หวั่นฝูหรง [] [เลือน] สนพ.รักคุณ ปิดตอน 15/2/2562
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้แต่ง : น้องควายน้อยกับหญ้าสีสด
My.iD :
https://my.dek-d.com/0831352513/writer/
ตอนที่ 8 : บทที่ 7
หยางชิงอี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์หรี่ลงขณะกวาดมองไปรอบอุทยานหลวง ฝูหรงหอบหายใจถี่รัว ดวงหน้างดงามขึ้นสีแดงระเรื่อ หยาดเหงื่อมากมายผุดพรายขึ้นมาไหลซึมไปตามไรผม อาหนิงรีบเข้ามาช่วยประคองนางเอาไว้
ระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา นางแทบจะมิต้องลงมือทำสิ่งใด จะไปไหนมาไหนก็นั่งเกี้ยว กล่าวได้ว่านี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่นางต้องขยับขาเดินไปทั่ววังหลวง แน่นอนว่าด้วยฐานะของนางมันมิใช่เรื่องยากเลยหากจะให้ราชองครักษ์จัดการ
ทว่านั่นจะครองใจชิงอี้ได้อย่างไรกัน
ฝูหรงกะพริบตาก่อนหันไปเอ่ยถามกับแม่นมขององค์หญิงรอง “ปรกติแล้วองค์หญิงชอบไปที่ไหน”
“กราบทูลฮองเฮา หากมิใช่อุทยานหลวง องค์หญิงก็ทรงโปรดเสด็จตำหนักอันหยวนของฮุ่ยหวงกุ้ยเฟยเพคะ”แม่นมวัยกลางคนตอบ ฮองเฮาเพียงแค่พยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วขยับเรียวขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
อาหนิงชำเลืองมองนางพญาหงส์อยู่เป็นระยะ เร่งฝีเท้าขนาบข้างกายฮองเฮาไม่ห่างไปไหน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่นางได้มีโอกาสเห็นฮองเฮาในอีกมุมมอง นับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา หวั่นฝูหรงฮองเฮาดูมิแตกต่างจากสตรีไร้ชีวิต นัยน์ตาคู่นั้นมักจะเหม่อลอย มาดีขึ้นหน่อยก็ตอนต้องจัดการกับบรรดาพระสนมทั้งหลาย
กล่าวได้ว่าวันนี้หวั่นฝูหรงฮองเฮาดูมีชีวิตมากที่สุดในตลอดระยะเวลาหลายเดือน
“ฮองเฮานั่งเกี้ยวแทนดีไหมเพคะ”
ฮองเฮามิตอบอะไรกลับมาเพียงแค่โบกมือไปมา ก่อนเร่งฝีเท้าขึ้นอีกสักหน่อย อาหนิงทำได้เพียงถอนหายใจ
อีกหนึ่งนิสัยที่นางค้นพบคือความดื้อรั้นของฮองเฮา แม้นว่าจะทรงทำตัวอยู่ในกรอบ ทว่าดวงตากลับฉายแววดื้อรั้นอยู่เสมอ เหมือนกับที่ฝ่าบาททรงเคยตรัสเอาไว้ไม่ผิด
ตำหนักอันหยวนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเพียงตำหนักโดดเดี่ยวท่ามกลางความเงียบเหงาเพราะเนื่องจากฮุ่ยหวงกุ้ยเฟยมิชมชอบความวุ่นวาย จึงแยกตัวออกมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย กล่าวได้ว่าเป็นพระสนมที่ค่อนข้างแปลกแยก ตอนมีชีวิตอยู่ฝ่าบาทเองก็ทรงโปรดปรานนางไม่น้อย ดังนั้นตำหนักอันหยวนแม้นจะไร้เจ้านาย ก็ยังถูกดูแลอย่างดี
“เจ้ารออยู่ที่นี้”ฝูหรงหันมาเอ่ยกับนางกำนัลของตน พลางขยับตัวเข้าไปด้านในตำหนักอันหยวน โดยมิรอให้อีกฝ่ายได้ทันขานตอบกลับมาแต่อย่างใด ชายอาภรณ์สีครามขยับสั่นไหว หมู่เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดที่สาดส่องลงมา
มิรู้ว่าหวั่นฝูหรงที่ชิงอี้รู้จักเป็นเช่นไร ทว่าจะอย่างไรนั้นนางก็ยังคงเป็นนาง ไม่ว่าหวั่นฝูหรงตอนไหนก็ล้วนแต่เป็นนางทั้งสิ้น
นางสูดหายใจเข้าก่อนจะผลักบานประตูไม้เข้าไปด้านใน เพียงก้าวแรกก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง องค์หญิงชิงอี้ขดตัวอยู่ใต้เตียงซ่อนตัวท่ามกลางความมืดสลัว ฝูหรงก้าวขาเข้าไปใกล้พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดเสียงแผ่วเบาที่สุด
“อย่าเข้ามานะ…”เสียงใสกังวานของชิงอี้เอ่ยขึ้นยามเมื่อนางขยับเข้าไปใกล้ ฝูหรงเพียงแค่ฉีกยิ้มเมินเฉยต่อน้ำเสียงนั้น
“ชิงอี้”
“ท่านมิใช่เสด็จแม่ของเปิ่นกงจู่”
“กระนั้นหรือ”ฝูหรงเปล่งเสียงหัวเราะเลือกทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงแทนการมุดหัวเข้าไปใต้เตียงหาอีกฝ่าย “เจ้าเองก็มิใช่ลูกสาวของเปิ่นกง”
“เสด็จแม่ของเปิ่นกงจู่ไม่มีทางกล่าวเช่นนี้”น้ำเสียงนั้นสั่นไหวเต็มไปด้วยความน้อยใจ แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วหยางชิงอี้ก็ยังไยดีนางอยู่มิใช่น้อย “นางรักเปิ่นกงจู่มากกว่าใคร…”
“เปิ่นกงเพียงแค่พูดความจริง บัดนี้เปิ่นกงจดจำสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้ามิได้ ดังนั้นเจ้าเองก็มิต่างจากคนแปลกหน้าของเปิ่นกง”นางแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน “หากเปิ่นกงบอกว่าเจ้าเป็นลูกสาว ย่อมหมายความเปิ่นกงกำลังปดเจ้า”
“…”
“ชิงอี้”ฝ่ามือขาวเนียนตบลงบนพื้นพรม “ใต้หล้านี้แปลกประหลาดนัก ความรักและความผูกพันทั้งหลายก็ประหลาดมิต่างกัน…”
“หมายความว่าอย่างไร”องค์หญิงชิงอี้ถามกลับมาด้วยความสงสัย
“อย่างเช่นตอนนี้ แม้นว่าเปิ่นกงจะเป็นคนเดียวกับเสด็จแม่ของเจ้า ทว่าชิงอี้กลับมิได้รักหรือผูกพันกับเปิ่นกงเหมือนกับนาง บางทีนั่นอาจเป็นเพราะสิ่งสำคัญมากที่สุดคือความทรงอันแสนเลือนราง”
นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์หรี่ลง ชั่วขณะหนึ่งนางอดฉุกคิดถึงหยางหลี่เซวียนขึ้นมามิได้ ชายผู้นั้นแต่แรกก็มิได้แยแสหรือไยดีถึงความทรงจำที่หายไปของนางเสียสักเท่าไหร่ ยังคงสามารถแสดงบทละครลวงโลกได้อย่างเหลือเชื่อ
บางทีอาจเป็นความสามารถเฉพาะของหยางหลี่เซวียน
“หากแต่ท้ายที่สุดแล้วมิว่าจะช่วงเวลาไหน เปิ่นกงย่อมเป็นเปิ่นกง ชิงอี้เองก็ยังคงเป็นชิงอี้”
“…”
“เปิ่นกงให้เวลาเจ้าไตร่ตรอง มิจำเป็นต้องเร่งรีบนักหรอก”
ท้ายที่สุดแล้วก็หาได้มีสิ่งใดตอบกลับมา เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของชิงอี้หยุดลงพร้อมกับเปลือกตาของนางที่คล้ายจะปรือปิด จำได้ว่าครั้งหนึ่งนางเคยหลับสนิทบนตักอุ่นของเขา ตอนนั้นหลี่เซวียนกำลังตวัดปลายพู่กันลงไปบนผืนกระดาน เส้นผมดำขลับของเขาตกลงมาปรกใบหน้าของนาง
ฝูหรง…
หลี่เซวียน
ตอนนั้นท่านยังเป็นเพียงหยางหลี่เซวียนของข้า ไม่ใช่ทั้งองค์ไท่จื่อหรือโอรสสวรรค์
ยามเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฝูหรงพบว่าตนเองกลับมานอนอยู่ในตำหนักเหอซิน นัยน์ตาทั้งสองพร่ามัวกว่าจะกลับมาเด่นชัดก็ผ่านไปถึงหนึ่งเค่อ อาหนิงเดินมาล้างหน้าและล้างเท้าให้แก่นางรวมถึงจัดการเรือนผมแสนยุ่งเหยิงนี้ด้วย
“องค์หญิงรองล่ะ”นางเอ่ยถาม มิรู้ว่าหลังจากนางหลับไปหยางชิงอี้ผู้ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงจะเป็นเช่นไรบ้าง
“กราบทูลฮองเฮา ตอนนี้องค์หญิงรองประทับอยู่ที่ตำหนักเพคะ”
ฝูหรงพยักหน้า ชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีของราตรี ดวงอาทิตย์หลบหายไปและถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์ เรื่องของชิงอี้เข้ามารบกวนความคิดของนางมิใช่น้อย
ช่วงเวลานี้ควรใช้มันจัดการกับบุปผางามของหลี่เซวียน ทว่าพวกนางต่างทำตัวเรียบร้อยมิก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ฝูหรงจะลงมือกลั่นแกล้งพวกนางได้อย่างไร เหอเหยาหวั่นคงเตรียมการมาดีในระดับหนึ่ง
“วันนี้ฝ่าบาทเสด็จตำหนักไหน”
“ทรงเสด็จตำหนักเจ๋อเจียของหลิงผินเพคะ”อาหนิงวางหวีลงพลางลอบสำรวจดวงหน้างดงามของฮองเฮา “ให้หม่อมฉันจัดโต๊ะเสวยเลยไหมเพคะ”
“อืม”
อาหนิงขมวดคิ้ว ยามเห็นว่านัยน์ตาของฮองเฮาหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าฮองเฮาทรงไม่สบายพระทัยถึงเรื่องของหลิงผิน จะว่าไปฝ่าบาททรงเสด็จไปหาหลิงผินบ่อยนัก กระทั่งหว่านผินที่อยู่ตำหนักเดียวกันยังเป็นรอง
“ฮองเฮา…”ร่างอวบของนางกำนัลวัยกลางคนย่อตัวลงตรงหน้า ช้อนมองเจ้านายด้วยความเป็นห่วง “ทรงไม่สบายพระทัยเรื่องหลิงผินหรือเพคะ”
ฝูหรงส่ายหน้าก่อนจะแค่นยิ้มเฉยชาออกมา “มิใช่หรอก”
หลิงผินก็เพียงแค่หนึ่งในตัวหมากของหลี่เซวียนที่นำมาคานอำนาจของเหอกุ้ยเฟย เพื่อกันมิให้ตระกูลเหอมีอำนาจมากเกินไป สร้างคลื่นลูกใหม่ หลิงผินและหว่านผินนับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะบิดาของพวกนางต่างเป็นขุนนางหน้าใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ
“เปิ่นกงแค่นึกถึงอดีตแสนยาวนานขึ้นมาได้”ฝูหรงหลบตาลงต่ำซุกซ่อนความเจ็บปวดและความว่างเปล่าเอาไว้ภายใน “ครั้งหนึ่งความรักเคยเบ่งบาน ทว่ามันก็ไม่นาน หลงเหลือเพียงก้อนตะกอนขุ่นมัว”
“ฮองเฮา…”
นางปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า “ไฉนเล่าแผ่นหลังของท่านถึงได้เลือนรางนัก ท้ายที่สุดแล้วก็มิอาจโอบกอดสิ่งใดเอาไว้ได้เลย”
ไยข้าและท่านจึงเป็นเช่นนั้นกัน
หมิงกุ้ยเหรินและอี๋กุ้ยเหรินที่ถูกลงโทษหายดีจนสามารถเข้าเฝ้านางได้แล้ว ดังนั้นในแรกเช้าวันต่อมาพวกนางจึงได้ปรากฏตัวขึ้นภายในตำหนัก ก่อนย่อตัวลงเพื่อทำความเคารถฝูหรง
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
“ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”
ฝูหรงหลบตาต่ำพลางหมุนลูกประคำในมือไปมา น่าเสียดายที่วันนี้ทั้งตวนเฟยและเจินเฟยต่างล้มป่วยมิอาจเข้าเฝ้านางได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงเจียเฟยที่ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น เหอกุ้ยเฟยเองก็สวดมนต์อยู่ที่พระอาราม
จึงเหลือแค่หว่านผิน หลิงผินและกุ้ยเหรินบางส่วนเท่านั้น
“ได้ยินว่าหมิงกุ้ยเหรินและอี๋กุ้ยเหรินถูกฮองเฮาลงโทษ มิรู้ว่าเป็นเรื่องใดกัน”น้ำเสียงหวานของหลิงผินกล่าวขึ้น จงใจปรายตามองนางสลับกับกุ้ยเหรินทั้งสอง “หม่อมฉันอยากรู้เรื่องเกินเพคะ ฮองเฮา”
หากจำไม่ผิดเท่าที่อาหนิงเป็นคนบอกหลิงผิน หมิงกุ้ยเหรินและอี๋กุ้ยเหรินเข้าวังมาพร้อมกัน การที่หลิงผินจงใจหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหมายจะตบหน้าอีกฝ่าย ดูท่าแล้วพวกนางคงมีความหลังอะไรกันมา
ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มบางเบา “วังหลังมีเรื่องมากมายให้เปิ่นกงต้องจัดการ หากเจ้าอยากรู้ก็จงถามพวกนางเองเถอะ”
“เพคะ ฮองเฮา”หลิงเจียหยูฉีกยิ้มกว้างหันขวับไปหาสองกุ้ยเหรินผู้น่าสงสาร โดยมีหว่านผินคอยลอบมองด้วยสายตาเฉยชา “พวกเจ้าโดนลงโทษด้วยเรื่องอันใด”
หมิงกุ้ยเหรินนั้นเป็นสตรีหน้าบาง ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงก่ำก่อนจะหลบตาลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อี๋กุ้ยเหรินดูจะเด็ดเดี่ยวมากกว่านัก ดวงหน้าขาวเนียนเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทะนง
แต่ก็มิแปลกอะไร อี้กุ้ยเหรินเป็นบุตรีของขุนนางระดับสูงในราชสำนัก
“นั่นหาใช่เรื่องของหลิงผินไม่ ไฉนท่านจึงต้องอยากจะใคร่รู้”อี๋กุ้ยเหรินกล่าวเสียงลอดไรฟัน นัยน์ตาฉายแววดื้อรั้นอย่างถึงที่สุด
มิน่าเล่าเจินซื่อเหนียนจึงจัดการพวกนางไม่ได้ บุปผางามแสนพยศจนเกินงามยากนักจะเสวนากันรู้เรื่อง
แต่ไหนแต่ไรมาหลิงเจียหยูก็มิใช่สตรีที่ขบคิดอะไรลึกซึ้ง ผนวกกับที่ฝ่าบาทกำลังโปรดปรานนางมีหรือว่าจะยอมอยู่เฉย
“เจ้ากล่าวเช่นนั้น หมายความว่าอย่างไร”
วังหลังจะสงบไม่เพียงแค่เหล่าสงบเคารพย้ำเกรงฮองเฮา ทว่าพวกนางเองก็มิควรก่อเรื่องทะเลาะวิวาท หากแต่การเข้าไปห้ามปรามตอนนี้ก็มิใช่วิธีการของนาง เพราะจะอย่างไรพวกนางคงตบตีกันทีหลังอยู่ดี
โดยเฉพาะกับอี๋กุ้ยเหรินผู้แสนพยศ
“ผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญาเช่นท่าน ยังต้องให้ข้าแปลความหมายให้อีกงั้นหรือ”อี้กุ้ยเหรินเหยียดยิ้มกว้าง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง “ดูท่าแล้วข่าวหรือที่ได้ยินมาคงหาได้มีมูลไม่”
ความวุ่นวายเริ่มตั้งเค้าให้เห็น ฝูหรงหันไปรับถ้วยชาจากอาหนิงก่อนยกมันขึ้นจรดริมฝีปากรอคอยเรื่องสนุก ในเมื่อไม่มีนางสนมขั้นเฟยหรือกุ้ยเฟยสักคน ใหญ่สุดรองลงมาจากฝูหรงคงไม่พ้นหลิงผินผู้เป็นที่โปรดปราน
“เจ้าจงใจด่าข้าว่าโง่เขลา”เรียวนิ้วของหลิงผินยกขึ้นสีหน้าอีกฝ่าย
“ข้ายังมิได้กล่าวเช่นนั้น หลิงผินจะร้อนรนไปไย”
“เป็นเพียงสนมขั้นกุ้ยเหริน ไฉนจึงได้กล้าต่อปากต่อคำเช่นนี้ ขนบธรรมเนียมทั้งหลายเจ้าไม่ได้อ่านหรืออย่างไร !”
“ข้าอ่านแต่ก็คงต้องเลือกปฏิบัติด้วยเช่นเดียวกัน”
หว่านผินที่เห็นท่าไม่ดีรีบหันขวับมามองนาง ริมฝีปากแดงเรื่อเปล่งเสียงพูดอย่างแผ่วเบา “ฮองเฮาเพคะ…”
นางยังคงยิ้มดื่มด่ำกับกลิ่นหอมอ่อนของน้ำชาในถ้วย ครานี้กระทั่งหมิงกุ้ยเหรินที่เป็นคู่แค้นของอี๋กุ้ยเหรินยังเหลือบมองนาง ทว่านั่นช้าเกินไป หลิงผินขยับลุกขึ้นออกจากที่นั่งก่อนง้างมือขึ้นแล้วตบลงไปตรงข้างแก้มของอีกฝ่าย
เพี๊ยะ !
อี๋กุ้ยเหรินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง “หลิงเจียหยู ! เจ้าบังอาจมาก ข้าจะทูลฟ้องฝ่าบาท”
หลิงเจียหยูเหยียดยิ้ม นัยน์ตาดำขลับเปล่งประกายวาวโรจน์ขึ้นมา “เจ้านั่นแหละที่บังอาจ เป็นเพียงสนมขั้นกุ้ยเหริน กล้าต่อปากต่อคำกับเปิ่นกงได้อย่างไร!”
ฝูหรงหรี่ตาลงมองความวุ่นวายตรงหน้า ก่อนส่งถ้วยชาคืนให้แก่นางกำนัลคนสนิท รียวทั้งสองเหยียดออกไปด้วยความเกียจคร้าน เพียงหนึ่งเสียงที่ดังลอดออกจากลำคอระหงก็มากพอที่จะเรียกความสนใจจากทุกคน
“หลิงผิน เรื่องนั่นคงต้องเอาไว้ทีหลัง พวกเจ้าอยู่ต่อหน้าเปิ่นกงยังกล้าก่อเรื่องทะเลาะวิวาท เห็นเปิ่นกงเป็นตัวอะไรกัน”นางกล่าวเสียงเย็นชา ปลอกเล็บสีทองครูดลงบนอาภรณ์ หลิงผินหลบตาลงต่ำขณะที่อี๋กุ้ยเหรินยังคงเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่หวั่นเกรง
“อี๋กุ้ยเหริน เจ้าคงมิได้จะบอกว่าเลือกปฏิบัติกับเปิ่นกงด้วยหรอกนะ”
“หม่อมฉันมิได้ต้องการจะกล่าวเช่นนั้น”อี๋กุ้ยเหรินตอบ เมื่อเห็นถึงความดื้อรั้นของนาง ฝูหรงก็คร้านจะปราบพยศ
นี่สมควรเป็นหน้าที่ของหยางหลี่เซวียน
“ฮองเฮาเพคะ เป็นอี๋กุ้ยเหรินที่ไร้มารยาท มิรู้จักขนบธรรมเนียม”
อี๋กุ้ยเหรินแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “ทำอย่างกับท่านมีมารยาท เดินมาตบหน้าข้า สมควรงั้นหรือ”
“กับคนเช่นเจ้า ไหนเลยข้าต้องขบคิดว่าควรไม่ควร”
“หลิงเจียหยู !”
หวั่นฝูหรงกลอกตาให้กับเสียงแหลมที่กรีดร้องบาดแก้วหูของอี๋กุ้ยเหริน นางตบมือลงบนที่เท้าแขน เรียกความสนใจจากบุปผางามตรงหน้าอีกครั้ง หลิงผินและอี๋กุ้ยเหรินหยุดชะงักลง ต่างฝ่ายต่างสูดหายใจเข้าอย่างอดกลั้น
“เปิ่นกงอยากรู้นักว่าพวกเจ้าได้รับการสั่งสอนอบรมมาหรือไม่ ไยจึงได้ทำตัวมิแตกต่างจากเดรฉานที่มิรู้ความ”ฝูหรงปรายตามองสตรีทั้งสอง หยาดเหงื่อมากมายผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าของหลิงเจียหยู
“หลิงเจียหยู เจ้าเป็นถึงสนมขั้นผิน คราก่อนเปิ่นกงเองก็พึ่งชมเชยเจ้าไป ไฉนเล่าจึงทำตัวมิรู้ความเช่นนี้ เจ้าเองก็ด้วยอี๋กุ้ยเหริน เปิ่นกงสั่งลงโทษเจ้าไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน ไยเจ้าจึงได้กล้าทำตัวเยี่ยงนี้”
การเป็นฮองเฮาที่ดีมิจำเป็นต้องทำตัวข่มนางสนม การสวมใส่หน้ากากของโพธิสัตว์ต่างหากจึงเรียกว่าเหมาะสม กลั่นแกล้งนางสนมอย่างไรก็ได้ แต่จงเลือกแอบอ้างความถูกต้อง อย่าได้ให้พวกนางผูกใจเจ็บ มิเช่นนั้นหากจะกระทำการครั้งที่สองคงเป็นเรื่องยุ่งยาก
เล่นละครลวงโลกให้เก่งกาจเท่ากับโอรสสวรรค์ได้ นั่นจึงนับว่าดี
“ฮองเฮา”
นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์เต็มไปด้วยความผิดหวัง นางเมินหน้าหนีอีกฝ่าย “หลิงผินและอี๋กุ้ยเหรินจงไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่ตำหนักของตนเองเป็นเวลาสองชั่วยาม จากนั้นไปคัดกฎระเบียบของวังหลวงมาส่งให้เปิ่นกงหนึ่งร้อยจบ”
“…”
ฝูหรงลอบเหยียดยิ้มร้ายกาจจงใจทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ “หลิงผินคราก่อนเจ้ายังทำตัวน่ารัก ไฉนเล่าวันนี้อี๋กุ้ยเหรินปรากฏตัวขึ้น ความน่ารักของเจ้าจึงหายไป เปิ่นกงผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก”
ด้วยความที่หลิงเจียหยูเป็นเพียงสตรีที่มีความคิดตื้นเขิน ได้ยินเช่นนี้จึงได้หันไปมองตัวตนเหตุที่อย่างอี๋กุ้ยเหรินทันใด เปิ่นกงไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ !
อาหนิงเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถมองเห็นรอยยิ้มร้ายกาจของฮองเฮาได้ นางกำนัลวัยกลางคนหลบตาลงต่ำพลางครุ่นคิดในใจ
ดูเหมือนว่าการกลั่นแกล้งนางสนมจะเป็นหนึ่งในความสำราญของฮองเฮา
ตัวหมากสีดำถูกวางลงบนกระดานหมากล้อม ร่างอรชรขยับตัวเปลี่ยนท่วงท่า แสงตะวันรอนสาดส่องเข้ามาภายในตำหนักกระทบกับผิวหน้าขาวเนียน ฝูหรงกะพริบพบว่าตัวหมากสีขาวของตนกำลังถูกล้อมเอาไว้
“ฮองเฮาเพคะ อี๋กุ้ยเหรินถูกหลิงผินเรียกตัวเข้าพบ ตอนนี้กำลังถูกลงโทษให้เดินบนเศษกระเบื้องเพคะ”
มือที่กำลังจะหยิบตัวหมากสีขาวหยุดชะงัก วิธีการนั่นของหลิงผินออกจะรุนแรงไปเสียหน่อย จะอย่างไรบิดาของอี๋กุ้ยเหรินก็นับเป็นขุนนางระดับสูง
“ประทานดอกหอมหมื่นลี้ให้หลิงผิน บอกด้วยว่า บุปผางามย่อมต้องอ่อนหวานน่าทะนุถนอมจึงจะสามารถกล่าวได้ว่างาม จงเพียรรักษาความงามเฉกเช่นดอกหอมหมื่นลี้ที่รักษาความหอม”
“เพคะ”
ลับจากแผ่นหลังของอาหนิง นางละสายตาจากกระดานหมากล้อมก่อนแหงนหน้าขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนเองนั้นมิแตกต่างจากตัวเกียจคร้านแม้แต่น้อย ฝูหรงถอนหายใจขยับตัวเดินออกไปนอกตำหนัก
ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวปลายเท้าของนางหยุดชะงัก นัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยตามด้วยความสงสัยที่ก่อตัวขึ้น
หยางหลี่เซวียนยืนอยู่ตรงหน้านาง เขาจับจูงมือของชิงอี้และกำลังเดินเข้ามาใกล้ ชั่วขณะหนึ่งแสงตะวันส่องผ่านร่างของพวกเขา คล้ายกับภาพตรงหน้าเป็นเพียงภาพฝัน นางกะพริบตาถี่รัวทว่าภาพนั้นก็มิยอมหายไปเสียที
ไม่มีทางที่คนบัดซบเช่นหยางหลี่เซวียนจะกระทำเช่นเทพเซียน
ท้ายที่สุดฝูหรงง้างมือขึ้นก่อนตบลงไปบนข้างแก้มของตน และมันรุนแรงมากพอให้หน้าจะนางสะบัดไปอีกทาง หลี่เซวียนกลายเป็นฝ่ายเบิกตากว้างขึ้น ขณะที่หยางชิงอี้กลอกตาให้แก่นาง พลางกระตุกชายอาภรณ์ของพระราชบิดา
“เสด็จพ่อเพคะ ไฉนการสูญเสียความทรงจำจึงได้ทำให้สติปัญญาของคนลดลงได้”ชิงอี้เอ่ยเสียงสิ้นหวังแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาพระราชบิดา “เสด็จพ่อ ลูกรู้สึกเป็นห่วงสติปัญญาของเสด็จแม่ยิ่งนักเพคะ”
“…”
“เทียบกันแล้วหมูในเล้ายังดูมีสติปัญญาเฉียบแหลมกว่า”
หยางชิงอี้
ดูเจ้าจะมีปัญหากับสติปัญญาของข้านะ…
ปากร้ายแต่เด็กเลยชิงอี้ ขนาดว่ารักฝูหรงเรียกเสด็จแม่ แต่คำพูดคำจาไม่ได้เคารพหรือนับถือเหมือนปากว่าเลย วาจานางรับไม่ได้ หยาบคายเหมือนไร้การอบรม ใช่องค์หญิงป่าว ปากตลาดมาก ฝูหรงไม่ต้องรับเลี้ยงดูหรอกให้อีเต้มันเอาไปให้ไทเฮาอบรมเหมือนเดิมเห่อะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 12 ตุลาคม 2561 / 00:25
องค์หญิงไม่มีใครสั่งสอนสินะ มีปากใช่อยากพูดอะไรก็ทำได้ เป็นองค์หญิงไม่ได้หมายความว่าจะหยาบคายกับคนที่อายุเยอะกว่าแถมเป็นแม่ ถึงจะไม่ใช่แม่แท้ก็เถอะ
อะไรคือการที่หมูในเล้ามีสติปัญญาเฉียบแหลมกว่าฮองเฮา555
ติดตามต่อไป....แบบที่อึดอัดใจนิดหน่อย5555