ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 01

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 58


















    โอบตะวัน
    Chapter 1






    ผมชื่อกฤช กฤชที่มาจากคำว่า keris ในภาษามลายู เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้ แม่ผมเป็นคนโคราชแต่กำเนิด ส่วนพ่อเป็นคนใต้พลัดถิ่นมาเป็นคนงานในเมืองย่าโม

    ในความทรงจำของผม เขาดุดัน มีอารมณ์ขัน ตัวสูงใหญ่และใบหน้าคร้ามคม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคิ้วที่หนาดกและเป็นสีดำสนิท มันรับพอดีกับดวงตาที่มีขนตายาวเป็นแพหนาคู่นั้น
    ผมมีภาพถ่ายของพ่อเมื่อครั้งยังหนุ่ม หลายคนบอกว่าผมเหมือนท่านมาก ตอนเล็ก ๆ ยังดูไม่ออกเท่าไร แต่เมื่อโตเป็นชายฉกรรจ์เต็มวัยแล้วทุกครั้งที่เห็นก็พาลนึกถึงพ่อทุกที 

    พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าเต็มทน ผมอยู่ที่ไร่ตะวันฉายตั้งแต่จำความได้ ที่นี่เป็นที่ที่พ่อและแม่ของผมพบกัน ส่วนเรื่องราวนอกเหนือจากนั้น เป็นต้นว่าความสัมพันธ์ของแม่กับคุณชนินทร์ผมบังเอิญทราบเองเมื่อโตมากพอที่จะรู้ความ
    กระนั้น ถึงพ่อและคุณรุ่งฟ้าจากไปแล้วผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็ไม่มีทีท่าต่อกันในเชิงชู้สาวแต่อย่างใด นั่นยิ่งทำให้ผมเคารพคุณชนินทร์ในฐานะกัลยาณมิตรคนหนึ่งของแม่เสมอมา

    ผมหยุดมือกับงานในไร่แล้วสั่งให้คนงานทำเช่นเดียวกัน ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสว่างจ้ามาเป็นสีหม่น อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงไร่ตะวันฉายคงเหลือเพียงความมืดครอบคลุมพื้นที่เท่านั้น

    ตะวันฉายตั้งอยู่บนที่ดินเกือบ 1000 ไร่ พื้นที่ส่วนมากเป็นส่วนของไร่องุ่น มีด้านหลังที่เป็นโรงบ่มไวน์ ทางฝั่งทิศตะวันออกเป็นบ้านพักคนงานทั้งหมด มีเพียงด้านหน้าที่อยู่นอกเขตรั้วออกไปอีกทีซึ่งเป็นส่วนของที่พักของคุณชนินทร์ และแม่บ้านทั้งสองคน หนึ่งในสองที่ว่าคือสายใจ แม่ของผม เราได้สิทธิพิเศษคือมีเรือนเล็ก ๆ แยกออกมาเป็นเอกเทศแต่ไม่ไกลกันนัก ก่อนหน้านี้เราอยู่กันเป็นครอบครัวกับพ่ออีกหนึ่งคน พ่อผมเสียไปเมื่อแปดปีก่อน ช่วงที่ผมกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี

    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ผมเรียนประถมในละแวกบ้าน แต่เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมในตัวเมือง ในขณะที่เพื่อน ๆ สมัยนั้นส่วนใหญ่เรียนสายอาชีพ ระยะห่างและสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้ผมเหลือเพื่อนสนิทเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ใช่คน นั่นคือลูกม้าสีน้ำตาลที่คุณชนินทร์ได้มาจากการเล่นพนันกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้ผมเลือกเรียนคณะสัตวแพทย์เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนที่เหลือเลือกเรียนคณะเกษตรมหาวิทยาลัยใกล้บ้านไว้ทั้งหมด
    ผมไม่อยากทิ้งแม่ ไม่อยากทิ้งไร่ ผมโตมากับที่นี่และมีแม่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ โชคดีที่สอบติดและคุณชนินทร์ก็สนับสนุนเต็มที่ เมื่อเรียนจบแล้วถึงได้กลับมาช่วยงานเขาอย่างไม่เคยร้องขออะไรเกินตัว แม้นาน ๆ ทีคุณชนินทร์จะกลับมาที่ไร่แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า นายถนัดการเจรจาและสร้างฐานตลาดออกไปเรื่อย ๆ ขณะที่ผมเริ่มจัดการเรื่องอื่น ๆ อยู่ที่ไร่อย่างซื่อตรง
    นี่ก็เข้าปีที่สี่แล้วกับงานที่นี่ ผมได้ใช้ความรู้ในแขนงที่เรียนมาบ้าง ส่วนมากก็กับม้าสองตัวที่ชื่อแสงฟ้ากับแสงเพชร นอกจากนั้นก็เป็นตามวาระที่ชาวบ้านช่วยเรียกไปดูอาการเบื้องต้นของวัวควายที่เลี้ยงไว้ล้มป่วยในหมู่บ้านเท่านั้น

    ระหว่างทางกลับจากไร่จำเป็นต้องผ่านคอกม้าที่ผมกับไอ้โจ้ช่วยกันตอกตะปูทำที่กั้น ใส่รางเพิ่มเมื่อคุณชนินทร์พาม้าสีขาวอีกตัวมาอยู่ด้วย โดยปกติแล้วเมื่อมีเสียงฝีเท้าผ่านมันจะคำรามเบา ๆ หากแต่วันนี้ยังไม่ทันเดินถึงตัวคอก เสียงร้องของเพื่อนซี้ทั้งสองตัวก็ดังแว่วมา ดูมันตื่นตกใจกับอะไรบางอย่าง ผมเร่งฝีเท้า อย่างแรกที่เห็นคือม้าทั้งสองถอยกรูดไปด้านหลัง ขณะที่คนแปลกหน้าตัวผอมโปร่งกำลังพยายามปีนผ่านคอกเข้าไป

    “ทำอะไรน่ะ”

    “วะ...เหวอ!”

    รองเท้าหนังที่เหยียบไม้กระดานก้าวพลาด ตัวเล็ก ๆ ภายใต้เสื้อเชิ้ตรีดกลีบเนี้ยบหงายมาด้านหลัง โดยไม่ทันคิด สองขาผมก้าวไวกว่าแสง คว้าปกเสื้อชูขึ้นเหมือนแม่แมวคาบลูก คอเสื้อสีขาวรั้นขึ้นจนชิดคางทำให้อีกฝ่ายมีปัญหากับการหายใจ หมอนั่นไอโขลกยกใหญ่ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าล้มลงไปหัวฟาดพื้น

    “เชี่ย”

    เขาสบถ ผมคิดว่าน่าจะเป็นการสบถมากกว่าด่าแต่ก็ไม่ยักจะหันมาขอบคุณที่ผมช่วยรับไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรงตัวได้ผมก็คลายแรงที่ดึงคอเสื้ออีกฝ่ายออก เขาจับปกเพื่อจัดทรงแต่ยังคงสำลักอากาศไม่หยุด ตากลมสีน้ำตาลเข้มมองกลับมาอย่างเอาเรื่อง

    “ทำบ้าอะไรของนาย” ชายแปลกหน้าถามเสียงกระแทก ดูทรงแล้วคงคิดว่าความผิดทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากผมที่มาทักโจรขโมยม้าผิดเวล่ำเวลา

    “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ แต่ที่นี่ห้ามคนนอกเข้ามาเล่น”

    “ฉันไมได้เข้ามาเล่น” คู่สนทนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่งกว่าในทีแรกนิดหน่อย เมื่อตั้งสติได้อีกฝ่ายก็ชูคอเชิดตั้ง “แค่จะเอาม้าออกมาขี่”

    “ไม่ได้ครับ คุณขออนุญาตใคร”

    “ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ จำเป็นต้องขออนุญาตใครด้วยเหรอ”

    “อ้อ” ผมครางรับในลำคอ กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า ลักษณะการแต่งกายแบบนี้ ผิวพรรณอย่างนี้ จากการทำงานมาตลอด 26 ปีเต็มก็ไม่เคยเจอใครอีกเลยนอกจาก

    “นายน้อยหนึ่งตะวัน?”

    การเรียกอีกฝ่ายอย่างนั้นทำให้คอที่แข็งตรงอยู่แล้วของอีกฝ่ายเกร็งขึ้นมากกว่าเดิม ไหล่ลาดเล็กผายออก มันค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับผม แต่ถ้าตามมาตรฐานคนเมืองแล้วคงเรียกว่ากำลังดี เขาอาจจะผอมแวบแรกที่สังเกตเห็น แต่เมื่อเสื้อเชิ้ตรัดรึงยามอีกฝ่ายหยัดตัวเกร็งกล้ามเนื้อขึ้นก็จะเห็นว่าพอจะมีมัดกล้ามเป็นสันนูนตามกายภาพของบุรุษเพศบ้าง อย่างเดียวที่แม้ว่าจะพยายามเพ่งมองแค่ไหนแล้วก็แทบจะไม่ต่างจากเดิม แม้ว่าเวลาผ่านไปเป็นสิบปี มันก็เปลี่ยนจากตอนนั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    “โรงเรียนประจำเขาไม่มีนมขายหรือไงครับ”

    “นาย!”

    “ผมชื่อกฤช” ที่หลุดปากถามไปไม่ใช่เพราะต้องการล้อปมของอีกฝ่าย เพียงแต่แปลกใจเพราะความทรงจำสุดท้ายคือนายน้อยตัวสูงชะลูดเสียจนใคร ๆ ก็คิดว่าต้องโตขึ้นมีหุ่นสมบูรณ์เหมือนนายแบบตามนิตยสารเป็นแน่

    “คือ....ขอโทษอีกครั้ง เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณแบบนั้น คุณแค่....เหมือนเดิมเกินไปหน่อย”

    “ขอโทษทีที่ไม่ได้โตมาเป็นยักษ์ปักหลั่น”

    “ผมก็ไม่ได้ตัวใหญ่เท่าไร มีคนงานในไร่ตัวสูงกว่าผมอีกหลายคน ผมหมายถึง ถ้าคุณพยายามจะค่อนแคะผมกลับน่ะนะ”

    “ยังเป็นคนมารยาทแย่เหมือนเดิม”

    “แปลกใจที่คุณจำผมได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด” ส่วนที่ผมจำได้นอกจากการแต่งตัวและผิวขาวเนียนละเอียดอย่างลูกผู้ดีนั่นก็เป็นแววตา เรียกได้ว่าสบตาเพียงครั้งเดียวภาพในวัยเด็กก็ย้อนกลับมาแทบจะในทันที

    เด็กนิสัยไม่ดีที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่

    “คนอย่างนายใครจะไปลืมลง ทั้งขี้ขลาด ทั้งมารยาททราม”

    “ไปเรียนนอกมาหลายปี ทำไมสรรหาคำด่าได้เจ็บแสบนักล่ะ ผมคิดว่าจะได้ยินคำด่าอินเตอร์ ๆ เอาเสียแปลไม่ออกกันไปข้างเสียอีก”

    “ไอ้เด็กบ้านี่!” เขาคารามในลำคอ แต่สำหรับผมแล้วไม่ได้น่ากลัวสักนิด มิหนำซ้ำยังดูน่ารักเหมือนลูกแมวขู่ฟ่อด้วยซ้ำไป

    “เข้าบ้านเถอะครับ เย็นมากแล้ว คุณท่านบอกให้ผมไปพบประมาณหนึ่งทุ่ม” 

    ผมหยิบโทรศัพท์ราคาเครื่องละไม่ถึงพันออกมาดูเวลา มันใช่งานได้ดีและสมบุกสมบันมากกว่าไอโฟนที่คุณชนินทร์ซื้อให้หลายเท่า เวลาทำงานในไร่ ไม่ว่าจะกลิ้งตกพื้นจนแบตกระจายออกจากเครื่อง โดนละอองน้ำ หรือเปื้อนโคลน เช็ดทำความสะอาดนิดหน่อยก็ใช้งานได้เป็นปกติ นายน้อยหนึ่งตะวันมองด้วยสายตาเหยียด กอดอกอย่างคนไว้มาดก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

    “พ่อเรียกนาย นายก็เข้าไปสิ” 

    ผมพยักหน้าเข้าใจ คงจะยอมเดินกลับไปลำพังง่าย ๆ ถ้าไม่ห่วงไอ้แสงเพชรกับแสงฟ้าเพื่อนซี้ในคอกที่ยังตื่นกลัวไม่เลิก
    “ถ้าคุณอยากขี่ม้าผมมาสอนวันหลังก็ได้”

    “ไม่จำเป็น”

    “คุณขี่เป็น?”

    “ไม่น่ายากหรอกมั้ง” ไหล่เล็กยักขึ้นตอบคล้ายไม่ใส่ใจ ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงให้ผมเป็นเท่าตัว

    “ไปฟังด้วยกันเถอะครับ เรื่องที่ท่านจะพูดกับผมน่าจะเป็นเรื่องของคุณนั่นแหละ”

    “ฉันจะต้องไปเกี่ยวข้องอะไรกับนายด้วยหรือไง”

    “เกี่ยวแน่นอน เพราะคุณจะมาดูแลไร่นี้ในฐานะเจ้าของ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเป็นคนดูแลแทนคุณชนินทร์มาตลอด นั่นหมายความว่าผมต้องเป็นคนสอนงานคุณอยู่แล้ว”

    “แต่พ่อบอกว่าจะเป็นคนสอนฉัน”

    ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นคำปดของคุณชนินทร์มากกว่า ลูกชายอีโก้สูงแถมยังหัวรั้นขนาดนี้ขืนบอกว่าให้มาเรียนกับชาวไร่ มิหนำซ้ำยังเป็นลูกแม่บ้านอีกคงไม่ยอมกลับมาง่าย ๆ

    “คุณชนินทร์มีหน้าที่หลายอย่างครับ ถ้ามีโอกาสคงได้แบ่งไปสอนบ้างบางเรื่อง ช่วงที่ผมเรียนงานจากคุณชนินทร์ก็เรียน ๆ หาย ๆ ตามเวลาว่างของนายท่าน ใช้เวลาหลายปีเชียวกว่าจะเป็นงานขนาดนี้ได้ ถ้าอยากเป็นเร็ว ๆ นายน้อยต้องฟังทั้งผมทั้งคุณพ่อ” ผมเว้นจังหวะช่วงหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาคู่สนทนาแล้วพูดต่อ “ยังไงผมว่าเข้าไปคุยกับท่านพร้อมผมเถอะครับ มีอะไรอยากแย้งก็จะได้แย้งได้”

    จบประโยคสุดท้ายแววตาคู่นั้นก็อ่อนลง ผมผายมือเพื่อให้อีกฝ่ายเดินไปก่อน หนึ่งตะวันเดินเชิดหน้าจากไป โดยที่ผมลอบถอนหายใจให้กับความโชคดีของเจ้าม้าเพื่อนซี้ทั้งสองตัวตามลำพัง




    “มากันแล้วเหรอ โต๊ะเพิ่งตั้งเสร็จเมื่อกี้พอดี ว่าจะให้คนเข้าไปตามในไร่เสียหน่อย”

    ชายวัยกลางคนแต่ดูภูมิฐานในเสื้อโปโลสีเหลืองอ่อนสบายตาและกางเกงขาสั้นเอ่ยทักทันทีเมื่อประตูบ้านแง้มออก ผมพุ่มมือไหว้ ก่อนอีกฝ่ายจะรับด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา ส่วนคนที่เดินตามมาทีหลังทำหน้ามุ่ย ก้าวขาฉับไปที่โต๊ะอาหาร

    “นายน้อย ล้างมือก่อนสิคะ”

    แม่บ้านที่กำลังตักข้าวใส่จานทั้งสามใบเป็นคนปราม นายน้อยทำหน้าเหนื่อยหน่ายแต่ท้ายที่สุดก็ยอมลุกไปจัดการตัวเองตามคำสั่ง ถ้าเทียบกับทุกคนในบ้าน ไม่รวมคุณชนินทร์ ก็เห็นจะเป็นแม่ผมนี่แหละที่นายน้อยเกรงใจเป็นพิเศษ ไม่ใช่ในแง่ที่กลัวจะถูกนางสายใจดุ แต่ไม่อยากมีปัญหากับบิดาที่เฝ้าเพียรสั่งสอนให้เคารพแม่ผมเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งมากกว่า

    “ไปเจอกันที่ไหนล่ะ”

    “คอกม้าครับ”

    “อ้อ จริงสิ เจ้าหนึ่งน่ะอยากขี่ม้าเป็นตั้งแต่สมัยเรียนมอปลายแล้ว เสียดายไม่มีโอกาสมาเยี่ยมบ้านเท่าไร”

    ผมพยักหน้ารับรู้ เห็นอาการวันนี้ก็สอดคล้องไปกับคำพูดของคุณชนินทร์ดี 

    “กฤชยังจำพี่หนึ่งเขาได้ใช่ไหม”

    “ตอนแรกก็ยังจำไม่ค่อยได้ครับ แต่คุยสักพักก็นึกออก”

    “ใช่สินะ ตอนนั้นกฤชยังเล็กอยู่เลย เรียนชั้นปอสอง-ปอสามได้”

    คุณชนินทร์พูดพลางประสานมือไว้ตรงหน้า “นั่งสิ กินข้าวด้วยกัน แม่เราเขาไม่ยอมกินด้วย”

    “ไม่ดีหรอกค่ะ” ผู้ถูกพาดพิงกล่าวยิ้ม ๆ ผมเคยชินแล้วกับการร่วมโต๊ะกับเจ้าของบ้าน คุณชนินทร์มาที่ไร่ทีไรก็ชวนกึ่งบังคับให้ผมร่วมโต๊ะทุกที

    “มีแต่ของโปรดเจ้าหนึ่ง”

    “ดีแล้วครับ นาน ๆ จะได้ทานเยอะ ๆ คุณหนึ่งตัวนิดเดียว”

    “เหมือนแม่เขานั่นแหละ” คุณชนินทร์เอ่ยราบเรียบ ไม่มีความรู้สึกใดฉายในแววตา เมื่อลูกขายเดินกลับมาถึงค่อยคลี่ยิ้มออก “มาพอดี หนึ่งจำน้องกฤชได้ไหมลูก”

    “จำได้ครับ”

    “ดีเลย จะได้ทำความคุ้นเคยกันง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นกินไปคุยไปเลยแล้วกันนะ”

    นายน้อยไม่ตอบแต่เลื่อนเก้าอี้นั่งลง ท่าทางสุภาพเรียบร้อยผิดกับคนที่โมโหแวด ๆ ที่คอกม้าราวกับคนละคน

    “ช่วงที่หนึ่งเรียนประจำ จนถึงไปต่อที่อังกฤษ พ่อให้น้องกฤชช่วยดูงานที่ไร่ ช่วงกำลังขยายตลาดต้องเจรจากับลูกค้ามาก ไม่ค่อยมีเวลาใส่ใจตรงนี้เท่าไร นี่น้องก็ดูแลมาสี่ปีแล้ว พ่อว่าหนึ่งควรจะมาดูที่นี่ได้แล้ว ตามที่เราตกลงกันไว้”

    “ครับ”

    นายน้อยตักผัดผักให้บิดาก่อนจัดการกับข้าวในจานของตัวเองโดยที่ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมองผมแม้แต่น้อย

    “ช่วงสองปีแรกพ่ออยากให้หนึ่งเรียนรู้งานในไร่จากน้องกฤชก่อน หลังจากนั้นจะจ้างคนที่ไว้ใจได้มาดูแลสักคนแล้วค่อยมารับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้นอำนาจตัดสินใจเป็นของหนึ่งเต็มที่”

    “ตอนแรกที่คุยกัน พ่อบอกจะเป็นคนสอนงานนี่ครับ”

    “หนึ่งก็รู้ว่างานพ่อล้นมือขนาดไหน น้องเป็นคนเก่ง สอนงานหนึ่งได้ดีกว่าพ่อแน่ ๆ”

    คราวนี้ลูกชายของคุณชนินทร์เงยหน้าขึ้นสบตากับผม ริมฝีปากบางสีสดคล้ายจะบริภาษแต่ท้ายที่สุดก็เม้มไว้เหมือนเดิม

    “น้องกฤชเป็นคนน่ารัก คนงานในไร่ชอบเขาทุกคนแหละ”

    “แต่ว่า…”

    “ฝึกแค่ปีสองปีก็เป็นแล้วครับ” ผมพูดขึ้นมาบ้าง ตารีเหลือบมองอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เถียง “นายน้อยไม่ต้องลงไร่ทุกวันเหมือนผมก็ได้ อาจจะมีช่วงแรก ๆ ที่หนักหน่อย ต่อจากนั้นก็สุ่มตรวจพื้นที่เป็นระยะไม่ให้คนงานถือโอกาสอู้กันก็พอ คุมคนจำนวนมากจะเจอทั้งดีทั้งไม่ดี เรื่องนี้นายน้อยน่าจะเอาความรู้ที่เรียนมาจากนอกประยุกต์ใช้ได้ดีกว่าผม ไม่เหนื่อยมากหรอกครับ”

    “ฉันไม่ได้กลัวเหนื่อย”

    เขาพูดแล้ววางช้อนลง ขณะที่คุณชนินทร์กลับหัวเราะร่วน “อะไรกัน แค่นี้ก็จะทะเลาะกันเสียแล้ว อย่าถือสากฤชเลยน่าหนึ่ง”

    “ไม่มีมารยาท”

    “เอาน่า อย่าโกรธน้องเลย น้องไม่รู้ว่าหนึ่งไม่ชอบให้พูดแบบนี้” ถึงจะโอ้โลมปฏิโลมลูกชายอย่างนั้นแต่บิดากลับขยิบตามาทางผม บุ้ยใบ้ในเชิงให้ตามใจนายน้อยหนึ่งตะวันให้มากหน่อย 

    นายน้อยอายุมากกว่าแต่ชอบทำนิสัยเหมือนเด็กจ้องหน้าผมเขม็ง ยอมหยิบช้อนขึ้นมาทานข้าวต่อ

    “คราวนี้จะยกโทษให้แล้วกัน”

    “แบบนี้แปลว่ายอมให้น้องสอนงานแล้วใช่ไหม”

    “ขอหนึ่งคิดก่อนสักคืนนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ผมลอบถอนหายใจ มองไปยังแม่ที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านหลังแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ

    เห็นทีงานนี้จะเป็นงานหินที่สุดของคุณชนินทร์ที่มอบหมายให้ผมเลยทีเดียว




    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×