ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #29 : Special First snow in 25th

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.69K
      52
      28 ก.พ. 59


    First snow in 25th 



    ฤดูหนาวปีที่25 ของผมเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ของประเทศอังกฤษ 

    ระยะเวลาจากกรุงเทพถึงนิวคาสเซิลโดเครื่องบินใช้ประมาณ 16 ชั่วโมง แต่อุณหภูมิของบ้านเกิดกับที่นี่ช่างต่างกันลิบลับ ฤดูหนาวที่ไทยอุณหภูมิเฉลี่ยตกอยู่ที่ 23-25 องศาไม่ต่ำกว่านั้น แต่ที่อังกฤษคาดว่าตอนนี้คงเหลืออยู่ที่ต้นๆของเลขตัวเดียว สังเกตจากการที่คืนนี้ผู้คนเริ่มสวมเสื้อผ้าฤดูหนาวคอลเลคชั่นใหม่กันหนาตากว่าวันก่อนๆ

    ผมชื่อใหญ่ พัสกร อิศวพิทักษ์ เป็นลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนที่พลัดบ้านตั้งแต่อายุ 18 มีอากงเป็นเจ้าสัวห้างสรรพสินค้าชื่อดังของประเทศ ถูกเลี้ยงดูชนิดที่ว่ามดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมตั้งแต่ยังเล็ก ผมเป็นหลานชายคนโปรดเพราะในบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้ง 5 มีแต่ผู้หญิง กระทั่งเมื่ออายุย่างเข้า 14 พวกเราก็ได้ยินข่าวดีจากแปะว่าภรรยากำลังจะให้กำเนิดลูกชายอีกคน ซึ่งผมเพิ่งตระหนักภายหลังว่าไอ้เด็กทะลุถุงยางนั่นเป็นต้นเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตในเวลาต่อมา

    เริ่มต้นจากเตี่ย ผู้ชายที่เคยเลี้ยงดูผมอย่างตามใจกลับเข้มงวด ตั้งกฏเกณฑ์มากมายให้ผมอยู่ในกรอบเพื่อกำจัดคู่แข่งอย่างตี๋เล็ก บนรากฐานของความร่ำรวยจนเสมือนเกิดภาวะเงินเฟ้อในบ้านเริ่มนำพาสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในครอบครัวเข้ามา ความริษยา ชิงชังในหมู่ของพี่น้อง ความเห็นแก่ตัวชัดเจนขึ้นทุกทีจนน่าคลื่นเหียน เตี่ยกังวลว่าอากงจะยกสมบัติให้เล็ก เช่นกัน อาแปะก็เริ่มพูดจาส่อเสียด ทับถม ขุดคุ้ยเรื่องราวไม่ดี ผิดพลาดของผมมาเล่าให้อากงฟังเหมือนเราไม่ใช่ และไม่เคยเป็นญาติกัน
    กระทั่ง ม.ปลายผมก็ทนความอึดอัดที่ว่าไม่ไหว ทำตัวสำมะเรเทเมา ดื้อดึงขัดคำสั่งจนเป็นสาเหตุให้อากงสั่งฟ้าแลบในวันจบ ม.หกว่าต้องเตรียมตัวไปเรียนต่อที่อังกฤษภายใน 48 ชั่วโมง แม้ตอนแรกจะอิดออดไม่อยากมาเพราะติดเพื่อนหน้าหล่อสมองกลวงอย่างไอ้กันต์ แต่พอได้พ้นจากวงจรอุบาทว์ของวงศาคณาญาติแล้วกลับพบความสบายใจอย่างประหลาด 
    ผมรู้สึกเป็นอิสระเสรี การใช้ชีวิตทำในสิ่งที่ตัวเองรักโดยไม่มีใครคอยจับตาและตีกรอบให้อึดอัด ผมทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยและค้นพบว่าความจริงตัวเองไม่ได้รักในวิชาบริหารธุรกิจที่กำลังจะได้ปริญญาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทว่าหลงไหลในการเป็นพ่อครัวมือดีในร้านอาหารเล็กๆย่านที่พักมากกว่า กระนั้นความจริงก็ยังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้มันจะดูขมขื่นแต่ผมก็ต้องยอมรับว่าอีกสองสัปดาห์ผมต้องตื่นจากฝัน ไปนั่งแท่นผู้บริหารห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
    อีกนัยหนึ่งคือผมกำลังพยายามบอกว่า นี่เป็นสัปดาห์สุดท้ายในร้านอาหารที่รวมพนักงานนานาชาติแห่งนี้แล้ว



    “...พรุ่งนี้เจอกัน”


    ผมตะโกนบอกเพื่อนๆที่แยกกันในคืนวันพฤหัสบดี หลายคนโบกมือกลับ บางคนก็ไม่ อากาศข้างนอกหนาวจนไม่มีใครอยากเอามือออกมาจากสเวตเตอร์ เราเริ่มพูดโดยมีควันออกปาก และมีความเป็นไปได้สูงว่าอีกไม่นานหิมะคงตก ผมไม่ได้เกลียดหิมะ ออกจะชอบด้วยซ้ำ ผมชอบฤดูหนาว ชอบความเย็นที่ซึมลึกไปจนปวดกระดูก แต่นั่นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเรามีใครสักคนให้กอด ซึ่งสำหรับคืนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นจากเดิมที่ตั้งใจจะกลับห้องเลยจึงเปลี่ยนมาเป็นร้านเหล้าที่ยังเปิดอยู่พลางเมจเสจไปบอกรุ่นน้องที่พักอยู่หอเดียวกันว่าคืนนี้อาจกลับดึกพอเป็นมารยาท พักเดียวก็มีเท็กซ์สั้นๆตอบกลับมาว่า ‘ok’ 


    แสงภายในผับมืดสลัว เวลาค่อนข้างดึกแล้วทุกคนเลยมัวเมาไปกับเสียงเพลงเสียหมด บางคนคลอเคลียกันอยู่บนฟลอเต้นรำ บางคนยืนจูบหน้าห้องน้ำ ผมเคยชินกับภาพแบบนี้ กระทั่งใครบางคนซึ่งนั่งหน้าบูดอยู่ด้านริมสุดของบาร์เรียกสายตาของผมให้หยุดนิ่ง คล้ายจะคุ้น แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคม ใส่ตุ้มหูสีดำดูเกย์หน่อยๆ ดูเหมือนเป็นคนเอเชียมีเชื้อตะวันตกผสม หลายคนเดินเข้าไปคุยด้วยแต่หมอนั่นยังเงียบไม่ปริปากเหมือนมาดื่มย้อมใจมากกว่ามาเที่ยวสนุกสนาน แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกขึ้น พอหมดก็สั่งเพิ่มซ้ำๆเป็นเครื่องดื่มประเภทเดิมๆ

    เป็นเวลานานทีเดียวที่ผมยืนจ้องผู้ชายคนนั้นกับเบียร์หนึ่งขวด ผมได้เบอร์สาวมาสองสามคนโดยบังเอิญแต่ยังไม่เจอใครถูกใจเท่าเจ้าหมอนั่น กระทั่งเป้าสายตาลุกขึ้นยืน จ่ายเงินให้บริกรแล้วเดินออกจากร้านไปโดยไม่เก็บกระเป๋าสตางค์ ผมก็รีบเดินแทรกผู้คนไปหยิบของที่อีกฝ่ายลืมทิ้งไว้แล้ววิ่งตามออกมา คว้าแขนของคนเมาก่อนอีกฝ่ายจะล้มลง



    “อย่ายุ่ง....กับกู!”

    สำเนียงไทยชัดเป๊ะ ผมรีบปล่อยมือจากแขนขาวยกขึ้นทำท่าสมยอม พูดกับอีกฝ่ายนุ่มนวลเกรงจะมีเรื่องกันเสียก่อน



    “เฮ้ ใจเย็น คุณลืมกระเป๋าสตางค์เอาไว้ ผมแค่เอามาคืน”

    หมอนั่นปรือตาขึ้นมองเหมือนไม่แน่ใจ ผมถือวิสาสะเปิดดูข้างในเช็คบัตรประชาชนแล้วพูดกับอีกฝ่ายเสียงนิ่ง “ถ้าคุณชื่อภูมินทร์ล่ะก็ นี่ของคุณ”

    ชายหนุ่มพยักหน้า พอเอื้อมมือมารับของจากผมทั้งตัวก็โถมเข้าใส่ เกาะบ่าผมเป็นสรณะ หมอนี่ไม่ใช่คนตัวใหญ่ ไม่ใช่คนตัวเล็ก เทียบกับชนกันต์แล้วไม่น่าต่างกันมาก ซึ่งนั่นเป็นโชคดีของผมที่ทำให้ไม่ต้องล้มลงไปเมื่อถูกทิ้งน้ำหนักมาเต็มแรง



    “ไหวหรือเปล่า?”

    เจ้าของชื่อภูมินทร์ยังพยักหน้าแต่ยังทรงตัวด้วยตัวเองไม่ไหว ผมกระชับแขนรอบเอวแกร่ง พาเดินไปพิงกำแพงริมทางเดินแล้วจับหน้าอีกฝ่ายให้ตั้งตรง ดวงตาคม จมูกเป็นสันและปากเข้ารูปของหมอนี่ทำเอาผมเสียดายที่ต้องมาเจอตอนเมาหัวทิ่ม ผมตบแก้มนุ่มที่แดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลและอากาศเย็นจัดเบาๆ เจ้าของขนตายาวเป็นแพก็เปิดขึ้นอ้อยอิ่ง



    “พักอยู่ไหน?”

    ภูมินทร์ยื่นกระเป๋ากลับมาให้อีกรอบ ผมเปิดเห็นนามบัตรเล็กๆของโรงแรมที่อยู่ถัดออกไปอีกสองบล็อคกับกุญแจห้องด้านใน พยุงหิ้วปีกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ท่ามกลางความหนาวจนน้ำกำลังจะเป็นน้ำแข็งของอากาศ ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นของคนที่เอนตัวมาซบบนบ่า หุ่นกล้ามภายใต้สเวตเตอร์ชวนให้ผมจินตนาการไปไกล สเป็คของผมคือชอบคนสัดส่วนกำลังดี อะไรก็ได้ที่มองสบายตาและจับเหมาะมือ ผมไม่ใช่คนประเภทยึดติดกับเพศ อันที่จริงชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่เซ็กส์ครั้งแรกก็เกิดจากรุ่นน้องในโรงเรียนมัธยมชายล้วนของตัวเอง ถ้าตามนิยามคนอย่างผมคงถูกจัดอยู่ในประเภทเสือไบมากกว่าชายแท้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมนึกอยากให้ความช่วยเหลือเจ้าของร่างกายที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นลอนด้วยความเต็มใจ





    ประตูห้องสวีทของโรงแรมหรูในนิวคาสเซิลถูกปิดด้วยปลายเท้าหลังจากผมทุลักทุเลพาไอ้หล่อมาจนถึงห้อง ปรับฮีตเตอร์ให้อยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะแล้วถอดสเวตเตอร์ออก โยนทุ่มคนเมาลงบนเตียงคิงไซส์ พลางปลดเสื้อผ้าเทอะทะของอีกฝ่ายให้คลายตัวไปด้วย ภูมินทร์ไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้ผมรั้งทั้งเสื้อและกางเกงออกมากองบนพื้นว่าง่าย ผมมองภาพเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายด้วยสายตาโลมเลีย แน่นอน ผมไม่ใช่คนดีมาจากไหน มีตุ๊กตาหน้าตาน่าฟัดนอนหมดสภาพอยู่ใครจะยอมปล่อยไป ผมใช้เวลาไม่นานเพื่อปลดตะขอกางเกงลงก่อนคลานขึ้นเตียงตามไป คนเมาไม่ได้เมาไร้สติ แต่เมาหมดแรงขัดขืนและยับยั้งชั่งใจ พอถูกจูบที่กรอบปากกระจับได้รูปเท่านั้น หมอนั่นก็จูบกลับดุเดือดไม่แพ้กัน ปลายลิ้นต่างฝ่ายต่างฉกเข้าหากันอย่างช่ำชอง ผมขยี้ยอดอกสีสดด้วยปลายนิ้ว เรียกเสียงหอบหายใจของคนเบื้องล่างได้ชัดเจน เสียงฉีกถุงยางอนามัยดังอย่างเงียบเชียบเมื่อผมเลื่อนปลายลิ้นมาตามสันกรามและคางบุ๋ม มือข้างหนึ่งปรนเปรออีกฝ่ายอย่างรู้งาน ส่วนอีกข้างกำลังพยายามดึงถุงยางออกจากซองอย่างทุลักทุเล




    “....ทำไมไม่รักผม..”



    “ทำไมพี่นิค...ไม่รักผม....”








    ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ที่ห้องนอนของตัวเองด้วยอารมณ์หงุดหงิดตกค้างจากเมื่อคืน ยิ่งได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องคุยโทรศัพท์งุ้งงิ้งกับเด็กมันยิ่งหงุดหงิด สายตรงจากไทยโทรมาหาไอ้ปันบ่อย ผมไม่ค่อยเห็นมันเป็นคนโทรไปสักเท่าไหร่แต่ผมรู้ว่าวันไหนที่ฝั่งโน้นเงียบหายไปคุณชายพิกุลทองก็จะเอาแต่จ้องโทรศัพท์เป็นวันๆ ผมไม่เคยมีโมเม้นต์นี้ ก่อนมาอังกฤษช่วงนั้นไม่มีแฟน เพื่อนสนิทอย่างชนกันต์ก็ร้องไห้ราวญาติเสียแค่วันเดียว จากนั้นก็ติดเมียจนลืมเพื่อน นานๆโทรมาทีและคำถามแรกคือ “กูคงยังไม่ได้ยินข่าวว่ามึงโด้ปยาเกินขนาดตายไปแล้วจากรูมเมทมึงนะ?”

    ถึงจะสนุกและมีความสุขกับชีวิตอิสระที่นี่ แต่ผมก็ยอมรับว่าลึกๆบางทีก็เหงา
    เหงาเหมือนไอ้คนที่รำพันไม่ขาดปากเมื่อคืนจนผมฝ่อว่า ทำไมพี่นิคไม่รักผม นั่นแหละ


    นึกแล้วหงุดหงิดชะมัดยาก




    “เดี๋ยวกูจะไปเดินห้าง เอาอะไรไหมวะปัน?”

    คนถูกถามส่ายหัว ผมเดินเลยไปอาบน้ำล้างหน้า พอเรียบร้อยก็ใส่เสื้อคลุมตัวเดิมออกมาข้างนอก แม้จะอยู่มาจนเขาปีที่เจ็ดแต่ผมก็ไม่เคยชินกับอากาศที่นี่ มือสองข้างซุกไว้ใต้กระเป๋า ซึ่งคงดีถ้าเราได้จับใครไว้ นึกแล้วแอบอิจฉาไอ้กันต์นิดๆที่สุดท้ายมันก็ลงเอยกับพี่เอิร์ธได้ดี ดีจนน่าหมั่นไส้ ดีจนผมอยากแช่งให้แม่งเลิกกันแล้วโสดเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

    ผมเดินเตร่มาเรื่อยๆจนถึงห้างสรรพสินค้าที่ไม่ไกลจากที่พัก วันนี้เป็นวันหยุด คนเลยเยอะมากกว่าปกติ อีกทั้งใกล้ถึงวันคริสมาสต์อีฟเต็มแก่ร้านค้าจึงค่อนข้างครึกครื้น ผมมองคู่รักหลายคู่เดินกระหนุงกระหนิง บ้างเป็นคนเอเชียด้วยกัน คนยุโรปด้วยกัน หรือแม้กระทั่งเอเชียกับยุโรป ตอนมาที่นี่แรกๆผมเคยมีแฟนเป็นคนสิงคโปร์ คบได้พักเดียวก็เลิก ผมเป็นพวกคบใครไม่นาน ขี้รำคาญ ชอบความสัมพันธ์แบบเซ็กส์เฟรนด์หรือวันไนท์สแตนด์มากกว่า จนเวลาผ่านมาเรื่อยๆกลับเริ่มรู้สึกเหงา อันที่จริงผมรู้ว่าตัวเองรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อประมาณปีที่แล้วที่กลับไทยและไปเป็นศิราณีให้เพื่อนสนิทโง่บรมของตัวเองนั่นแหละ ล่าสุดที่แชทกับกันต์ผ่านเฟสบุคก็รู้ว่ากันต์กับพี่เอิร์ธย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว ไอ้กันต์ยังทำงานที่เดิม ส่วนพี่เอิร์ธก็ดูแลธุรกิจของที่บ้านเต็มตัว ยกรถหรูให้กันต์ใช้ ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้หรือพ่อตาลูกเขยก็ไม่มี อะไรจะน่ายินดีปรีดาขนาดนั้นกัน

    ผมจมจ่อมกับความคิดริษยาได้ไม่นานก็เผลอเดินชนไหล่กับใครเข้า หญิงสาวชาวเอเชียหน้าตาดีจัดร้อง “อุ้ย...ขอโทษค่ะ” ด้วยความเคยชิน ผมรู้ในนาทีนั้นว่าหล่อนเป็นคนไทย คิดแล้วประหลาดใจที่วันสองวันนี้เจอคนไทยในนิวคาสเซิลถี่เหลือเกิน



    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”


    “คนไทยเหรอคะ?”


    “ครับ”


    “กุลนึกว่าคนจีนเสียอีก ดีใจจัง คือกุลมีเรื่องจะรบกวนนิดหน่อยได้ไหมคะ นี่กุลมาถ่ายละครแต่เผอิญพลัดกับกอง เดินวนมาพักใหญ่แล้วรบกวนคุณช่วยไปส่งที่ตรงนี้ทีได้ไหมคะ?กุลไม่แน่ใจว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของแผนที่”

    หญิงสาวรีบกางแผ่นกระดาษที่ถูกเขียนลวกๆด้วยดินสอให้ผมดู ซึ่งเท่าที่เห็นก็ไม่ได้ไกลจากบริเวณที่เราอยู่สักเท่าไหร่ ผมพยักหน้ารับก่อนพาอีกฝ่ายเดินไปส่ง ท่าทางกองละครที่ว่าก็กำลังวุ่นเพราะนักแสดงหายตัวไปอยู่เพราะพอถึงที่นัดหมายสาวประเภทสองผมสีทองสว่างก็ปรี่เข้ามาหาคนข้างๆรวดเร็ว



    “น้องกุลหายไปไหนมา พวกพี่ๆตามหากันไม่เจอ โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง”


    “ขอโทษค่ะ พอดีกุลไปเข้าห้องน้ำมาไม่ได้บอก แล้วโทรศัพท์ก็แบตหมดด้วย ขอโทษนะคะที่ทำให้วุ่นวาย โชคดีที่ได้คุณคนนี้มาส่ง”

    หญิงสาวยิ้มหวานโปรยมาทางผม เจ้าของท่าทีร้อนรนเมื่อครู่ที่ดูเหมือนผู้จัดการส่วนตัวถึงกับเบิกตากว้าง กรีดกรายไหว้งามๆย่อตัวจนแทบชิดพื้นจนผมรับไหว้แทบไม่ทัน



    “คุณพัสกร อิศวพิทักษ์ใช่ไหมคะ เอ็มเคยเห็นคุณลงนิตยสารไฮโซบ่อยๆ ตายแล้ว ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ บังเอิญจังเลยค่ะ”

    ผมกระพริบตางงๆ เรื่องนิตยสารบ้าบออะไรนั่นไม่เห็นจะเคยรู้เรื่องมาก่อน แต่จะพูดถึงคงไม่ประหลาดนักหรอกเพราะญาติๆทางไทยคงปูทางให้ผมเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีคนจำได้เท่านั้น ดังนั้นทางที่ดีตอนนี้ควรจะรีบปลีกตัวออกก่อนถูกซักไซ้ให้มากความ ทว่าตอนที่ผมกำลังจะตัดบท ใบหน้าหล่อเหลาแต่บูดบึ้งของใครบางคนด้านหลังกลับทำให้อยู่คุยกับผู้จัดการส่วนตัวของคุณกุลอีกสักพัก คุณเอ็มลากผมเข้าไปแนะนำกับคนในกอง ผมไม่ได้สนใจจะจำชื่อใคร สายตาเอาแต่จับจดไปยังภูมินทร์ หรือคนที่พี่เอ็มเรียกว่า น้องมิน ไม่ขาดปาก ดูเหมือนหมอนั่นจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนทำผมอารมณ์เสียมากแค่ไหน



    “นี่จะไปกินข้าวกันอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่ผมจะกลับโรงแรมแล้ว”

    เจ้าของเป้าสายตาของผมเริ่มโวยวายหลังจากทีมงานยังจ้อไม่หยุด ผมจึงขออนุญาตปลีกตัวออกมาสักทีแม้ฝ่ายนั้นจะชวนไปหาอะไรกินกันต่อ ผมสบตากับเจ้าของดวงตาไร้แววอีกครั้งแล้วเดินจากมา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกัน แต่ทว่าความรู้สึกหน่วงในใจกลับค่อยๆเกิดขึ้นอย่างประหลาด

    เกือบจะมีเซ็กส์กันอยู่แล้ว จำอะไรไม่ได้เลยสักนิดหรือยังไง?....







    ร้านอาหารเล็กๆที่เดิมยังคงคึกคักเหมือนปกติ ผมหั่นผักมือเป็นระวิงใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กซับเหงื่อแม้อากาศจะเย็นจัด ตามองออเดอร์แล้วหันซ้ายขวาจัดการครัวร่วมกับเพื่อนชาวเกาหลีอีกคน และพนักงานเสิร์ฟที่เข้ามาหยิบอาหารไปเสิร์ฟจากเคาท์เตอร์ กระทั่งช่วงร้านใกล้ปิดคิวถึงได้จางลงพอที่จะปล่อยให้เชฟอีกคนของร้านจัดการได้คนเดียว ผมเดินปลีกตัวมาหลังร้าน อัดบุหรี่เข้าปอดสูบ พ่นควันฉุยใส่อากาศ

    สายตาที่มองผ่านเหมือนคนแปลกหน้ากำลังรบกวนผมแม้กระทั่งในเวลานี้...
    ..ไม่น่าช่วยไว้เลย..

    บ้าบอชะมัด....



    ผมโยนก้นบุหรี่ลงพื้น ดับไฟด้วยปลายเท้าพลางทิ้งสายตามองเหม่อไกลออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด หลังร้านของเราเป็นตรอกเล็กๆมืดๆ ปลายทางมีแสงสว่างจากโค้งถนนสอดกระทบเข้ามา บ่อยครั้งผู้คนที่เดินขวักไขว่จะดึงตัวกันเข้ามาในซอกนี้พลางทำอะไรๆตามใจตัวเอง และนั่นจึงไม่แปลก ที่วันนี้ผมเห็นเงาของใครกำลังนัวเนียฟัดเหวี่ยงกันข้างถังขยะ ผมไหวไหล่ กำลังจะเดินเข้าร้านแต่ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองคนคู่นั้น แสงไฟจากข้างนอกกระทบเสี้ยวหน้าของหนึ่งในสองชัดเจน และนั่นก็เพียงพอจะทำให้ผมหยุดความคิดที่จะปลีกตัวกลับไปทำงาน สะบัดผ้ากันเปื้อนทิ้งริมประตูหลังร้าน เดินเข้าหาคนคุ้นตาทั้งที่ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร



    “ภูมินทร์!”

    เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกเสียงแข็งผงะ เด็กฝรั่งในอ้อมแขนเองก็สะดุ้งเมื่อคู่ขาถูกกระชากแขนเหวี่ยงไปชนกับกำแพงอีกฟากก่อนวิ่งหายไปตามถนน ผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด คนตรงหน้าเมาไม่ได้สติเป็นวันที่สองแล้ว



    “อย่ามายุ่งน่า!”



    “นายเมามากแล้ว”


    “ไม่ใช่ธุระของมึง!”

    นักแสดงหนุ่มผลักผมชิดกำแพง ตาคู่สวยแดงก่ำ ผมไม่คิดจะสู้ ปล่อยให้หมอนั่นออกแรงกดลงมาที่อกมากขึ้นเรื่อยๆ พักเดียวภูมินทร์ก็ผละถอย เดินโซซัดโซเซออกจากตรอกแคบๆไป ผมเดินตามมาห่างๆกระทั่งถึงตีนสะพานมิลเลเนียม ภูมินทร์ก็ทรุดตัวลงนั่งบนฟุตบาทบริเวณนั้น



    “มึงตามกูมาทำไม?”


    “บุหรี่หน่อยไหม?”

    ผมตอบอีกฝ่ายด้วยคำถาม ส่งบุหรี่ให้อีกฝ่ายพลางนั่งลงใกล้ๆกัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลารับมวนบุหรี่ผมไว้ด้วยปลายนิ้ว อัดเข้าปอดแล้วพ่นออกมาเป็นควันขาว



    “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจขนาดต้องมาดื่มเหล้าเละเทะที่ต่างประเทศเลยหรือ?”


    “กูมาทำงาน”


    “ถ้ามาทำงานก็ไม่น่าปล่อยตัวแบบนี้นี่ เมาติดๆกันเดี๋ยวก็ตื่นไปทำงานไม่ไหว แล้วเด็กนั่นอีก จะพาไปนอนด้วยไม่ใช่หรือไง เป็นดาราเดี๋ยวเรื่องราวก็ใหญ่โต”


    “นี่มึงเป็นพ่อกูเหรอ?”

    คนถามมองด้วยหางตา ผมเผลอหัวเราะกับท่าทางเด็กๆนั่นกลับทำให้อีกฝ่ายกระฟัดกระเฟียด



    “หัวเราะเชี่ยอะไร”


    “มีอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”


    “ทำไมกูต้องเล่า?”


    “ที่เป็นอยู่มันร้ายแรงมากไม่ใช่เหรอ? หรือปกติก็ขี้เหล้าแบบนี้?”


    “เปล่า....” ภูมินทร์ตอบเสียงอ่อย ผมเห็นคอนวีเนียนใกล้ๆเลยสั่งอีกฝ่ายให้นั่งรอแล้ววิ่งออกไป พักเดียวก็ได้อุปกรณ์ง้างปากอีกฝ่ายมาสามกระป๋อง




    “ไอ้ตี๋ มึงเคยมีแฟนไหมวะ?”

    ภูมินทร์ถามหลังจากดูดบุหรี่มวนที่สองสลับกับยกเบียร์ฟรีขึ้นดื่ม ผมพยักหน้า อันที่จริงมีหลายคนเลยแหละ แต่ไม่เคยอกหักสักครั้ง


    “จริงๆกูกับพี่นิคก็เลิกกันไปหลายปีแล้ว ไม่สิ บางทีเราอาจไม่เคยเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ มีแค่กูที่รักเขาข้างเดียว..”


    “...พยายามถึงที่สุดแล้วใช่ไหม?”


    “อืม ทุกอย่าง ทุกทาง... ผลที่ได้คือสายตรงจากไทยโทรมาบอกกูว่า พี่มีแฟนใหม่แล้วนะ เมื่อวาน”

    สายตาของภูมินทร์เหม่อลอยไม่มีจุดสิ้นสุด ผมรู้สึกถึงความเศร้า ผิดหวังและท้อแท้ “ไม่ว่าเมื่อไหร่ กูก็ไม่เคยเป็นคนที่เขารัก...”


    “ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะสมหวังในความรัก”


    “โคตรเจ็บ”


    “ไม่ทำให้ใครตายหรอกน่า เรื่องแค่นี้ ลุกเดินต่อไปได้แล้ว ยิ่งนายจมอยู่กับมันก็จะเจ็บซ้ำๆซากๆ”


    “มึงก็พูดได้... มึงไม่ใช่กู...”


    “แหงล่ะ เพราะถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะไม่ทำร้ายตัวเองซ้ำๆด้วยมีดเล่มที่คนอื่นแทงมาแล้วรอบนึงหรอก”

    ภูมินทร์ไม่เถียง อัดควันบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งแล้วพ่นออกมายาว “กูร้องไห้ ร้องจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหยุดได้... กูต้องทำยังไงวะตี๋ ต้องทำยังไงถึงจะลืมเรื่องเชี่ยนี่ไปได้สักที”

    เจ้าของไหล่กว้างใส่อารมณ์ในน้ำเสียง ผมเห็นตัวมันสั่น ไม่เคยปลอบใครในลักษณะนี้ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบหลังจากจิบเบียร์ในกระป๋องไปสองอึก



    “ลองกอดใครสักคนร้องดูไหมล่ะ...”












    เสียงน้ำจากอ่างล้างจานดังซู่ๆกระทบฝ่ามือ ผมใช้เวลาพักใหญ่ในการจัดการจานชามในห้อง หอพักที่ผมแชร์กับรุ่นน้องคนไทยเหมือนคอนโดทั่วไป แยกห้องนอนแต่ใช้ห้องนั่งเล่นและห้องครัวรวม พื้นที่ภายในไม่ใหญ่ แต่ค่าเช่าต่อเดือนตกเป็นแสน

    หลังจากที่ยื่นข้อเสนอนั้น ภูมินทร์ก็โถมตัวเข้ากอดผมแล้วร้องไห้ตัวโยน ผมกระชับอ้อมแขนเข้ากอดแน่นลูบหลังให้มันร้องจนกว่าจะพอใจ ผมไม่ห้าม ไม่บอกให้พอ กระทั่งสาสมแก่ความต้องการแล้วชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายผละถอยออกไป ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเบียร์ เพราะอากาศหนาว หรืออะไรที่ทำให้ไอ้เสือกลายเป็นลูกเป็ดขอตามผมกลับมาที่พักแบบนี้ หมอนั่นโยเยบอกว่าคิวถ่ายละครในส่วนของตัวเองหมดแล้ว พรุ่งนี้ยังฟรีได้อีกวัน อยากมานอนทำใจกับผมที่มันนับเป็นเพื่อนทันทีตั้งแต่เอาขี้มูกป้ายสเวตเตอร์ตัวเก่ง น่าแปลกที่ผมกลับยินดีพามันเข้าที่พักด้วย แถมท้ายยังหาของกินให้มันรองท้องหลังจากซัดเบียร์ไปจนอืดอีกสี่กระป๋องต่อจากนั้น



    “น้ำแม่งไม่อุ่น”

    เสียงโวยวายบ่นออกมาจากห้องน้ำ หน้าตาคนเมาดูสดชื่นขึ้นนิดหน่อยแต่ยังแดงช้ำตามลักษณะของคนขาว หน้าภูมินทร์ไม่มีสิวเลยสักเม็ด เนียนใสสุขภาพดี ผมสะบัดมือกับอ่างล้างจานแล้วดึงผ้าเช็ดตัวที่พาดบนบ่ากว้างอีกฝ่ายมาโปะซ้ำบนหัวก่อนพาไปหยิบไดร์เป่าผม



    “เช็ดหัวให้แห้ง เดี๋ยวไม่สบาย อากาศยิ่งเย็นๆอยู่”


    “เออ รู้แล้วน่า แล้วนี่มึงอยู่คนเดียวเหรอ”


    “เปล่า อยู่กับรุ่นน้อง เบาๆเสียงหน่อยแล้วกัน รบกวนคนอื่น”


    “ไม่มีเมียเหรอวะ หน้าตาก็ออกจะดูดี”

    ผมหัวเราะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน “หรือว่าเป็นเกย์วะ? ไม่นะ เรด้ากูไม่น่าผิด...มึงก็ดูไม่เกย์สักหน่อย”


    “ไบ”


    “เฮ้ยจริงดิ??” เจ้าของใบหน้าคมเบิกตากว้าง ผมยิ้มเลื่อนมือไปกดเปิดทีวีแต่หรี่เสียงลง


    “เคยถูกทำไหมวะ?”


    “ไม่เคย”


    “รุกตลอดเลยว่างั้น?”

    ผมไม่ตอบ ถือว่าคำตอบแรกชัดเจนอยู่แล้วเลยแสร้งเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยจนถูกอาคันตุกะแย่งรีโมท “ลองมีเซ็กส์กันไหม?”


    “อยากทำหรือไง?”


    “ภายใต้เงื่อนไขมึงต้องให้กูขย่ม”


    “on top ไหมล่ะ?”


    “พ่อมึงสิ!”

    คนชวนสบถเสียงลั่น ผมเพิ่งรู้ตอนนั้นว่ามันเป็นสปีชีส์เดียวกัน ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด “อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันเป็นรับ?”


    “ก็เออน่ะสิ ขาวๆตี๋ๆ... พูดจาสุภาพ ใจเย็น มีเหตุผล เอาจริงนะ มึงก็แอบเป็นสเป็คกูนะ ไม่ลองหน่อยเหรอวะ?”


    “ที่จริงฉันก็ไม่ใช่คนสุภาพหรอกนะ แต่กระดากที่จะพูดกูมึงใส่คนเพิ่งรู้จักว่ะ แล้วไอ้สเปคที่นายอยากได้น่ะ มันไม่ใช่นิสัยของคนที่เป็นรุกหรอกเหรอ?”

    ผมไหวไหล่ตอบ ภูมินทร์หน้าขึ้นสีเล็กน้อย “มันไม่เกี่ยวกันโว้ย อย่างพี่นิคไง สุภาพ ใจเย็น ใจดี มีเหตุผล”


    “แต่เขาก็ไม่ได้รักนาย”


    “ไอ้เชี่ยนี่!”

    ผมเผลอหัวเราะในความเกรี้ยวกราดของภูมินทร์อีกครั้ง ผ้าเช็ดตัวถูกฟาดลงบนแขนเหมือนต้องการผมให้เจ็บแต่กลับถูกยื้อเอาไว้ ภูมินทร์ทำท่าฟึดฟัดพยายามดึงผ้ากลับ สุดท้ายผมเลยยอมปล่อยผ้า เป็นเหตุให้อีกฝ่ายหงายตึงตกโซฟาเสียงดังจนรูมเมทเปิดห้องออกมาดู



    “เพื่อนกูน่ะ”

    ไอ้ปันพยักหน้าหลังจากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วกลับเข้าห้องตัวเองไป ผมขำคิกพลางยื่นมือไปจับคนล้มคะมำบนพื้นให้ลุกขึ้น ดาราหนุ่มค้อนควับปัดมือทิ้งไม่ใยดี ยันตัวเองลุกหนีเข้าห้องนอนของผมโดยไม่ขออนุญาต ผมปล่อยให้มินงอนตุ๊บป่องตามประสาเกย์รุกพักเดียวก็ปิดไฟปิดทีวีตามเข้าไป เห็นเพื่อนใหม่นอนหลับสนิทห่มผ่าจนถึงครึ่งหูแล้วก็คลี่ยิ้มอ่อน

    ผมไม่เคยรู้ว่าการรักใครสักคนจนเสียความเป็นตัวเองในช่วงจังหวะที่ความเศร้าใจเข้าจู่โจมทำร้ายมันเป็นอย่างไร เคยเห็นไอ้กันต์ประสบปัญหานี้อยู่ช่วงหนึ่งจริงๆก็คิดว่ามันบ้า แต่ลึกๆผมก็ค่อนข้างชื่นชมคนประเภทนี้นิดๆ

    คนที่คิดว่า แม้รักจะทำให้เจ็บปวด แต่ยังคงดงามในใจ ยินดีไขว่คว้าให้มันกลับมาทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆอยู่ดี


    ผมแทรกตัวผ่านผ้าห่มผืนหนา จัดท่าให้ภูมินทร์นอนถนัดๆ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเปลือกตาบวมตุ่ยตลอดจนปลายจมูกแดงระเรื่อ และสิ่งที่เกิดต่อจากนั้นเป็นเรื่องที่ผมยังประหลาดใจกับพฤติกรรมของตัวเอง


    ผมแอบจูบเบาๆที่ริมฝีปากนั่นแผ่วเบาราวกับเป็นจุมพิตจากปีกผีเสื้อ..







    เป็นเช้าแรกของวันเสาร์ที่ผมตื่นไวในรอบหลายปี อุณหภูมิภายนอกลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้ผมไม่ได้ใส่ชุดเก่งของตัวเองเพราะยกให้บางคนสวมไปเสียก่อน วันนี้ไอ้ปันไม่อยู่ห้อง คงออกไปซื้อของฝากเตรียมตัวกลับไทยตามที่เปรยๆไว้เมื่อหลายวันก่อน เลยกลายเป็นแค่ผมกับภูมินทร์ที่นั่งกินซีเรียลกันในห้องเงียบๆก่อน the castle keep จากรายการทีวีจะขโมยความเรียบง่ายในวันเสาร์ของผมไป



    “เฮ้ย กูยังไม่เคยไปปราสาทนี่เลย”

    ภูมินทร์พูด นั่งขัดสมาธิหน้าจอโทรทัศน์ มันหอบผ้าห่มจากในห้องมากอดด้วย ผมชะเง้อคอจากครัวหลังจากเอาจานมาวางที่ซิงค์รีบส่ายหน้า



    “ไม่มีอะไรหรอก ปราสาทเก่าๆ ข้างบนเป็นจุดชมวิว”


    “พากูไปหน่อย”


    “วันเสาร์คนเยอะจะตาย ไม่ไปได้ไหม?”


    “ไอ้ตี๋ คืนนี้กูก็กลับไทยแล้วนะ ช่วงนี้งานยิ่งชุกๆอยู่กว่าจะได้มาอีกก็ไม่รู้เมื่อไหร่ พาไปหน่อยดิ”

    ดาราหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นกัดมองอ้อน ผมทำเป็นมองมันด้วยหางตา ตอบเสียงนิ่ง “ชื่อฉันนายยังไม่รู้จัก...” แม่งเรียกกูไอ้ตี๋อยู่ได้



    “ใหญ่... พากูไปนะ”


    “จะขอร้องพูดให้มันเพราะๆหน่อยสิ”


    “ไอ้เชี่ยนี่เรื่องมากว่ะ กูไปเองก็ได้”


    เป็นคนที่ไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ผมรีบคว้ามือมันไว้ไม่ทันแล้วส่ายหัวหน่าย “เออๆ ไปก็ไป...”







    ข้อมูลใหม่ของผมคือภูมินทร์เคยมาอังกฤษหลายครั้ง แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่มันได้ออกจากลอนดอน ในวันที่อากาศเย็นจัดแบบนี้ผมขี้เกียจจะพามันนั่งรถไฟไปเมืองอื่น อีกอย่างคือมันควรกลับไปเตรียมของก่อนหัวค่ำ เที่ยวบินกลับกรุงเทพของกองถ่ายเป็นรอบห้าทุ่ม สุดท้ายเลยได้แต่พาเตร่ในเมือง เยี่ยมชมโบสถ์ พิพิธภัณฑ์Baltic กับซื้อของที่ระลึกจากสโมสรนิวคาสเซิ่ล ตกบ่ายแก่ๆใกล้เย็นถึงค่อยพามันไปชมวิวที่ the castle keep ซึ่งอยู่ได้ไม่นานนักก็ลงมา ไอ้มินดูไม่ได้ชอบปฏิมากรรมอะไรที่ผมพาไปเท่าไหร่ แต่เพราะความแปลกใหม่เลยกลายเป็นตื่นตาตื่นใจไปหมด
    เราเดินกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรมากนัก คนต่างถิ่นมัวแต่หูตาแพรวพราว ส่วนผม ก็เอาแต่จ้องเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของใครบางคนไม่เลิกราวต้องมนต์

    ภูมินทร์มีเขี้ยวเล็กๆเวลาที่ยิ้มจะเห็นได้ชัด บางทีผมก็มองและเผลอคิดว่าอยากถูกเจ้าของเขี้ยวนั่นกัดลงบนบ่าเปลือยๆสักทีคงจั๊กจี้ไม่เบา 



    “หิว”


    เสียงทุ้มต่ำของคนที่เดินชิดดังขึ้นแทรกภาพในมโนที่เผลอเห็นเรากอดกัน มีภูมินทร์นั่งบนตักและงับไปตามซอกคอให้สะบัดหัวไล่ภาพฟุ้งซ่านออกไป ไม่ไกลจากที่อยู่มีร้านไก่ย่างแม็กซิกันเลื่องชื่อรสจัดจ้านตั้งอยู่ ผมเลยพานักแสดงหนุ่มไปดินเนอร์ที่นั่น สบโอกาสได้เห็นคนกินหูตาแดงก่ำแต่ซัดไปจนหมดก็ขำน้ำหูน้ำตาไหล แล้วค่อยพามันเดินกลับโรงแรม 

    บ่อยครั้งเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนยิ้ม ยิ้มให้กับผู้คน ยิ้มให้กับแสงสี ผมรู้สึกถึงความสุขที่แผ่ออกมาจากเจ้าของตาคม และนั่นทำให้ในอกผมอุ่นแม้อากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะ 


    ริมทางเดินเท้าในเมืองใหญ่ ผู้คนเดินเบียดเสียดกันมากขึ้น ภูมินทร์เบี่ยงตัวเข้าชิดผม มือที่กวัดแกว่งปัดโดนกันหลายครั้งโดยไม่ตั้งใจ สุดท้ายผมก็เลยตัดรำคาญด้วยการจับไว้แล้วยัดเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวสีเข้ม ประสานเข้าหากันอย่างเงียบเชียบไร้ซึ่งคำขอความสมัครใจจากอีกฝ่าย ทว่าเจ้าของผิวขาวกลับเพียงตวัดตามองผมวูบหนึ่งก่อนแสร้งเบือนมองไปเบื้องหน้าทว่าไม่มีวี่แววขัดขืนหรือดึงออก เราจึงจับมือกันเดินมาจนถึงหน้าโรงแรมซึ่งเป็นที่พักของเจ้าตัว แม้ไม่อยากปล่อย แต่สุดท้ายผมก็ต้องคลายแรงออกจากฝ่ามืออุ่นนุ่มนั่นอยู่ดี



    “....วันนี้ สนุกไหม?”


    ผมถามพลางทอดสายตามองอีกฝ่ายต่ำ คำถามที่เอ่ยออกจะดูปกติธรรมดาแต่ในใจผมกลับเต้นเสียงดังจนน่ารำคาญเมื่อรอฟังคำตอบ 



    “อืม”


    “ฉันดีใจที่นายมีความสุข”

    ภูมินทร์ไม่สบตาผม เอาแต่มองมือที่เพิ่งดึงออกจากกระเป๋าเสื้อโคท “...เห็นไหม ไม่ต้องมีพี่นิคอะไรของนาย ก็มีความสุขได้”

    คู่สนทนาไม่ตอบ ผมใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มใสเบาๆแม้ระแวงว่าอาจถูกอีกฝ่ายพุ่งหมัดใส่ กล่าวกับอีกฝ่ายน้ำเสียงอ่อนโยน



    “....อย่าร้องไห้อีกนะ เดินต่อไปได้แล้ว”

    คำพูดราวอวยพรภูมินทร์ให้เจอคนอื่นกำลังทำให้ผมรู้สึกเสียดๆในใจ ไม่รู้ว่ามันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ เกิดขึ้นได้อย่างไร เราเพิ่งเจอกัน เพิ่งรู้จักกัน มันแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ในใจคืออันที่จริง ผมอยากดูแลคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ ไม่อยากปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่น ไม่อยากให้ใครได้กอดมันร้องไห้ ไม่อยากยอมรับว่าจากวันนี้อาจมีใครสักคนที่ดึงมือมันเข้ากระเป๋าเสื้อโคทที่ไม่ใช่ผม


    มันคือความรู้สึกอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ใจผมเว้าแหว่งพิกลพิการลงไป



    “อืม....ขอบใจ....กู...ไปนะ”

    ภูมินทร์พูดตะกุกตะกัก ผมพยักหน้า ใจจริงอยากให้มันเงยหน้าขึ้นมองผมอีกครั้ง มองหน้ากันชัดๆอีกทีเพราะกังวลว่าถ้าเราบังเอิญได้เจอกันอีกมันจะจำผมไม่ได้ ทว่าอีกใจ กลับบอกตัวเองว่าดีแล้ว ก่อนผมจะเหนี่ยวรั้งมันไว้ ขอเบอร์โทร วิธีติดต่อเพื่อจะสานสัมพันธ์กันมากกว่านี้เมื่อเรากลับไทย เพราะมันควรจะรีบๆจากไป และเราควรทำแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง 



    แผ่นหลังที่สวมเสื้อตัวเก่งของผมค่อยๆเดินขยับห่างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ไม่ได้รั้งมันไว้ ไม่ได้คิดสานสัมพันธ์ เอาแต่มอง และมอง 
    อุณหภูมิรอบกายมันเย็นลงเรื่อยๆจนน่าใจหาย มือที่เคยได้จับกันไว้เย็นเยียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน





    ทว่าสุดท้ายภูมินทร์กลับเป็นฝ่ายหยุดเดิน แล้ววิ่งเข้าหาผมพลางกระชากคอลงต่ำ





    ผมยืนค้างอยู่ในท่านั้นแม้เจ้าของรสจูบฉาบฉวยจะหายไปหลังบานประตูโรงแรมแล้ว เผลอยกนิ้วเย็นๆขึ้นแตะปากที่ถูกชนรุนแรงจนเลือดซิบเบาๆ




    หิมะแรกของฤดูหนาวปีที่ 25 ตกแล้ว มันโปรยลงมากระทบผิวเพียงผะแผ่ว 


    แต่ในใจ ผมกลับรู้สึกว่าหิมะแรกของปีนี้ 


    ...มันช่างอุ่นเหลือเกิน...





    -west-
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×