ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #30 : Special  Listen to your heart

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.67K
      55
      28 ก.พ. 59


    Listen to your heart




    มีเงื่อนไขบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างผมกับอากงหลังจากกลับไทยมาได้หกเดือน 

    กิจการของบ้านในระบบกงสีทำให้ผมก้าวขึ้นมากินเงินเดือนหลักแสนทันทีแบบไม่ต้องมีประสบการณ์ บ้านผมอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ที่อยู่จึงอลังการงานสร้างไปด้วย ไอ้กันต์เรียกบ้านผมว่าคฤหาสถ์ แต่เชื่อผมเถอะ บ้านใหญ่ไม่ได้หมายถึงครอบครัวอบอุ่น

    ผมทะเลาะกับกง หลังจากผมยืนยันจะเปิดร้านอาหารควบคู่กับงานบริหารห้างสรรพสินค้าไปด้วย กงบอกว่างานครัวเป็นเรื่องของคนรับใช้ ทำไมต้องลดตัวไปทำทั้งที่มีงานที่มั่นคงและเกียรติยศสูงส่งในสังคมไฮโซอยู่แล้ว แต่สุดท้ายผมก็หาลู่ทางจนขัดใจกงได้ 

    ร้านอาหารที่ผมเปิดเป็นร้านอาหารไทยย่านสีลม ใช้เงินตัวเองที่เก็บมาตั้งแต่สมัยเรียนเป็นต้นทุนทั้งหมด เน้นรสชาติ รสนิยมการตบแต่งมากกว่าแสวงหากำไร ทำให้เป็นที่ถูกใจของต่างชาติจนเป็นร้านเรคคอมเมนด์อันดับต้นๆในกรุงเทพด้วยเวลาไม่นาน รายการอาหารเริ่มเข้ามาถ่ายทำ บางทีกองละครก็ขอใช้สถานที่ จากที่กงคิดว่าผมจะเปิดเป็นร้านกระจอกๆกลับเรียกเม็ดเงินเข้าบ้านได้อย่างน่าประหลาดใจ กระทั่งผมเปรยกับกงว่าให้จ้างคนนอกที่มีประสบการณ์มาบริหารห้างสรรพสินค้าแทนเพราะผมอยากลงไปดูแลกิจการตัวเองเต็มตัวก็เริ่มมีปากเสียงกันอีกครั้ง


    อากงเลี้ยงผมมาแต่เล็ก ท่านรู้ดีว่าผมดื้อ สุดท้ายต่อให้ห้ามยังไง ผมก็กล้าพอที่จะโยนห้างที่กงสร้างมากับมือทิ้งแม้จะเป็นรายได้หลักของครอบครัวอย่างไม่ใส่ใจ ใครจะแคร์ในเมื่อผมมีงานที่ตัวเองชอบและไปได้ดีขนาดนี้ สิ้นเดือนก่อนผมเลยถูกเรียกเข้าไปคุยตามลำพัง และนั่นเป็นที่มาของเงื่อนไขที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับอากง



    “....อั๊วจะช่วยกงดูกิจการจนกว่าตี๋เล็กจะเรียนจบ จากนั้นอั๊วจะวางมือ อั๊วจะไม่เอาตังค์กงซักบาท ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือปันผล อั๊วจะช่วยกงดูแลไอ้เล็กมัน หาที่เรียนให้ ถ้ากงจะให้มันไปเรียนอังกฤษอั๊วก็จะฝากฝังมันกับเพื่อนๆที่โน่น แต่เรื่องเดียวที่อั๊วขอ คือกงเลิกบังคับชีวิตอั๊ว ให้อั๊วเลือกทางเดินของตัวเอง กงก็เห็นว่าอั๊วรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ดีกว่าที่กงคิด”

    ผมรู้ว่าอากงโกรธ แต่ถ้าไม่รับข้อเสนอผมก็ลาออกจากงานไปนอนอยู่ร้านได้สบายๆ สุดท้ายเลยต้องยอมตกลงแบบขัดไม่ได้ ส่วนเตี่ย พอเห็นผมมีกิจการเป็นของตัวเองก็เลิกจู้จี้ไปแล้ว ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับแปะ 

    อากงประกาศข้อตกลงให้ที่บ้านฟังในโต๊ะอาหารวันถัดมา แปะหน้าบานเป็นกระด้ง ส่วนตี๋เล็กกับเจ้ๆก็ไม่มีใครสนใจ หลานๆยังเด็กเกินกว่าจะอยากฟาดฟันเรื่องทรัพย์สมบัติของผู้ใหญ่ ตอนนี้เลยเหมือนกับผมนำความสงบสุขกลับคืนบ้านอีกครั้งถึงแม้จะถูกกงพูดกระทบกระเทียบว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วยิ่งดื้อดึงเป็นเท่าตัวบ้าง ผมก็ไม่ได้เก็บมาคิดอะไร 
    จริงๆเขาก็ห่วง เรื่องนั้นผมรู้แต่ทำเป็นไม่รู้มากกว่า


    ส่วนเรื่องถัดมาจากหน้าที่การงานคือเรื่องหัวใจ อันที่จริงผมไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนักแต่ก็ยังยังค้างคาในความรู้สึกอยู่หน่อยๆกับไอ้คนที่ขโมยจูบไปซึ่งๆหน้าที่นิวคาสเซิล ผมเห็นมันอีกครั้งตอนกลับไทย ไม่ได้มีโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรทั้งนั้นแต่เพราะมันเป็นดารา ลงจากเครื่องบินมาก็เจอโปสเตอร์ขนาดเท่าตัวจริงแปะหรา ถามเจ้ๆที่เป็นลูกพี่ลูกน้องว่าภูมินทร์มันดังแค่ไหน เจ้ก็บอกว่าดังมากพอจะเลือกงานละครได้ ส่วนใหญ่มันชอบถ่ายแบบเพราะปิดเป็นจ๊อบๆ ไม่ต้องคาราคาซัง งานละครที่รับก็เฉพาะงานที่ผู้กำกับคนที่ดึงมันเข้าวงการเป็นคนจัดเท่านั้น ค่าตัวมันเลยสูงแต่งานไม่ชุก เจ้ไม่ใช่แฟนตัวยงแต่ข้อมูลพวกนี้เป็นสาธารณะ ทว่าอีกเรื่องที่เจ้พูดลอยๆเหมือนอยากจะเมาท์มากกว่ากลับเป็นเรื่องที่มินไม่เคยมีข่าวกับผู้หญิงเลย ข่าวลือหนาหูว่ามันเป็นเกย์ แต่ไม่เคยถูกจับได้คาหนังคาเขาสักครั้ง ฟังแล้วตลกดี ทั้งๆที่ภูมินทร์ไม่น่าจะเป็นคนรอบคอบขนาดนั้นแท้ๆ


    จะว่าไปแล้วช่วงนี้มินก็มีงานละครอยู่เรื่องหนึ่ง ม้านั่งดูก่อนนอนทุกคืนแต่ผมไม่ได้ดูด้วยหรอก ก่อนหน้านี้ยุ่งๆทั้งกับที่ออฟฟิศและร้านอาหารเลยไม่ได้สนใจ ไม่ได้คิดจะติดต่อไปด้วยแต่พออะไรๆลงตัวก็อดนึกถึงไม่ได้ จะให้หาข้อมูลแล้วอยู่ๆโทรไปชวนกินข้าวผมก็ว่าแปลกๆ ใจหนึ่งก็อยากปล่อยให้เป็นแค่ความทรงจำในวันที่หิมะตก แต่อีกใจก็อยากสานต่อความสัมพันธ์นั้นให้ลึกซึ้งกว่านี้

    แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิมคือได้แค่คิด มินมันเป็นดารา ใช่คนธรรมดาๆที่เข้าถึงง่ายเสียเมื่อไหร่



    “ตี๋ใหญ่ๆ นี่มันร้านลื้อนี่ ไม่เห็นบอกอั๊วเลยว่าละครเรื่องนี้ไปถ่ายที่ร้าน”

    หม่าม้าพูดพลางเคาะรีโมททีวีกับพนักพิงโซฟาเรียกผมไปด้วย ผมเงยหน้าขึ้นจากจอไอแพดที่แชทค้างไว้กับชนกันต์มองตามสายตาม้า ร้านอาหารที่เป็นจุดนัดพบของพระนางเป็นร้านผมจริง แต่วันนั้นผมไม่ได้อยู่ร้าน รู้แค่ว่ามีกองละครจะเข้ามาถ่ายทำเลยฝากให้เอ๋ ผู้จัดการร้านเป็นคนดูแลจึงไม่รู้ว่ากองที่เข้าไปเป็นใครบ้าง 

    เห็นอย่างนั้นก็เผลอผุดยิ้มขึ้นมาทั้งตาทั้งปาก แม้มองภาพในจอโทรทัศน์ไม่เหลียวตาไปไหน พอพักโฆษณาก็ไลน์ไปบอกลูกน้องคนสนิทให้ส่งคูปองส่วนลดไปให้ผู้จัดละครมาเลี้ยงปิดกล้องที่ร้าน

    "...จะได้โปรโมทร้านไปด้วย" ผมบอกเอ๋แบบนั้น แต่ในใจยอมรับโดยดุษณีว่ามันไม่ใช่แค่นั้น

    ครั้งนี้ผมจะไม่พลาด

    ก็ลองวัดดวงกันดูว่าช่องทางที่พอจะมีมันมากพอให้สานสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่คั่งค้างในใจได้หรือเปล่า




    ------------------------------------------------

    วันนี้ร้านผมถูกเหมาโดยกองถ่ายละครที่ได้รับส่วนลดไปถึง 40% เป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์หลังจากเอ๋โทรประสานงานให้ผมถึงมีโอกาสเจอเจ้าของใบหน้าคม ใส่ตุ้มหูเงินข้างเดียวอีกครั้ง ภูมินทร์แสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดทันทีที่เห็นหน้าผม ก่อนแสร้งหลบทำเป็นไม่สนใจเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน 
    จะว่าไปมันอาจลืมชื่อผมไปแล้วก็ได้ แต่ผมมั่นใจว่ามันยังจำไอ้ตี๋ที่เคยเรียกได้ดี สังเกตจากฎิกิริยาต่อต้านชัดเจนเมื่อผมพยายามเฉียดเข้าไปใกล้เก้าอี้ที่มันนั่งอยู่


    ผมคุยกับคุณเต้ย ผู้จัดละครชื่อดังสลับกับคนอื่นไปเรื่อยๆตามประสาผู้ชายขายบริการ ผู้หญิงที่รับบทเป็นนางเอกคือคนที่ชื่อกุลซึ่งผมเคยเจอเมื่อหกเดือนก่อนที่อังกฤษเช่นเดียวกัน ผู้จัดการส่วนตัวที่ชื่อเอ็กซ์ก็ด้วย ผมจำได้หมดเลยทำให้การสนทนาไหลลื่นกว่าปกติ คุณเอ็กซ์เปรยแซวว่าผมอยากเจอกุลหรือเปล่าถึงให้บัตรส่วนลดคุณเต้ยไปถึง 40% จากนั้นคนอื่นก็เริ่มแซวต่อๆกัน เล่นเอาสาวเจ้านั่งอายม้วนอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมยิ้มให้กุล เธอเป็นผู้หญิงน่ารัก สวยหวานแบบที่ผู้ชายทุกคนเห็นแล้วอยากได้ น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมกลับสนใจกุลน้อยกว่ามิน ทั้งที่ปกติแล้วผมชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย


    “จริงๆคุณใหญ่ติดต่อมาทางพี่ก็ได้นะคะ คนกันเอง ถ้าเป็นคุณใหญ่ล่ะก็พี่ไม่ห้ามยัยกุลหรอก จะไปเที่ยว ช้อปปิ้ง กินข้าวก็ไปเลยค่ะ ได้ตามสบาย”

    “ขืนทำแบบนั้นคุณกุลก็เป็นข่าวกันพอดีสิครับ”

    ผมพูดกลั้วหัวเราะ รู้มาว่ารายนี้ผิดกับไอ้มินลิบลับ อาจเป็นเพราะผู้หญิงมีช่วงวัยกอบโกยค่อนข้างน้อยเลยรับงานดะ มองไปทางไหนก็เห็นกุลธิดาเต็มเมือง ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงนาทีทองของเธอ เราคุยเรื่องจิปาถะกันไปเรื่อยๆ กุลยื่นนามบัตรให้ผม เป็นมารยาทให้ผมต้องยื่นตอบ คุณเอ็กซ์ทำท่าจะแซวอะไรอีกผมก็ได้ยินเสียงขูดครากของเก้าอี้ ไอ้มินขอไฟแช็คพี่เต้ยแล้วเดินไปหลังร้าน ผมถึงถือโอกาสนี้ปลีกตัวออกจากทุกคน บอกว่าจะไปสูบบุหรี่เหมือนกันแล้วเดินตามพระเอกหนุ่มมาเงียบๆ

    ผมภูมินทร์ยาวกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอ จำได้ว่าครั้งก่อนยังไม่ยาวมาปิดปกคอเสื้อแต่ครั้งนี้มันระลงมาประมาณครึ่งเซ็นได้ ส่วนอย่างอื่นเหมือนเดิม ทั้งหน้าตา ผิวพรรณ เพียงแต่วันนี้มันไม่ได้เมาเหมือนครั้งแรกที่เจอกันแล้ว



    “....ไม่คิดจะทักกันหน่อยหรือไง”

    ผมถามพลางดึงบุหรี่ออกจากซอง ไอ้มินจุดสูบแล้ว ปรายหางตามองผมแต่ไม่ตอบ


    “ต่อบุหรี่หน่อย”

    พระเอกหนุ่มยื่นไฟแชคให้แต่ผมกลับขยับตัวเข้าใกล้ ใช้มือเชยคางที่มีตอหนวดเล็กๆสากมือให้เงยขึ้นแล้วใช้ปลายบุหรี่ต่อบุหรี่แทน เราอยู่ห่างกันแค่มวนบุหรี่สองตัวกั้น อยากหลบก็คงหลบไม่ได้ ภูมินทร์ต้องตาผมเขม็งก่อนสะบัดหน้าออกเมื่อไฟที่ปลายมวนผมสว่างวาบ


    “อย่ามาทำรุ่มร่าม”

    “นี่โกรธอะไร?”

    “โกรธเหี้ยไรล่ะ ไม่ชอบให้มาเกาะแกะ จะสูบก็ไปยืนสูบเงียบๆไกลๆ รำคาญ”

    ผมไม่ได้ทำตามที่ภูมินทร์บอก ยังยืนอยู่ที่เดิมโดยหันหน้าเข้าหามันเหมือนเดิม ตอนนี้เจ้าของตาคมเบือนหลบไปแล้วซึ่งนั่นกำลังทำให้ผมรู้สึกขัดใจ


    “ไม่ได้เจอตั้งครึ่งปี ไม่อยากมองหน้ากันหน่อยหรือไง?”

    “เลิกพูดถึงเรื่องนั้นได้ปะวะ? มึงต้องการอะไร คนที่อยากเจอก็อยู่ในร้านจะมาหาเรื่องกูทำไม”

    คนที่อยากเจอ? ผมมองสีหน้าติดจะหงุดหงิดของมินแล้วถอนหายใจยาว ควันสีขาวลอยฟุ้งระหว่างเราตลบ ภูมินทร์อัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนทิ้งลงพื้นแล้วขยี้ดับไฟด้วยปลายเท้า ยังไม่ทันที่ผมจะมีโอกาสแก้ตัว เสียงเรียกเราโทรศัพท์มันก็ดังขึ้นมาก่อน หน้าจอไอโฟนโชว์ชื่อ P’Nick หรา


    “ทำไมพี่นิค...ไม่รักผม....”



    ชื่อนี้ผมจำได้แม่น พอมันจะกดรับก็รีบเอ่ยเสียงขรม “ไม่ต้องรับสาย”

    “อะไร?”

    “คุยกันให้รู้เรื่องก่อน แล้วพี่นิคอะไรนี่ยังจะติดต่อกันอีกเหรอ? ไหนว่ามีแฟนใหม่ไปแล้วไง”

    “มันเรื่องของกู มึงจะอะไรนักหนา”

    “อย่าทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม?”

    “มึงช่วยคิดว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้ไหมล่ะ นั่นมันก็แค่อากาศหนาว กูอกหัก มันเป็นความผิดพลาด”

    ผมรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกระตุกทันทีที่ได้ยิน เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว ภูมินทร์ถอนหายใจยาวมองหน้าจอที่ดับพลางเลี่ยงเดินหนีอีกครั้ง ผมคว้าท่อนแขนขาวไว้ ขณะเดียวกันมือข้างที่ว่างของนักแสดงหนุ่มก็เหวี่ยงกลับมาทันที 


    ผลัวะ!!!


    ผมถูกซัดจนหน้าหัน รู้ว่าอีกฝ่ายใส่มาเต็มแรง แต่ก็ไม่ยอมปล่อยแขน มิหนำซ้ำยังออกแรงจับไว้แน่นขึ้นก่อนเหวี่ยงตัวภูมินทร์เข้าชิดกำแพง ถังขยะที่วางไว้แถวนั้นถูกชนจนล้มระเนระนาด แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะสนใจ ถ้าหนึ่งหมัดแลกกับหนึ่งจูบ ผมก็จะไม่ออมแรงกับปากมันเหมือนกัน


    “..อื้ม.....!!!....”




    ----------------------------------------------------------


    “คุณใหญ่คะ คุณภูมินทร์มาขอพบค่ะ”

    ผมเงยหน้าขึ้นจากตัวเลขบัญชีของร้านที่เอ๋สรุปมาให้เมื่อตอนหัวค่ำ เหลือบมองนาฬิกาเห็นว่าตอนนี้ก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนแล้วพยักหน้าอนุญาตให้เอ๋พาแขกคนพิเศษเข้าหา ผมไม่ได้มาที่ร้านทุกวัน แต่สำหรับคืนนี้จงใจมารอใครบางคนตั้งแต่ร้านเปิดจนร้านปิดถึงเพิ่งโผล่มา 
    เสียงตึงตังจากบันไดที่ชั้นล่างเป็นส่วนของร้านอาหารดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่นานเกินอึดใจประตูไม้โอ๊คสีน้ำตาลแดงก็ถูกผลักออกแล้วเหวี่ยงปิดลงรุนแรงตามอารมณ์ของผู้มาเยือน ภูมินทร์เดินเข้ามาที่โต๊ะ โยนหนังสือพิมพ์ที่ลงรูปผู้ชายสองคนกอดจูบกันชัดแจ๋ว ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ท้าวแขนกับโต๊ะทำงานผมตอนนี้


    “นึกว่าจะมาเร็วกว่านี้”

    “กูเคลียร์งานเสร็จก็รีบบึ่งมาฆ่ามึงเลย มึงทำเหี้ยอะไรลงไปแหกตาดูซิ”

    “ก็จูบไง”

    “มึงกวนตีนกูเหรอ?”

    “แล้วจะให้ตอบอะไร รูปก็เห็นกันจะๆว่าจูบ จะให้อ่านเนื้อความในข่าวด้วยเหรอ? เมื่อเช้าเห็นแค่รูปนะ ไม่ได้อ่านรายละเอียดข้างใน ถ้าจะให้อ่านก็นั่งรอก่อน”

    “ไม่ใช่โว้ย!”

    เสียงทุ้มแผดลั่น ภูมินทร์ยีผมตัวเองหัวเสียอย่างเห็นได้ชัดแต่ผมกลับเอนตัวลงบนเบาะพิง ประสานมือมองมันยิ้มๆ


    “พรุ่งนี้ผู้จัดการกูจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอนบ่ายโมง รบกวนคุณพัสกรทำตัวให้ว่างแล้วไปยืนยันที่งานกับกูด้วยว่าเป็นแค่มุมกล้อง มึงก้มลงมาต่อบุหรี่ หรือเหี้ยอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่จูบ กูเป็นเกย์มาเกือบสิบปีไม่เคยทำเรื่องให้ใครจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ มึงต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้”

    “ไร้สาระ ก็จูบกันจริงๆจะไปโกหกทำไม”

    “มันพูดแบบนั้นได้ที่ไหนเล่า”

    “คิดมากน่า แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง? เพิ่งเลิกงานมาใช่ไหม?”

    ผมลุกจากที่นั่งมากอดคอคนขี้โวยวาย ภูมินทร์สะบัดตัวเล็กน้อยผมเลยยกมือขึ้นยีผมมันแทนแล้วพามานั่งรอที่เก้าอี้หนังฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน มินไม่ตอบกอดอกแน่น ผมเลยโทรลงไปหาเอ๋ที่ชั้นล่างบอกหาอะไรง่ายๆมาให้มินทาน 
    สักพักข้าวผัดสับปะรดมาเสิร์ฟถึงห้อง ภูมินทร์ก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา ท่าทางเหมือนหิวมาก ผมกลับมาทำงานตัวเองต่อ หันมาอีกทีแขกผู้มาเยือนก็นั่งท้าวคางตาปรอยกับจานข้าวที่เกลี้ยงสนิท ท่าทางเหนื่อยมาทั้งวัน


    “นอนที่นี่ไหม?”

    ชั้นสองของร้านอาหารมีห้องส่วนตัวของผมสองห้อง หนึ่งคือห้องนี้ที่เอาไว้ทำงาน ส่วนอีกห้องอยู่ติดกันมีประตูเชื่อมเป็นห้องนอนเล็กๆไว้ค้างเฉพาะวันที่จำเป็น มีชุดนอนกับชุดทำงานสำรองไว้นิดหน่อยกับพวกเครื่องใช้ส่วนตัวขนาดพกพา ภูมินทร์ไม่ตอบแต่เลื้อยลงใช้คางเกยบนโต๊ะกระจก ผมเลยมาพยุงให้มันลุกแล้วพาเข้าห้องไปนอนดีๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหมอนี่อายุเท่ากัน ดูมันทำตัวแต่ละอย่างดูขาดวุฒิภาวะทั้งนั้น โกรธ เหนื่อยก็โมโหใส่ปึงปัง พอให้กินข้าวอิ่มๆ กับแอร์เย็นๆก็สิ้นฤทธิ์ 
    ผมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวมัน ใช้มือปัดปอยผมที่รกบนหน้าผากออก


    “...ไอ้ตี๋..”

    “หืม?”

    “กูพูดจริงนะเรื่องพรุ่งนี้”

    “อยากให้บอกคนอื่นว่าไม่ได้จูบขนาดนั้นเลย?”

    “อยากมีข่าวว่าคบกับผู้ชายนักหรือไง... มึงไม่ใช่ตาสีตาสานะ ใครๆก็รู้จักมึง”

    “ก็ช่างใครๆปะไร นอนได้แล้ว ตาจะไม่ลืมแล้วเนี่ย ทำไมดูเหนื่อยขนาดนี้ จะไม่สบายหรือเปล่า?”

    “มึงลองวิ่งหนีนักข่าวกับแฟนคลับทั้งวันแบบกูไหมล่ะ”

    ผมหัวเราะกับน้ำเสียงประชดประชันทั้งที่ตาจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ก้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากเบาๆแล้วกระซิบบอกให้มันพัก 


    “มึงไม่ต้องใจดีกับกูหรอก...”

    ภูมินทร์ยังฝืนพูด ก่อนตาจะค่อยๆหรือปิดลง ประโยคถัดมาที่ดังอ้อแอ้กลับทำให้ผมรู้สึกสะท้อนในอก “....สุดท้ายมึงก็จะทิ้งกูไปเหมือนคนอื่นอยู่ดี”



    ---------------------------------------------------


    ภายในห้องบอลลูมขนาดเล็กของโรงแรมหกดาวกลางใจเมืองเป็นสถานที่จัดงานแถลงข่าว สื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยเบียดกันแน่นขนัด ยังไม่นับรวมกับแฟนคลับวีไอพีที่ได้บัตรเข้ามาอีกจำนวนหนึ่งทำให้ผมรู้ได้เลาๆว่าภูมินทร์เป็นที่สนใจของสาธารณะจริงๆ ผมติดต่อผู้จัดการส่วนตัวมันแบบไม่ได้บอกเลยแอบเข้ามาในงานได้เงียบๆ 
    ไม่ใช่แค่ภูมินทร์ที่ต้องคอยชี้แจงคนนั้นคนนี้ ผมเองก็รับโทรศัพท์จากญาติโกโหติกากันจ้าละหวั่นไม่แพ้กัน นี่ยังไม่รวมไปถึงสายตาของพนักงานที่ลอบมองด้วยความสงสัยใคร่รู้แต่ไม่สอบถามกันตรงๆ ซึ่งนั่นคงเป็นแค่ความรำคาญใจเสี้ยวหนึ่งที่นักแสดงหนุ่มต้องเผชิญ

    ผมสวมแว่นตาเรย์แบนด์ปรอทแบบที่คนนอกไม่สามารถมองทะลุเข้ามาได้แม้อยู่ในที่ร่ม ตามกำหนดการณ์ก็มีคนจัดเตรียมโต๊ะให้เรียบร้อย ภูมินทร์เดินออกมาด้วยหน้าตาคนละแบบเวลาที่อยู่กับผม ยอมรับว่าดูดีกว่า แต่ผมชอบหน้าสดหลังล้างเครื่องสำอางค์แล้วมากกว่า ใบหน้าเป็นมิตรเกินจำเป็นนั่นด้วย ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นคนๆเดียวกับที่มาอาละวาดที่ร้านเมื่อวาน

    มินปั้นหน้ายิ้มให้สื่อ แฟลชวูบวาบสะท้อนเข้าหน้าแต่เจ้าตัวไม่กระพริบตาหลบแสงสักนิด มันคงเคยชินแต่ผมเห็นแล้วอดรำคาญไม่ได้ แม้จะยืนกอดอกอยู่หลังห้องก็ยังแสบตาแทนด้วยซ้ำ


    “จะไม่ขึ้นไปช่วยมินพูดหน่อยเหรอครับ?”

    เสียงนั้นเป็นคนที่ผมคุยผ่านโทรศัพท์ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอผู้จัดการส่วนตัวของมันแต่อีกฝ่ายกลับชวนคุยเหมือนคุ้นเคยกันดี ผมยกมือขึ้นดูนาฬิกา “คุณเอ๋บอกว่าช่วงแรกจะแถลงข่าวที่ได้รับเลือกเป็นแบรนด์แอมบราสเตอร์?”

    “ประมาณ 15 นาทีน่ะครับ พอเปิดโอกาสให้สื่อถามคงถล่มเรื่องรูปที่ปาปารัซซี่ถ่ายมา”

    ผมเดินเลี่ยงไปหลังเวที เรื่องพวกนี้ผมให้เอ๋ช่วยประสานงานให้ตลอด ที่จริงไม่ชอบเปิดตัวกับสื่อนักหรอก แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องอยู่หน้ากล้อง บางทีก็มีหนังสือติดต่อสัมภาษณ์อากงและผมต้องคอยเป็นแบ็คกราวด์ถ่ายรูปขึ้นปกให้เหมือนกันดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้สึกประหม่าถ้าต้องออกไปนั่งข้างๆมันกับเก้าอี้ที่จงใจตั้งไว้อีกตัวตั้งแต่เริ่ม

    ไม่ถึงสิบห้านาทีตามที่ผู้จัดการส่วนตัวมันบอก นักข่าวก็เริ่มส่งไมค์ถามต่อๆกันเรื่องที่มันเป็นเกย์ โยงมาถึงผู้ชายที่ถูกจับภาพได้ว่าเป็นผมหรือเปล่า เกลียดจริงๆเวลาถูกสื่อเรียกไฮโซพัสกร รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชายหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ หัวเถิกๆแล้วได้กินดารานมโตจริงๆ 
    สักพักจำเลยเหมือนตั้งสติได้ มันเคาะไมค์กวาดตามองกล้องนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความสับสน โกรธเกรี้ยว หรือใดๆทั้งสิ้น ถ้าบอกว่ามินเป็นนักแสดงที่คว้ารางวัลตุ๊กตาทองคำ ผมก็คงเชื่อแบบไร้ข้อกังขา


    “....เรื่องนั้นคือ..”

    มินยังไม่ทันพูดจบแสงแฟลชก็สว่างวูบวาบอีกครั้งเมื่อผมเดินออกจากหลังเวที แว่นปรอทถูกเสียบไว้ระหว่างกระดุมเสื้อเชิร์ตแต่พอผมลากเก้าอี้นั่งลงข้างๆไอ้ดาราที่ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ก็ยื่นให้มันใส่ ผมจับไมค์ให้เบี่ยงหันมาทางตัวเองพลางพูดเสียงนิ่ง


    “แฟนให้แว่นก็รับไป อย่าดื้อไม่เข้าเรื่อง”

    แน่นอน ว่าทุกคนในห้องแถลงข่าวได้ยินชัดแจ้ง..
    เสียงผึ้งแตกรังดังกระหึ่มขึ้นมาก่อนผมจะเสือกไมค์คืนให้มัน ใช้มือวางบนบ่ากว้างพลางตบเบาๆก่อนเดินเลี่ยงลงหลังเวที





    ------------------------------------------


    “มึงพูดเหี้ยอะไรออกไป!”

    เสียงทุ้มตวาดก้องทันทีเมื่อประตูห้องทำงานถูกผลักออก หลังจากลงจากเวทีแล้วก็ชิ่งกลับร้านเลย ปล่อยให้มินถูกนักข่าวถล่มคนเดียว คุณผู้จัดการมันถอนหายใจใส่ผมแล้วทำหน้าไม่ค่อยชอบใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร จากนั้นก็เจอมันอีกทีโดยไม่ทันได้แจ้งจากเอ๋ว่ามีคนมาขอผม


    “มือไม่พายเอาตีนราน้ำ! ไม่ช่วยกูพูดยังจะหาเรื่องมาให้อีก มึงคิดว่าเล่นขายของอยู่หรือไง!”

    “คบกับฉันจะทำให้นายตกงานหรือยังไง?”

    “มันก็ไม่แน่นักหรอก”

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แฟนคนเดียวฉันก็เลี้ยงไหว”

    “แฟนเหี้ยอะไรล่ะ”

    ภูมินทร์ยังตะโกนใส่หน้าผมไม่เลิก กระชากคอเสื้อผมขึ้นมาเผชิญหน้า และกำมือแน่นกว่าเดิมเมื่อผมไม่พูดเอาแต่มองหน้ามันใกล้ๆ ส่วนมือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ในทีแรกของผมก็ยกขึ้นมาช้อนท้ายทอยให้เจ้าของหน้าใสขยับมาใกล้พอที่จะจูบได้ มือที่หาเรื่องผมในทีแรกปล่อยมาทุบอึกกลางอก ตัวมันไม่ได้เล็ก ดิ้นทีผมต้องออกแรงค่อนข้างมากสำหรับการบังคับจูบมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะโอนอ่อน ดุดันและแข็งกระด้างในทีแรก แต่พอร่างในอาณัติอ่อนระทวยก็บรรจงจูบอีกฝ่ายอย่างเอาใจ แทรกลิ้นเข้าไปช่วงชิมรสหวานจากอีกฝ่าย กวาดต้อนจนมันจะเป็นผู้แพ้อย่างยับเยิน ก่อนจะถอนจูบออกมายังกดย้ำที่ปากเจ่อนั่นอีกสองถึงสามครั้ง


    “ทำแบบนี้ทำไม.....”

    ภูมินทร์สงบลงในอ้อมแขน ผมก้มลงไปหอมแก้มมันอีกทีแต่ครั้งนี้มันหันหน้าหนี “กูไม่ใช่แบบที่มึงชอบ แล้วมึงก็ไม่ใช่แบบที่กูชอบนะตี๋”

    ไม่ใช่แบบที่ชอบ แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองชอบไปแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก เดิมก็ไม่แน่ใจนักจนกลับมาเจออีกครั้ง ผมไม่มีเหตุผลให้ตัวเอง รู้แค่ว่าอยากให้มันอยู่ใกล้ๆ

    ทั้งๆที่เป็นคนขี้รำคาญ แต่พอเป็นมัน กลับรู้สึกว่าไม่อยากห่างไปไหน


    ผมมองตามิน แม้อีกฝ่ายพยายามหลบตา บางอย่างสะท้อนในนั้นซึ่งผมรู้สึกได้ว่ามันเป็นความกลัว ไม่รู้เหมือนกันว่ากลัวอะไร หรือบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องนั้น...ประโยคที่บอกเหมือนเพ้อว่าผมจะทิ้งมันไป


    “ถ้าฉันขอให้นายอยู่ตรงนี้ด้วยกัน... สัญญาว่าจะไม่ทิ้งไปไหน เลิกคิดเรื่องแบบที่ชอบ แค่ทำตามที่รู้สึก แค่วางหัวใจไว้ตรงนี้ คิดแค่เรื่องของเรา....”

    “กูไม่ได้.....”

    “ถ้าจะพูดว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันเลย งั้นลองตอบคำถามตัวเองดีๆ ไม่ต้องตอบฉันก็ได้.....”

    “ทำไมที่งานแถลงข่าว ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ฉันโมเมเอานายมาเป็นแฟน...”

    “ทำไมยังตอบนักข่าวว่าเรื่องของเราเริ่มที่อังกฤษ.....”

    “ทำไมถึงยอมรับ...”


    “ลองถามตัวเองซิว่าทำไม”

    ภูมินทร์เงียบ ผมเลยให้เวลามันคิดและพยายามไม่กดดันด้วยการเลี่ยงออกมาสูบบุหรี่นอกระเบียง ไม่ได้จับเวลาว่านานแค่ไหนแต่หมดไปสามมวนติดๆกัน 
    ความจริงแล้วแม้ภายนอกผมดูสงบแต่ข้างในไม่ใช่อย่างที่ใครคิด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ปากเหว ความมั่นใจสุดท้ายถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าด้ายเส้นนั้นจะดึงผมไว้หรือเป็นด้ายที่กระตุกให้ผมร่วงลงไปยังก้นบึ้งแห่งความเสียใจ

    ผมไม่เคยกลัวที่จะรักใคร เพราะผมไม่เคยเจ็บจากมัน
    แต่ครั้งนี้ผมกลับกลัว... 

    ไม่ใช่กลัวที่จะรัก

    แต่กลัวที่จะเจ็บ



    เสียงประตูถูกเลื่อนเปิดอีกครั้ง ผมรู้ว่าเป็นใครที่เดินเข้ามา แต่ไม่กล้าแม้จะหันกลับไปเผชิญหน้ากับคำตอบที่ตัวเองถามทิ้งไว้ แขนขาวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อท้าวลงคร่อมผมทั้งสองฝั่งกับระเบียง ภูมินทร์ฝังจมูกลงกับต้นคอผมก่อนกระซิบเสียงพร่า


    “ตี๋.......”

     ผมแทบกลั้นหายใจตอนรอฟัง สักพักแขนที่คร่อมอยู่ก็เลื่อนมากอดเอวผมหลวมๆ ภูมินทร์ใช้สันคางเกยกับบ่า กระซิบเสียงแผ่วแต่สองหูกลับได้ยินมันชัด


    “กูขอโทษ"

    ผมคำรามเสียงในลำคอ ภูมินทร์จูบเบาๆที่กกหูผมอย่างคนขี้อ้อน "อย่างอนกูเลย..."
    นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมกระตุกที่หางคิ้ว จะว่างอนก็ไม่ถูก แค่อยากได้ยินเสียงหัวใจที่ซื่อสัตย์ของมันก็เท่านั้น ภูมินทร์ค่อยๆไล่จูบลงมาที่ลำคอ ซุกจมูกคมเป็นสันจนผมต้องพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้หันกลับมาพลิกมันเข้าผนัง

    ผมอยากได้ยินความรู้สึกมัน
    ไม่ได้ต้องการแค่เซ็กส์ข้ามคืน





    "กูว่ากูรักมึงว่ะ.......เป็นเมียกูนะ ”


    ไอ้ประโยคแรกมันก็โอเคอยู่ แต่ประโยคหลังนี่มัน.... เฮ้ย!!!!!


    END
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×