ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Second Plan {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #3 : - [ The Second Plan ] : chapter 2 -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.66K
      71
      7 พ.ย. 56


    The Second Plan


    -chapter 2-


     

     

     

     

    “ผู้ตายชื่อโออึนซอ อายุ 45 ปี พบศพเวลาตีสาม วันที่ 7 พฤษภาคม”

     

    เสียงของจงแดดังก้องห้องประชุมเล็กๆที่ตอนนี้มีสมาชิกทีมของเรานั่งอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา  โปรเจ็คเตอร์ถูกเปิดใช้งาน ก่อนที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานคนเก่งของทีมเราจะนำภาพถ่ายจากสถานการณ์เมื่อคืนขึ้นโชว์ที่สไลด์

     

     

    “สันนิษฐานเบื้องต้นจากสภาพศพ คุณอึนซอถูกแทงสองแผล”

    แล้วจงแดก็ใช้เลเซอร์สีแดงยิงไปที่โปรเจ็คเตอร์หน้าห้องประชุม เพื่อชี้ให้พวกเราเห็นร่องรอยการถูกทำร้ายที่เขากำลังกล่าวถึงชัดๆ

     

     

    “มีแผลลึกที่ชายโครงซ้าย คาดว่าอาวุธน่าจะทะลุปอด คุณอึนซออาจจะยังไม่ได้ตายในทันที คนร้ายจึงใช้ของแหลมแทงอีกครั้งที่ลำคอ ซึ่งก็น่าจะเป็นต้นตอของการเสียชีวิต”

     

     

    “ของแข็งที่ว่ามันคืออะไร?” ปาร์คชานยอลเป็นฝ่ายถาม สีหน้าท่าทางของหมอนี่เคร่งขรึมและก็จริงจังแบบสุดๆ เหอะ! ทำเป็นเก๊กฟอร์ม

     

     

    จงแดพลิกแฟ้มในมือเพื่อหารูปถ่ายของอาวุธที่ทีมผู้กองอู๋เป็นคนถ่ายไว้  ก่อนจะพบว่ามันอยู่หน้าสุดท้ายของบรรดารูปถ่ายทั้งหมด

     

     

    “อาวุธที่ใช้ก่อเหตุเป็นมีดแกะสลักครับ”

     

     

    “มีดแกะสลัก? มีดแกะสลักที่ยาวไม่เกิน 2.5 นิ้ว นี่แทงปอดทะลุเลยหรอ?” ผู้หมวดปาร์คถามอีกครั้ง ซึ่งพวกเราก็คิดเหมือนเขานั่นแหละ

    ผู้ตายก็ไม่ใช่ผอมๆซักหน่อย

     

     

    “อ่า...มันเป็นมีดแกะสลักแบบหั่นผักน่ะครับ มีขนาดใหญ่กว่ามีดแกะสลักทั่วไป เอาไว้ใช้สำหรับแกะวัตุถุที่มีขนาดใหญ่” จงแดอธิบาย ก่อนจะนำรูปขึ้นแท่นสไลด์

     

     

    มีดมีคราบเลือดติดอยู่ ซึ่งก็คงจะเป็นเลือดของผู้ตาย

     

     

    ผมอึ้งไป...ตอนที่เห็นรูปมีดนั่นชัดๆ

     

     

     

    “แล้วผู้ต้องหาล่ะ ตอนนี้อยู่ไหน” ผมเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง เรื่องพิจารณาศพเราควรเอาไว้ที่หลัง ...เพราะผมร้อนใจมากเหลือเกินในตอนนี้

     

     

    “กำลังเดินทางมาที่สน.ครับ ผู้หมวดเทาจะเป็นคนคุมตัวมา”

     

     

    “จื่อเทา?” ผมทวนชื่อนั้นอีกครั้ง  “ให้ทีมอื่นไปคุมมาเนี่ยนะ เจริญล่ะงานฉัน”

     

     

    คนอื่นๆไม่สนใจเสียงบ่นของผม  ผมรู้หรอกน่าว่าทุกคนระอากับทิฐิของผมมากแค่ไหน  แต่ก็จะทำไมล่ะ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ

     

     

    “ฉันกับจงแดเป็นคนสอบสวนและบันทึกการให้คำของผู้ต้องหา” ผมบอก ก่อนจะแจงหน้าที่อื่นๆให้สมาชิกในทีม  หลังจากนั้นเราก็คุยรายละเอียดคดีกันอีกนิดหน่อย ระหว่างรอให้ผู้ต้องสงสัยเดินทางมาถึง

     

     

     

    และหลังจากนั้นอีกสิบนาที...ผู้หมวดฮวางจื่อเทาก็พาเสี่ยวลู่หานมายังห้องสอบสวนของสถานีตำรวจกวางจู

     

     

     

     

     

     

    ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆมีแค่ผม จงแด แล้วก็เขา ...เขาที่ว่าก็หมายถึงคนร้ายนั่นล่ะ

     

     

    “สวัสดี” จงแดเอ่ยทักทายน้ำเสียงเป็นมิตร ซึ่งผมไม่เคยชอบวิธีการพูดของเขาเลย อย่างน้อยมันก็ไม่ควรใช้กับพวกนักโทษที่ทำความผิด พวกเขาไม่สมควรได้รับมิตรภาพ และยิ่งถ้าเราวิธีพูดดีๆแทนการกดดัน พวกผู้ร้ายปากแข็งมันก็ยิ่งไม่เกรงกลัว

     

     

    แต่ที่ผมเลือกจงแดให้มาสอบสวนด้วย อือ...คงเพราะเขาพูดภาษาจีนได้เก่งที่สุดในทีมล่ะมั้ง

     

     

    “ในบัตรประชาชนบอกว่านายเป็นคนจีน แต่ฉันคิดว่านายน่าจะพูดเกาหลีได้” ผมถามน้ำเสียงเย็นชา  ลู่หานเอาแต่ก้มหน้ามองโต๊ะ เนื้อตัวของเขาแข็งทื่อ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าตอนนี้เขายังหายใจอยู่รึเปล่า

     

     

    “...”

     

     

    “อย่าเสียมารยาทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฉันถามอะไรไปนายต้องตอบ”

     

     

    “ตอบเถอะครับคุณลู่หาน ถ้าคุณรับสารภาพ โทษหนักจะกลายเป็นเบานะครับ” จงแดใช้น้ำเสียงเว้าวอน และบอกตรงๆว่าผมไม่ชอบเอามากๆ

     

     

    แต่ก็นั่นล่ะ ไม่ว่าจะใช้น้ำเสียงแบบไหน ไอ้หนุ่มจีนหัวแดงนี่มันก็ไม่ยอมตอบ ไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองพวกผมสองคนด้วยซ้ำ

     

     

    ปัง!

     

     

    อารมณ์หงุดหงิดทำให้ผมใช้กำปั้นทุบโต๊ะไปหนึ่งที หวังให้เขาสะดุ้งหรือมีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาซักมาอย่าง

     

     

    แต่ก็ไม่...

     

     

    ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะถอยหลังไปยืนสงบสติอารมณ์ที่มุมห้อง แล้วปล่อยให้จงแดเป็นฝ่ายเค้นเอาคำตอบแทน

     

     

    “คุณลู่หานครับ คุณ เอ่อ...มาอยู่ที่เกาหลีได้กี่ปีแล้วครับ”

     

     

    “...”

     

     

    “ในประวัติคร่าวๆ บอกว่าคุณโออึนซอเป็นแม่เลี้ยงของคุณ พวกคุณเพิ่งย้ายมาอยู่กับเธอเมื่อประมาณหกเดือนที่แล้วใช้มั้ยครับ?”

     

     

    “...”

     

     

    “ข้างบ้านบอกว่าได้ยินเสียงทะเลาะในบ้านบ่อยๆ คุณมีเรื่องกระทบกระทั่งกับผู้ตายใช่มั้ยครับ และนั่นก็เป็นเหตุที่คุณฆ่าเขา?”

     

     

    “...”

     

     

    “เอ่อ...สารภาพเถอะครับ ถ้าคุณเล่าความจริงออกมาล่ะก็ โทษของคุณจะลดลงไปตามรูปคดีนะครับ อย่างเช่น..เผื่อว่ามันจะเป็นการป้องกันตัว ในกรณีที่เธอจะทำร้ายคุณก่อนหรือว่า เอ่อ..นั่นล่ะครับ สารภาพออกมาเถอะ”

     

     

    “จงแด...ออกไป” ผมทนให้คนร้ายรู้สึกสมเพชไปไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว  เข้าใจเลยว่าทำไมผู้หมวดฮวางถึงทำผลงานได้ดีในการสอบสวนตลอด

     

     

    เคล็ดลับน่ะมันไม่ยากเลย...ก็แค่ทำตรงข้ามกับสิ่งที่จงแดทำ

    ก็แค่นั้น!

     

     

    พระเจ้า! นี่ผมจะไปหามือสอบสวนชั้นพรีเมี่ยมอย่างฮวางจื่อเทาได้ที่ไหน!

     

     

     

    จงแดสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยอมลุกจากเก้าอี้  เขากำลังจะเดินออกไป แต่ผมรั้งไว้ด้วยคำสั่งสุดท้าย

     

     

    “เอามีดมาด้วย”

     

     

    “มีด?!” ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานเฉินเฉินหันมามองอย่างตกใจ

     

     

    ะบ้ารึไง ใครมันจะไปใจร้ายนาดนั้น

     

     

    “ฉันหมายถึงมีดที่เป็นของกลางน่ะ มีดที่คนร้ายใช้แทงผู้ตายน่ะโอเคมั้ย”

     

     

    “อ๋อ โอเคครับ” เฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมอับๆนี้

     

     

     

    ผมย่างสามขุมเขาไปประจำที่บนเก้าอี้โครงเหล็กตรงข้ามกับผู้ต้องหา  เขายังเอาแต่ก้มหน้ามองโต๊ะไม่เลิก

     

     

    “พิศวาสมันมากนักหรอไอ้โต๊ะตัวนี้น่ะ?”

     

     

    “...”

     

     

    “ถ้าชอบมากฉันจะบังคับให้นายกินมัน โอเคมั้ย?”

     

     

    “...”

     

     

    “ถ้ายังไม่ยอมพูดล่ะก็ นายได้ฟันหมดปากแน่ๆลู่หาน!

     

     

    เหมือนคำขู่ของผมจะได้ผล ลู่หานยอมเงยหน้าขึ้นมา เขามองผมด้วยสายตาเหมือนจะดูถูก

     

     

    เปี๋ยเกินหวอป่ายเจี้ยจึ (อย่ามาทำเป็นวางอำนาจหน่อยเลย)”

     

     

    ผมชะงักไป พูดภาษาจีนอย่างนั้นหรอ ชะ! ไอ้หมอนี่

     

     

    “อยากตายรึไงห๊ะ! ไอ้เจ๊กหัวแดง รีบสารภาพมาซะดีๆก่อนที่ฉันจะหมดอารมณ์แล้วจับปากนายโขกโต๊ะ!

     

     

    ลู่หานยกยิ้มมุมปาก เขามองหน้าผมแล้วใช้สายตาตวัดลงล่าง ....แม่งเป็นสายตาที่หยามเกียรติกันโคตรๆ!

     

     

    “หนีอี่เหวยหนี่ซื่อสุย (นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร?)”

     

     

    “พูดเกาหลีกับฉันเดี๋ยวนี้นะ!!” ผมแผดเสียงคำราม จ้องตากลมโตคู่นั้นเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

     

     

    ให้ตาย! ไอ้บ้านี่ทำผมประสาทจะกิน  ครั้นจะเดินออกไปเรียกจงแดที่พูดภาษาจีนได้มาสอบสวนต่อ ก็ดูจะเป็นการขายหน้าและไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

     

     

    แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...เซนส์ลึกๆของผมบอกว่าหมอนี่พูดภาษาเกาหลีได้ ต้องพูดได้แน่ๆ!

     

     

    “พูดเกาหลีเดี่ยวนี้นะ!!

     

     

    เหลี่ยนจางหลาง”

     

     

    “ฉันบอกให้พูดเกาหลีไง!!

     

     

    “ไอ้-หน้า-กระ-จั๊ว”

     

     

    ว่าไงนะ?!

     

    อ๊ากกกกกกกกก!!!

    ผมลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กำลังจะพุ่งเข้าชาร์จผู้ต้องหา  แต่คิมจงแดก็ดันเปิดประตูเข้ามาซะก่อน

     

     

    “อ..เอ่อ ขออนุญาตครับ” เขาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนจะส่งมีดที่ใส่ถุงไว้อย่างดีมาให้ผมถือไว้  แถมยังตบไหล่ผมสองสามทีเหมือนจะปลอบประโลมให้ใจเย็นลง

     

     

    ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เมื่อจงแดเดินออกจากห้องสอบสวนไปแล้ว

     

     

    เอาล่ะบยอนแบคฮยอน...ใจเย็นลงหน่อย

     

     

    ผมนั่งนิ่งเพื่อคลายอารมณ์ซักพัก ก่อนจะดันมีดที่อยู่ในถุงซิปล็อคพลาสติกใสไปข้างหน้าเสี่ยวลู่หาน

     

     

    เขาใส่กุญแจมืออยู่น่ะ  ต่อให้เขามีปืนผมก็ไม่กลัวหรอก...

     

     

    “เราเจอไอ้นี้ในที่เกิดเหตุ  นายใช้มันแทงคุณโออึนซอใช่มั้ย?”

     

     

    ลู่หานพรูลมหายใจเหมือนรำคาญ ก่อนจะยอมปรายตามองเจ้ามีดแกะสลักด้ามสีดำลายดอกไม้สีขาว

     

     

    ผมเห็นบางอย่างในดวงตาของเขา

    มันเป็นระลอกคลื่นโศกเศร้าที่ชวนหดหู่ใจ...

     

     

    ชั่วแวบหนึ่ง นัยน์ตาของเขาทำให้ผมคิดถึงโอเซฮุน  ผู้ซึ่งใช้สายตาเศร้าหมองแบบนี้มองผม หลังจากที่ผมถามเขาถึงเรื่องครอบครัวใหม่

     

     

    แต่มันก็แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น  เพียงไม่ถึงวินาที เจ้าหนุ่มผมแดงที่ชื่อลู่หานก็กลับมาเป็นคนเดิม

     

     

    “พวกคุณรู้มาว่ายังไง มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องถามมากได้มั้ย...น่ารำคาญ” ผู้ต้องสงสัยดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้ม ตาก็มองเรื่อยเปื่อยไปทางอื่น

     

     

    ผมมองเขาอย่างหมั่นไส้  หึ...ไอ้หมอนี่มันนักเลงชัดๆ!

     

     

    “ทำมาปากดี รู้มั้ยว่าคดีฆ่าคนตายมีโทษยังไง!

     

     

    “ไม่รู้”

     

     

    “งั้นก็รู้ซะ โทษของการคนคนตายโดยเจตนาคือประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 15-20 ปี”

     

     

    “...”

     

     

    “นายเองก็บรรลุนิติภาวะแล้ว แถมที่สารภาพผิดก็เพราะยอมจำนนต่อหลักฐาน ดังนั้นไม่มีการลดโทษใดๆทั้งสิ้น  นายตายแน่...เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย?”

     

     

    เอาล่ะ...ผมเห็นความกลัวเล็กๆในแววตาเขาแล้ว

     

     

    เย้!

     

     

    “ฉะนั้น ค่อยๆเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฉันฟัง โทษจะสามารถลงได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โอเคมั้ย”

     

     

    ที่จริงๆผมอยากยื่นมือไปบีบไหล่เขาเบาๆด้วยซ้ำ เผื่อว่าเขาจะคลายความเกร็งลงได้บ้าง ...แต่ก็นะ คนที่ฆ่าคนตาย ไม่สมควรจะได้รับการทำดีด้วย

     

     

    ตอนที่ผมมาทำงานที่กวางจูใหม่ๆ ผมต้องเรียนงานจากผู้กองอู๋  ผมแทบไม่เคยได้รับอะไรติดไม้ติดมือมาเลยในการเค้นผู้ต้องหา  คริสอู๋จึงสอนให้ผมตัดความรู้สึกส่วนตัวออกไป  ..ไม่ต้องสงสาร ..ไม่ต้องเข้าใจ ..ไม่ต้องปลอบประโลม  ..ไม่ต้องเอื้ออำนวย

     

     

    เขาคือผู้กระทำผิด ...ไม่ว่ามูลเหตุของการฆาตกรรมจะเป็นเช่นไร

     

     

    คนผิดย่อมผิด

     

     

     

     

    “คืนนั้นผมมีเรื่องทะเลาะกับเขา” ลู่หานยอมเปิดปากเล่า  น้ำเสียงนิ่งเรียบ  ดวงตาหลุบต่ำ

     

     

    “จริงๆเราก็มีเรื่องกันมาโดยตลอด เพราะผมเป็นลูกเลี้ยง ไม่ว่าผมจะทำอะไร ก็ดูจะขัดหูขัดตาเขาไปหมด  เราทะเลาะกันบ่อย  แต่มันหนักมากเมื่อคืน”

     

     

    “...”

     

     

    “เขาดูถูกแม่ของผม ผมก็เลย...แทงเข้าให้”

     

     

    “ทันดีทันใดเลยใช่มั้ย?”

     

     

    เสี่ยวลู่หานพยักหน้า

     

     

    อ่า...ถ้าเป็นกรณีบรรดาลโทสะก็สามารถลดโทษได้ บางทีเขาอาจจะจำคุกไม่ถึงยี่สิบปี

     

     

    ผมจดบันทึกคำให้การของเขาลงในสมุด  ระหว่างนั้นลู่หานก็นิ่งเงียบไป

     

     

    ผมรู้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องซักเท่าไหร่  แต่ว่า...

     

     

    “ในประวัติบอกว่าคุณโออึนซอมีลูกชาย”

     

     

    ลู่หานเงียบไป เขาไม่ได้ตอบคำถาม

     

     

    “เขารู้หรือยังว่านายฆ่าแม่เขา  แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

     

     

    ลู่หานเงียบอีก ...จู่ๆความกังวลก็พุ่งเข้าชนผมเหมือนถูกอัดด้วยรถไฟฟ้าทั้งขบวน

     

     

    “นายทำอะไรเขารึเปล่า!!!

     

     

    “ไม่ใช่นะ!!” ผู้ต้องหาลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ดวงตาสวยหวานจ้องผมราวกับโกรธแค้น

     

     

    “อย่ากล่าวหาผมอย่างนั้น!! ผมไม่มีวัน ไม่มีวันที่จะทำร้ายเซฮุน!!

     

     

    ผมจ้องตาเขากลับไม่ลดละ  “นั่งลง... ฉันบอกให้นั่งลง!!

     

     

    ลู่หานหายใจแรงเสียงดังฟืดฟาดก้องห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ  เขายอมนั่งลงที่เดิม แต่ไม่ยอมสบตากับผมอีก

     

     

    “งั้นนายรู้มั้ยว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

     

     

    “ไม่รู้”

     

     

    “เขาปลอดภัยดีอยู่รึเปล่า”

     

     

    “ผมไม่รู้”

     

     

    “คืนนั้นที่นายทะเลาะกับแม่เลี้ยง เขาได้กลับบ้านมาไหม”

     

     

    “ก็บอกว่าไม่รู้ไงเล่า!” ลู่หานคำรามลั่น ก่อนที่จะฟุ่บหน้านอนกับโต๊ะ เหมือนเป็นการบอกเป็นนัยๆว่าเขาจะขอยุติการสอบสวนลงที่ตรงนี้

     

     

    “ผมจะไม่ตอบอะไรพวกคุณแล้ว เอาเลย! จับผมเข้าคุกเลย!

     

     

    ผมมองผู้ต้องหาชาวจีนที่มีเส้นผมสีแดงพร้อมความอึดอัดในหัวใจ  ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูหน้าจอ

     

     

    ยังไม่มีข้อความตอบรับจากโอเซฮุน...

     

     

    ผมใช้ปลายนิ้วสัมผัสภาพที่ตั้งไว้เป็นหน้าจอแผ่วเบา  ปล่อยให้เวลาเดินไป

     

     

    เด็กผิวขาว ยิ้มเหมือนอาแป๊ะในรูป... หัวใจอีกดวงหนึ่งของผม

     

     

     

    “เขาน่ารักมากเลยนะ ...โอเซฮุนน่ะ” จู่ๆผมก็พูดแบบนั้นออกมา  แทบจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย

     

     

    ลู่หานยังคงนอนฟุ่บอยู่ที่โต๊ะมอมๆตัวเดิม  เขาแน่นิ่งไปแล้ว  บางทีอาจจะหลับจากการอ่อนเพลียก็เป็นได้

     

     

    “เขาเป็นเด็กดี แล้วก็ชอบเรียนวิชาศิลปะ”  ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มได้เมื่อพูดถึงคนรักของตัวเอง

     

     

    “เซฮุนเคยพูดว่าจะแกะสลักไม้เป็นตุ๊กตาให้ฉันด้วย”

     

     

    “...”

     

     

    “แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ ...ทั้งๆที่เมื่อวานเป็นวันเกิดของฉันแท้ๆ”

     

     

    ใจร้ายจริงๆเลยนะ

     

     

     

    ผมกลืนน้ำลายลงคอ ขณะจ้องไปที่กลุ่มผมสีแดงฉาน  “ถ้าฉันรู้ว่านายทำอะไรเขาล่ะก็...นายจะได้รับบทลงโทษที่แสนสาหัส ฉันทำจริงแน่...ฉันสาบาน”

     

     

    ความเงียบบังเกิดขึ้น  เหมือนเราต่างคนก็ต่างมีเรื่องให้ต้องคิด

     

     

     

    มันคงนานมากจนคนในทีมผิดสังเกต ก็เลยเข้ามาดูความคืบหน้า พวกเขาอ่านบันทึกที่ผมจดเอาไว้ ก่อนชานยอลจะสั่งให้ซิ่วหมินพาลู่หานไปฝากขัง  ส่วนไคก็รีบเอาลายนิ้วมือของคนร้ายไปเทียบกับลายนิ้วมือบนด้ามมีด

     

     

    จงแดนวดขมับผมเบาๆ ...ผมที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม

     

     

    “คุณทำดีมากผู้กอง อย่าเครียดเลยนะ” เฉินบอกอย่างใจดี ก่อนที่เขาจะเดินออกไป  ทิ้งให้ผมอยู่กับปาร์คชานยอลสองต่อสอง

     

     

    “คุณไหวนะ” ร่างสูงเอ่ยถาม  จริงๆก็เหมือนว่าเขาจะไม่ได้เป็นห่วงผมซักเท่าไหร่  เขาก็ถามไปงั้นแหละ ตามมารยาท

     

     

    ผมพยักหน้า  “ฉันโอเค แต่เมื่อคืนนอนน้อยก็ว่าจะนั่งพักซักแป๊บ นายออกไปเหอะ”

     

     

    “นั่งพัก? ในห้องสอบปากคำทึบๆอับๆนี่อ่ะหรอ?” หมวดปาร์คถามราวกับไม่อยากจะเชื่อ เขาหยิบสมุดบันทึกของผมไปแบบไม่มีเอ่ยปากคอซักคำ  ก่อนจะให้สันสมุดเคาะลงบนหัวของผม  แล้วก็เดินหัวเราะหึหึออกจากห้องไป

     

     

    ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  เสียงสนิมเหล็กข้างในเสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าด

     

     

     

    บนโต๊ะนั่น... บนโต๊ะที่ลู่หานฟุบหน้าลงไปนอน

    มันมีน้ำตาของเขาทิ้งเอาไว้เป็นจุดๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ในบันทึกคุณเขียนว่าคนร้ายบรรดาลโทสะก็เลยลงมือฆ่าผู้ตาย?” ชานยอลเลื่อนเก้าอี้มาติดโต๊ะทำงานผม หลังจากที่ผมออกมาจากห้องสอบสวนแล้ว

     

     

    “ใช่ คนร้ายสารภาพทุกอย่าง แค่นี้ก็ปิดคดีได้แล้วใช่มั้ย”

     

     

    หมวดปาร์คหันหน้าไประเบิดเสียงหัวเราะ  ผมเกลียดเขาจัง  เกลียดเสียงหัวเราะแบบประชดประชันนั่นที่สุดในสามโลก

     

     

    “ได้ ปิดคดีไปเลย แล้วคุณก็ลาออกจากที่นี่ไปขายมมันเผาซะ ผมสัญญาเลยว่าจะอุดหนุดคุณซักสองกิโลฯ”

     

     

    “ปาร์คชานยอล!” ผมแยกเขี้ยวใส่เขาพร้อมเตรียมง้างกำปั้น ไอ้บ้านี่มีสิทธิอะไรมาดูถูกหัวหน้าตัวเองกัน!

     

     

    ร่างสูงยกมือยอมแพ้  “โอเคๆ ผมล้อเล่น  แต่ก็หวังว่าที่คุณพูดออกมาว่าจะปิดคดีที่ตรงนั้น จะเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเช่นกันนะ”

     

     

    “นายหมายความว่ายังไง”

     

     

    ปาร์คชานยอลวางสมุดบันทึกของผมลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบแฟ้มคดีไปพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว เขาดูมันบ่อยมากๆ

     

     

    ระหว่างดูรูปคดี เขาก็พูดไปด้วย

     

     

    “อย่าหาว่าผมสอนเลยนะผู้กอง  แต่หน้าที่ของตำรวจไม่ใช่แค่จับผู้ร้ายยัดซังเตเท่านั้น  เรายังมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องประชาชนทุกคนด้วย”

     

     

    “...”

     

     

    “ถ้าคราวนี้เราจับแพะ ก็แสดงว่าเราได้ปล่อยให้ผู้ร้ายลอยนวลไป เขาอาจจะไปฆ่าผู้บริสุทธิ์คนอื่นอีกก็ได้ ใครจะไปรู้  ฉะนั้นเราจึงต้องกันไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น คุณต้องละเอียดในการทำคดี เข้าใจที่ผมพูดมั้ย?”

     

     

    ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ

    ผมรู้...ไอ้เรื่องที่เขาพูดออกมาน่ะผมรู้

     

     

    เพราะมันก็เป็นอุดมการณ์ที่ผมยึดมั่นเหมือนกัน

     

     

    แต่ว่านะ...แต่ว่าครั้งนี้ผมอยากให้ลู่หานเป็นคนร้าย  อยากให้ลู่หานรับโทษไปตามที่เขาสารภาพ

     

     

    เพราะลึกๆแล้วผมกลัว...

     

     

    โอเซฮุนเป็นคนชอบงานศิลปะ  ไม่นานมานี้เขาเพิ่งบอกผมว่าเขาเข้าชมรมแกะสลักที่โรงเรียน  ผมก็เลยซื้อเซ็ทมีดแกะสลักให้เขา

     

     

    แน่นอน...มีดที่คนร้ายใช้แทงคนตาย

     

    เป็นมีดที่ผมซื้อเองกับมือ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อะไรนะ! บนมีดไม่มีลายนิ้วมือ?! จงแดตะเบ็งเสียงด้วยความแปลกใจ เมื่อจงอินวางมีดและผลตรวจลงบนโต๊ะทำงานของผม

     

     

    “ผู้ร้ายอาจจะใส่ถุงมือก็ได้” ซิ่วหมินพยายามหาข้อสนับสนุนผลการตรวจลายนิ้วมือ

     

     

    “เราคงต้องซักเพิ่ม เอาไว้เป็นพรุ่งนี้ก็ได้” ไคพูดพร้อมๆกับอ้าปากหาว  ไอ้หมอนี่เตรียมจะหลับอีกแล้วล่ะมั้งเนี่ย

     

     

    หมวดปาร์คลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเป็นคนไฟแรงในการทำงาน มองจากแววตาเขา ผมเห็นแต่ความมุ่งมั่น “ไม่ เราต้องสอบเพิ่มเดี๋ยวนี้เลย”

     

     

    “ลู่หานไม่ไหวหรอก เขาสลบไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะเหนื่อยมาก แล้วก็ไม่ได้พักผ่อนมาหลายคืน”

     

     

    “งั้นก็เอายาฉีดให้เขา”

     

     

    ผมหันควับไปทางหมวดปาร์ค ..หมอนี่โหดใช่เล่น

     

     

    “จะโด๊ปให้เขาฟื้นขึ้นมาตอบตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาหรอก หมอนั่นสารภาพแล้วว่าเป็นคนร้าย เราไม่จำเป็นต้องเร่ง เพราะคดีคืบหน้าเป็นอย่างดี...เขาเป็นคนร้ายแน่นอน” ผมพูดเค้นเสียง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน  ผมไม่กล้าสบตาเขาเลย

     

     

    ปาร์คชานยอลนิ่งไปเหมือนใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะพูดออกมา “งั้นผมจะไปดูที่เกิดเหตุ คุณจะไปกับผมมั้ย?”

     

     

    ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ก็ทำได้เพียงสบตากันชั่วครู่  “ไม่  นายไปกับจงอินก็แล้วกัน”

     

     

    “ผู้กองครับ แล้วเรื่องพยาน...”

     

     

    “นายก็เรียกสามีคุณโออึนซอมาซักด้วยก็แล้วกัน ฉันให้นายเป็นคนซัก” ผมพูดเหมือนหมดแรง   เรื่องของเซฮุนสูบพลังผมมาก  แค่เป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับเขา ผมก็ใช้พลังงานไปโขแล้ว

     

     

    “ซักแค่สามีหรอครับ”

     

     

    “จะเรียกเพื่อนบ้านแถวนั้นมาด้วยก็ได้”

     

     

    ชานยอลพยักหน้ารับคำ  แต่แล้วเขาก็พูดออกมาอีก  “ดูเหมือนว่าคุณอึนซอจะมีลูกชายแท้ๆอีกคน  เอาเป็นว่า ผมจะเรียกเขามาสอบปากคำด้วยก็แล้วกัน”

     

     

    “ไม่ต้อง!” ผมเผลอทำเสียงดัง เล่นเอาคนในทีมหันมามองอย่างสงสัย

     

     

    “???”

     

     

    “เปล่า..ไม่มีอะไร  แล้วแต่พวกนายเลย  คืบหน้าอะไรก็โทรรายงายฉันแล้วกัน ฉันจะรออยู่ที่นี่” ผมสรุปก่อนจะไถหน้านอนไปกับผิวโต๊ะ

     

     

    ไคจิ๊ปากเหมือนไม่พอใจที่ผมอู้อยู่คนเดียว แต่เขาคงไม่อยากหาเรื่องทะเลาะก็เลยแยกไปทำงานตามที่เราวางแผนกันเอาไว้

     

     

    เพียงไม่นาน ละแวกนี้ก็เหลือแค่ผมคนเดียว

     

     

    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง  ....ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม

     

    อยู่ที่ไหนกันนะ? ได้โปรดเถอะเซฮุน ตอบกลับฉันมาที!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ผมว่าผู้กองแปลกๆ” คิมจงอินพูดขึ้นขณะที่เขากับผู้หมวดปาร์คชานยอลกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านย่านคนรวยของเมืองกวางจู

     

     

    “ยังไง?” ชานยอลซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับขอคำขยายความ

     

     

    จงอินเคาะนิ้วลงบนคอนโซลหน้ารถดังก๊อกๆ  ดวงตาเหม่อมองไปข้างหน้า “ไม่รู้สิ เขาดูไม่ค่อยกระตือรือร้นซักเท่าไหร่ ทั้งที่ปกติจะตื่นเต้นมากๆเวลาได้รับมอบหมายให้ทำคดี ปกติผู้กองจะลงพื้นที่เองทุกครั้ง อือ ผมก็อธิบายไม่ถูก แต่ว่าเขาแปลกไป...คุณไม่ได้คิดเหมือนผมหรอกหรอ?”

     

     

    “ผมไม่รู้หรอก ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่ ผมไม่รู้จักผู้กองของคุณมากขนาดนั้น”

     

     

    “ก็จริงของคุณ”

     

     

    ชานยอลไม่ได้สนใจจะถามอะไรต่อ  สำหรับเขา แบคฮยอนเป็นคนมิติเดียว ออกจะน่ารำคาญนิดหน่อย  ฉะนั้นเรื่องหมูหมากาไก่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานเขาก็ไม่อยากจะสนใจ  เขามาที่นี่เพื่อสืบบางอย่างเท่านั้น

     

     

    “ผู้กองน่ะ เป็นคนน่ารักนะ” จงอินพูดขึ้นมาอีก  แต่ชานยอลเบ้ปาก

     

     

    “ผมไม่เห็นด้วย”

     

     

    “ถึงจะชอบพูดเสียงดังข่มคนอื่น แต่จริงๆแล้วก็ใจดี ขี้สงสาร”

     

     

    “ผมไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอย่างที่คุณพูดตรงไหน” หมวดปาร์คเบ้ปากไม่เลิก คนอย่างบยอนแบคฮยอนเนี่ยนะใจดี?  อมโบสถ์มาพูดก็ไม่เชื่อ!

     

     

    ไคหัวเราะออกมาเบาๆ  “แต่คุณก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ ว่าหน้าตาผู้กองของเราน่ารัก”

     

     

    “ที่โซลมีเด็ดๆกว่านี้เยอะ” ชานยอลพูดออกมา แต่พอเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหลุดปากเผลอพูดถึงเรื่องที่ทำงานเก่าเขาก็เงียบไป

     

     

    “ที่โซล? คุณเกิดที่โซลหรอ?”

     

     

    “เปล่า ผมเคยไปเที่ยวน่ะ คนหน้าตาอย่างผู้กองคุณหาไม่ยากหรอก ก็งั้นๆแหละ”

     

     

    จงอินหัวเราะอีกรอบ  เขาเหลือบมองผู้หมวดที่เอาแต่ตั้งแง่กับหัวหน้าทีมด้วยสายตาขำขัน

     

     

    “ฮ่าๆๆ ถ้าผู้กองมาได้ยินล่ะก็ คุณโดนคัดคำว่าขอโทษพันจบแน่ๆ”

     

     

    ชานยอลยักไหล่ เหมือนไม่เกรงกลัว

     

     

     

     

     

     

     

     

    ไม่นานทั้งคู่ก็ขับมาถึงที่เกิดเหตุ  ห้องของผู้ตายที่เป็นที่พบศพถูกล้อมไว้ด้วยเส้นพลาสติกสีเหลืองสำหรับกันคนเข้าออก

     

     

    ที่นี่ไม่มีคนอยู่ เพราะสมาชิกคนหนึ่งตาย คนหนึ่งอยู่ในคุก คนหนึ่งหนีหาย ส่วนอีกคนออกไปเช่าอพาร์ทเม้นต์อยู่ทันทีหลังเกิดเหตุ และที่นี่ไม่มีแม่บ้าน พวกเขาทำความสะอาดกันเองมาโดยตลอด จากคำให้การของเพื่อนบ้าน

     

     

    ชานยอลกับจงอินแยกกันเดินสำรวจรอบๆบ้าน  จงอินเลือกที่จะตรวจตราห้องเกิดเหตุ  แต่ชานยอลทำตัวแปลกแยก  เขาเดินสำรวจห้องนอนของสมาชิกแต่ละคนแทน

     

     

    “คุณทำแบบนั้นได้หรอ? เราได้รับอนุญาตให้รื้อค้นได้แค่ห้องของผู้ตายนะ” จงอินชะโงกหน้าออกมาทางจากทางขอบประตู เมื่อตอนที่ชานยอลกำลังเปิดเข้าไปในห้องนอนของสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ

     

     

    ร่างสูงของผู้หมวดไฟแรงเพียงแค่ขยิบตาส่งไปให้อย่างทะเล้นเท่านั้น  ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในห้องที่เปิดค้างไว้

     

     

     

    ห้องนี้อยู่ติดระเบียง รกเละเทะไปด้วยกองเสื้อผ้าและเครื่องดนตรี  มีกีตาร์สี่ตัวเลยทีเดียวในห้องนี้  ชานยอลเดาว่าคงเป็นห้องของลู่หาน เพราะเขาเห็นนิตยสารเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลที่เป็นภาษาจีน

     

     

    มีกล่องกระดาษวางอยู่กลางเตียง มันเหมือนกล่องซีเรียลหรืออาหารเม็ดสำหรับสัตร์เลี้ยง หรืออะไรซักอย่าง

     

     

    มือหนาหยิบมันขึ้นมาดู

     

     

    “เมี้ยวว!!  ลูกแมวตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากผ้าห่ม พร้อมกับกางเล็บเตรียมขย้ำผู้หมวดที่ตัวสูงราวหกฟุตกว่าๆ

     

     

    ชานยอลยกมือทักทายเจ้าแมวน้อย  กล่องในมือเขาก็เป็นอาหารแมวนี่เอง  คงเป็นแมวที่ลู่หานเลี้ยงไว้

     

     

    เมื่อคิดได้ว่าเจ้าเหมียวนี่คงจะหิว  ร่างสูงจึงเทเม็ดกลมๆในนั้นลงบนพื้นประมาณหยิบมือหนึ่ง ก่อนจะโยนกล่องกระดาษทิ้งลงบนเตียงอย่างไม่ไยดี

     

     

    ชานยอลเลิกสนใจลูกแมว เขาเดินวกกลับไปที่ห้องของผู้ตาย  เห็นจงอินกำลังถ่ายรูปเพิ่มเติม พร้อมกับจดบันทึกอยู่

     

     

    “ได้เรื่องอะไรมั้ย?” หมวดปาร์คเอ่ยถาม เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ ซึ่งรับกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูจะเซอร์ๆของเขา

     

     

    จงอินลดกล้องลง ก่อนจะหันมาตอบ  “ผู้ตายพักอยู่ในห้องนี้กับสามี แต่ตอนนี้สามีเธอย้ายไปพักที่อพาร์ทเม้นอูโดที่ซอยถัดไปครับ จงแดคงโทรเรียกให้เขาไปให้ปากคำที่โรงพักแล้ว”

     

     

    ชานยอลพยักหน้ารับรู้  เขาเดินออกจากห้องอีกครั้ง ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ

     

     

    ร่างสูงเดินขึ้นบันไดชั้นลอยไป เขาพบกับห้องใต้หลังคา ซึ่งถ้าห้องเมื่อกี้เป็นของลู่หาน  ห้องนี้คงเป็นของลูกชายแท้ๆของคุณโออึนซอ

     

     

    ควันบุหรี่สีเทาหม่นล่องลอยตามการขยับตัวของผู้หมวดปาร์ค  เขาย่างกรายเขาไปในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ดูจะเป็นห้องที่เล็กที่สุดในบ้านหลังนี้ ถ้าไม่นับรวมห้องน้ำน่ะนะ

     

     

    พื้นห้องทำด้วยไม้ ดังนั้นมันจึงเกิดเสียงไม้ลั่นเบาๆเวลาที่เขาลงฝีเท้า  ห้องนี้ดูสะอาดเรียบร้อย  ที่น่าแปลกคือมันเต็มไปด้วยฝุ่น ราวกับว่าเจ้าของห้องไม่เคยทำความสะอาดเลย

     

     

    ชานยอลเดินไปจับผ้าปูเตียง และพบว่ามันเต็มไปด้วยฝุ่นผงเช่นกัน...

     

     

    คงไม่ใช่ไม่เคยทำความสะอาด แต่มันเหมือนกับว่า เจ้าของห้องไม่ได้ใช้ห้องนี้มานานพอสมควร

     

     

    ลูกชายของคุณโออึนซอไม่ได้พักอยู่ที่นี่ด้วยหรอกหรอ?

     

     

    ชานยอลได้แต่คิดอย่างฉงน  เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานเล็กๆที่อยู่ชิดมุมห้อง  ก่อนที่เขาจะเห็นอะไรบางอย่างที่สะท้อนกับไฟห้องแวบๆ

     

     

    เป็นโทรศัพท์มือถือนั่นเอง

     

     

    ทีแรกชานยอลคิดว่ามันคงถูกเจ้าของห้องทอดทิ้งไว้ แบตมันคงจะหมดแล้วแน่ๆ

     

     

    แต่ไม่ใช่...มันยังคงเปิดใช้งานได้อยู่ ทั้งยังไม่มีฝุ่นจับเหมือนเครื่องใช้อื่นๆในห้องนี้

     

     

    เขาหยิบมันขึ้นมาเช็คเบอร์โทรเข้าออก  มีมิสคอลจาก  ‘My Love’  เข้ามาเป็นสิบๆสาย  ชานยอลเช็คกล่องข้อความที่ไม่ได้อ่าน

     

     

    ซึ่งมันก็มีอีกหลายข้อความที่ส่งมาจากคนๆเดียวกัน

     

     

    ชานยอลดับบุหรี่ด้วยการทิ่มก้นมันลงบนหินทับกระดาษบนโต๊ะ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจโทรออกไปยังเบอร์ที่ถูกเมมเอาไว้ด้วยคำเลี่ยนๆเสี่ยวอย่างคำว่า ‘My Love’

     

     

    เขาไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ อย่างน้อยถ้ารู้ว่าลูกชายของคุณอึนซออยู่ที่ไหน จะได้ตามให้มารับทราบเรื่องของแม่ รวมถึงสอบปากคำอีกนิดหน่อย

     

     

    แทบไม่ต้องรอเลยด้วยซ้ำ ทันทีที่กดโทร มันก็มีคนรับอย่างรวดเร็ว... คล้ายว่าปลายสายรอคอยการติดต่ออยู่แล้ว

     

     

    เซฮุน! นี่นายอยู่ไหน พี่โทรไปทำไมนายไม่รับ!!’ มายเลิฟพ่นคำถามออกมาโดยไม่รอให้ฝ่ายที่โทรไปพูดจาใดๆก่อน

     

     

    ชานยอลขมวดคิ้วเล็กน้อย ...เขาว่าเสียงนี้มันคุ้นๆ

     

     

    นายอยู่ไหนเซฮุน! พี่จะไปหานายเดี๋ยวนี้แหละ!’

     

    “...”

     

     

    เขาว่ามันชัดแล้วล่ะ เสียงนี้มีคนเดียวในโลก

     

     

    รีบบอกมาสิโอเซฮุน! นี่นายอยากโดนผู้กองบยอนแบคฮยอนจับเข้าคุกหรือไงห๊ะ!!’

     

     

    ชัดเลย

    แจ่มแจ้ง

     

     

    ชานยอลกระตุกยิ้มมุมปาก  เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องยิ้ม  มันไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก...เพียงแต่ว่าเขาตื่นเต้นนิดหน่อย

     

     

    คล้ายว่ากำลังจับพิรุธอะไรบางอย่างในคดีได้

     

     

    “ตอนนี้ผมอยู่ที่เกิดเหตุครับ คุณจะมาหาผมหรอ เอางั้นก็ได้...เพราะดูเหมือนว่าเราจะมีเรื่องให้ต้องเคลียร์กันเยอะนะครับคุณผู้กอง”

     

     

    ‘…’

     

     

    “ผมจะรออยู่ที่ร้านนาบีตรงซอยหอพักตำรวจ  ผมไม่หวังว่าคุณจะมาหรอก”

     

     

    ...

     

     

    “แต่ก็ไม่หวังว่าคุณจะไม่มาด้วยเหมือนกัน”

     

     

    ปลายสายนิ่งไป ก่อนจะหายใจแรงจนชานยอลที่ฟังอยู่นึกภาพผู้กองตัวน้อยๆของเขาออก

     

     

    นาย...ชานยอล...นาย

     

     

    “ไม่ต้องถามอะไรตอนนี้หรอกครับ เอาเป็นว่าเจอกันห้าโมงนะ สวัสดีครับ”

     

     

    หมวดปาร์คกดตัดสาย ก่อนที่เขาจะกดเข้าคลังรูป  ตอนนี้รู้แล้วว่าแบคฮยอนกันลูกชายผู้ตายมีสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน ซึ่งดูจากชื่อที่เมมและข้อความที่ส่งมาถามไถ่อย่างห่วงใย ก็เดาได้เลยว่าไม่พ้นกลมเกลียวกันอย่างชู้สาวแน่ๆ

     

     

    เขาหวังว่าจะได้เห็นรูปถ่ายคู่กัน  หรือไม่บางทีก็คงเป็นรูปผู้กองบยอนในมุมแอ๊บแบ๊วน่ารักๆ

     

     

    เอ...หรือจะรูปแบบเซ็กซี่ๆกันนะ

     

     

    ชานยอลหลุดหัวเราะในลำคอ เพียงแค่จินตนาการถึงผู้กองตัวแสบในอริยาบทแบบนั้น เขาก็อยากจะขำให้ลั่นห้อง

     

     

    ว่าแล้วก็กดดูแกลอรี่

     

     

    แต่ไม่ใช่...

     

     

    ไม่มีรูปของแบคฮยอน

     

     

    ไม่มีแม้แต่รูปเดียว

     

     

    สองร้อยกว่ารูปในนั้น...มีแต่รูปของลู่หาน

     

     

     

    โอเซฮุนที่เป็นลูกชายของผู้ตาย  ถ่ายรูปคนที่ฆ่าแม่ของตัวเองไว้ทำไมมากมายขนาดนี้??

     

     

    เรื่องนี้มันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เอาหัวเป็นเดิมพันได้เลย!

     

     




















     

    -จบตอนที่ 2-

     

     

     

     

     

     

     

     

    Talk



     


     

    ทำไมไข่ดาวราคาเจ็ดบาท แต่ไข่เจียวราคาสิบบาท??

    ค่าตีไข่มันสามบาทเลยหรอ?


     




     

    See’me
    #แผนสอง

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×