ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Second Plan {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #2 : - [ The Second Plan ] : chapter 1 -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.77K
      65
      7 พ.ย. 56


     

    The Second Plan




     

    -chapter 1-








            “เซฮุนอ่า”

     

     

    ผมเรียกชื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าเบาๆ เจ้าของชื่อวางตะเกียบลงพาดชามราเม็ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม  เลนส์ตาของเขายังเป็นสีเดียวกับเมื่อสามปีที่แล้วที่เราเริ่มคบกันในฐานะคนรัก

     

     

    “ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เลยเนอะช่วงนี้ ผอมลงรึเปล่า รู้สึกเหมือนว่านายจะไม่ค่อยสบายนะ” ผมเท้าคางลงกับโต๊ะก่อนจะพูดออกมา ...มองดูเขาตอนนี้สิ ผอมจนกระดูกไหปลาร้าขึ้นเป็นรูป แก้มก็ตอบซูบซีด   เขาโทรมมาก เหมือนคนไม่ได้กินไม่ได้นอนมาซักระยะหนึ่ง

     

     

    เซฮุนเท้าคางบ้างเหมือนจะเลียนแบบพฤติกรรม เขากระพริบตาปริบๆเอียงคอไปมา ทำเหมือนกำลังหยอกล้อกับเด็กตัวน้อยอยู่ ทั้งที่ผมแก่กว่าเขาซักแปดปีได้

     

     

    “ผมดูผอมหรอ?”

     

     

    “ก็ใช่นะสิ”

     

     

    เซฮุนยิ้มมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะจับตะเกียบด้วยความรวดเร็วและใช้มันคีบลูกชิ้นในชามราเม็งของผมไปเคี้ยวตุ่ยๆ

     

     

    “หัวขโมย!” ผมแกล้งว่า แต่มือก็ผลักชามกระเบื้องไปข้างหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงบอกให้เขารู้ว่าเขาสามารถกินมันได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากจะกิน

     

     

    เซฮุนหัวเราะตาหยี เขาเหมือนอาแป๊ะวัยสิบเก้าที่ทำให้ผมอมยิ้มได้ทุกครั้ง เพียงแค่ได้เห็นรอยย่นจางๆข้างริมฝีปากที่ฉีกยิ้มกว้าง

     

     

    น่ารักชะมัด

     

     

    “แล้วผู้กองจะจับผมเข้าคุกรึเปล่าครับ”

     

     

    ผมหัวเราะบ้าง “ฮ่าๆๆ คดีขโมยลูกชิ้นหรอ?”

     

     

    “เปล่าา” ร่างสูงลากเสียง ส่ายหน้าไปมา

     

     

    “...”

     

     

    “คดีขโมยหัวใจพี่ต่างหาก”

     

     

    ผมอึ้งไปชั่ววินาที ก่อนที่ความร้อนจะแผ่ซ่านจากหัวใจไปสู่ผิวแก้ม

     

     

    “ตำรวจอะไรพูดแค่นี้ก็หน้าแดงแล้ว”

     

     

    “พูดอีกทีจะลากเข้าไปนอนในห้องขังเลยคอยดู!” ผมชี้นิ้วคาดโทษ เซฮุนหัวเราะต่ออีกหน่อย ก่อนจะลงมือกินราเม็งอีกครั้ง  ผมเท้าคางจ้องใบหน้าขาวใสกับแก้มเนียนๆเหมือนผิวของเด็กทารกอย่างมีความสุข

     

     

    ที่ผมมาเป็นตำรวจ...ส่วนหนึ่งก็เพราะเด็กแรกรุ่นคนนี้นี่ล่ะ

     

     

     

    วันนั้นเขาเดินร้องไห้มาที่ห้องพยาบาล ตอนนั้นเขาแค่เจ็ดขวบเองมั้ง ส่วนผมก็เป็นแค่เด็กม.ต้นที่แอบโดดเรียนมานอนเล่นในห้องพยาบาล

     

     

    เซฮุนนั่งลงที่เตียงแล้วก็เอาแต่ร้องไห้ เขามีแผลสดที่น่องขาข้างขวา เป็นรอยฟันเหมือนโดนตัวอะไรกัดมาซักอย่าง 

     

     

    ตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลยนอกจากผมกับเขา...

     

     

    ผมชั่งใจอย่างหนัก จะเอาไงดีล่ะทีนี้? จะแกล้งหลับหรือลุกขึ้นไปช่วยเด็กเผือกนั่นทำแผลดี ไอ้ผมมันก็ไม่รู้วิธีปฐมพยาบาลซะด้วยสิ

     

     

    สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นจากเตียง ...ช่วยทำแผลไม่ได้ อย่างน้อยผมก็น่าจะช่วยให้เขาหยุดร้องไห้ก่อน

     

     

    “เฮ้ หวัดดี” ผมเริ่มต้นการทักทายด้วยข้อความพื้นฐาน  แต่เซฮุนไม่สนใจ เขาเอาแต่ร้องไห้จ้า น้ำหูน้ำตาไหลเปรอะเปรื้อนไปหมด

     

     

    ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่ซักพัก พยาบาลก็กลับเข้ามาที่ห้อง เธอสั่งให้ผมนั่งลงข้างเซฮุนแล้วจับมือเล็กๆของเด็กน้อยเอาไว้ เพื่อปลอบประโลมไม่ให้เซฮุนกลัวเวลาที่เธอทำแผล

     

     

    ผมรีบทำตาม นั่งลงทางด้านซ้ายของเตียงแล้วจับมือเขาเอาไว้ แต่ถูกสะบัดออก ผมก็เลยโอบเอวเขาแทน

     

     

    เซฮุนร้องไห้กระซิกๆตอนที่พยาบาลใช้แอลกอฮอล์ล้างแผล แล้วลงมือใส่ยา พร้อมกำชับว่าเขาต้องไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้าด้วย  แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ฟังหรอก เพราะเขาแต่ร้องไห้ แล้วก็เริ่มที่จะเป็นฝ่ายกอดผม แขนเล็กๆสองข้างกอดผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ  แถมยังซุกหน้าลงมาที่อกผมอีกต่างหาก  น้ำตาเขาชุ่มเสื้อนักเรียนผมไปหมดเลย

     


     

     

    “ฮือออ ฮึก พี่ ฮึก เป็นตำรวจ ฮึก รึเปล่า” เซฮุนถามผมหลังจากทำแผลเสร็จแล้ว  ดวงตาใสชุ่มน้ำที่จ้องมองเปี่ยมไปด้วยความหวัง  แต่ผมก็ไม่อยากโกหก เด็กม.ต้นจะเป็นตำรวจได้ยังไงล่ะ

     

     

    “เปล่าอ่ะ เป็นนักเรียน”

     

     

    “ฮึก งั้นโตขึ้น ฮึก จะเป็นตำรวจมั้ย?”

     

     

    ผมเกาท้ายทอย ...เอ่อ...จริงๆผมก็ยังไม่มีเป้าหมายอนาคตที่ชัดเจนไหร่ แต่เป็นตำรวจก็ไม่เลวมั้ง พ่อผมก็เป็นตำรวจเหมือนกัน พ่อบอกอยู่บ่อยๆว่าอยากให้เป็นตำรวจ แต่ผมก็ไม่เคยรับปากหรือออกความเห็นอะไร

     

     

    เซฮุนคะยั้นคะยออีกครั้ง ด้วยการเอามือที่เลอะน้ำตามาแตะที่ปลายคางของผม  ผมก็เลยต้องยอมบอกออกไปว่า

     

     

    “เป็นสิ โตขึ้นพี่จะเป็นตำรวจ”

     

     

    ผมเห็นประกายวิบวับให้ดวงตายิบหยีของเด็กน้อย  เซฮุนยิ้มออกมาได้ทั้งที่ยังสะอื้นฮักๆอยู่

     

     

    “ฮึก งั้นจับผู้ร้ายให้ ฮึก ด้วยนะ”

     

     

    “หือ? ผู้ร้ายหรอ”

     

     

    หัวกลมๆพยักขึ้นลง  “ฮึก ใช่”  แล้วนิ้วขาวก็ชี้ไปที่แผลตัวเอง

     

     

    “ผู้ร้ายยกัด ฮึก กัดขา ฮืออ เป็นแผลเลย เจ็บ..”

     

     

    ผมถึงกับขวมดคิ้ว  “ผู้ร้ายคือหมาหรอ?”

     

     

    แล้วเซฮุนก็พยักหน้า เล่นเอาผมเงิบไปเบาๆ  “หมาของภารโรง ฮึก ที่ตัวสีน้ำตาล”

     

     

    “จะให้จับไปประหารหรอ?” ตอนนั้นผมก็แค่คิดหาเรื่องชวนคุยต่อเท่านั้น ไม่ได้คิดจริงๆหรอกว่าตัวเองจะต้องเป็นตำรวจไปจับสุนัขเข้าคุก

     

     

    เซฮุนส่ายหน้าจนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไสว  “ไม่ต้อง ฮึก ประหาร ..แต่ให้อดข้าวสองมื้อ”

     

     

    ผมหลุดหัวเราะ เซฮุนน่ารักมาก มากจนผมอดใจไม่ไหว จับเข้ามากอดฟัดเหมือนว่าเขาเป็นตุ๊กตาตัวเล็กๆ

     

     

    “ใจร้ายจังนะ ให้อดข้าวตั้งสองมื้อ”

     

     

    “ฮึก...งั้นมื้อเดียวก็ได้”

     

     

    “ใจดีจัง”

     

     

    แล้วผมก็ชอบเซฮุน

     

     

    ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ...

     

     

     

    จนเมื่อเขาขึ้นม.ปลาย เราก็ได้คบกันในฐานะอื่นที่ไม่ใช่แค่พี่ชายน้องชาย  เซฮุนเป็นเด็กที่ใจดีแล้วก็น่ารัก หัวใจของเขาบริสุทธิ์ ..เป็นคนที่ผมอยากจะปกป้องดูแลไปตลอด จนกว่าจะหมดลมหายใจ

     

     

     

     

     

    “แล้ว เอ่อ...กับครอบครัวใหม่เป็นยังไงบ้าง?” ผมหาเรื่องชวนคุย เมื่อคิดว่าบรรยากาศมันชักจะเงียบเกินไปแล้ว

     

     

    แต่ก็เหมือนผมพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด  เซฮุนเพียงแค่พยักหน้า  ดวงตาของเขาเศร้าหมอง

     

     

    “อ่า...พวกเขาทำร้ายนายรึเปล่า?” ถึงจะเป็นห่วงสุขภาพจิตใจ แต่ผมก็เลือกที่จะถามออกไปตรงๆ เพราะถ้าเซฮุนถูกทำร้ายแล้วล่ะก็ ผมไม่มีทางยอมได้แน่ๆ

     

     

    “เปล่า ผมสบายดี”

     

     

    ผมเบ้ปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ สภาพแห้งเหี่ยวของเขามันแปลว่าสบายดีตรงไหน?

     

     

    “เอาเถอะ...ถ้าไม่ไหวก็บอกได้นะ หรือจะมาพักอยู่กับพี่ก่อนก็ได้”

     

     

    เกิดริ้วแดงๆบนแก้มของเด็กหนุ่ม

     

     

    “เฮ้...ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ ...อย่าคิดทะลึ่งสิ” ผมรีบพูดดักคอก่อนที่เขาจะคิดไปไกล  พอเซฮุนเขิน ผมเองก็เริ่มที่จะเขินบ้าง

     

     

    ถ้าเราอยู่หอพักกันสองต่อสอง...อ๊ากกก นี่ผมคิดอะไรเนี่ย!!

     

     

    เซฮุนยิ้มบางๆ เขาลงมือกินต่อในส่วนของผม ก่อนที่เราจะออกจากร้าน แล้วเดินไปที่สถานีรถไฟ

     

     

     

     

    ระหว่างทางเราไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เหมือนเซฮุนมีเรื่องอะไรที่ต้องคิดตลอดเวลา เขาเหมือนกังวลใจ

     

     

    บ่อยครั้งที่ผมอ้าปากจะถามไถ่  แต่สุดท้ายผมก็กลืนคำพูดลงลำคอไป

     

     

    ผมคิดว่า....ถ้าเขาอยากบอกเมื่อไหร่ ก็คงจะเป็นฝ่ายบอกเอง

     

     

    ตอนนี้เขาอาจจะยังต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องการเคลียร์กับตัวเองก่อนที่จะเล่าให้ผมฟัง

     

     

    ผมรู้ว่าเขากำลังเผชิญอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก  เซฮุนอาศัยอยู่กับแม่แท้ๆมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่พ่อเสียไป  เขาเพิ่งมีพ่อใหม่แล้วก็พี่ชายใหม่เมื่อไม่นานมานี้

     

     

    ผมไม่รู้ว่าเขาเข้ากับพ่อและพี่ชายได้หรือเปล่า ...แต่ก็เดาว่าไม่  เพราะเขาไม่เคยพูดถึงคนทั้งคู่เลย

     

     

    ผมหวังว่าเขาจะเปิดหัวใจและปรับตัวให้ได้  คนเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง  ผมหวังว่าเซฮุนที่รักของผมจะเข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่ให้ได้ในเร็ววัน

     

     

    ผมไม่อยากโอ๋เขามากจนเกินไป  ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบครอบครัวใหม่ แต่เขาต้องจัดการมันได้ด้วยตัวเอง เขาต้องผ่านมันไปให้ได้

     

     

     

     

     

     

    “ถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วยนะ” ผมกำชับ เมื่อเดินมาส่งเซฮุนถึงสถานีรถไฟ 

     

     

    อีกไม่กี่นาทีรถไฟคงมาถึงชานชาลา  ผมก็เลยยืนรอเป็นเพื่อนเขา

     

     

    “พี่...”

     

     

    “หือ?” ผมหันหน้าไปทางเสียงเรียก ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นๆจากทาบทับลงมา

     

     

    เซฮุนสูงกว่าผมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย  เขาโตขึ้นมากจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

     

     

    เราสัมผัสกันบางเบาเหมือนการปัดผ่านของปีกผีเสื้อ ก่อนที่จะผละออกจากกัน  เซฮุนยิ้ม แต่ดวงตาของเขาเศร้า  มันเศร้ามาก...เศร้าจับใจของผม

     

     

     

     

    รถไฟมาถึงแล้ว ขบวนรางจอดลงเทียบชานชาลา ก่อนที่เซฮุนจะเดินขึ้นไป

     

     

    แต่ก่อนที่เท้าขวาจะเหยียบขึ้นไปยังตัวรถ ผมก็เรียกเขาเอาไว้  “เซฮุนอ่า!!

     

     

    เจ้าของชื่อชะงัก เขาเดินกลับมา แล้วเราก็จูบกันอีกครั้ง

     

     

    ผมรู้สึกแปลกๆ มันสั่นไหวในอารมณ์  ลางสังหรณ์ของผมสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวเจ็ดจุดห้าริกเตอร์

     

     

    ผมพยายามจะสอดลิ้นเข้าไป แต่เราไม่มีเวลามากพอจะทำอย่างนั้น  สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่จูบผะแผ่วเหมือนเมื่อครั้งแรก

     

     

    เซฮุนผละออกไป เขาโค้งให้ผม  แล้วก็ไม่ยอมตอบคำถาม หลังจากที่ผมถามออกไปว่า

     

     

    “นี่ไม่ใช่จูบลาใช่ไหม?”

     

     

    เราแยกจากกัน

     

    เขาขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ไป

     

     

    แล้วคืนนั้นเซฮุนก็ไม่โทรกลับมา ทั้งที่ผมพูดนักพูดหนา ว่าถ้าถึงบ้านให้รีบโทรมาบอก

     

     

    ผมโทรหาเขาเป็นสิบสาย แล้วก็ส่งข้อความไปหาอีกสามข้อความ

     

     

    แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้รับการตอบกลับ  เขาทำให้ผมเป็นห่วงจนแทบจะขี่มอเตอร์ไซต์ของสถานีตำรวจไปหาเข้าถึงบ้าน

     

     

    แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำ  เซฮุนเป็นผู้ใหญ่แล้ว  เขาโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ

     

     

    ซึ่งถ้าผมรู้ว่าเหตุการณ์ล่วงหน้าได้...ผมคงไม่มีวัน...ไม่มีวันที่จะปล่อยเขาไป

     

     

    ไม่มีวันยอมให้เขาจากไปทั้งๆแบบนี้แน่นอน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “นายดูเหมือนจะแฮงค์นะซิ่วหมิน”

    ผมจ้องลูกทีมอย่างจับผิด  แก้มป่องๆของเขาดูแดงๆ อาการเซไปเซมาเหมือนคนหลับไม่เต็มตื่นนั่นก็แปลกๆ ...เมื่อคืนเขาต้องไปกินเหล้ามาชัวร์!

     

     

    “แหะๆ” คิมมินซอกหัวเราะแห้งๆ เขาเหล่ตาไปที่ผู้กองอู๋ที่กำลังยืนคุยธุระกับพลตำรวจนายหนึ่งอยู่ข้างตู้กดน้ำ

     

     

    “ไปฉลองปิดคดีกันมาหรอเมื่อคืน”

     

     

    “อ่าฮะ ผมก็ว่าจะโทรชวนผู้กองอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าผู้กองคงไม่มาหรอก ก็เลยไม่ได้โทร”

     

     

    ชิ! ผมสะบัดหน้าใส่ลูกทีม

     

     

    นี่ผมไม่ได้งอนนะ!! แต่โคตรงอนเลยเหอะ ไปสังสรรค์กับผู้กองอู๋ได้ไง งานที่ไอ้บ้านั่นทำสำเร็จน่ะมันงานที่แย่งไปจากทีมเรานะเว้ย!

     

     

    “ผู้กองก็ลดทิฐิลงหน่อยเถอะ ยังไงเราก็สน.เดียวกัน เขาทำสำเร็จ ก็เหมือนเราทุกคนสำเร็จ  แถมเขายังมีน้ำใจชวนเราไปเลี้ยงเมื่อคืน  ผมว่าทีมผู้กองอู๋เขาก็...”

     

     

    “หยุดพูดไปเลย! ไปทำงานได้แล้วนี่คือคำสั่ง!” ผมชี้หน้าซิ่วหมินและไล่ให้เขาไปทำงาน  ก่อนที่ผมจะเดินมาทิ้งตัวบนเก้าอี้ส่วนตัวอย่างหงุดหงิด

     

     

    ไอ้คริสอู๋! ไอ้สูงโย่ง! ไอ้คนนิสัยไม่ดี!

     

     

    อย่าให้ฉันชนะล่ะ พ่อจะปิดร้านหมูกระทะเลี้ยงทั้งตำบลเลย!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “หงุดหงิดอะไรแต่เช้า?”

    ผมหันไปตามเสียงทักทาย  เป็นเด็กใหม่ของสถานีกวางจูนั่นเอง...ไอ้ผู้หมวดปาร์คชานยอล

     

     

    “นายมาสาย”

     

     

    “สามนาทีเอง”

     

     

    “คัดคำว่า ขอโทษ หนึ่งร้อยจบแล้วเอามาวางบนโต๊ะทำงานฉัน”

     

     

    “พูดเล่นรึเปล่าเนี่ย?” ชานยอลเลิกคิ้วหนึ่งข้าง  หน้าตาเขาดูไม่เกรงใจผมเอาซะเลย  แล้วผมก็ไม่ชอบการแต่งตัวของเขาด้วย มันชิวเกินไป  ไม่ชอบหน้าเขาด้วย มันกวนประสาท!

     

     

    “พูดจริง ฉันเป็นรุ่นพี่นาย เป็นหัวหน้า ฉะนั้น...ทำซะ!” ผมตะเบ็งเสียงใส่เขา  สมน้ำหน้า เป็นสารวัตรอยู่ที่โซลดีๆไม่ชอบ อยากจะมาเป็นผู้หมวดในกวางจู มันก็ต้องโดนโขกสับอย่างนี้แหละ

     

     

    ชานยอลทำหน้าเหยเก เขาอ้าปากเหมือนจะเถียง แต่พอผมถลึงตาใส่ เขาก็ลงมือทำตามบัญชาของผมแต่โดยดี

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ผู้กองบยอน ผู้กำกับเรียกครับ!

    จงแดตะโกนบอก  ผมนิ่วหน้า...ผู้กำกับเรียกอีกแล้ว เรียกไปทำไม หวังว่าจะไม่ได้เรียกให้ไปรับของขวัญอีกนะ คราวนี้จะเป็นอะไรล่ะ เป็นท่านผู้การแปลงร่างเป็นจ่าสิบตรีมาฝึกงานหรอ?

     

     

    โอ๊ยย บยอนแบคฮยอนปวดหัว!

     

     

    ผมโอดครวญอยู่ซักพักก่อนจะลุกจากโต๊ะทำงาน  ปาร์คชานยอลชูสองนิ้วเหมือนให้กำลังใจ ก่อนจะดันก้นผมให้ออกเดิน

     

     

     

     

     

    แอร์ห้องผู้กำกับลีเย็นฉ่ำเหมือนเดิม  เย็นจนผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนหรือหมีขั้วโลกกันแน่นะ ถึงได้ชอบอุณหภูมิต่ำเว่อร์ขนาดนี้

     

     

    “สวัสดีครับ” ผมโค้งตัวทำความเคารพ  ผู้กำกับลีอนุญาตให้ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา ก่อนจะดันแฟ้มสีดำมาให้

     

     

    “คุณจัดการคดีนี่แล้วกัน ผมต้องการเร็วที่สุด”

     

     

    ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะรับแฟ้มมาเปิดดู ข้างในมีรูปถ่ายหลายใบ  ใบที่เด่นสะดุดตาเห็นจะเป็นศพผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียงนอนสีขาว

     

     

    “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรอครับท่าน?”

     

     

    “เมื่อคืน”

     

     

    “แล้วทำไมผมไม่ได้รับรายงานล่ะครับ”

     

     

    ผู้กำกับลีวางมือที่กุมกันไว้ทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ  “เมื่อคืนผมส่งทีมของผู้กองอู๋ไป  แต่พวกเขาเมาแอ๋จากการเลี้ยงฉลองปิดคดียาเสพติด  ก็เลยไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวซักเท่าไหร่ ในแฟ้มพวกเขาก็สรุปมาลวกๆ”

     

     

    อ่า...อย่างนี้นี่เอง

    ผมมันทีมรองบ่อนสินะ เหอะ!

     

     

    “เอาเป็นว่าคุณอ่านในแฟ้มไปคร่าวๆแล้วกัน มีอะไรก็สงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนก็ถามผู้กองอู๋เอา  หรือจะไปสถานที่จริงก็ได้  อ่อ...ศพถูกส่งไปชันสูตรแล้ว ผลจะมาถึงไม่เกินเจ็ดวัน”

     

     

    ผมพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะไล่เปิดแฟ้มไปทีล่ะหน้า  ในนั้นมีการสันนิษฐานเบื้องต้นว่าผู้ตายถูกแทงด้วยของแหลมเข้าที่ชายโครงทะลุปอดข้างซ้ายกับลำคอ ซึ่งก็คงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต

     

     

    ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เมื่อได้เห็นใบหน้าของศพชัดเจน

     

     

    ผู้หญิงคนนี้....

     

     

    แม่ของโอ เซฮุน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมเดินออกมาจากห้องผู้กำกับด้วยความรู้สึกวูบโหวง  เหมือนว่าขาลอยๆ แต่หัวใจกลับหนักอึ้ง  ผมคิดถึงเซฮุน  เขาจะรู้หรือยังนะว่าคุณแม่ของเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

     

     

    เซฮุนจะเป็นยังไงบ้าง?

     

     

     

     

    “ว่าไงผู้กอง” คริสอู๋ทักระหว่างทางที่ผมกำลังจะเดินกลับโต๊ะ

     

     

    “...” ผมเพียงแค่หันไปโค้งให้เขาตามมารยาทเท่านั้น

     

     

     

    ร่างสูงหกฟุตกว่าๆขมวดคิ้วอย่างสงสัย ปกติถ้าเขาทักผู้กองบยอน คนตัวเล็กมักจะหันมาแยกเขี้ยวใส่เสมอ  แต่วันนี้มาแปลก ดันมาทำความเคารพกันซะอย่างนั้น หน้างี้ก็ยังกับเด็กโดนแย่งขนม จะร้องไม่ร้องแหล่อยู่แล้ว

     

     

    “โดนสั่งย้ายรึไง หงอยซะ”

     

     

    ผมไม่สนใจที่ผู้กองอู๋พูด  ตอนนี้อยากเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองแล้ว

     

     

    หมับ!

     

     

    หัวหน้าทีมมังกรจับมือผมเอาไว้ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแล้วก็โยกไปโยกมาเหมือนปลอบเด็ก

     

     

    “เฮ้ย! ปล่อย! จะบ้ารึไงเนี่ย ปล่อยเว้ย!” ผมร้องโวยวาย ทำเอาตำรวจทั้งสน.พุ่งความสนใจมาที่เราทั้งคู่  แต่พอจะส่งเสียงโห่แซวก็ถูกสายตามดุๆของผู้กองอู๋ปรามเข้าให้เสียก่อน

     

     

    คริสกอดผมแน่นขึ้น  ผมไม่ชอบเลยที่เขาทำเหมือนผมเป็นเด็ก

     

     

    ตำรวจที่นี่ชอบเอ็นดูผมเหมือนเอ็นดูลูกหลานในบ้าน ...แต่ผมไม่ใช่เด็กแล้ว

     

     

    “คริส...” ผมครางเรียกชื่อสากลของผู้กองอู๋เบาๆ  มือก็พยายามดันร่างสูงๆนั่นออกไป

     

     

    “ไม่เอาน่า” เขาเอ็ด ก่อนจะห่อผมเอาไว้ในแจ็กเก็ตยีนส์ตัวนอกของเขา  เหมือนจะใช้มันเป็นม่านกั้นไม่ให้คนอื่นเห็นว่าผมกำลังจะงอแง

     

     

    “คริส...ปล่อย”

     

     

    “ไม่ปล่อย ตำรวจร้องไห้ น่าอายจะตาย”

     

     

    “ฉันไม่ได้จะร้องไห้”

     

     

    “งั้นก็มีชีวิตชีวาหน่อยสิ”

     

     

    “อย่ามายุ่งน่า”

     

     

    ผู้กองคริสไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไร  เขากอดผมไว้อย่างนั้น แล้วก็บังคับให้ผมยืนบนเท้าทั้งสองข้างของเขา ก่อนที่เขาจะเดินพาผมไปส่งที่โต๊ะทำงาน

     

     

    ผมผลักผู้กองอู๋ออกเมื่อมาถึงที่โต๊ะ  ต่อให้เขามาทำดีด้วยผมก็ไม่ยอมดีกับเขาง่ายๆหรอก ผมยังความจำดีอยู่ จำได้ว่าเขาฉกผลงานผมไปหลายครั้งแล้ว!

     

     

    “ขอบคุณครับ!” ผมกระแทกเสียงประชดประชัน  ขอบคุณมากสำหรับน้ำใจที่ไม่ได้ขอร้อง!

     

     

    “ทำไปตามหน้าที่น่ะ เลือดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของผมมันเข้มข้น เห็นประชาชนอ่อนแอก็ต้องรีบช่วยเหลือ” คริสพูดด้วยน้ำเสียงเก๊กหล่อพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะเดินกลับโต๊ะของเขาไป

     

     

    ผมแลบลิ้นไล่หลังผู้กองอู๋ ...แหวะ หล่อเหลือเกินนะ!

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อะแฮ่ม” ชานยอลกระแอมไอ เรียกให้ผมหันไปสนใจทางเขา

     

     

    “ผมคัดได้ห้าสิบกว่าจบแล้ว” เขาแถลงความคืบหน้าของบทลงโทษ

     

     

    ผมเบ้ปาก  ไอ้บ้านี่ทำจริงด้วยแหะ...

     

     

    “พอได้แล้ว ไร้สาระ”

     

     

    “แต่ผู้กอง..”

     

     

    “ก็บอกให้พอไง หรืออยากจะคัดอีก? เอาซักพันจบเลยดีมั้ย?” ผมถลึงตาขู่  ชานยอลยักไหล่ ก่อนจะถือวิสาสะฉกแฟ้มในมือผมไป

     

     

    “คดีใหม่หรอ?”

     

     

    ผมพยักหน้า “อือ สดๆร้อนๆเลย เพิ่งเกิดเมื่อคืน”

     

     

    ชานยอลเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังได้อย่างรวดเร็ว  แววตาของเขาที่คล้ายว่ามีประกายของแกร่งกล้าเคลือบทับอยู่ทำให้ผมเหมือนกลายเป็นลูกน้องเขายังไงยังงั้น

     

     

    นิ้วยาวเคาะที่กระดาษข้างในเหมือนกำลังใช้ความคิด  ชานยอลไล่อ่านข้อความในนั้นซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบของจางอี้ชิง

     

     

    “ผู้ต้องสงสัย...ลู่หาน”

     

     

    “...”

     

     

    “มูลเหตุ ....ความขัดแย้งกับแม่เลี้ยง”

     

     

    บอกตามตรงว่าผมไม่รู้จักเขา  แต่ถ้าบอกว่าเป็นแม่เลี้ยง ก็แสดงว่าคนที่ชื่อลู่หาน เป็นลูกติดของพ่อใหม่ของเซฮุน

     

     

    ใจผมห่วงแต่เขา ...ห่วงแต่เขาคนเดียว

     

     

    ชานยอลยังคงอ่านข้อมูลในแฟ้มต่อไป  ส่วนผมก็ปล่อยให้เขาอ่านไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ทักท้วง

     

     

    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเช็คกล่องข้อความ ...มันยังคงว่างเปล่า

     

     

    ผมเลยพิมพ์ข้อความใหม่ และกดส่งไปอีกครั้ง

    อยู่ไหน? เป็นห่วงนะ?

     

     

     

     

    “เราจะลงมือสืบคดีกันเมื่อไหร่?” ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาถาม เล่นเอาผมที่กำลังเหม่อลอยถึงกับสะดุ้ง

     

     

    “คุณตกใจอะไร?”

     

     

    “เปล่า” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ  ก่อนจะสั่งให้ชานยอลเรียกลูกทีมคนอื่นๆเตรียมเข้าประชุม

     

     

    มีหลายอย่างอยู่ในใจของผม ...เซฮุนรู้หรือยังว่าแม่เขาตาย?  แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ติดต่อกลับมา?  ลู่หานมีเรื่องอะไรกับผู้ตาย?  แล้วใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    -จบตอนที่1-

     

     

     

     

     

     

     

     

    Talk



     


     

    เป็ดอาบน้ำในคลอง

     

    ปลาก็จ้องแลมอง

    เพราะในคลองมีหอยปูปลา


     

    See’me
    #แผนสอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×