ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #31 : Special  Only you

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.74K
      46
      28 ก.พ. 59


    Only You




    “เข้ามาแล้วซ้ายเลยพี่ ผมรออยู่หน้าร้าน รถสีขาวใช่ไหม ผมเห็นแล้วๆ เฮ้ เฮ้!! ”

    เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มตัวแกร็นส่งมาตามสายโดยที่ตัวโบกมือไหวๆอยู่หน้าร้านเบเกอรี่ซึ่งเป็นจุดนัดพบ เน็ตสวมเสื้อยืดลายปัญญาอ่อนกับกางเกงห้าส่วนยืนอยู่คนเดียวทั้งที่ปกติร้านขนมซึ่งถูกตบแต่งด้วยสถาปัตยกรรมหรูหราเกินจำเป็นแห่งนี้มักจะมีผู้คนต่อคิวยาวเหยียดเสมอๆ แคมรี่สีขาวออร์คิดที่ผมโดยสารมาวนหาที่จอดรถได้ไม่ไกลจากที่เน็ตยืนนัก อาจเพราะวันนี้ร้านปิดเลยมีที่ทางให้เลือกสรรเหลือแหล่


    “โทษที รอนานหรือยัง?”

    ผมถามทันทีที่เดินมาถึงหน้าร้าน เพราะรู้ว่าตัวเองสายเกือบครึ่งชั่วโมง แต่คนรอกลับยิ้มแฉ่งไม่มีร่องรอยของความหงุดหงิดเจืออยู่ในสีหน้า


    “ไม่เป็นไรพี่ ผมอยู่กับเฮียเพลินๆเหมือนกัน นี่เพิ่งโดนไล่ออกมาเพราะไปกวนสมาธิพี่มินน่ะ” เด็กหนุ่มพาดพิงถึงคนในร้านกระจกที่แขวนป้ายว่า Close เพราะถูกเหมาโดยกองถ่ายไอ้มินซึ่งยกพวกมาถ่ายทำกันตลอดวัน หนึ่งในนั้นรวมถึงแฟนไอ้เน็ตด้วยและนั่นเป็นเหตุผลที่มันนัดผมมาเจอที่ร้านนี้ในวันหยุด 


    “แล้วนั่นแฟนเหรอ?”

    เด็กหนุ่มพยักเพยิดไปด้านหลัง ผมไม่ตอบแต่ยิ้ม ไอ้เน็ตเลยหลิ่วตาล้อเป็นเด็กๆก่อนยกมือไว้ผู้ชายที่เดินตามผมมาข้างหลัง พี่เอิร์ธส่งกระเป๋าโนตบุคที่ช่วยถือมาส่งแล้วยิ้มตอบเน็ตตาปิด 


     “ฝากกันต์ไว้ด้วยนะ เดี๋ยวพี่ไปธุระแถวนี้ สักสามชั่วโมงจะมารับ”

    “ครับผม”

    เด็กตัวซีดกระตือรือล้นรับคำ โบกมือลาหมอยาหยอยๆจนผมต้องเร่งรุนหลังมันเข้าร้านเป็นการตัดบท ภายในร้านเบเกอรี่วุ่นวายด้วยทีมงานและนักแสดง ไอ้มินหลับตาให้ช่างโปะแป้งอยู่รวมกับนักแสดงคนอื่น ส่วนเฮียของเน็ตนั่งคุยกับผู้กำกับอีกมุม พอเห็นผมกับเจ้าตัวดีกลับเข้ามาในร้านก็พยักเพยิดหน้าให้เข้าไปนั่งในโซนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำ ผมเปิดคอมพิวเตอร์โนตบุคขึ้นมาเมื่อได้ทำเลเหมาะเจาะ แต่ระหว่างรอเครื่องบูธเสียงกระดิ่งจากประตูร้านก็เรียกความสนใจให้มองไปยังต้นตอ

    เจมส์สบตากับผมโดยบังเอิญเมื่อดันประตูเข้ามาในร้าน คิดว่าคงเพิ่งเรียนเสร็จเพราะมาทำงานทั้งที่ยังใส่ชุดนักศึกษา ผมหลบสายตากลมคู่นั้นโดยอัตโนมัติ จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังไม่สามารถใช้งานได้ไปพลางๆ หากแต่เงาที่ทอดลงมากลับเรียกความสนใจของผมให้เงยหน้าขึ้นอีกรอบ


    “พี่กันต์หวัดดี”

    เป็นเรื่องประหลาดใจที่เจมส์เดินมาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะตัวที่ผมนั่งแทนที่จะไปเตรียมตัวเข้าบท มิหนำซ้ำยังเลื่อนเก้าอี้มาข้างๆทำทีว่าจะอยู่คุยด้วยนาน ผมยิ้มให้แฟนเก่าไอ้มินเจื่อนๆ ตั้งแต่มีเรื่องกันปีมะโว้ก็ไม่เคยคุยกันอีกเลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอยากมีมนุษยสัมพันธ์กับไอ้เด็กหน้าใสคนนี้นัก 


    “ใครมาส่งเหรอ?”

    “ใครมาส่งมันก็เรื่องของพี่กันต์นี่”

    ไอ้เน็ตแหวขึ้น กอดอกมองอีกฝ่ายด้วยหางตาท่าทางหาเรื่อง เจมส์ปรายตามองไอ้ตัวซีดแล้วไม่สนใจหันมาชวนผมคุยต่อ


    “เมื่อกี้ตอนเข้ามา ผมโดนรถคันนั้นเฉี่ยวน่ะ แคมรี่สีขาว”

    “อ้าวเหรอ? แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

     “ยอกตรงสะโพกนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก คนขับบอกว่ามาส่งพี่กันต์ นี่ผมได้เบอร์มา ไม่รู้ว่าใช่จริงหรือเปล่า พี่กันต์เช็คกับผมหน่อยสิ”

    ไอโฟนสีขาวถูกวางลงบนโต๊ะก่อนเจ้าของจะเสือกเครื่องมาให้ ผมเห็นตัวเลขสิบหลักปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเบอร์ของพี่เอิร์ธจริงแต่กลับรู้สึกไม่ดีเลยสักนิดที่จะต้องยอมรับกับเจมส์ เลยได้แต่ถามเด็กหนุ่มยิ้มๆ 


    “พี่เขาให้เบอร์ไว้ทำไมน่ะ”

    “ก็เผื่อผมเรียกร้องค่าเสียหายล่ะมั้ง”

    “อย่างนั้นเอาเบอร์พี่ไว้ก็ได้ยังไงเจมส์ก็คุ้นกับพี่มากกว่า”

    “นี่ไง มีเบอร์ไว้ผมจะได้เอาไว้ทำความคุ้นเคยกับพี่เอิร์ธบ้าง”

    ผมรู้สึกถึงรสเฝื่อนของน้ำลายตัวเองทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบลง แต่ยังปั้นหน้ายิ้มที่มุมปาก “สนใจพี่เขาเหรอ?”

    “ก็หล่อดี... ขับแคมรี่ด้วย”

    “พี่เอิร์ธมีแฟนแล้ว” แม้พยายามเลี่ยงอย่างสุภาพ แต่ในใจกลับกรุ่นไปด้วยโทสะ คอมพิวเตอร์บูธเสร็จพอดีเลยทำทีเป็นสนใจงานตรงหน้าเพื่อตัดบทไว้แค่นั้น แต่เจมส์ไม่หยุด เด็กหนุ่มท้าวคางกับโต๊ะมองเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งได้มายิ้มๆ


    “ผมไม่ได้ชอบแฟนพี่เขาเสียหน่อย เรื่องนั้นไม่เห็นจำเป็นต้องรู้เลย”

    “โห แม่งโคตรด้าน”

    คนที่โต้ตอบทันทีไม่ใช่ผมแต่กลับเป็นคนข้างๆที่ฟังอยู่ด้วยตลอด เน็ตเบะปากแดงๆของมันลอยหน้าลอยตาทำท่ากวนประสาท เจมส์เลยค้อนตาขวับถาม


     “พี่เน็ตว่าใคร”

    “รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างที่ว่าก็รับไปสิ”

    “พี่เน็ตไม่เกี่ยวอะไรก็เงียบไปเถอะ อย่ามาสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นเลย”

    “อ้าวเฮ้ย”

    เสียงลากเก้าอี้ขูดครืดกับพื้นหินแกรนิตดังในเวลาไล่เลี่ยกับเน็ตเอ่ยเสียงขรม คนตัวขาวลุกขึ้นกระชากคอเสื้อนักศึกษาของเจมส์ให้ลุกตาม เด็กหนุ่มปัดมือซีดออกพลางผลักอกอีกฝ่ายออกจนเซเพราะขนาดตัวที่ไล่เลี่ยกัน ผมรีบลุกมาห้ามมวย แยกสองฝ่ายออกจากกันแทบไม่ทัน


    “อย่ามีเรื่องกันน่า”

    “พี่กันต์ก็บอกไปสิว่าพี่เอิร์ธน่ะแฟนพี่ แมวมันจะได้เลิกจ้องจะขโมยปลาย่างเสียที” 

    “อ้อ ที่แท้ก็แฟนพี่กันต์นี่เองถึงได้กั๊กซะเต็มที่ เอางี้ดีไหม ในฐานะที่พี่เคยแย่งแฟนผมไป ครั้งนี้ผมขอคืนบ้างจะได้เจ๊าๆกัน”

    “แม่งเวรตะไลอย่างนี้ไง ขอทีเหอะ...”


    ผลัวะ

    เน็ตกระโจนหาอีกฝ่ายไวมาก รู้ตัวอีกทีเสียงเก้าอี้ก็ล้มระเนระนาด  คนลงมือตามลงไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาแล้วดันติดกระจก ง้างหมัดเตรียมใส่เด็กหนุ่มอีกรอบแต่เจมส์กลับสะบัดตัวเอื้อมมือมาจิกผมเน็ตให้หัวเงยหงายไปด้านหลัง ผมพยายามเข้าไปห้ามทัพ แต่กลับทำได้แค่เพียงหลบลูกหลงเท่านั้น พักใหญ่ทีมงานคนอื่นเริ่มได้ยินเสียงก็วิ่งมายังต้นทาง เน็ตกำลังอยู่ในจังหวะที่ได้เปรียบ ซัดหมัดซ้ายขวากับอีกฝ่ายพัลวันกระทั่งเฮียของมันมารวบเอวอุ้มให้ลอยหวือขึ้นทั้งตัว


    “ทะเลาะอะไรกัน!”

    “แม่งสันดาน วันๆเอาแต่จ้องจะแย่งแฟนคนอื่น” 

    “แล้วมันหนักหัวพี่เน็ตหรือไง? หรือกลัวผมจะไปแย่งแฟนพี่อีก”

    “เฮียไม่ใฝ่ต่ำไปเอาคนอย่างมึงหรอก”

    “อย่าเผลอแล้วกัน”

    “ไอ้เหี้ยนี่ ชอบรสตีนกูนักใช่ไหม?”

    ไอ้เน็ตโดดเหยงยกเท้าคู่ขึ้นหมายจะถีบอีกฝ่ายแม้ทั้งตัวจะถูกรัดด้วยท่อนแขนแกร่ง คนตัวขาวโวยวายไม่หยุดแม้เฮียของมันจะปรามหลายรอบ สุดท้ายก็เลยต้องพาอุ้มกันไปหลังร้าน มุมปากไอ้เน็ตแค่ช้ำเป็นรอยสีม่วง แต่อีกฝั่งนี่โดนหนัก สภาพเยินเอาการ


    “หมดกันๆ”

    ผู้กำกับขยี้ผมหัวเสีย มองหน้านักแสดงแล้วถอนหายใจหน่าย “แบบนี้ต้องรักษาตัวกี่วันเนี่ยเจมส์”

    “แล้วทำไมต้องมาว่าผมล่ะ คนเริ่มก่อนมันพี่เน็ตชัดๆ”

    “มันก็ไม่แปลกหรอกนะถ้าไอ้เน็ตมันจะโวยวายอย่างนั้น เอ็งน่ะมันก่อเรื่องเอาไว้น้อยเสียเมื่อไหร่ ไปๆ ไปล้างหน้าล้างตาทำแผลแล้วกลับไปพักก่อน คนอื่นก็กลับไปเตรียมตัว เดี๋ยวถ่ายฉากอื่นที่ไม่มีเจมส์ไปก่อนแล้วกัน”

    สิ้นคำสั่งทุกคนก็ทยอยกันเดินกลับไปที่เดิมทำราวกับเรื่องราวดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น ไอ้มินสบตาผมแล้วปรายมองไปทางเจมส์ แต่ถูกผู้กำกับตะโกนเร่งให้ไปเตรียมตัวเข้าฉากเลยไม่ได้มีโอกาสคุยอะไรกัน ผมถอนหายใจเดินไปยื่นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินที่พกติดตัวเป็นประจำให้เด็กหนุ่ม แต่เจมส์กลับเบือนหน้าหนี ไม่รับความช่วยเหลือ มือเล็กคว้ากระเป๋าหนังของตัวเองเดินออกนอกร้านไปทั้งที่รอยเลือดยังกรัง ผมได้แต่ส่ายหน้าแล้วยกเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดขึ้นมาตั้งให้เรียบร้อย สักพักเน็ตก็เดินหน้ายิ้มหน้าบานกลับมาที่โต๊ะ


    “ห้าวนะมึง ตัวแค่นี้”

    ผมบ่นไอ้ตัวดี เน็ตยิ้มรับคำก่อนลากเก้าอี้มานั่งข้างผม “ทำงานๆ”




    สามชั่วโมงเป๊ะที่ผมช่วยไอ้เน็ตดีไซน์งานหินของมันจนเสร็จซึ่งพอดีกันกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นและปลายสายไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของหัวข้อที่ทำให้ผู้ชายสองคนต่อยกันแบบงงๆโทรหาผมทันทีที่พับจอโนตบุคเก็บลงกระเป๋า ผมกดรับสายใช้คอซอกคอหนีบเครื่องมือสื่อสารไว้ขณะที่มือทั้งสองข้างเลื่อนรูดซิบ


    “เสร็จแล้วครับ พี่เอิร์ธอยู่ไหน?”

    “พี่จะบอกว่าเลทนิดหน่อยน่ะ ยังไม่เสร็จธุระเลย”

    ปลายสายว่าอย่างนั้น ผมเลยบอกพี่เอิร์ธว่าไม่ต้องรีบจะได้นั่งคุยเป็นเพื่อนเน็ตอีกสักพัก ไอ้เน็ตเล่าเรื่องที่มันเคยทะเลาะกับเฮียเพราะเจมส์ให้ผมฟัง สีหน้าท่าทางยังคับแค้นใจไม่หาย พอผมถามเรื่องที่เฮียของมันลากออกไปหลังจากมีเรื่องกับเจมส์แล้วทำไมกลับมาอารมณ์ดี ไอ้ตัวเล็กก็หน้าแดงหูแดงแต่ไม่ยอมบอกว่าไปทำอะไรมา

    เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็เห็นแคมรีสีขาวจอดเทียบอยู่หน้าร้าน พี่เอิร์ธยังไม่ทันโทรเรียกผมก็บอกลาเน็ตก่อนเดินออกมานอกร้าน พอได้นั่งข้างคนขับได้ที่พี่เอิร์ธก็ช่วยยกกระเป๋าโนตบุคไปวางไว้เบาะหลังแล้วหันมาจับคางผมให้หันซ้ายหันขวา


    “ไม่ได้ไปมีเรื่องกับเขามาใช่ไหม?”

     “หืม?”

    “เจมส์บอกที่ร้านมีเรื่องกัน”

    “ไปเจอเจมส์ที่ไหน?”

    ฉุนครับ คำเดียวเลย ผมสะบัดหน้าออกจากมือนิ่มๆของหมอยายกแขนขึ้นกอดอก พี่เอิร์ธเลิกคิ้วมองงงๆ “ตอนแรกพี่ขับรถเฉี่ยวเขาในซอยหลังจากส่งกันต์เสร็จน่ะ เห็นน้องรีบๆเลยแลกเบอร์ไว้เผื่อมีอะไร ออกไปได้สักพักน้องก็โทรมาให้พี่พาไปหาหมอบอกว่าที่ร้านมีเรื่อง วนรถไปๆมาๆเนี่ยกว่าจะไปทำธุระตัวเองเลยเลทกันต์เลย ทำไมเหรอ?”

    “ขอร้องล่ะ ทีหลังอย่าเจนเทิลแมนเกินเหตุได้ปะ มันใช่ธุระพี่เอิร์ธเหรอที่ต้องคอยประคบประหงมเด็กมันนะ”

    “เป็นอะไรเนี่ย อารมณ์เสียอะไรมา”

    มือใหญ่ยกขึ้นวางบนหัวผมก่อนรั้งให้เอาหน้าผากมาชน “เจมส์ก็เป็นน้องที่กันต์รู้จักไม่ใช่เหรอ?”

    “ไม่ใช่ในแง่ของมิตรสักเท่าไหร่หรอก กลับบ้านเถอะ กันต์อยากนอนแล้ว”

    ผมตัดบทแค่นั้น ไม่อยากหงุดหงิดใส่พี่เอิร์ธแต่ไม่ชอบใจจริงๆ เภสัชกรหนุ่มถอนหายใจยาว เอื้อมมือมาคาดเบลท์ให้ผมแล้วจูบหนักๆที่แก้ม ก่อนเคลื่อนรถออกจากหน้าร้านเบเกอรี่ไป




    ประมาณสามวันแล้วนับจากวันนั้นเรื่องของเจมส์ก็เงียบไป เน็ตโทรมาบอกผมว่างานที่มันเอาไปส่งหัวหน้าผ่านฉลุยแบบไม่ต้องแก้กันอีกรอบ การดำเนินชีวิตของผมเป็นปกติ เช้ากินกาแฟถุงละสิบสองหน้าสำนักงาน เที่ยงลงไปกินข้าวแคนทีนกับไอ้ขุนไอ้ต้น ส่วนตอนเย็นก็ขับแคมรี่หมอยากลับบ้านเจ้าของ ผมย้ายมาอยู่กับพีเอิร์ธได้เกือบเดือนแล้ว ทุกเย็นกินข้าวฝีมือแม่พี่เอิร์ธ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็พาพี่เอิร์ธกลับไปนอนที่บ้าน ใช้ชีวิตเป็นปกติเคยชิน วันไหนพี่เอิร์ธผมก็จะนั่งข้างๆแล้วจับมือไว้ วันไหนผมเหนื่อย พี่เอิร์ธจะดึงมือที่จับขึ้นไปจูบ ไม่ค่อยมีทะเลาะกันแรง หรือนานข้ามคืน อย่างเรื่องของเจมส์ที่ผมอยากให้จบวันนั้นก็จบ ผมไม่เคยเห็นว่าพี่เอิร์ธจะสนใจหรือถามถึงเด็กนั่นอีกจนผมเองก็ลืมๆไปแล้วเหมือนกัน

    เรื่องมันเกิดปะทุขึ้นมาอีกในกลางดึกคืนที่สาม ผมนอนโป๊กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนเตียง ส่วนพี่เอิร์ธลุกไปอาบน้ำชำระคราบไคลหลังจากใช้แรงในกิจกรรมเสร็จหมาดๆ เสียงโทรศัพท์ของหมอยาก็ดังขึ้น ปกติผมไม่เคยละลาบละล้วงค้นมือถือพี่เอิร์ธหรือถือวิสาสะใดๆในการรับสายแทนทั้งนั้น แต่เพราะเจ้าของเครื่องตะโกนมาจากในห้องน้ำให้ผมรับแทนเลยกวาดมือสะเปะสะปะกดรับทั้งที่ไม่ได้ดูชื่อ ปลายสายเป็นผู้ชาย พูดจาเสียงอ่อนเสียงหวาน


    “พี่เอิร์ธ นี่เจมส์นะครับ”

    อื้อหือ ตาสว่างทันที ธุระห่าเหวอะไรตอนห้าทุ่มวะครับ


    “พี่เอิร์ธ เจมส์เมาอยู่แถวอตก. พี่เอิร์ธออกมารับเจมส์หน่อยได้ไหมอะ แถวนี้เจมส์ไม่คุ้นเลย น่ากลัวมาก”

    “ถ้าไปเองได้พี่ว่าเจมส์น่าจะกลับเองได้นะ”

    “อ้าว พี่กันต์หรอกเหรอ? ขอโทษทีครับ แต่ผมขอคุยกับพี่เอิร์ธหน่อย”

    ช่วยสลดในน้ำเสียง หรือแสดงความผิดหวังหน่อยเฮ้ย ไม่ใช่ขอคุยกับแฟนคนอื่นหน้าตาเฉย ผมเริ่มเข้าใจไอ้เน็ตขึ้นมาแล้วครับว่าทำไมถึงแค้นฝังหุ่นน้องมันขนาดนี้


    “พี่เอิร์ธไม่ว่าง”

    “อะไรกันพี่กันต์ แฟร์ๆหน่อยสิ กลัวพี่เอิร์ธมาหาผมแล้วจะหาทางกลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าไม่เจอหรือไงถึงต้องหวงไว้ขนาดนั้น”

    ผมหัวเราะในลำคอ ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรกับคำเสียดสีของเด็กน้อย “ถ้าคนเรามันเด็ดจริงคงไม่ต้องมารอต่อคิวจากคนที่มีเจ้าของอยู่แล้วหรอกมั้ง กลับบ้านไปนอนเถอะ โทษที แต่คืนนี้พี่เอิร์ธคงไปหาเจมส์ไม่ได้”

    “ผมจะคุยกับพี่เอิร์ธ จะโทรจนกว่าพี่เอิร์ธจะเป็นคนรับสาย”

    แม่งโคตรปัญญาอ่อน ผมกดตัดสายแล้วปิดเสียงโยนโทรศัพท์ไปส่งๆ เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกพี่เอิร์ธเดินกลับมาในห้องโดยมีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียวขมวดปมไว้หมิ่นเหม่ ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเช็ดยีผมซอยสั้นที่เปียกน้ำไปมา


    “กันต์จะอาบน้ำหรือให้พี่เช็ดตัวให้?”

    “อาบดิ ขอผ้าเช็ดตัวนะ” พูดจบผมก็กระตุกผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่คลุมท่อนล่างของหมอยามาพาดบ่า พี่เอิร์ธหัวเราะไล่หลังทั้งที่ตัวเปลือยล่อนจ้อน ผมเดินผิวปากเข้าห้องน้ำไป ชำระล้างร่างกายพักใหญ่ๆ กลับออกมาอีกทีพี่เอิร์ธใส่กางเกงนอนผ้าแพรตัวเดียวไม่สวมเสื้อคุยโทรศัพท์กับใครสักคนที่ผมเดาได้ไม่ยาก


     “เจมส์เหรอ?”

    “อื้อ น้องบอกหลงทางอยู่แถวอตก.น่ะ”

    “แล้วจะออกไปรับ?”

    ผมปรายมองหมอยาด้วยหางตา พี่เอิร์ธเป็นเกย์แบบบอร์นทูบี คือไม่สามารถสนใจผู้หญิงได้จริงๆ เรื่องนี้ชัดเจนตั้งแต่เลิกกับแฟนคนแรก มาจนเพื่อนร่วมงานอย่างคุณหนิงทอดสะพานให้อย่างเปิดเผย แต่สำหรับผู้ชายแล้วถ้าเห็นตัวเล็กๆน่ารักก็เห็นเหลือบมองอยู่บ่อยๆแต่ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น ผมไม่รู้ว่าด้วยภาระงานตอนนี้ที่ส่วนใหญ่จะขลุกอยู่ที่โรงงาน ติดต่อดีลงานกับคนอื่นไม่มากนักเลยไม่มีโอกาสมีใคร หรือตั้งใจจะไม่มีจริงๆ ผมไม่พูดอะไร แต่ใช่ว่าไม่หึง ลึกๆอยากจะลองใจหมอยาดูเหมือนกันว่ามีเด็กหน้าตาดีจัดอย่างไอ้เจมส์มาวอแวแล้วจะวอกแวกหรือเปล่า 


    “พี่ไม่สะดวกจริงๆ...”

    ผมเดินผ่านหน้าพี่เอิร์ธไป สภาพตอนนี้เหมือนพี่เอิรํธตอนออกจากห้องน้ำใหม่ๆคือมีแค่ผ้าเช็ดตัวพันเอวปกปิดของสงวน ไปรื้อชุดนอนในตู้แต่หูเงี่ยฟังอีกฝ่ายพูดเรื่อยๆ

    พี่ต้องวางแล้ว เจมส์ลองโทรถามเพื่อนคนอื่นดีไหม?”

    ผมอมยิ้มอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆของคนรักก่อนพลิกตัวกลับ ไม่รู้ว่าพี่เอิร์ธมายืนซ้อนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมโดยยังไม่วางสาย บุ้ยใบ้เชิงว่าช่วยพูดกับน้องให้ที

    “จะออกไปหาก็ได้นะ เดี๋ยวกันต์ก็นอนแล้ว”

    พี่เอิร์ธขมวดคิ้วส่ายหน้า ยืนยันจะให้ผมคุยให้เลยต้องรับสายมาเอือมๆ ไม่เข้าใจว่าไอ้หนูมันติดใจอะไรผู้ชายตรงหน้านัก หรือไม่อาจเป็นความคับแค้นใจอยากเอาชนะอีกอย่างที่ทำให้ต้องตื๊อพี่เอิร์ธของผมขนาดนี้ สุดท้ายผมก็ยอมรับเครื่องมือสื่อสารที่พี่เอิร์ธยื่นให้ เดินออกมาคุยนอกระเบียงโดยทิ้งหมอยาเช็ดผมเปียกๆตัวเองอยู่ในห้องตามลำพัง


    “เจมส์จะให้มินไปรับไหม เดี๋ยวพี่โทรให้”

    ผมกรอกเสียงไปเรียบๆ คนที่กระเง้ากระงอดอยู่อีกฝั่งถึงกับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนน้ำเสียงพูดจาสื่อความต้องการชัดเจน 

    “เจมส์ จะ ให้ พี่ เอิร์ธ มา รับ” 

     “บ้าปะวะ พี่เอิร์ธไม่ไป ไม่รู้เหรอว่าเค้าไม่เล่นด้วย แล้วไอ้ที่ทำอยู่นี่เลิกเถอะ มันทุเรศ โดนไอ้เน็ตยำตีนไปไม่เข็ดหรือไง? พี่สอนก่อนจะไปเจอของจริงเข้าให้ ความพยายามอยู่ที่ไหนความรักไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก วันนึงโดนเป่าหัวขึ้นมาเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
    พูดจบก็ตัดสายปิดเครื่องแม่ง พอเดินกลับเข้าห้องมาพี่เอิร์ธก็ยื่นกางเกงบอลให้ใส่นอน ผมมองค้อนหมอยาฉุนๆ เรื่องแค่นี้แม่งต้องให้ผมจัดการ ไม่อยากทำตัวเป็นแม่บ้านตามอาละวาดเมียน้อยนะเว้ย 


    “ถ้าวันนี้กันต์ไม่อยู่ด้วยจะทำยังไง ไปหามันเหรอ?”

    พี่เอิร์ธยิ้ม แม่งกวนตีน เห็นว่าผมหงุดหงิดยังทำหน้าระรื่น


    “เวลากันต์หึงน่ารักดี”

    หนุ่มแว่นพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน คว้าเอวผมไปกอดแล้วก้มลงมาหอมแก้ม ก่อนลากจมูกเลยไปยังกกหู เลื้อยมือลงต่ำ เฮ้ยเดี๋ยว! เพิ่งทำไปสองยกตอนหัวค่ำเองนะ


    “พอแล้ว พรุ่งนี้กันต์ทำงาน”

    “ก็กันต์โกรธ.....”

    “ไม่ได้โกรธ แค่หงุดหงิดนิดหน่อย เฮ้ยๆ”

    ผมโวยวายเมื่อกางเกงบอลที่อีกฝ่ายยื่นให้สวมในที่แรกถูกคว้าโยนไปด้านหลัง พี่เอิร์ธกระตุกผ้าเช็ดตัวนิดเดียวก็หลุดลงไปกองพื้นง่ายดาย หมอยาก้าวให้ผมเดินถอยหลังไปสะดุดเตียงล้ม ก้มลงมาดูดปากย้ำๆหลายทีแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์


    “ไม่เป็นไร พี่อยากง้อ”

    สุดท้าย ผมก็ถูกง้ออีกรอบ ไอ้ที่อาบน้ำไปตอนห้าทุ่มถือเป็นโมฆะครับ เที่ยงคืนกว่ายังต้องลุกไปอาบน้ำทำความสะอาดกันอีกครั้งก่อนเข้านอน แขนซ้ายพี่เอิร์ธถูกใช้เป็นหมอนหนุน ส่วนข้างขวาดึงกระชับผมเข้ากอดแน่นชิดตัว ผมเงยหน้าเห็นแค่สันคางพี่เอิร์ธก่อนถอนหายใจออกมายาว


    “เป็นอะไร หืม?”

    คนที่คิดว่าหลับแล้วกระซิบถาม พี่เอิร์ธก้มลงมาจูบหน้าผากผมเบาๆ “นอนไม่หลับเหรอ? ไหนว่าเหนื่อย”

    “เปล่า....แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

    พี่เอิร์ธยกมือข้างที่กอดผมมาลูบหัวเบาๆคล้ายจะกล่อมให้คลายกังวล “คิดอะไร?”

    “พี่เอิร์ธคิดว่าเจมส์เป็นยังไง? ...ในฐานะที่พี่ชอบผู้ชาย”

    “ก็น่ารักดี ตัวเล็กๆ ขาวๆ ตาโตๆ ท่าทางขี้อ้อน”

    “รู้ใช่ไหมว่ามันคิดยังไงกับพี่”

    คนที่กอดผมอยู่เงียบแทนคำตอบ ไม่รู้ก็ควายเต็มทนแล้วแหละ แสดงออกมาโจ่งแจ้งขนาดนั้น 


    “พี่....สนใจบ้างหรือเปล่า?”

    “จะสนทำไม พี่มีกันต์ทั้งคน”

    เรื่องนั้นน่ะรู้ แค่อยากรู้ว่าใจสั่นบ้างไหม พี่เอิร์ธเปลี่ยนจากลูบหัวมาใช้ปลายนิ้วไล้บนแก้ม สายตาเป็นประกายวาววับจ้องสะท้อนแสงจันทร์ที่สาดเข้ามา ผมมองเห็นความจริงจังบนสีหน้า ปลายนิ้วเรียวไล่มาจับคางผมให้เงยเชิดขึ้นแล้วจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปาก 

    “...ใจพี่มีไว้ให้กันต์ ตาพี่ก็มองแค่กันต์ คนอื่นจะน่ารักยังไงคิดว่าพี่ยังสนใจอีกเหรอ?”

    “ไม่รู้สิ กันต์เพิ่งเคยเห็นผู้ชายเข้าหาพี่เอิร์ธครั้งแรก เจมส์มันออกจะหน้าตาดี เอาใจผู้ชายเป็น.. ส่วนกันต์แม่งไม่ได้เรื่องสักอย่าง”

    “คิดอะไรแบบนั้น”

    “ถ้ากันต์ไม่ดี เบื่อกันต์ก็บอกนะ กันต์ไม่เป็นไร ” วงเล็บในใจว่า ‘ซะที่ไหน’ แล้วกัน

    เสียงถอนหายใจดังออกมายาว พี่เอิร์ธกระชับแขนให้ผมขยับตัวชิดมากขึ้นกว่าเดิม “แต่พี่อยู่ไม่ได้ ถ้าคนที่ให้พี่กอดแบบนี้ไม่ใช่กันต์” 
    พี่เอิรํธแม่งเป็นผู้ชายที่น้ำเน่าที่สุดในโลก ทว่าคำตอบนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ซุกตัวเข้าหาจนแทบจะขึ้นไปนอนเกยบนตัวคนรักอยู่รอมร่อ

    “ขอบคุณนะ”

    “เลิกกังวลได้แล้ว พรุ่งนี้ทำงานนะครับ”

    ผมยิ้มในความมืด เดิมเป็นคนไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆเวลามีคนมาวอแวแฟนตัวเอง ไม่ว่าคนของผมจะเล่นด้วยหรือไม่ก็ไม่เคยพอใจ แต่กับคนนี้ ผู้ชายที่เคยทำให้ผมเจ็บจนเข็ดขยาดกับความไว้ใจไปพักใหญ่กลับมาเยียวยาหัวใจ ทำให้ผมเชื่อที่จะศรัทธาในความรักอีกครั้ง

    ความรักของพี่เอิร์ธจะไม่ทำร้ายผม
    และผม ก็จะไม่ทำร้ายความรักของพี่เอิร์ธด้วยความหวาดระแวง เช่นเดียวกัน


    END
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×