ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] งานนี้...พี่ต้องมี...ลูก YulsiC yuri x sica

    ลำดับตอนที่ #63 : Chapter 63

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.4K
      1
      25 ม.ค. 56

     

    งานนี้...พี่ต้องมี...ลูก

     

    Chapter  63

     

    “ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ คุณโกหกฉันใช่มั้ย บอกฉันมาสิคะคุณหมอคิม คุณโกหกฉันใช่มั้ยคะ พี่แทต้องไม่เป็นอะไรใช่มั้ย อย่าหลอกฉันแบบนี้สิ อย่ามาบอกฉันแบบนี้ ”

    ทิฟฟานี่จับคอเสื้อของคิมบอมเอาไว้ พร้อมกันนั้นเธอก็ใช้แรงทั้งหมดที่เธอมี เขย่าร่างแข็งแรงของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า คุณหมอคนสวยมีแรงมากมายกว่าที่คุณหมอหนุ่มคิด เพราะตอนนี้ร่างของเขาโยกไหวไปตามแรงที่คนสวยประเคนใส่ คิบอมแทบจะยืนเท้าไม่ติดอยู่กับที่ เพราะว่าทิฟฟานี่ออกแรงทำร้ายเขาไม่ยั้งเลยสักนิด เขารู้ว่าเธอรู้สึกเช่นไรกับการที่เธอกำลังจะสูญเสียคนรักไป มันคงจะเป็นอะไรที่ทำใจได้ยาก หรือไม่ก็แทบทำใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป

    คิมองก้มลงไปมองใบหน้าสวยใสของหญิงผู้กำลังคลั่ง เขาไม่เห็นอะไรจากใบหน้างามล้ำนั่นเลย นอกจากคราบน้ำตาและความเสียใจที่เกินจะบรรยาย มือใหญ่ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมากมาย บัดนี้มันจะถูกใช้ปลอยประโลมใจของหญิงผู้เป็นที่รัก แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความห่วงใยห่วงหาของเขาได้ไหม การแอบรักคนมีเจ้าของนี่มันทรมานใจจริงๆเลยนะ ทั้งที่ก็รู้ก็เห็นว่าตัวเองนั้นไม่มีหวังอะไรเลย แต่ทำไมยังปักใจที่จะอยู่และรักเธอต่อไป ยิ่งเจ็บมากแค่ไหนเขาก็ยิ่งรักเธอมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าสุดท้ายจะรู้ว่าใจของตัวเองจะต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆก็ตาม

    “ ผมขอโทษ ผมทำเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะรั้งเขาเอาไว้ได้ ผมเสียใจด้วยนะครับ ผมเสียใจจริงๆ ”

    แขนแกร่งของชายหนุ่มฉุดเอาร่างอรชรของคนที่อยู่ตรงหน้าเข้ามาโอบกอดเอาไว้ แม้จะรู้ว่าเขาไม่สามารถให้ความอบอุ่นกับทิฟฟานี่ ได้เทียบเท่ากับที่แทยอนมีให้เธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยินดีและเต็มใจ ที่จะมอบความอบอุ่นอันน้อยนิดของเขาไป ความอบอุ่นเพียวเศษเสี้ยวที่เขามีจะส่งไปถึงใจของอีกคนไหมนะ ทิฟฟานี่จะรับรู้ถึงใจของเขาบ้างไหม เธอจะรู้ไหมว่าเขารักเธอมากแค่ไหน อยากให้เธอได้รู้ใจของเขาจัง

    เรือนผมสีน้ำตาลถูกกดให้ลงไปวางพิงที่ไหล่กว้างของอีกคน ทิฟฟานี่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนหรือรั้งตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยปล่อยตัวให้ใครได้จับต้องมาก่อน แต่วันนี้เธอยอมให้คิบอมได้กอดเธอเอาไว้ จะบอกว่าเต็มใจให้กอดก็ไม่ใช่ จะบอกว่าขัดขืนหรืออะไรก็ไม่เชิง เพราะเอไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการยืนนิ่งอย่างคนหมดแรงเท่านั้น ยูบินมองภาพแม่ถูกคุณหมอหน้าใสกอด จากนั้นหนูน้อยก็เดินเข้ามากอดขาของแม่เอาไว้เหมือนกัน

    คิบอมเกิดความรู้สึกสงสารเวทนาลูกหมาตัวน้อยขึ้นมาทันที นี่ยูบินจะรู้ไหมว่าพ่อของตัวเองเป็นอะไรไป หนูน้อยจะรู้ไหมว่าแทยอนกำลังจะจากไปแบบไม่มีวันกลับ แต่บางครั้งมันก็ไม่แน่หรอกนะ ถ้าคนเจ็บเกิดมีกำลังใจที่อยากจะอยู่ต่อไป เขาก็อาจจะกลับมาอีกครั้งก็เป็นได้ กลับมาหาคนที่รักเขาหมดทั้งหัวใจ กลับมาใช้เวลากับครอบครัวของตัวเอง แต่มันก็คงต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละ แล้วมันเป็นยังไงล่ะปาฏิหาริย์ที่ว่ามานี้ หากมันมีจริงก็ขอให้เกิดขึ้นมากับคนที่เขารักด้วยเถิด แต่ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย เขาก็จะขอเป็นคนที่ดูแลทิฟฟานี่ต่อจากแทยอนเอง แม้ว่าในใจลึกๆแล้วจะรู้ดีว่าไม่มีหวัง

    “ คุณหมา ป๊ะป๋าหายยังอ่ะ ”

    ยูบินกระตุกกางเกงของคิบอมเบาๆ เพื่อให้คุณหมอหน้าใสหันมาสนใจตัวเองบ้าง ลูกหมาเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองคนตัวสูง แล้วเอ่ยถามอีกคนด้วยวาจาที่ใคร่รู้อย่างเป็นที่สุด ยูบินรู้แค่ว่าพ่อไม่สบายเท่านั้น ไม่ได้รู้หรอกว่าเป็นอะไรมากมายสักแค่ไหน เห็นแค่พ่อนอนสลบไสลไม่ได้สติ แถมมีเลือดสีแดงติดตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าเต็มไปหมดเลย จากนั้นก็เห็นหมอกับพยาบาลวิ่งตามกันเป็นแถว ตอนนี้ก็หวังพึ่งคุณหมานี่แหละ ว่าตกลงแล้วพ่อของหนูน้อยเป็นอะไร แล้วหายจากการป่วยหรือยังนะ

    ทิฟฟานี่ก้มหน้าลงไปมองลูกสาวที่เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วถามคุณหมอ แม่หมีรู้ว่าลูกนั้นฉลาดเกินใคร แต่ดีใจที่ยูบินยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลูกหมามันแค่เข้าใจว่าพ่อป่วยไม่สบายเท่านั้น ตอนนี้ปล่อยให้แม่เศร้าคนเดียวไปก่อนนะลูก เมื่อไหร่ที่หนูพร้อมกว่านี้แล้วแม่จะบอกความจริงทุกๆอย่างเลย ตอนนี้หนูยังไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกับที่แม่ได้รับรู้ ก็ถือว่ามันเป็นความโชคดีของหนูแล้วล่ะนะยูบิน ไอ้ลูกหมาตัวน้อยของแม่

    คิบอมมองหน้าทิฟฟานี่ ก่อนที่เขาจะผละออกจากเธอ แล้วค่อยๆย่อตัวทรุดกายลงนั่งยองๆต่อหน้าเด็กน้อย มือใหญ่ของชายหนุ่มยื่นตรงไปยังศรีษะน้อยๆของเจ้าตัวแสบ พร้อมกันนั้นรอยยิ้มที่มาจากใจก็ได้ฉายออกมาให้ยูบินได้เห็น นี่เป็นยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตรซึ่งจริงใจ มันเป็นครั้งแรกที่คิบอมได้ยิ้มให้กับยูบิน ที่ผ่านมามันก็แค่ยิ้มแบบอยากแกล้งเท่านั้น แต่วันนี้ ครั้งนี้ เขาเต็มใจยิ้มให้อย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก มันเป็นยิ้มที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น แต่ยูบินจะรู้ไหมว่าเขามีความจริงใจให้แล้ว

     “ ยูบิน หมอว่าอีกไม่กี่วัน พ่อของหนูก็จะกลับบ้านได้แล้วล่ะ กลับไปอยู่กับครอบครัว หนูอยากอยู่กับพ่อมั้ย ”

    “ จ้า หนูอยากอยู่กับป๊ะป๋า มีหม่าม๊าอยู่ด้วย ”

    ลูกหมาตอบคุณหมอหน้าใสออกไปด้วยใจที่แสนซื่อ พร้อมกันนั้นยูบินก็ยิ้มให้คิบอมอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน หนุน้อยหวังเป็นอย่างยิ่งเลยว่าเดี๋ยวพ่อก็จะได้กลับบ้าน กลับไปอยู่ด้วยกันสามคนพ่อ แม่ ลูก กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ทิฟฟานี่มองหน้าของลูกน้อยนิ่ง ก่อนที่เธอจะเบือนหน้าหนีเพื่อไปปาดน้ำตาออกจากแก้ม สงสารลูกหมาที่รักก็สงสาร แต่ตอนนี้เธอก้ไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกความจริงกับยูบินได้อยู่ดี ไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้เธอควรจะทำยังไง

    “ งั้นยูบินก็ต้องเป็นเด็กดีนะครับ ต้องเชื่อฟังคุณแม่นะ แล้วคุณพ่อจะได้กลับไปอยู่ที่บ้าน ”

    คิบอมทำหน้าที่ของคนปลอบใจได้ดีไม่มีที่ติ เขาทำให้ทิฟฟานี่รู้สึกอยากขอบคุณเป็นอย่างมาก เธออยากขอบคุณที่เขาช่วยเธอรับมือกับคำถามของยูบิน เพราะลุกหมามันช่างซักช่างสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปซะหมด นี่ถ้าไม่มีคิบอมอยู่ตรงนี้ด้วยนะ รับรองได้เลยว่าเธอจะต้องเอาแต่ร้องไห้ จนไม่สามารถตอบอะไรลูกน้อยได้เลยสักคำถาม แล้วตอนนี้คิบอมก็มาช่วยกู้สถานการณ์ให้มันดีขึ้น แม้จะไม่ได้ตลอดไป แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

    “ จริงนะ คุณหมาอย่าหลอกหนูนะ มาเกี่ยวก้อยสัญญากันนะ ”

    “ ครับ หมอไม่หลอกยูบินหรอก มาเกี่ยวก้อยสัญญากันครับ ”

    นิ้วก้อยของลูกหมาตัวน้อยดีดชี้ออกมา เพื่อให้นิ้วก้อยซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของตนได้เกี่ยวกัน ตามด้วยนิ้วหัวแม่มือที่แตะแหมะติดกันอีกชั้น ยูบินเคยเล่นแบบนี้กับแทยอนอยู่บ่อยๆ มันจึงไม่ใช่ปัญหาของหนูน้อยเลยที่ว่าจะเกี่ยวก้อยยังไง วันนี้เป็นวันที่คิบอมกับยูบินเปิดใจให้กันจริงๆ หนูน้อยวัยซนกับคุณหมอวัยหนุ่มเพิ่งจะให้ความเป้นมิตรกันอย่างไม่มีเงื่อนไข ขนาดทิฟฟานี่ที่กำลังร้องไห้ก็มีแอบยิ้มทั้งน้ำตา ที่วันนี้เธอรู้แล้วว่ามีอีกคนใส่ใจและห่วงใยเธอกับลูก

    “ เรามาเป็นเพื่อนกันดีมั้ยครับ ให้หมอเป็นเพื่อนกับยูบินได้มั้ย ”

    “ เป็นเพื่อนกัน โอเช เรามาเป็นเพื่อนกันนะคุณหมา หนูอยากินไอติมอ่ะ พาหนูไปกินไอติมทีสิ ”

    “ ตกลงครับ เดี๋ยวหมอจะพาไปกินไอติมนะ ผมพายูบินไปได้ใช่มั้ยครับ ”

    คิบอมหันมาถามทิฟฟานี่ ซึ่งเป็นผู้ปกครองของลูกหมาตัวน้อย การที่เขาจะพาลูกของใครไปไหนมาไหนด้วยนั้น เขาก้ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองของเด็กคนนั้นก่อนสิ มันคือมารยาททางสังคมที่ควรจะปฏิบัติกันทั้งนั้น หากไม่ทำตามสิ่งที่คนมีสามัญสำนึกต้องทำกัน แบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากการลักพาตัวหรอก เขาให้เกียรติแม่กับลูกคู่นี้มากมาย เพราะเขาเองก็ได้รับเกียรติจากทิฟฟานี่มาเหมือนกัน

    “ ได้สิคะ ก็คุณเป็นเพื่อนกับยูบินแล้วนี่ ฝากดูแลแกด้วยนะคะ ตอนนี้ฉันขอติดต่อญาติของพี่แทก่อน ”

    “ ครับ เข้มแข็งเอาไว้นะ คุณต้องเข้มแข็งเพื่อยูบิน และเพื่อเด็กที่อยู่ในท้องนะครับ งั้น...ผมขอตัวนะครับ ปะยูบิน เราไปกินไอติมกันนะครับ อยากินรสไหนบอกหมอมาเลย เดี๋ยวหมอเอาให้ ”

    จากนั้นคิบอมก็เดินจูงมือลูกหมาให้ออกห่างไปจากตรงที่ทิฟฟานี่อยู่ ว่าที่คุณแม่ลูกสองยืนมองลูกสาวกับหมอหนุ่มจนลับตา ก่อนที่เธอจะยกโทรศัพท์ส่วนตัวขึ้นมามอง ทิฟฟานี่ยืนทำใจอยู่เป็นนานสองนาน จากนั้นก็ตัดสินใจกดหมายเลยโทรออกอย่างชำนาญ ไม่รู้ว่าตอนนี้คนอื่นๆจะเป็นยังไงกันบ้าง จะยังความสุขสนุกสนานกันอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่ว่ายังไงเธอก็จำเป็นต้องบอกให้ทุกคนได้รับรู้ ว่าตอนนี้สามีของเธอกำลังจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

     

    *-*-*-*-*

    *-*-*-*

    *-*-*

    *-*

    *

     

    “ นี่...ยูริ นายอยากมีลูกกี่คนกันน่ะ ”

    อยู่ๆเจสสิก้าก็เอ่ยถามอะไรที่ทำให้ยูริถึงกับต้องอึ้ง เพราะเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าภรรยาผู้ไม่ชอบเด็ก วันนี้จะเอาคำถามชวนให้คิดมาถามเขาแบบนี้ ก็อย่างที่รู้ๆกันดีนั่นแหละนะ ว่าเจสสิก้าไม่เคยคิดที่จะอยากมีลูกเลยด้วยซ้ำไป ขนาดตอนที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เธอก็ยังอาละวาดทั้งเหวี่ยงทั้งวีนใสเขาไม่ใช่น้อยๆ แล้วเขาต้องใช้เวลาพอสมควรเลยนะ กว่าจะสามารถทำให้เจสสิก้ายอมรับในตัวเขา และยอมรับความจริงว่าตัวเองมีลูกแล้ว แต่วันนี้นึกยังไงถึงมาถามแบบนี้น่ะ กินผักมากเกินไปหรือเปล่าจะที่รัก มันก็เลยส่งผลต่องความคิดความอ่านของเธอแบบนี้น่ะ

    “ อืม...อย่างน้อยพี่อยากมีเบบี๋สักสามคนครับ ครอบครัวคงจะวุ่นวายดี ”

    “ แต่ฉันอยากมีแค่คนนี้คนเดียว ฉันคิดว่าถ้ามีมากกว่าหนึ่ง มันจะทำให้ฉันวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำอะไร ”

    ความคิดของเจสสิก้ากับยูริมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนนึงอยากมีลูกมากมายเพื่อนทำให้ไม่ครอบครัวไม่เงียบเหงา ส่วนอีกคนต้องการมีลูกแค่คนเดียว ไม่สิความจริงไม่ได้อยากจะมีลูกเลยด้วยซ้ำ แต่ก็จำเป็นต้องมีแบบไม่เต็มใจ เพราะว่าพี่สะใภ้ พี่ชาย และสามีของเธอนั้น ต่างพากันรวมหัวสรรหาสารพัดกลวิธี ที่จะทำให้เธอมีลูกกับยูริให้ได้ และผลสุดท้ายมันก็ออกมาเป็นว่าเธอท้องป่องขึ้นมาซะงั้น กว่าจะมารู้ตัวว่าตั้งท้อง ก็ตอนที่มันเรียกว่าสายไปเสียแล้ว จะเอาเด็กออกก็ไม่กล้าทำ กลัวบาปกรรมที่มันจะตามหลังมา ไหนๆก็ท้องไปแล้วนี่นา เก็บเด็กคนนี้เอาไว้ละกัน ยังไงซะเด็กคนนี้ก็ยังมีพ่อของเขาอยู่ทั้งคน ใช่ว่าเธอจะท้องไม่มีพ่อเสียเมื่อไหร่กันล่ะ ดังนั้นลูกจ๋า...แม่จะขอมีหนูแค่คนเดียวเท่านั้นนะลูก

    “ อย่างนั้นเหรอครับ น้องเจสไม่อยากมีลูกกับพี่อีกแล้วเหรอ เด็กๆน่ะน่ารักนะ ดูอย่างยูบินสิน่ารักจะตาย ทำไมถึงไม่อยากมีเด็กตัวเล็กๆน่ารักอีกล่ะ พี่สัญญานะว่ากว่าจะถึงวันนั้น ตำแหน่งของพี่มันจะไม่หยุดแค่คนขับรถแน่นอน ”

    “ ยูริ นายเป็นเอามากเลยนะเนี่ย ”

    ไม่ได้คิดว่าคำพูดของตัวเองนั้น มันจะไปทำร้ายจิตใจของสามีได้มากมายขนาดถึงนี้เลย พอยูริได้ยินเธอบอกว่าไม่อยากจะมีลูกอีกแล้ว สีหน้าของเขามันก็สลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด คงจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากเลยล่ะสินะ ที่รู้ว่าเมียไม่อยากจะมีลูกกับตัวเองอีกแล้ว เห็นแบบนี้แล้วน่าเห็นใจจังเลย แต่แกล้งให้คนหื่นกลายเป็นลิงคอตกแบบนี้มันก็สนุกดีนะ วันนี้บอกได้เลยว่ายังไม่อยากมีลูกอีก แต่ว่าอนาคตใครจะไปรู้ล่ะ เดี๋ยวใครต่อใครก็เล่นงานเธออีกจนได้นั่นแหละ

    “ ก็น้องเจสไม่อยากจะมีลูกกับพี่อีกแล้วนี่ครับ ไม่รักพี่แล้วเหรอ ”

    ยูริทำคอตกเป็นลิงป่วย เขารู้สึกสิ้นหวังกับคำพูดของคนรักอย่างเห็นได้ชัด เจสสิก้ามองหน้าของสามีแล้วก็ยิ้มน้อยๆพอเป็นพิธี จากนั้นก็ลุกออกจากเก้าอี้นวมประจำตำแหน่งของตัวเอง คุณผู้จัดการคนสวยสาวเท้าเดินเข้าไปหาคนขับรถ ที่ตอนนี้นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่กับโซฟาตัวใหญ่ ที่อยู่ภายในห้องทำงานของผู้จัดการนั่นแหละ พอเดินมาได้ระยะที่เหมาะสมแล้ว เจสสิก้าก็ยกขางอเข่าแล้วเอาไปวางไว้ระหว่างกลางง่ามขาของสามี

    ยูริรู้ดีนะว่าภรรยาคนสวยจะทำอะไร เขาถึงได้ขยับตัวถอยหลังไปนิดนึง แถมอ้าขาเปิดทางให้คุณผู้จัดการได้เข้าหาเขามากขึ้น เจสสิก้าจ้องหน้าของคนขับรถด้วยสายตาวาบหวาม แน่นอนว่ายูริจังสังเกตุได้ดีอยู่แล้ว เขายิ้มให้เจสสิก้าอย่างเชื้อเชิญ คนที่มันหื่นเหมือนกันนะ แค่มองตาก็ดูออกทะลุไปถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่า เมียที่รักคิดที่จะทำอะไรต่อไป และมันก็คงเป็นอะไรที่ทำให้เขาหายน้อยใจได้ง่ายๆด้วยล่ะ

    ใบหน้างามค่อยๆก้มต่ำลงไปหาใบหน้าคมเข้มของอีกคน ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมเธอถึงต้องการไอ้คุณคนขับรถมากถึงขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ต้องการวันละหลายรอบแบบนี้เลย จะมารู้ตัวตอนนี้มันก็คงจะไม่ทันแล้วล่ะ ก็หลวมตัวหลงรักนายคนขับรถคนนี้เข้าให้แล้วนี่นา พอรักมาความหื่นก็จัดตามมาอย่างไม่มีลดเลยล่ะ และดูท่าทางมันจะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ไม่สิ...ต้องทุกวินาทีต่างหากล่ะเนอะ แบบว่าเห็นหน้ากันไม่ได้ อยากประเคนถวายบทลงโทษให้ตลอดเลยล่ะ

     นิ้วเรียวกรีดกรายวาดเข้าไปเชยคางบุ๋มน่ารักของชายผู้นั่งอยู่ตรงหน้า จากนั้นเธอก็ดีดนั้นกระตุ้นให้สามีเชิดหน้าขึ้นมามองสบตากับเธอ และแน่นอนว่ายูริต้องมองสบประสานสายตากับเจสสิก้าอยู่แล้ว ไม่ว่าเมียที่รักต้องการให้เขาทำอะไร ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะขัดใจเธอ สักนิดสักหน่อยก็ไม่เคยทำ ดังนั้นถ้ามองแบบผิวเผินยูริก็เหมือนกับของตายนั่นแหละ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่ใช่แบบนั้น เขาคือคนที่เจสสิก้ารักจนหมดใจ เขาคือผู้ชายคนเดียวที่เธอคนนี้เลือกจะใช้ชีวิตด้วย

    “ อย่ามาทำเป็นคนขี้น้อยใจไปหน่อยเลยน่า วันนี้ฉันอาจจะยังไม่อยากมี แต่อนาคตนี่สิใครกำหนดได้ล่ะ ถ้าคนเรารู้อนาคตล่วงหน้าได้ขนาดนั้น ก็คงไม่มีใครทำเรื่องผิดพลาดได้หรอกจริงมั้ย...นายคนขับรถ ”

    ใบหน้าสวยค่อยๆเลื่อนเข้าหาใบหน้าคนของผู้เป็นสามี ริมฝีปากหนาเผยอเปิดอ้ารอรับสัมผัสอันหอมหวานรัญจวนใจจากอีกคน และเจสสิก้าก็ต้องมอบความหวานนั้นให้เขาจริงๆนั้นแหละ แถมเธอต้องมอบมันให้เขาด้วยริมฝีปากของเธอเองด้วย แล้วที่ก้มหน้าลงมาหาเนี่ยก็เพราะว่าเธอมีจุดมุ่งหมาย นั่นก็คือการทำโทษคนขี้ใจน้อยด้วยวิธีอันทรมานใจและกาย ริมฝีปากสวยเผยอออกเล็กน้อยเพื่อที่จะได้สัมผัสกับริมฝีปากของสามีอย่างเต็มที่ อีกนิดเท่านั้นที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามคาด หากแต่ว่ามันก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะหวานกันล่ะมั้ง ถึงได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างถูกเวลา แล้วเจสสิก้าก็ต้องผละออกจากยูริทันทีเหมือนกัน

    ตื๊ดดดด  ตื๊ดดดด  ตื๊ดดดด

    “ เจสสิก้าอย่า ”

    “ ชู่...เย็นเอาไว้นายคนขับรถ ฉันขอรับสายนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะมาต่อให้นะ ”

     

    *-*-*-*-*

    *-*-*-*

    *-*-*

    *-*

    *

     

    “ พี่แทคะ ฟานี่มาหาแล้วนะ ”

    ทิฟฟานี่เดินเข้ามานั่งอยู่ข้างๆเตียงคนไข้ เธอทรุดกายลงนั่งอย่างคนหมดเรี่ยวแรง เมื่อได้มาเห็นสภาพของสามีผู้เป็นที่รัก เธอคิดว่าตอนที่เห็นแทยอนถูกช่วยออกมาจากรถ มันก็ดูสาหัสมากมายแล้วนะ แต่พอมาเจอกันอีกในตอนนี้ ตอนที่เขาถูกส่งตัวมาให้หมอช่วยชีวิตแล้ว ทำไมสภาพของเขามันดูหนักหนากว่าเดิมเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ในการช่วยชีวิตก็เชื่อมโยงกับร่างกายของคนรักเธอเต็มไปหมด ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้ว่าเธอสงสารเขามากเพียงใด

    “ เจ็บตรงไหนคะที่รัก ตรงนี้เจ็บมั้ย ”

    มือเล็กยื่นเข้าไปหาคนที่นอนสลบไสลไร้สติ ทิฟฟานี่ยื่นมือของเธอออกไปแตะที่ต้นขาของแทยอนเบาๆ เพราะเธอคิดว่าสามารถคงจะเจ็บปวดมาก หากว่าเธอกดน้ำหนัดมือลงไปโดยไม่ยั้ง แม้ว่าแทยอนจะไม่สนองต่อการทักทายของเธอแล้วก็ตาม ทิฟฟานี่ก็ยังทำให้เหมอือนกับว่าคนที่นอนนิ่งอยู่นั้น ยังมีความรู้สึกรู้สาถึงอะไรต่อมิอะไรอยู่ มันเป็นเหมือนการหลอกตัวเองชัดๆเลยว่าไหม แต่เธอไม่มีทางเลือกใดนอกจากนี้อีกแล้ว

    หัวใจดวงน้อยแตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี เมื่อคนที่เธอรักมากมายต้องมาถึงจุดที่เรียกว่าตายจาก แม้ว่าแทยอนจะยังมีลมหายใจหัวใจของเขายังคงเต้นอยู่ก็จริง แต่นั่นมันก็ทำงานอยู่ด้วยเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น เขามีเวลาที่จะใช้ลมหายใจที่มีตัวช่วยแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น มันเหมือนฝันร้ายที่ซ้ำกันไปมา เมื่อตอนกลางวันเธอก็คิดว่าสิ่งที่เจอเข้าไปนั้น มันเป็นฝันร้ายที่สุดของวันนี้แล้ว แต่ที่สุดของที่สุดนั้นมันกลับมาเป็นสิ่งที่เธอเพิ่งจะได้เจอมาเองกับตัว

    “ แล้วตรงนี้ล่ะคะ ขาหักใช่มั้ยคะพี่แท คงจะเจ็บมาเลยสินะ เอาไว้ฟานี่จะดูแลให้นะคะ ฟานี่ห้ขาของพี่แทกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ ”

    ปากก็พูดดีเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย แต่น้ำตานี่สิมันไหลไม่หยุดซะงั้น แม้จะฝืนยิ้มออกมามากแค่ไหน แต่ว่าภายในใจไม่ได้ส่งยิ้มออกมาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเธอควรจะดีใจหรือเสียใจ ที่แทยอนนั้นไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่คนที่เจ็บปวดแทนเขานั้นกลับเป็นเธอต่างหากล่ะ ทิฟฟานี่เป็นคนที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดมากมายเหล่านั้นเอาไว้ เธอไม่ได้เจ็บปวดที่ร่างกาย หากแต่เจ็บปวดที่จิตใจต่างหาก มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถรักษาให้หายไปได้ง่ายๆ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นหมอก็ไม่สามารถรักษาอาการป่วยของตัวเองได้เลย และต่อให้มีหมอที่มีฝีมือเก่งกาจมากมายแค่ไหนมารักษา เชื่อเถอะว่าไม่มีใครรักษาอาการปวดใจของเธอได้สักคน

    “ แต่ดีนะคะ ที่แขนของพี่แทไม่หักไปด้วย ไม่งั้นคงจะดูแลลูกหมาของเราไม่ได้ แล้วก็จะกอดฟานี่ไม่ได้ด้วย ”

    มันเป็นการฝืนใจที่สุดเท่าที่ทิฟฟานี่จะเคยทำมา เธอต้องฝืนใจแกล้งยิ้มให้สามี ต้องทำเป็นพูดจาดีเหมือนกับไม่เป็นอะไร มันทรมานใจอยู่ไม่น้อยเลยนะ ที่ต้องมานั่งพูดคุยกับคนที่เขาไม่สามารถรับรู้หรือตอบสนองอะไรกลับมาได้เลย มือเล็กอีกข้างยื่นไปแตะที่แขนของคนรัก แล้วก็เลื่อนลงมาจับที่มืออุ่นๆของสามี หวังมากเลยนะ...หวังให้เขารับรู้ถึงสัมผัสที่คุนเคยนี้ ในเมื่อการพูดคุยอาจจะส่งไปไม่ถึง แต่เชื่อว่าการสัมผัสเพื่อเชื่อมโยงกันทางกาย มันจะส่งผ่านความรักความห่วงใยไปให้กับคนเจ็บได้บ้าง ตราบใดที่ร่างกายของแทยอนยังอุ่นอยู่แบบนี้ เธอก็น่าที่จะมีความหวังอยู่บ้างสิ...จริงไหม

    “ พี่แทรู้มั้ยคะ ว่าวันนี้ลูกหมาของเรามีเพื่อนใหม่แล้วนะ ก็คุณหมอคิมยังไงล่ะคะ คนที่ไปกินข้าวกับฟานี่ไง คนที่พี่แทอยากจะทำร้ายเขานั่นแหละค่ะ ไม่คิดมาก่อนเลยนะคะ ว่ายถบินจะสนิทกับคุณหมอคิมได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ชอบหน้ากันเลยล่ะ แล้วพี่แทคิดยังไงล่ะคะ คิดว่าสองคนนั้นจะดีกันจริงๆได้มั้ย ฟานี่คิดว่าได้ค่ะ คุณหมอคิมจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของยูบินได้แน่นอน แต่ไม่สามารถที่จะเป็นพ่อของยูบินได้ นั่นเพราะว่า...เพราะว่า... ”

    ทิฟฟานี่ไม่สามารถที่จะพูดอะไรต่อไปได้อีก เพราะว่าขืนเธอพูดอะไรต่อรับรองได้เลยว่ามันจะฟังไม่รู้เรื่องแน่ ยิ่งพูดความในใจมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์เศร้าโศกเสียใจของตัวเองไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น และเพื่อไม่ให้สามีได้ยินเสียงสะอื่นของตัวเอง ทิฟฟานี่จึงขอหยุดพูดก่อนสักพัก เธอขอทำใจให้มันนิ่งก่อนสักนิด ขอเวลาปรับเสียงไม่ให้สั่น ขอทำมือให้มันไม้สะท้านไหว ขอเวลาเช็ดน้ำตาที่พรั่งพลูออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ใบหน้าหวานแหงนขึ้นไปมองเพดานของห้องพักคนไข้ ทิฟฟานี่พยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่ความเศร้าภายใจในของเธอ ให้ออกไปพร้อมๆกับน้ำตา แต่ว่าทำไมน้ำตาของเธอนั้น มันถึงหลั่งไหล่ออกมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วแบบนี้เธอจะกลับมาพูดคุยกับสามีได้อีกเมื่อไหร่กันล่ะ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ หยุดสิน้ำตา...ช่วยหยุดไหลออกมาสักที เพื่อให้เธอได้มีเวลาพูดคุยกับคนรักแบบที่ไม่สะอื้นหน่อยได้ไหม เธออาจจะพูดแบบไม่มีน้ำตาอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าคนที่รอฟังเธอนั่นล่ะ เขาจะไม่มีเวลาเหลือมากพอที่จะรับฟังได้หมดนะ ได้โปรดเถอะน้ำตาจ๋า ได้โปรดหยุดไหลออกมาสักที

    “ บ้าที่สุด ทำไมถึงเป็นแบบนี้ พี่แทมีเวลาอีกไม่มากแล้วนะ ทำไมเธอยังร้องไห้ไม่หยุดแบบนี้ล่ะทิฟฟานี่ หยุดสะอื้นสักทีสิ หยุดร้องไห้ได้แล้วยัยหมี แกไม่ได้อ่อนแอขนาดนี้นะ เรียกสติของตัวเองกลับมาสักที คิดสิว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ หยุดสำออยสักทีทิฟฟานี่ ฮื้อ...ฮือ... ”

    ปากก็พร่ำพรรณนาบ่นว่าด่าทอให้กับตัวเอง จากที่เคยเป็นคนเข้มแข็งใจ จิตใจเด็ดเดี่ยวไม่เคยที่จะอ่อนแอเลย แต่วันนี้ทิฟฟานี่คนนั้นไม่สามารถที่จะแสดงตัวออกมาได้ มีแต่คนที่อ่อนแออ่อนไหวใช้แต่น้ำตาเท่านั้น ที่เผยตัวตนออกมาให้คนที่เธอรักได้เห็น ทิฟฟานี่ผู้ที่อ่อนแอคนนี้ไม่เคยปรากฎตัวออกมาสักที แทยอนไม่เคยเห็นสุดที่รักในด้านนี้มาก่อนเลย พอภรรยาคนสวยอ่อนหวานอ่อนโยนขึ้นแล้ว เขากลับไม่ได้เห็นเองกับตา ไม่ได้รับรู้ด้วยว่าคนรักของเขาจะอ่อนแอได้เพียงใด

    “ ฮือ...พี่แทคะ คนที่จะเป็นพ่อของยูบิน แล้วก็เป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในท้องของฟานี่ มีแค่ผู้ชายคนเดียวที่เป็นได้ มีแค่ผู้ชายที่ฟานี่รักหมดใจเท่านั้นนะคะ และคนๆนั้นก็คือ...คนๆนั้นคือพี่แท ได้โปรดเถอะที่รัก ได้โปรดลุกขึ้นมาให้ฟานี่ได้กอด ลุกขึ้นมากวนใจฟานี่อีกสิคะ ลุกขึ้นมาเต้นให้ฟานี่กับลูกๆดูอีกได้มั้ย...พี่แท ”

    บัดนี้ใบหน้าสวยได้อาบด้วยน้ำตาจนเปียกชื้นไปหมดแล้ว ทิฟฟานี่ไม่สามารถที่จะทนทำใจให้นิ่งได้เหมือนอย่างที่คิด เพราะไม่รู้ว่าแทยอนจะมีชีวิตขนาดผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ไหม เพราะว่าหมอคนอื่นๆได้เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า เขาไม่สามาถที่จะหายใจได้ด้วยตัวเอง หากถอดเครื่องช่วยหายใจออกเมื่อไหร่ เป็นอันว่าเขาจะหมดลมหายใจลงไปทีละนิดๆ จนสิ้นใจไปเองตามธรรมชาติ และแน่นอนว่าทิฟฟานี่เองก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เธอยังอยากที่จะยื้อชีวิตของสามีเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ไม่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายแค่ไหน เธอก็พร้อมที่จะเสียมันไป แต่เธอจะไม่ยอมปล่อยให้สามีตายเพราะการถอดเครื่องช่วยหายใจ เธอจะยื้อชีวิตของแทยอนเอาไว้เท่าที่จะทำได้ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นแทยอนยังต้องการที่จะจากเธอกับลูกไปจริงๆ หากเขาไม่อยากมีลมหายใจเพื่อเธอกับลูก เธอก็จะไม่รั้งเอาไว้อีกเลย เธอจะปล่อยเขาไปหากเขาต้องการจะไปจากเธอ

    “ อย่าจากฟานี่กับลูกไปไหนเลยนะ อยู่เพื่อนฟานี่ อยู่เพื่อลูกของเราได้มั้ย เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้องของฟานี่ เค้าต้องได้เห็นหน้าพ่อผู้ให้กำเนิดสิคะ อย่ามาทำให้ลูกของเราเป็นกำพร้าเลยนะ ฟื้นสิคะพี่แท ฟื้นขึ้นมาเลนกับลูกสิคนบ้า พี่แทต้องไม่เป็นอะไรนะ นี่มือของพี่แทยังอุ่นอยู่เลย มันยังใช้งานได้อยู่เลย มันสามารถเช็ดน้ำตาให้ฟานี่ได้นะ ”

    ว่าแล้วทิฟฟานี่ก็ยกมือของแทยอนขึ้นมาทาบไว้ที่ใบหน้าของเธอ จากนั้นคุณหมอคนสวยก็จับมือของสามีปาดแก้มซ้ายที ปาดไปที่แก้มขวาที ประหนึ่งว่าเขากำลังปาดเช็ดน้ำตาออกไปจากใบหน้าของเธอนั่นเอง แต่เหมือนยิ่งเช็ดมากเท่าไหร่ น้ำตาเจ้ากรรมมันก็กลับหลั่งไหลออกมามากขึ้นเท่านั้น เมื่อเช็ดน้ำตาไม่หมดไปสักที ทิฟฟานี่ก็เลยเปลี่ยนเป็นจูบที่หลังมือของสามีแทน เธอจูบพรมและใช้จมูกสูดดมไปทั่วมือของคนรัก แทยอนยอนก็ยังคงนอนนิ่งเฉย เขาไม่โต้ตอบอะไรเหมือนเช่นเคย ยิ่งมองก็ยิ่งหมดกำลังใจลงไปทุกที แล้วทิฟฟานี่ก็ยิ่งหมดอาลัยตายอยากเข้าไปอีก เมื่อเธอมองไปยังจอมอนิเตอร์ที่แสดงสถานะชีพจรของสามี เส้นกราฟชีวิตที่แสดงผลออกมานั้น มันมีแต่จังหวะที่เชื่องช้า แถมยังดูเหมือนว่ามันจะช้าลงไปเรื่อยๆๆและ

    “ ฮือ...อย่านะพี่แท อย่าทำแบบนี้นะ หายใจสิคะ หายใจเองได้แล้วนะที่รัก ”

    ติ๊ด...ติ๊ด....ติ๊ด.....ติ๊ด......ตี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

    “ ไม่....ไม่นะ ม่าย...อย่าทำแบบนี้ กลับมานะที่รัก กลับมาหาฟานี่นะ หมอ...หมออยู่ไหน หมอ.... ”

     

    *_*_*_*_*

    *_*_*_*

    *_*_*

    *_*

    *

     

    TALK................................

     

    กลับมาแล้วนะจ๊ะรีดเดอร์ และเค้าก็กลับมาพร้อมกับสิ่งที่รีดเดอร์ทุกคนปรารถนา นั่นก็คือมาม่ารสหมูสับ หวังว่ามันจะอร่อยถูกใจนะจ๊ะ อาจจะมีปวดตับกันบ้างนิดๆ เอาเถอะค่ะงานนี้ต่อให้มีคู่เรทก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสินะ เอาเป็นว่าปวดตับกันวันละนิด จิตแจ่มใสนะคะ วันนี้เค้าเอามาม่ามาฝาก แต่หลังจากนี้รับรองว่า...............แน่นอนค่ะ สุดท้ายนี้ก็ยังรักรีดเดอร์อยู่นะคะ จุฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×