเพาะเจ้ารอไม่ไหวนะ..." เขาหยอกให้นางหน้าแดงขึ้นอีก ก่อนบอกเสี่ยวเอ้อ "ยกเข้ามาเลย"

     

    ในที่สุด หยุนเซียวเซียว กับ เหลียนเฟิ่งหวง มาถึงตำหนักเขียวขจีจนได้ ทว่า พอก้าวข้ามพ้นประตูเพียงสองก้าว ดรุณีน้อยนางหนึ่งก็โผล่มา 

    "คุณหนูเหลียน ท่านหญิงโอวหยางเชิญที่ตำหนักในค่ะ"

    "พี่ซือซืออยากเจอข้า?" เหลียนเฟิ่งหวงครางแปลกใจ หันมองหยุนเซียวเซียว

    "ไปเถอะ ท่านหญิงคงเป็นห่วงเจ้ามาก หรือไม่ก็มีธุระสำคัญ" 

    "งั้นข้าจะรีบไปพบท่านที่ห้องโถงนะ" นางไม่อยากจากเขาเลย แม้จะถึงที่พักอันปลอดภัยแล้วก็ตาม คุณหนูเหลียนรู้สึกบางอย่าง หลังจากออกไปเที่ยวนี้ จิตใจนางจดจ่อ สนใจอยู่แต่กับเขา ไม่เคยเป็นแบบนี้กับผู้ใดมาก่อน อาจเพราะเผชิญศึกร้ายมาด้วยกัน จนเกิดความผูกพันขึ้น เหลียนเฟิ่งหวงเดินตามสาวใช้นางนั้นไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

    หยุนเซียวเซียวจึงต้องไปเพียงลำพัง ผ่านลานกว้างที่เต็มไปด้วยทหารอารักขา มุ่งหน้าสู่ห้องโถงใหญ่...

    อีกยี่สิบก้าวจะถึงห้องโถง ซึ่งประตูที่เปิดกว้าง และแสงไฟสว่าง ทำให้เห็นผู้คนมากมายนั่งเรียงรายสองฟาก บางคนก็ยืนอยู่ ...อาจารย์จะมาหรือไม่นะ...? เขาคิดในใจ

    อีกสิบก้าวจะถึงห้องโถง ทุกคนก็หันมองเขา หยุนเซียวเซียวเดินช้าลง รู้สึกประหลาดบรรยากาศคล้ายผิดปกติ!? ไม่มีใครพูดจา ทุกคนนั่งสงบเรียบร้อย ทั้งที่บนตำแหน่งประธาน ยังไม่เห็นร่างจ้าวยุทธ์ มีเพียงประมุขน้อยยืนตระหง่าน เฉิดฉาย อยู่คนเดียว

    "หยุนเซียว...!" เหยาฟ่งอิงร้องเรียก แววตาที่ควรดีใจเมื่อเจอเขา กลับแฝงความกังวล กระสับกระส่าย เมี่ยวฟงที่ยืนข้างๆ ก็เช่นกัน ทั้งสองยืนอยู่ข้างหลังประมุขหลาน

    ไม่มีอาจารย์ของเขารวมอยู่ในกลุ่ม ไม่มีคนของหมู่ตึกเทพกระเรียน และไม่มีคนของสำนักง่อไบ๊ แน่นอนว่า สำนักหลัง... คงจะถูกท่านหมอเทวดารักษาอยู่

    "หยุนเซียวเซียว... เฟิ่งหวงล่ะ?" ประมุขน้อยถามเสียงเข้ม แววตาจ้องเขม็ง

    "แม่นางเหลียนถูกท่านหญิงเชิญที่ตำหนักใน ตามสาวใช้ไปแล้ว" เขาตอบปกติ

    "เดี๋ยวก่อน ข้าไม่เคยสั่งคนไปเชิญนะ!" โอวหยางซือซือรีบบอก หยุนเซียวเซียวงงงันวูบ เหลียนเฉิงปีหน้าเครียด มือขวาถือดาบไขว้อยู่เบื้องหลัง ถามเสียงดังกว่าเดิม

    "หยุนเซียวเซียว เลิกเล่นละครได้แล้ว เจ้าทำอะไรกับเฟิ่งหวงกันแน่" 

    "ข้า..." กำลังจะพูด แต่พลันฉุกคิด "แย่แล้ว...!" หันหลังกลับ ก้าวเร็วจะออกจากประตู "คิดจะหนีเหรอ" ประมุขน้อยตวาด ลอยข้ามหัวมาขวางหน้า ยกดาบขึ้นช้าๆ ชี้หน้าเขาต่อหน้าผู้นำ 6 พรรค 7 สำนัก

    "ประมุขน้อย...!?"

    "แต่แรก แสร้งทำเป็นเสนอแผน แท้จริง เพื่อกักพวกเราให้ถูกไฟเผาที่อุทยาน เพราะข้าระแวงเจ้าถึงรอดมาได้ ระหว่างต่อสู้ แสร้งทำเป็นช่วยเฟิ่งหวง แท้จริง เจตนาพานางไป พวกเราบุกสามสาย ต่างถูกกับดักทั้งหมด พวกมันรู้ได้ยังไง? สุดท้าย ใช้วิธีต่ำช้า ทำร้ายเจ้าสำนักง่อไบ๊ แถมเอาเฟิ่งหวงไปซ่อน ทุกการกระทำของเจ้า ข้าดูออกหมดแล้ว เจ้า... เป็น สายลับ ของวังจันทรา!!" 

    ความตกใจเกิดขึ้นกับเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ โดยเฉพาะเหยาฟ่งอิง กับเมี่ยวฟง ที่พากันสบถ ทำให้ประมุขหลานต้องปราม เหล่าผู้นำของทุกสำนัก เห็นพ้องว่าควรอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ประมุขน้อยจัดการเรื่องนี้ หยุนเซียวเซียววูบแรกก็ขุ่นเคืองที่ถูกใส่ร้าย จำต้องสะกดใจ ระงับความโกรธ 

    "ประมุขน้อย ทุกเรื่องข้าล้วนแก้ต่างได้ แต่เฟิ่งหวงถูกจับไป เป็นเรื่องใหญ่กว่า ต้องรีบช่วยนาง ช้าจะไม่ทันการณ์"

    "ไม่ต้องมาเสแสร้ง พอถูกข้าเปิดโปงก็คิดจะหนี หากเฟิ่งหวงไม่อยู่กับเจ้า กระบี่นิลหยกในมือเจ้าได้มายังไง!? เฟิ่งหวงรักกระบี่ยิ่งกว่าชีวิต ศิษย์ง่อไบ๊บอกว่า ตอนนั้น เจ้าใช้กระบี่ของนาง สู้กับแม่ชีโกวบ๊วย เจ้าคงบังคับ ควบคุมนางไว้ เพื่อแผนการบางอย่างใช่ไหม วันนี้ ต่อหน้าผู้นำทุกสำนัก ข้าในฐานะประมุขน้อย จะกระชากหน้ากากเจ้าออกมา!!"

    ขาดคำ เหลียนเฉิงปีวิ่งเข้าหาพร้อมดาบจันทร์เสี้ยว หยุนเซียวเซียวลอยถอยหลัง หลบไปด้านข้าง ดาบวืดปาดลม เพราะเขาก้มหัวหลบ ฤทธิ์ของศาสตราวุธ แค่สะกิดเฉี่ยว ถ้วยชาที่ประมุขหลานยกจิบยังถูกคมบาด แตกเป็นรอยร้าว ก่อนน้ำชาจะไหลทะลัก ประมุขหลานซัดเบาๆ ถ้วยแตกก็ปลิวไปซัดผนังอีกด้าน จึงไม่เลอะเปรอะเปื้อน เมี่ยวฟง กับ เหยาฟ่งอิง ขยับเท้า หมายจะช่วยสหาย ประมุขหลานสั่งเรียบๆ "หยุดไว้ทั้งสองคน"

    หยุนเซียวเซียวไม่ชักกระบี่ มันเป็นเกมที่เขาไม่ต้องการ เหลียนเฟิ่งหวงก่อกวนใจ อยากไปช่วยนาง จนใจพี่ชายนางไม่เปิดทาง แถมมุ่งร้าย บีบคั้นคนถึงที่สุด หากเขาไม่บอบช้ำภายในมาก่อน มั่นใจสลัดหลุดได้ในสิบกระบวน ทว่า การฝืนใช้ร่างกายหนัก กระตุ้นบาดแผลในอกจนปวดร้าวขึ้น ถึงหยุนเซียวเซียวหลบคมดาบพ้น ก็ถูกฝ่ามือที่สองในค่ำคืนนี้จนได้ เขาทรุดลงกับพื้น ไม่ถึงกระอักเลือด พลังห้าส่วนของเหลียนเฉิงปีไม่เท่าแม่ชีโกวบ๊วย แต่เพราะตำแหน่งเดียวกัน ทำให้จุก หายใจไม่ออกชั่ววูบ

    ...วืด...!! หลายคนตระหนก ไต้ซือหย่งเจินถึงกับลุกพรวด ยกมือ... เพราะประมุขน้อยกลับไม่หยุด พุ่งดาบใส่หน้าอกเขาราวกับมุ่งสังหาร!

    ...ติง...!! วัตถุหนึ่งพุ่งจากนอกประตูมากระแทกปลายดาบหนักหน่วงจนเบนเฉียง เหลียนเฉิงปีเสียหลัก ถอยหลังไปสามก้าว ก้มมองบนพื้นอย่างกราดเกรี้ยว นึกว่าอาวุธลับที่ซัดมาเป็นก้อนหิน กลับกลายเป็นใบไม้!? ใบไม้ใบเดียว สามารถซัดดาบจันทร์เสี้ยวขณะเปี่ยมลมปราณสูงสุด แสดงถึงกำลังภายในสูงล้ำกว่าเขาเป็นสิบเท่า

    ร่างขาวลอยมาด้วยท่าเท้าเหยียบเมฆา พริ้วลงเบื้องหน้าสง่างาม ยกมือคำนับ บอกด้วยสีหน้า และน้ำเสียงราบเรียบ "ประมุขน้อย ยั้งมือด้วย"

    "ลิ้วกิวเฮียบ!?" เหลียนเฉิงปีอุทาน แม้ตัวเขาก็คาดไม่ถึง ลมปราณพ่อบ้านหมู่ตึกเทพกระเรียนสูงส่งเพียงนี้? แม้นเคยได้ชมวรยุทธ์ และยินชื่อเสียง แต่ไม่เคยได้พิสูจน์กำลังภายในสักหน

    "ท่านจ้าวยุทธ์ มาถึงแล้ว" ลิ้วกิวเฮียบประกาศ เมื่อนั้น ทุกคนลุกขึ้นยืน...

    ประมุขยุทธภพ หรือ จ้าวยุทธ์ เจ้าถิงฟง สมญานาม กระบี่เทวะ ปัจจุบันอายุย่างเข้าเจ็ดสิบแปดแล้ว ผมขาว คิ้วขาว และเคราขาว จากการฝึกวิชาสายเต๋าบริสุทธิ์ ยังเดินเหินคล่องแคล่ว รูปร่างผอมเกร็น แต่แกร่งดุจไม้ไผ่ ในอาภรณ์สีขาว สง่างามน่าเกรงขาม แววตาเจิดจ้าคงประกายอ่อนโยน ใบหน้าสุขุม เยือกเย็น มีลักษณะปราชญ์ทรงความรู้ ท่านมิเพียงเป็นยอดกระบี่มือหนึ่งแห่งยุทธภพ ยังเป็นบัณฑิตผู้ทรงปัญญา มีคุณธรรมกว้างกวาง เป็นที่เคารพบูชาของฝ่ายธรรมะทั่วแดนดิน

    และผู้ที่เดินตามหลังเจ้าถิงฟง คือ ศิษย์เอกคนเดียวของหมู่ตึกเทพกระเรียน...

    กระบี่เทพบุตร หยางฝาน วัยยี่สิบหกปี รูปงามดั่งหยก แต่บุคลิกนิ่งขรึม เยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ทายาทแม่ทัพหยางผู้เกรียงไกรแห่งราชสำนัก เข้าหมู่ตึกเทพกระเรียนตั้งแต่เด็ก จากการฝากฝังของบิดา ด้วยความปราดเปรื่อง และสรีระส่งเสริม ฝีมือจึงรุดหน้ารวดเร็ว ก้าวสู่ตำแหน่งประมุขน้อยตั้งแต่อายุสิบเจ็ด และปัจจุบัน เป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งรุ่นเยาว์ของยุทธภพ

    "คำนับ จ้าวยุทธ์" ทุกคนน้อมคารวะ

    "คุณชายหยุน เป็นอะไรไหม?" ลิ้วกิวเฮียบประคองหยุนเซียวเซียวขึ้นมา

    "แค่ก...แค่ก... อาวุโส... โปรดช่วยแม่นางเหลียน นางถูกคนจับไป" หยุนเซียวเซียวไม่ห่วงตัวเองที่อาการกำเริบ จับแขนพ่อบ้านลิ้ว อ้อนวอนมา 

    "พี่เซียว... พี่เซียว..." เหลียนเฟิ่งหวงในชุดเปลี่ยนใหม่ วิ่งเข้ามาหาเขาเป็นคนแรก

    "เฟิ่งหวง เจ้า...ไม่ได้ถูกจับไปหรือ?"

    "นางเกือบถูกจับ เราพบระหว่างทาง จึงช่วยไว้" หยางฝานตอบเบาๆ

    "ขอบคุณ จอมยุทธ์หยาง..." หยุนเซียวเซียวโล่งใจยิ่งกว่าอะไร แต่แล้ว เลือดลมติดขัด โคจรย้อนกลับกะทันหัน เขาจึงหมดสติ ทรุดลงไปกองกับพื้น 

    "พี่เซียว... พี่เซียว... ท่านเป็นอะไรไป?" เหลียนเฟิ่งหวงร้องตกใจ เมี่ยวฟง กับ เหยาฟ่งอิง เข้ามารุมล้อม ลิ้วกิวเฮียบทรุดลง ประคองเขาขึ้นมา ด้วยเห็นอาการแน่นหน้าอกก่อนสลบ จึงถอดเสื้อออก พบรอยฝ่ามือเด่นชัดกลางทรวงอก 

    "ฝ่ามือกวนอิมของสำนักง่อไบ๊... พลังวัตรห้าส่วน!!?" ลิ้วกิวเฮียบอุทานตกใจ เงยหน้ามองจ้าวยุทธ์ ผู้นำหลายคน ต่างเดินมาดูอย่างสนใจ ด้วยไม่เคยเห็นคนที่ถูกวิชาฝ่ามือกวนอิมขั้นที่ห้าของแม่ชีโกวบ๊วย แล้วรอดชีวิตมาก่อน

    "ฝานเอ๋อ..." เจ้าถิงฟงเรียกทันที

    "ครับ อาจารย์"

    "พาเขาไปที่ห้องพัก"


    PA
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×