คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : คุณหนูสเตเฟนี
ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน
แสงทองผ่องอำพันของดวงตะวัน สาดส่องให้เห็นผืนหญ้าเชียวชอุ่มเป็นประกายวิบวับ บริเวณสวนหย่อมด้านหลังคฤหาสน์หรูหราทรงยุโรป ผืนที่กว้างขวาง ด้านขวาเป็นสระน้ำ ด้านซ้ายเป็นสนามกอลฟ์ขนาดย่อม
ยามเช้าของเดือนกุมภาพันธิ์ที่อากาศแจ่มใส เสียงอาวุธทั้งดาบซามูไร และมีดสั้น ดังประสานกันต่อเนื่อง หญิงสาวคนหนึ่งกำลังร่ายรำดาบยาวสไตล์โรมันอย่างคล่องแคล่ว ว่องไวและชำนาญ ท่ามกลางวงล้อมของบุรุษชุดดำตัวใหญ่ชาวอเมริกันสิบคน หล่อนโรมรันอย่างคึกคักห้าวหาญดุจนักรบ ต่อสู้ด้วยความเต็มเปี่ยมของพละกำลัง ความรวดเร็ว ไหวพริบ และความแม่นยำ จนเหล่าบุรุษเพศผู้ตัวใหญ่กว่าหล่อนมากนัก แถมร่างกายบึกบึนกำยำกว่าไม่รู้กี่เท่า ล้มลุกคลุกคลาน ร่วงลงไปกองกับพื้นระนาว อย่างน่าหัวเราะขบขัน สิ้นท่าชาติเสือผู้องอาจ
“ไม่ได้เรื่องเลย อ่อนหัดทั้งนั้น น่าเบื่อจริงๆ!”
ดวงหน้ารูปไข่ คิ้วสีน้ำผึ้งยาวโก่งดุจคันศร ดวงตากลมสุกใสทอแสงเรืองรอง สาดประกายคมกริบ และฉลาดเฉลียว ขนตางอนเป็นแพระยับสีฟ้าประกายเงิน แก้มอิ่มสีชมพูอ่อนเปลืองมังคุด จมูกโด่งเป็นสันงาม ริมฝีปากบางเฉียบเคลือบสีแสดอ่อนเป็นมัน เมื่อรวมกันแล้ว จึงเป็นใบหน้าที่รวมทั้งความสวยคม เปรี้ยว เย้ายวน และน่ารักอ่อนหวาน ผมยาวสวยมันระยับราวกับเพชรถูกรวบจนตึงบิดเป็นเกลียวทิ้งยาวถึงกลางหลัง ผูกไว้ด้วยแพรพลีตผืนเล็ก แผ่นหลังรูปทรงสามเหลี่ยมโค้งเว้า ช่วงขาเรียวยาวสมส่วนเพรียวโค้งรับกับสะโพก ผิวเนื้ออ่อนนุ่มละมุนสีขาวอมชมพูระเรื่อ ยามเมื่อยืนให้แสงอาทิตย์สาดส่อง ยิ่งทอแสงเรืองรองให้เห็นความงดงามที่เจิดจรัส ชวนให้ลุ่มหลง
“คุณหนูสเตเฟนีเก่งเกินไป พวกเราสู้ไม่ได้ ขอยอมแพ้”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งกล่าวภาษาอังกฤษ ก้มหน้าคำนับอย่างยอมรับหมดใจ หล่อนใช้ภาษาเดียวกันโต้ตอบอย่างคล่องแคล่ว
“จัดธนูมา ปืนสั้นด้วย รีบๆ ฝึกให้จบ ฉันต้องไปขี่ม้าต่อ”
สามคนรีบลุกขึ้นวิ่งไปเตรียมการ ส่วนคนที่เหลือก็พาตัวเองถอยไปยืนอยู่ข้างๆ เพราะคุณหนูของพวกเขาต้องใช้พื้นที่ในการฝึกวิชาลำดับต่อไป ไม่มีใครกล้าชักช้าเกะกะอยู่ เพราะรู้ฤทธิ์คุณหนูสเตเฟนีดี!
“อาจารย์... ถึงชั่วโมงฝึกวิชากันแล้ว”
มุกตาภา คอลด์เวลล์ หรือ คุณหนูสเตเฟนี บุตรสาวเจ้าของบริษัทไพรม์ จิวเวลรี่ บริษัทค้าอัญมณีที่ใหญ่โต ทรงอำนาจ และอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ทักเสียงหวานเป็นภาษาไทยที่หน้าประตูก่อนเดินมือไพล่หลังเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามปราดเปรียวราวกับหงส์ หล่อนอยู่ในชุดสวย ต่างจากที่ใส่ตอนฝึกวิชาเมื่อเช้า เข้ามาในห้องโถงที่เหลืองอร่ามด้วยผนังเพดานทองคำของคฤหาสน์ระดับพันล้าน หญิงสาวลูกครึ่งไทย – อเมริกัน ผู้งดงามสะท้านเมือง ในวัยยี่สิบสองกะรัต หันมาเผชิญหน้ากับ ชายวัยสี่สิบกว่าๆ เป็นคนไทย รูปร่างเตี้ยเล็ก ผิวดำคล้ำ หัวล้านคล้ายหลวงจีน และมีประกายตาคมดุจเหยี่ยว ผู้ยืนก้มหน้าอยู่อย่างสงบนอบน้อม ก่อนจะเงยหน้าช้าๆ ขึ้นมองหล่อน
“คุณหนูมุกตาภา เรียกผมมานี่...?”
“อะไรกัน ฉันกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อาจารย์ไม่รู้เลยหรือ จริงสิ ต้องขอโทษด้วยนะ ที่โทรไปเรียก เอ้ย! รบกวนอาจารย์ ให้ต้องรีบเดินทางจากบราซิล แต่ฉันอยู่สเปนเกือบเดือนแล้ว อาจารย์ก็น่าจะแวะมาทักทายกันบ้างสิ”
ไตรทศ วิชยุตม์ มองสาวสวยผู้เพิ่งบรรลุนิติภาวะมาได้ไม่กี่ปี จีบปากพูดจาคล่องแคล่วอย่างนึกรำคาญในใจ ภายนอกนั้นยิ้มเจื่อนเล็กน้อย แสร้งทำหน้ารู้สึกผิด
“โอ... ขอโทษทีครับ คุณหนู ผมมัวแต่ยุ่งกับการตามหาอัญมณีล้ำค่ามากำนัลแด่คุณหนูเพลินไปหน่อย เลยไม่ได้แวะมาเยี่ยมคุณหนูที่นี่เลย รู้สึกผิดจริงๆ”
พอได้ยินคำว่า “อัญมณีล้ำค่า” เท่านั้น แววตาขุ่นๆ ของมุกตาภาก็สว่างจ้า หูผึ่งในบันดล ถามอย่างสนอกสนใจ
“มณีล้ำค่าจากบราซิลหรือ อะไรล่ะ? จาซินธ์ เอเมอรัลด์ ยูเคลส เฮลิโอดอร์...”
“เพริดอตครับ นี่คือ...ของขวัญที่ผมได้มาจากการเที่ยวบราซิล เป็นอัญมณีบริสุทธิ์ ไม่เจือปนสิ่งแปลกปลอม ผมขอซื้อจากนักขุดหาแร่โดยตรงด้วยตัวเองเลย คิดว่าคุณหนูคงชอบ “พลอยแห่งดวงตะวัน” ชิ้นนี้”
แน่นอนว่า หากหญิงสาวตรงหน้าเกิดความขุ่นเคืองใจ ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเมื่อใด สิ่งที่ช่วยหยุดพายุร้ายได้ดีที่สุด คือ นำอัญมณีมาล่อนั่นเอง หากคราวนี้ ยิ้มเจ้าเล่ห์ของไตรทศต้องหุบสลาย เพราะคุณหนูมีทีท่าตื่นเต้นดีใจแค่วูบเดียวเท่านั้น ก่อนจะวางหน้าเฉย เชิดหน้าเมินไป ไม่สนแม้แต่จะเหลือบมองอัญมณีสามเหลี่ยมสีเขียวเจิดจรัสงดงามบนฝ่ามือของเขา สร้างความพิศวงแก่ไตรทศมาก
“คุณหนูมุกตาภา ไม่ชอบเพริดอตหรือ”
“อัญมณีบริสุทธิ์จากธรรมชาติย่อมน่าสนใจแน่ แต่เพริดอตเป็นพลอยที่ไม่มีพลังพิเศษอะไร มีดีแค่ความสวย เทียบกับของที่ฉันได้มาแล้วต่างกันลิบลับ เรื่องนี้ล่ะ ที่ฉันต้องเรียกอาจารย์มาปรึกษาด้วยตัวเอง เอาออกมาซิ”
หล่อนหันไปสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดวงหน้างามปรากฏรอยยิ้มภาคภูมิใจ ขณะสาวใช้วัยละอ่อนเดินถือกล่องตลับหิน
“ไทเกอร์อาย!!”
มุกตาภายิ้มหมิ่นๆ ดวงตาคมกริบของหล่อนทั้งชื่นชมปนหมั่นไส้ในคราวเดียวกัน
“สมกับเป็นปรมาจารย์ด้านอัญมณี มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นไทเกอร์อาย ใช่แล้ว พลอยตาเสือ หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า คดไม้สัก หินตาที่สามที่ว่ากันว่าทรงพลานุภาพมาก แต่หาของแท้จากธรรมชาติได้ยากยิ่ง ฉันจึงอยากให้อาจารย์ช่วยดูหน่อยว่า ใช่อัญมณีบริสุทธิ์รึเปล่า”
ไตรทศหยิบเจ้ามังกรไทเกอร์อายมาวางบนฝ่ามือ หลับตาเพ่งกระแสจิต ก่อนจะลืมตา พยักหน้า
ไทเกอร์ อาย อัญมณีแห่งจิตวิญญาณ
“เป็นอัญมณีบริสุทธิ์ที่มีพลังธรรมชาติอยู่เต็มเปี่ยมครับ”
“ดีมาก ไม่เสียทีที่ไปเอามา อาจารย์คงต้องชี้แนะฉันมากหน่อยนะงานนี้”
มุกตาภายิ้มกระหยิ่มอย่างภาคภูมิใจ ที่ลงมือไปไม่สูญเปล่า ไตรทศจ้องหน้าหญิงสาวอย่างสงสัย
“คุณหนู ได้อัญมณีชิ้นนี้มาจากไหน”
“เอาหนังสือพิมพ์ให้เขาอ่าน”
สาวใช้นำหนังสือพิมพ์ฉบับประเทศไทยส่งให้กับไตรทศ พอเห็นพาดหัวข่าวถึงกับอึ้ง
“คุณหนู... นี่มันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ”
แสดงท่าทีห่วงใยตามประสาผู้เป็นอาจารย์สักเล็กน้อย มุกตาภาเลิกคิ้ว ยิ้มขัน
“ตั้งแต่เกิดมา คำว่าเสี่ยง ฉันสะกดได้ขึ้นใจ เหมือนกลายเป็นสัญลักษณ์ในการทำงานไปแล้ว เลยไม่รู้สึกรู้สาเท่าไหร่ ยิ่งที่ไหนมีเรื่องเสี่ยงอันตรายมาก ที่นั่นยิ่งน่าไปที่สุด ทำให้ชีวิตมีรสชาติขึ้นนะคะอาจารย์”
“งานจัดแสดงอัญมณีนานาชาติที่ประเทศไทย ได้ยินว่ามีระดับการคุ้มภัยถึงขั้นสิบ ทำไมคุณหนู...?”
“อาจารย์พูดเหมือนไม่รู้จักลูกศิษย์ตัวเองอย่างนั้นแหละ คุ้มภัยระดับสิบแล้วยังไง? เจอฤทธิ์ของไพไรต์ ซิทริน บวก สโมกกีย์ ควอทซ์ เข้าไป ก็ย่อยยับไม่เป็นท่า ตามหาอัญมณีบริสุทธิ์ ยังยากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า”
หญิงสาวพูดอย่างทระนงถือดี ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นคุณสมบัติโดดเด่นของมุกตาภามาแต่ไหนแต่ไร หล่อนกล้าหาญ ฉลาดหลักแหลม เจ้าเล่ห์ โหด เข้มแข็ง แถมบางครั้งเลือดเย็นอีกด้วย ไม่ว่าทำงานใด จึงมักประสบความสำเร็จเสมอมา
“คุณหนูใช้อัญมณีสามชิ้น ในการโจรกรรมครั้งนี้หรือ”
“สามชิ้นยังเยอะไป ที่จริงแค่ไพไรต์อันเดียว ก็กวาดตึกนั้นราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว หงุดหงิดชะมัด พลังพิเศษที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เนี่ย!”
ประโยคสุดท้าย มุกตาภาระบายความในใจอย่างอึดอัด กับความวิเศษที่ต้องเก็บซ่อนไว้ แสดงออกอย่างเปิดเผยไม่ได้ มันช่างน่าขัดใจคนเก่งกาจอย่างหล่อนยิ่งนัก ไตรทศยืนนิ่ง ใช้ความคิดหนักหน่วงจนเงียบไป หญิงสาวรู้สึกตัว หันมามอง นัยน์ตาใสยิ้มเป็นประกาย
“ว่าไงคะ อาจารย์ ตกลงว่า...จะทำพิธีเมื่อไหร่”
“แล้วคุณหนูอยากฝึกเมื่อไหร่ล่ะครับ”
“คืนนี้เลย”
ณ หมู่บ้านผาแดง ชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศไทย มีประชากรอยู่เพียงแค่สองร้อยกว่าครัวเรือน รักใคร่สามัคคี พึ่งพาอาศัยเหมือนครอบครัวเดียวกัน ชาวบ้านทำนาทำไร่ บ้างปลูกสวนขายผัก ขายดอกไม้ เลี้ยงสัตว์ ค้าขายกันเองภายในตลาด นาน ๆ ทีจะมีคนในเมือง หรือคนต่างถิ่นพลัดหลงเข้ามา ทุกคนล้วนมีอัธยาศัยใจคอดี อยู่อย่างเป็นมิตรต่อกัน แม้ไม่มีความเจริญทางวัตถุ แต่จิตใจคนที่นี่ถือว่าเจริญพอตัว
ชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปี หน้าตาคมคายหล่อเหลา แม้สกปรกมอมแมม อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ปะชุนเต็มไปหมด แต่ก็ยังคงดูดี เพราะท่วงท่าองอาจ งามสง่าผ่าเผย แม้กำลังนั่งอยู่กลางสวนดอกไม้เล็กๆ พรวนดินในกระถาง ข้างๆ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวของเขาเอง ติดกันเป็นแปลงผักสวนครัวขนาดย่อม รายได้หลักของครอบครัว
โฮ่ง! โฮ่ง! เจ้าทองแก้ว สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานสีน้ำตาลแดง วิ่งเข้ามาถึง ละเลงรอยเท้าย่ำลงบนสวนแปลงดอกไม้ของเขาอย่างสนุกสนานร่าเริง เพชรกล้าตาโต ร้องลั่น กวักมือไล่
“เฮ้ เฮ้ อย่าเหยียบนะ นี่ เจ้าทองแก้ว หยุดนะ ออกมานี่...”
ถึงเป็นสุนัขที่แสนรู้ขนาดไหน แต่เจ้าทองแก้วไม่มีวันเชื่อฟังเขาหรอก พอเจ้านายตัวจริงของมันยิ้มร่า เดินแกว่งตะกร้าผลไม้เข้ามาอย่างร่าเริง ร้องสั่งว่า
“พอได้แล้ว ทองแก้ว”
มันก็รีบออกจากสวนดอกไม้เขาแต่โดยดี วิ่งผ่านหน้าเจ้านายไปเล่นที่อื่น
“ปิญชาน์...”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เรียกชื่อหล่อนอย่างสนิทคุ้นเคย มองสำรวจร่างหล่อน แล้วยิ้มโล่งใจ
“ว่าไง นายเพชรเก๊”
นั่นคือ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกเขามาตั้งแต่เด็ก...
ปิญชาน์ หรือ ทองคำ สาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดปี ชาวหมู่บ้านผาแดงโดยกำเนิด ดวงหน้าพริ้มเพรา ดวงตากลมโตใสเหมือนกระต่ายขาว แก้มยุ้ยน่ารัก ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน ผมยาวดำสลวยถูกเกล้าเป็นมวยสูง และปักปิ่นลูกปัดหลากสีห้อยระย้า หล่อนนับเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของหมู่บ้านผาแดง จากการลงความเห็นของผู้ชายทั้งหมู่บ้าน แม้แต่เพชรกล้าก็ยอมรับ
“หายดีแล้วหรือ”
“ก็...ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ยังหายใจดีอยู่”
ปิญชาน์บอกอย่างอารมณ์ดี ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างๆ เขา เพชรกล้านั่งลงตาม ยิ้มขันๆ
“ปากเก่งทุกทีเลยนะ เมื่อคืนเห็นนั่งร้องไห้กอดแม่กลม”
“ก็ใครใช้ให้...เจ้าไฟบ้านั่นมันเผาผิวสวยๆ ของฉันซะเกือบไหม้เกรียมล่ะ ดูสิ ดูสิ หนังลอกถลอกปอกเปิกหมดแล้ว บางที่ก็ดำเป็นคราบด้วยนะ เฮอะ เจ้าเพลิงร้ายกาจ ทำใครไม่ทำ มาทำคนสวยอย่างปิญชาน์”
นอกจากเรื่องความสวยความงามแล้ว เพชรกล้ายังยกให้เรื่องการพูดจาของหล่อน เป็นเอกเหนือสาวๆ ในหมู่บ้านดีเดียว ปิญชาน์รักสนุก ร่าเริงแก่นซ่า อารมณ์ร้อน และเอาแต่ใจ หล่อนโผงผาง ตรงไปตรงมา แต่บางครั้งก็เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดมิน้อย
เพชรกล้ามองผิวหนังบริเวณต้นแขน และต้นขาของหล่อนที่ถูกไฟลวกเป็นหย่อมๆ อย่างปลงๆ
“ถูกไฟลวกก็ดีกว่าถูกย่างสดนะ เอาชีวิตรอดมาได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว ถ้าฉันไปช่วยช้ากว่านี้อีกนิด เธอไม่ได้มานั่งลูบผิวอยู่แบบนี้แน่”
“ก็ฉันเป็นผู้หญิงนี่ยะ ความตายเรื่องเล็ก ความสวยเรื่องใหญ่ อยากดูไหมล่ะ ว่าฉันสวยตรงไหนบ้าง”
ประโยคหลังกลับพูดกินนัยหน้าระรื่น นั่งเบียดเข้ามาเอาหัวไหล่กระแซะ กลับถูกสายตาดุตอกกลับ
“ขอบใจนะ รอดจากไฟบรรลัยกัลป์มาได้ พอเจอหน้า ก็ตอบแทนฉันด้วยการพาหมามาเหยียบดอกไม้ แถม...อย่างนี้อีก คราวหลังไม่ช่วยแล้ว”
ปิญชาน์หัวเราะคิกชอบอกชอบใจ อาการงอนของเขา น่ารักที่สุดในสายตาของหล่อน
“โธ่เอ๊ย ล้อเล่นแค่นี้ ทำใจปลาซิวไปได้ ขอบใจจ้ะที่ช่วย เจ้าทองแก้วมันก็แค่หยอกเล่น ดูดีๆ สิ มีดอกไม้ดอกไหนของนายถูกเหยียบบ้าง ฉันสั่งให้ทองแก้วมาช่วยนายพรวนดินไง คิก คิก ไม่เชื่อรึ? งั้นลองใหม่อีกทีซิ”
หล่อนทำท่าจะเรียกองครักษ์ข้างตัวกลับมาใหม่ เพชรกล้ารีบโบกมือห้าม
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พอเลย ขืนย่ำนานไป ดอกไม้ฉันได้ตายจริงๆ เท่านั้น แล้วจู่ๆ ทำไมไฟถึงไหม้ได้ล่ะ”
“สงสัยตะเกียงแก๊สจะถูกลมแรงพัดตกจากหน้าต่างใส่ขวดน้ำมันก๊าดที่วางอยู่ใกล้ๆ น่ะสิ"
“เลยวอดวายทั้งหลัง เฮ้อ! ไม่ต้องห่วงนะ ฉันกับพวกชาวบ้านจะเร่งสร้างบ้านใหม่ให้เธอเร็วที่สุด”
“ไม่ต้องรีบก็ได้ ระหว่างนี้ ก็ให้ฉันพักที่บ้านนายไปพลางๆ ก่อน แล้ว...”
“มะเหงกสิ! เธอต้องไปพักที่บ้านยายม้วน แม่เธอเพิ่งบอกกับฉันเมื่อเช้านี้นะ”
ความหวังมลายกลางอากาศแบบนี้ ทำเอาปิญชาน์กร่อยสนิท หุบยิ้ม ค้อนเขาวงใหญ่ ก่อนยื่นตะกร้าผลไม้ให้อย่างเซ็งๆ
“เอ้า! แม่ฉันฝากมาให้ ค่าตอบแทนที่ช่วยชีวิต...สาวงามที่สุด แห่งหมู่บ้านผาแดง”
เพชรกล้ารับมา พร้อมกับส่ายหน้าขันๆ
ตลาดยามเช้า ใจกลางหมู่บ้านผาแดง เริ่มต้นอย่างคึกคัก มีชีวิตชีวากว่าปกติ เพราะเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับบ้านป้าผิน ทำให้ใครหลายคนพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ป้าผินนั่งอยู่ที่แผงขายผลไม้ กำลังเล่าแบบอกสั่นขวัญแขวน
ขณะนั้นเอง คนแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้าน สายตาหลายคู่หันมามองอย่างสนใจ
หล่อนเป็นสาวงาม ต้องเรียกว่างามหมดจดทั้งใบหน้าและรูปร่างจริงๆ ดวงหน้าเปล่งปลั่งสวยคม คิ้วโค้งสลวยสีน้ำผึ้ง นัยน์ตาดำขลับราวกับแก้วเจียระไน แพรขนตางอนปัดด้วยมัสคาร่าสีน้ำเงินแกมม่วง แก้มอิ่มเนียนสวย จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากหยักเต็มราวกับถูกสลักเป็นสีน้ำตาลนู้ดคลาสสิก ผิวสีบรอนซ์ประกายทองสว่างๆ ช่วงขาเรียวยาวสมส่วนรับกับสันตะโพกอวบอิ่ม ผมเป็นลอนเล็กสีน้ำตาลทองยกเกล้าขึ้นสูง แล้วปล่อยลงมาเป็นช่อเคลียไหล่ข้างหนึ่ง ความงามของหล่อน ทำเอาผู้ชายหลายคนมองตะลึง แต่หล่อนไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน เขินอายใดๆ มองผ่านๆ อย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้น
การแต่งตัวของหล่อนนับว่าแปลก เหมือนหลุดออกมาจากโลกในวรรณคดีโบราณ ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด คือ ถุงมือผ้าขนสัตว์สีขาว กับรัดเกล้าประดับผลึกทรงกลมรูปหงส์สีแดงอมส้ม ช่วยเพิ่มความเข้มเปี่ยมมนต์ขลัง หล่อนสวมต่างหูทรงหยดน้ำสีขาวใสสะท้อนแสงแวววาว และแหวนที่ประดับเม็ดทับทิมสีแดงสดด้วย
“ขอโทษนะ ไม่ทราบว่าพอจะรู้จัก หลวงปู่นิล บ้างไหม”
หล่อนเดินมาถามหนุ่มแผงลอยขายพวกลูกปัด เครื่องประดับ ของสวยๆ งามๆ ร้านหนึ่ง เขาส่ายหน้า หล่อนจึงเดินไปถามป้าขายขนมไทยร้านถัดไป ก็ได้รับคำปฏิเสธเช่นเดียวกัน
“หลวงปู่นิล? ไม่รู้จักนะ ไม่เคยได้ยิน หมู่บ้านนี้ไม่มีพระหรอก ลองไปหาในเมืองดูสิ”
“...ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อยครับ ป้าแช่ม ระวังด้วยนะ ลุงก้อน ขายดีไหมครับ”
เพชรกล้าปั่นจักรยานที่มีเข่งดอกไม้เต็มตะกร้าหน้ารถ พ่วงปิญชาน์มาถึงตลาด หน้าร้านขายผัก และขายผลไม้ของปิญชาน์ ชาวบ้านหลายคนพากันล้อมวงเข้ามา ชูมือส่งเสียงร้องสรรเสริญพระเอกของหมู่บ้าน
“ฮีโร่มาแล้ว ฮีโร่มาแล้ว... เพชรกล้า ฮีโร่ของพวกเรา...”
ชายหนุ่มหยุดรถ ลงมายืนประหม่า ขัดเขินอยู่ ปิญชาน์ยิ้ม ปรบมือล้อเลียนเขาตามชาวบ้านด้วย เมื่อฟื้นขึ้นมา แล้วรู้ว่าคนที่ช่วยหล่อนเป็นใคร หญิงสาวแสนจะซาบซึ้งตื้นตัน บุญคุณของเขาใหญ่หลวงนัก
“เอ่อ พวกลุงๆ ป้าๆ อย่าล้อผมเล่นสิครับ”
เพชรกล้าบอกอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“เพชรกล้า นายคือฮีโร่ของหมู่บ้านผาแดงนะ รู้ไหม”
“ใช่ วีรกรรมช่วยนางทองคำออกมาจากกองเพลิง ดังไปถึงหมู่บ้านข้างๆ แล้ว พ่อเพชรกล้าหาญจริงๆ”
“เสียสละตัวเองช่วยคนอย่างไม่คิดชีวิต น่ายกย่องมาก พวกเราทำไม่ได้เลย นายช่างจิตใจประเสริฐแท้”
หลายเสียงรุมกล่าวยกย่องสรรเสริญ เพชรกล้าได้แต่ยิ้มรับอย่างถ่อมตัวและเจียมตน
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ยิ่งใหญ่อะไรหรอกครับ...”
หญิงสาวแปลกหน้า ยืนกอดอกมองชายหนุ่ม ผู้สร้างปริศนาในใจหล่อนตั้งแต่เมื่อคืนอย่างครุ่นคิดอยู่ไกลๆ ชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา ร้องโวยวาย พร้อมกับชายอีกสองคนวิ่งยกแคร่ไม้ไผ่ที่มีคนนอนเลือดท่วมตัวผ่านหน้าหล่อนไป
“แย่แล้ว! แย่แล้ว เสือ! เสือเข้ามาอาลวาทในหมู่บ้าน”
“อะไรนะ พี่ทิว เสือเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
เพชรกล้ารีบเข้ามาจับมือหนุ่มผู้นั้นไว้ ถามอย่างตกใจ เขาชี้มายังคนตายสภาพยับเยินที่นอนอยู่บนแคร่
“ดูสิ นี่ไง ฝีมือของมันน่ะ ฉันเห็นกับตาเลย เสือลายพาดกลอนตัวใหญ่มาก กำลังขย้ำสมบุญอยู่”
พวกชาวบ้านเข้ามารุมล้อม พอเห็นสภาพศพของสมบุญ ก็ร้องครางอย่างเอน็ดอนาถใจ
“แต่...หมู่บ้านเราไม่เคยมีเสือกัดคนมาก่อนเลยนะ”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดอย่างสงสัย เกิดความแตกตื่นตกใจโดยถ้วยหน้า เสียงพึมพำระงมฟังไม่ได้ศัพท์
“ถ้าเป็นเสือจริงๆ ก็เห็นจะยุ่งแน่ แล้วมันหายไปทางไหนล่ะ รู้ไหม”
เพชรกล้าถามอย่างร้อนใจ
“พรานมิ่งกับเพื่อนๆ ออกตามล่าแล้ว มันหนีเข้าป่า แต่คงยังเข้าไปไม่ลึกนักหรอก”
“ปิญชาน์ ฉันฝากร้านด้วยนะ...”
เพชรกล้าหันมาบอกทันที ก่อนเร่งฝีเท้าก้าวเร็วๆ จากไป ปิญชาน์ร้อง ขยับตัว
“อ้าว เฮ้ เดี๋ยวสิ ฉันไปด้วย”
“ทองคำ แกจะไปทำไม ช่วยอะไรเขาได้ เดี๋ยวก็ถูกเสืองาบไปกินหรอก”
ป้าผินรีบเข้ามาฉุดแขนบุตรสาวที่ทำท่าจะตามเพชรกล้าไป ปิญชาน์เบ้ปาก หน้างอไม่สบอารมณ์ที่ถูกขวาง แต่แล้วก็ยักไหล่ไม่แคร์ หันไปหิ้วเข่งดอกไม้มาวางหน้าร้าน พึมพำ
“เฮอะ เสือเนี่ยนะ จะมาทำอะไรฉัน! เอาเถอะ งานนี้ฉันยกให้นายเป็นพระเอกอีกครั้งก็ได้ นายเพชรเก๊ อย่าพลาดก็แล้วกัน ฉันได้ดังกับเขาบ้างล่ะ หึ"
แต่ขณะกำลังจัดวางของต่อ ก็ชะงักกึก เงยหน้าอย่างนึกได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ
“เอ๊ะ เสือเหรอ เดี๋ยวก่อน หรือว่า...
ความคิดเห็น