ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 02

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.34K
      423
      10 ก.ค. 63

















    โอบตะวัน
    Chapter 2








    อากาศเย็นลงในช่วงเช้าตรู่ ไอ้โต้งจากบ้านละแวกนี้ก็พร้อมกันโก่งคอขันคุยกันรับอรุณ ผมออกมาทำความสะอาดคอกม้าในช่วงที่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แล้วกลับมาอีกครั้งเมื่อแสงแรงของวันมาเยือน

    เสียงอุปกรณ์ทำครัวดังกระทบกันสะท้อนออกมายังหลังบ้าน แม่ครัวเริ่มลงมือเตรียมอาหารให้นายและนายน้อยกันแล้ว แม่ผมก็คงอยู่ในครัวเช่นเดียวกับป้าแวว ผมเดินลัดเลาะทางที่ถูกปูด้วยอิฐรูปตัวหนอนมายังบ้านพัก จัดการอาบน้ำให้เหงื่อไคลที่ไหลย้อยย้อนแย้งกับอุณหภูมิยามรุ่งสางจนสะอาดเอี่ยม แล้วค่อยเดินกลับเข้าไปในบ้านใหญ่ของคุณชนินทร์อีกครั้งในช่วงสาย

    “ออกไปคอกม้ามาหรือ”

    คุณชนินทร์กล่าวยิ้ม ๆ ในมือถือแก้วกาแฟ ส่วนตรงหน้ามีถ้วยข้าวต้มหมูสับวางอยู่ โรยด้วยพริกไทยลอยเคล้ากันกับผักชีหั่นฝอย “ช่วงนี้ไม่มีโอกาสขี่เล่นเสียที ถ้าเราว่างก็พอเจ้าสองตัวนั้นออกวิ่งบ้างสิ”

    “ครับ” ผมรับคำในลำคอ ปกติก็พาเจ้าสองตัวนั่นวิ่งวนรอบไร่สลับกันวันละรอบ เย็นบ้าง เช้าบ้าง แล้วแต่เวลาจะอำนวย แต่ช่วงนี้แสงฟ้าดูเหมือนจะเสียดท้อง ผมไม่อยากพาออกมาข้างนอกเท่าไร

    “ทานข้าวก่อนสิ แล้วค่อยขึ้นไปปลุกพี่หนึ่ง ขืนขึ้นไปตอนนี้ได้ถูกงอแงใส่แน่”

    “ครับ ว่าแต่วันนี้คุณชนินทร์มีธุระหรือครับ”

    “อืม นัดคุณสมพงษ์ไว้น่ะ จะฝากวางไวน์ในพลาซ่าของเขา ช่วงสิบโมงนี่ล่ะ แล้วจะเข้าไปกรุงเทพฯ ต่อเลย ยังไงฝากพี่หนึ่งด้วยแล้วกัน”

    “เขาโอเคแล้วหรือครับ”

    “ก็ไม่น่ามีปัญหาแล้วนะ เมื่อคืนดึก ๆ ฉันขึ้นไปปะเหลาะมาอีกที ดูอ่อนลงกว่าตอนเย็นแล้ว” คุณชนินทร์ตอบโดยมีรอยยิ้มจุดที่มุมปากเช่นเดิม ท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ผมพยักหน้ารับรู้พลางถามต่อ

    “แล้วนายจะเข้ามาอีกทีเมื่อไรครับ” 

    ชายวัยกลางคนส่ายหน้า วางกาแฟลง เปลี่ยนมาจับช้อนสั้น คนข้าวต้มในถ้วยจนผักชีเคล้ากับเม็ดข้าวแฉะ ๆ ด้วยกันก่อนตอบ “ยังไม่แน่ ช่วงนี้ไร่จรัสก็เร่งตีตลาดอยู่ งานหนักหน่อยล่ะช่วงนี้”

    “แล้วทางนี้จะไม่เป็นอะไรแน่หรือครับ”

    เจ้าของไร่ตะวันฉายถอนใจแล้ววางช้อนที่เพิ่งตักข้าวต้มเข้าปากลง แม่ผมเดินมาพร้อมอาหารเช้าในรูปแบบเดียวกันแต่เห็นได้ชัดว่าเยอะกว่าคุณชนินทร์มาก ส่วนมากตอนเช้านายจะทานอาหารเบา ๆ น้อย ๆ ผิดกับคนใช้แรงงานอย่างผมที่กินจุและเน้นหนักเพราะต้องใช้กำลังทั้งวัน

    “ฉันก็อยากจะฝึกเขาในหลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่รุ้งตายก็ไม่มีเวลาดูแลเจ้าหนึ่ง โชคดีอย่างที่นิสัยพื้นเพเขาเป็นคนเรียบร้อย ถึงจะดื้อเงียบก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่กำราบยากเย็น อยากจะสอนอะไรเขามากไปหมด แต่เราก็รู้ ตอนที่รุ้งเสียเพราะฉันมีเงินไม่มากพอที่จะรักษา ฉันจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับเจ้าหนึ่งเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นกฤชอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ฉันฝากตาหนึ่งได้ไหม”

    ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ดี ผมจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แม่มักบอกเสมอ ๆ ว่าใช้เงินให้ประหยัดกว่าเดิมแม้ว่าก่อนหน้านี้เงินค่าขนมแต่ละเดือนจะน้อยเต็มกลืน นายหญิงเองก็เริ่มเจ็บออด ๆ แอด ๆ ส่วนนายก็ดูหงุดหงิดใจไปเสียทุกเรื่อง สถานการณ์ของไร่ตะวันฉายกำลังวุ่นวาย มีการวางเพลิงเผาที่ท้ายไร่จนต้องดูแลกันอย่างเข้มงวด ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่มีเวลาให้ผม เราต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ แม้เดิมนายหญิงกับนายน้อยจะอยู่กรุงเทพฯแต่ก็แวะเวียนมาที่ไร่บ่อยครั้ง จนช่วงหลัง ๆ ก็เว้นระยะห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

    นายน้อยไม่ชอบที่นี่ ผมรู้ ภาพสุดท้ายที่ผมเจอเขายังชัดเจนอยู่ในหัวทุกทีที่เอ่ยถึงอดีต นับเป็นโชคร้ายของนายน้อยที่นายหญิงเสีย แต่ก็นับเป็นโชคดีพร้อม ๆ กันที่เขาถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำและไม่ได้กลับมาที่ไร่ตะวันฉายสมใจปรารถนา
    ดังนั้นการกลับมาอีกครั้ง คงทำให้อึดอัดใจน่าดู

    “คุณชนินทร์เองก็พักบ้างเถอะครับ ผมว่านายน้อยอยากใช้เวลากับคุณพ่อมากกว่า”

    “พักแล้วใครจะทำต่อล่ะ กฤชเอาไหม ฉันยกไร่ให้”

    “ไม่ล่ะครับ” ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ คุณชนินทร์ชอบพูดทีเล่นทีจริงแบบนี้เสมอ

    “ฉันรู้ เพราะกฤชก็มีความฝันของกฤช จะให้ฉันใช้เราดูแลที่นี่ตลอดไปก็ไม่ได้ ยังไงเสียก็ช่วยสอนไอ้ลูกชายฉันหน่อยแล้วกัน เป็นการเป็นงานขึ้นมาบ้างเราจะได้ไปใช้ความรู้ที่เรียนมาทำงานที่ชอบได้เสียที ไม่ต้องรับภาระอะไร”

    “ผมช่วยคุณชนินทร์ไปได้เรื่อย ๆ ครับ ไม่ได้คิดว่าเป็นภาระ”

    “งั้นช่วยฉันอีกเรื่องเถอะ” เขาพูดพลางยิ้มให้ด้วยความเมตตา “ดูแลพี่หนึ่งที ฉันวานล่ะ พี่หนึ่งเขาจบนอก แถมยังถูกเอาใจมาตลอด เป็นคนอีโก้สูง เหมือนจะแข็ง แต่พูดไม่ยากนักหรอก”

    ผมหลบตาลง คนถ้วยข้าวต้มให้ควันหอมกรุ่นลอยขึ้นมาในอากาศ

    นายพูดถึงขนาดนี้นั่นหมายถึงผมหมดโอกาสที่จะปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
       



    เสียงเครื่องยนต์ของรถซีอาร์วีแล่นออกห่างไปเรื่อย ๆ จนไร่ตะวันฉายกลับสู่ความเงียบงัน ผมช่วยแม่เก็บจานล้างแล้วค่อยขึ้นมาปลุกคนที่ยังนอนอุตุอยู่ในห้อง เจ้าของหน้าขาวใสเมื่อวานขาวซีดยามตื่นนอน ผมเผ้าสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ทำหน้ามุ่ยลงเหมือนเด็ก ๆ

    “มีอะไร”

    “ผมมาปลุก”

    “ตั้งแต่แปดโมงเช้า?”

    “สายแล้วครับ” ประตูไม้สักเคลือบเงาแลคเกอร์จนวาววับเหวี่ยงกลับมาแทบจะในทันที โชคดีที่ผมใช้มือยันเอาไว้ได้มันจึงไม่ปิดปึง เจ้าของห้องจิ๊ปากหงุดหงิด เดินกลับมาที่เตียงสี่เสา สะบัดมุ้งเพื่อเข้าไปนอนในพื้นที่แคบ ๆ ของตัวเองต่อ

    ผมเดินตามเข้ามาในห้องอย่างเหนื่อยหน่าย จับชายมุ้งสะบัดขึ้นพาดด้านบนคานทีละฝั่ง ก่อนเดินไปเปิดผ้าม่านสีขาวม้วนพับให้แสงส่องเข้ามาด้านใน คนนอนตื่นสายตะวันโด่งพลิกตัวหนีไปอีกด้าน ใช้หมอนหนุนสีเดียวกับผ้าปูที่นอนบังดวงตาออกจากแสง

    “นายน้อย ตื่นเถอะครับ”

    “อย่ายุ่งน่า”

    “ถ้าออกไปไร่ตอนเที่ยงแดดจะร้อนนะครับ ออกไปตอนนี้แล้วสักสิบโมงครึ่งกลับเข้ามาดีกว่า”

    “ไว้พรุ่งนี้” เขาพูดเสียงอู้อี้ “เมื่อวานฉันนั่งรถมาจากกรุงเทพฯตั้ง4ชั่วโมง”

    “อย่าผลัดวันประกันพรุ่งสิครับ” ว่าพลางดึงผ้าห่มออกจากตัวพลาง คนขี้เซายังคงยื้อเอาไว้ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยแต่สุดท้ายก็ต้านแรงของผมไม่ไหว แขนเขาเล็กนิดเดียว ข้อมือขาวนั่นรวบได้ด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียวของผมเลยด้วยซ้ำ

    “อะไรนักหนา บอกว่าจะนอนไง!”

    “ทำตัวเป็นเด็กเลยนะครับ จะสามสิบอยู่ปีหน้าแล้ว”

    “นายว่าใคร!” คราวนี้คนบนเตียงเด้งตัวลุกขึ้นมาเถียงตอเป็นเอ็น ตากลมไม่เจือความง่วงงัวเงียเหลืออยู่ มีเพียงความชิงชังที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น 

    “ผมไม่กล้าว่าหรอกครับ”

    “เมื่อกี้นายพูด”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ตื่นไปอาบน้ำสิครับ เดี๋ยวผมลงไปเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ จะได้ออกไปทำงานแบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”

    นายน้อยของไร่ตะวันฉายขบฟันจนกระดูกบนสันกรามโปนขึ้นชัด เหวี่ยงขาลงจากเตียงเดินปึงปังเข้าห้องน้ำไป ผมจัดการพับผ้าห่ม เก็บมุ้งและหมอนให้ จากนั้นก็ลงมาเตรียมข้าวต้มอุ่น ๆ ให้คุณหนูตามที่บอกไว้แต่แรก



    พระอาทิตย์วันนี้ดูไม่เป็นใจกับชาวไร่มือใหม่เอาเสียเลย แดดที่ส่องผ่านม่านหลังคาไม้เลื้อยและแว่นตาเรย์แบรนด์ขับเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ให้ซึมออกมาตามไรผม แก้มขาวแดงปลั่ง เห็นทีน่าจะแสบผิวแต่ริมฝีปากเชิดนั่นก็ไม่แม้แต่จะปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
    ภาพที่ปรากฏในสายตาคนงานคือคุณหนูตัวเล็กเดินตามหัวหน้าคนงานต้อย ๆ ใช้หลังมือปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผากบ้างแล้วก้มหน้าก้มตาจดความรู้ทั่วไปของไร่องุ่นลงบนสมุดโน้ตเล่มเล็ก ๆ

    “ที่บอกไปว่าองุ่นมีหลายพันธุ์ แบ่งตามโซนที่ปลูกในฝรั่งเศส เอาเข้าจริง ๆ เราก็รับมาปลูกแค่ 2 สายพันธุ์ พันธุ์ชีราสกับชนิน บลองก์ ชีราสเนี่ยไว้ทำไวน์แดง จะให้กลิ่นคล้ายดอกไม้ รสชาติหอมหวานเหมือนผลไม้”

    พูดพลางเด็ดลูกที่สุกงอมเต็มที่ให้นายน้อย เขารับไว้แล้วโยนเล่นในมือข้างที่ถือปากกาไว้ “ไร่เราจะปลูกพันธุ์นี้ไว้ 80% แบ่งเป็นทั้งขายสดและทำไวน์ ไว้วันหลังผมจะพาเข้าไปดูในโรงบ่มไวน์”

    “แล้วที่เหลือเป็นพันธุ์ชนินเหรอ”

    “ครับ อีก 20% เป็นพันธุ์ชนิน บลองก์ ไว้ทำไวน์ขาว ซึ่งรสชาติของไวน์ขาวจากองุ่นชนิดนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเก็บเกี่ยวผลผลิต ถ้าเก็บตอนสุกเต็มที่ไวน์ที่ได้จะเบา แต่ถ้ารอให้มันงอมจะใช้ทำไวน์หวานซึ่งเก็บไว้ได้นาน ที่เราปลูกน้อยกว่าเพราะตลาดต้องการไวน์แดงมากกว่า คนไทยชอบดื่มไวน์แดงเพราะเข้ากับอาหารไทยได้ดีกว่า อีกอย่างไวน์แดงไม่ค่อยมีปัญหาตอนออกซิเดชั่นกับส่วนผสมอื่น ๆ ด้วย”

    ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ เดินตามมาเรื่อย ๆ เอามือเด็ดใบองุ่นเล่นบ้าง ฉีกทิ้งบ้างแก้เบื่อ ผมเองก็ไม่ได้ท้วง การที่พามาเดินได้จนเกือบสิบเอ็ดโมงก็ถือว่าอีกฝ่ายอึดเต็มทน

    “คุณจะพักก่อนไหม เย็น ๆ ค่อยมาเดินใหม่ พระอาทิตย์ตรงหัวแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

    “คนอื่นยังอยู่ได้ ทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้”

    หนึ่งตะวันถามเสียงกร้าว ผมไม่เห็นสายตาภายใต้แว่นดำของเขาแต่พอจะเดาออก “งั้นผมต่อเลยนะ จุดได้เปรียบของการเอาองุ่นพันธุ์ฝรั่งมาปลูกในเมืองไทยคือจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ถึงปีละ 2 ครั้ง ฝั่งยุโรปปลูกได้ปีละครั้งเพราะอากาศหนาว”

    “องุ่นไม่ชอบอากาศหนาวเหรอ”

    “ไม่ครับ องุ่นต้องปลูกในสภาพอากาศอบอุ่น ในเมืองนอกวงจรชีวิตขององุ่นจะเริ่มตั้งแต่หิมะละลาย ใช้เวลา5-6เดือนถึงจะเก็บเกี่ยวได้ หลังจากนั้นก็จะวนมาถึงหน้าหนาวอีกที ไม่เหมือนบ้านเราจะเก็บได้ราว ๆ เดือนกุมภาถึงมีนา กับเดือนตุลา แต่ช่วงต้นปีองุ่นจะมีคุณภาพดีกว่าเพราะเป็นหน้าแล้ง อากาศก็ดีกว่า ไม่มีน้ำในดินมาก ไม่มีศัตรูพืชมาก ถ้าเป็นตุลาจะเสี่ยงกับมรสุมมากกว่า”

    หนึ่งตะวันพยักหน้า จะเอื้อมมือไปบิองุ่นเล่นอีก ท้ายที่สุดผมก็ต้องรีบปรามไว้บ้าง “อยู่นิ่ง ๆ สิครับ”

    “นิด ๆ หน่อย ๆ ได้ไหม เดินฟังอะไรแบบนี้เฉย ๆ น่าเบื่อจะตาย”

    “คุณต้องเบื่อแบบนี้ไปอีกนาน ถ้าทนไม่ไหวจนต้องทำลายข้าวของแบบนี้ผมว่าองุ่นคงเสียไปครึ่งไร่” ผมตอบเสียงเรียบ ขณะที่อีกคนมุ่ยหน้าลง

    “เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมหยุมหยิมแถมยังขี้บ่นนัก”

    “ผมไม่ได้ขี้บ่นหรอกครับ แต่นายน้อยหันกลับไปมองสิ ทางที่เดินผ่านมาลูกองุ่นถูกเด็ดทิ้งเด็ดขว้างไปแล้วเท่าไร” ว่าพลางพยักพเยิดกลับไปด้านหลัง คู่สนทนาไหวไหล่ไม่สนใจแต่ก็ยอมรามือแต่โดยดี “หิวหรือยังครับ กลับไปทานข้าวกลางวันกันไหม”

    “แล้วคนงานล่ะ”

    “เขาห่อกันมาครับ เดี๋ยวหิวก็ไปนั่งหลบร่มไม้แกะกินกันเอง บางคนก็กลับบ้าน อยู่ทางฝั่งโน้น” ชี้นิ้วประกอบเพื่อเป็นข้อมูลให้เจ้าของไร่ หนึ่งตะวันมองเพียงครู่เดียวแล้วก็ละสายตาหันหน้ากลับมา

    “บ่ายเราจะมาเดินกันอีกใช่ไหม”

    “วันนี้พอแค่นี้ครับ ตอนบ่ายแดดร้อนมาก นายน้อยพักที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

    “ถ้านายออกมาฉันก็จะมาด้วย” น้ำเสียงนั่นขึงขังเป็นจริงเป็นจัง ริมฝีปากบางบดเข้าหากันแล้วพูดต่อ “เดี๋ยวคนแถวนี้จะหาว่าทำตัวเป็นเด็ก”

    “ผมไม่ว่าแล้วครับ” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะฝังใจกับประโยคนั้น ถึงแม้ไม่ได้สบตากัน แต่ผมก็รู้สึกถึงความชิงชังผ่านน้ำเสียง “พรุ่งนี้ค่อยออกมาใหม่นะครับ”

    “ฉัน จะ ออก มา พร้อม นาย”

    เขาเน้นทุกคำชัดเจน จนผมต้องถอนหายใจหน่าย ไหนว่าคุณชนินทร์บอกว่านายน้อยว่าง่าย ไม่เห็นจะจริงอย่างที่แนะนำในทีแรกเอาเสียเลย




    “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ หนุ่ม ๆ ไปเที่ยวเล่นในไร่กันสนุกไหม”

    ทันทีที่กลับถึงบ้านป้าแวว แม่บ้านคนเก่าคนแก่ก็ทักก่อนโวยวายเมื่อเห็นหน้าขาว ๆ ของนายน้อยแดงก่ำ บริเวณแก้มและจมูกเห็นชัดกว่าที่อื่น นอกจากนั้นก็ยังเป็นบริเวณหน้าผากที่แดงจัดไม่ต่างกัน “ตายแล้วนายน้อย ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะคะ พรุ่งนี้ต้องไหม้แน่เลยค่ะ”

    “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” เขาตอบเสียงเรียบ ดึงแว่นตาราคาแพงออกมาเหน็บที่คอเสื้อแล้วปรายตามองมาทางผม “กฤชยังไม่เห็นเป็นอะไร”

    “เทียบได้ที่ไหนล่ะคะ ตากฤชน่ะหน้าทนแดดทนฝนจะแย่ เอาไปถูกับพื้นยางมะตอยยังไม่เป็นไรเลย ทูนหัวของแวว แสบไหมคะลูก”

    “ไม่ครับ” แก้วตาของป้าแววยังคงตอบเหมือนทองไม่รู้ร้อน แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าโกหก  ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไร รับน้ำเย็น ๆ จากแม่แล้วยื่นให้นายน้อยอีกต่อ

    “น้ำครับ”

    “นายกินก่อนเลย”

    “นายน้อยดื่มเถอะครับ แม่เอามาให้”

    “ฉันเป็นพี่” เขาพูด “เสียสละให้น้องได้”

    เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วนึกขัน ดูนายน้อยหนึ่งตะวันจะพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแสดงว่าตัวเองโตมากพอที่จะไม่ให้ใครคอยประคบประหงม ในฐานะผู้ชาย ผมเข้าใจเขาดี เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ ที่อยากเป็นเสาหลักของครอบครัวเมื่อเติบโตขึ้น ถึงแม้สภาพสังคมที่เราเกิดและถูกเลี้ยงดูไม่ต่างกัน แต่ผมก็รู้ว่าลึก ๆ แล้วเขามีความรู้สึกเป็นผู้นำแบบนั้นซึ่งมันฉายชัดออกมาทางแววตา

    “ดื่มเถอะครับ ผมมีขวดของตัวเองอยู่ในครัว ไม่ต้องห่วง”

    “ใครห่วง” ริมฝีปากบางเหยียดออกมาในทิศทางที่ไม่น่ามอง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมรับไปดื่ม ผมมองลูกกระเดือกเล็ก ๆ บนลำคอขาวขยับขึ้นลงไปมาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกระหายมากแค่ไหน
    ฟอร์มเยอะไม่มีใครเกิน
    ดูไปดูมา ถ้าตัดว่าเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ปวดหัวเขาก็น่ารักดี

    “มองอะไร” หนึ่งตะวันถามเสียงเข้ม ผมไหวไหล่ไม่ตอบก่อนเดินกลับเข้ามาในครัวปล่อยให้เขาอยู่กับป้าแววตามลำพัง




    “กฤชก็ไปกวนโมโหนายน้อย”

    ผมรู้อยู่แล้วว่าแม่ต้องว่าเรื่องนี้ หญิงวัยกลางคนหน้าตาเกลี้ยงเกลาไม่รู้จักเติมแต่งประทินโฉมเอ่ยพลางถอนหายใจ มือขาวคดข้าวไรซ์เบอรี่สีน้ำตาลแดงออกจากหม้อแต่พอดี บรรจงวางใส่จานแล้วยกทั้งจานใส่ถาดที่มีแกงจืดกับไก่ผัดเม็ดมะม่วงวางอยู่ก่อน ผมช่วยแม่หยิบช้อนส้อม รู้ดีว่านั่นเป็นของคุณหนูคนดีของไร่ตะวันฉาย

    “นายน้อยโมโหฟึดฟัดใหญ่เลย”

    “ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

    “เล่นไปมองกวนโอ๊ยเขาแบบนั้นเดี๋ยวจะโดนดี” นางสายใจกล่าวระอา ไม่วายหันมามองค้อนผมอีกต่อ “นายฝากเราดูแลพี่เขา ไม่ใช่ให้ชวนทะเลาะ”

    “ผมยังไม่ได้ชวนทะเลาะเลย มองเฉย ๆ ก็โมโหแล้ว เขาต่างหากที่ขี้หงุดหงิด เจ้าอารมณ์”

    “ยังจะเถียงอีก ยกถาดไปเสิร์ฟเลยนะ เป็นการไถ่โทษ” ผมถูกหยิกเบา ๆ ที่แขนก่อนแม่จะหันไปจัดการกับถาดกับข้าวของผู้เป็นนายแล้วหันกลับมาบ่นต่อ “แล้วก็นะ ทีหลังจะพานายน้อยเขาเข้าสวนก็หัดหาหมวกหาร่มให้บ้าง สงสารจริงเชียว” 

    “ผมให้แล้วนะ เขาไม่เอาเอง”

    “เขาเหม็นสาบเหงื่อเราน่ะสิ เจ้าลูกคนนี้” ผมรับถาดมาจากแม่และเลิกต่อล้อต่อเถียง เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น เห็นเด็กฝึกงานจอมซนนอนหลับคอพับคออ่อนบนโซฟาตัวยาวก็อมยิ้ม วางถาดใส่จานลงบนโต๊ะทานข้าวที่อยู่ห่างออกมาแล้วเดินเข้าไปปลุก

    “นายน้อย”

    ดวงตาเล็กปรือเปิดขึ้น ท่าทางงัวเงียคงเพลียแดดเต็มทน ยังจะกล้ารั้นออกไปด้วยตอนบ่าย พรุ่งนี้มีหวังนอนป่วยซมเป็นแน่ “ทานข้าวเสียหน่อยแล้วขึ้นไปอาบน้ำนอนพักเถอะครับ วันนี้ผมจะไม่ออกไปข้างนอกแล้ว”

    นายน้อยหนึ่งตะวันลุกขึ้นนั่ง พยักหน้ารับแล้วเอนตัวลงไปใหม่  ผมยิ้ม แตะข้อศอกเขาแล้วเขย่าเบา ๆ คนตัวเล็กอายุมากกว่าครางในลำคอ ท่าทางไม่ค่อยชอบใจที่ถูกกวนเวลานอน

    “ทานข้าวก่อนเถอะครับ เมื่อเช้าทานข้าวต้มไปนิดเดียว ไม่อยู่ท้องหรอก ฝืนใจลุกขึ้นมาหน่อยนะครับ”

    หนึ่งตะวันถอนใจหน่ายแต่ท้ายที่สุดก็ยอมลุกขึ้นตามคำแนะนำ เดินโซซัดโซเซไปที่โต๊ะอาหารเงียบ ๆ แล้วมองหน้าผม

    “ของนายล่ะ”

    “เดี๋ยวผมค่อยจัดการครับ”

    “ฉันไม่กินข้าวคนเดียวหรอกนะ” ไม่พูดเปล่า มือขาวเลื่อนจานออกห่างตัวแล้วยกขึ้นกอดอก ใบหน้าหล่อเหลาผินหนีไปทางอื่น “วันนั้นนายก็กินพร้อมพ่อนี่”

    “ครับ” ผมถูกบังคับให้ร่วมโต๊ะอาหารกับนายตั้งแต่เล็กจนเคยชิน แต่ไม่ได้คิดว่านายน้อยจะอยากให้ร่วมโต๊ะด้วย และไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายปั้นปึ่งใส่แทนที่จะเอ่ยชวนกันดี ๆ

    “เดี๋ยวผมมาทานด้วยครับ”

    “ฉันไม่ได้ขอ”

    “นายน้อยทานเป็นเพื่อนผมหน่อยเถอะครับ ผมก็ไม่ชินกับการทานข้าวคนเดียวเหมือนกัน” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าแบบขอไปที เขาเลื่อนจานกลับมาตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง

    “รีบ ๆ ไปสิ ให้ผู้ใหญ่รอนาน ๆ มันไม่ดีไม่รู้หรือไง”

    ผมเดินผ่าน’ผู้ใหญ่’ไปด้านหลัง อมยิ้มกับพฤติกรรมของผู้เป็นนายแล้วสบตากับแม่ที่ยืนมองอยู่หน้าประตูห้องนั่งเล่น “ปะเหลาะพี่เขาก็เป็นเหมือนกันนี่เรา”

    “ไม่งั้นไม่ไหวหรอกครับแม่ รับมือยากจริง ๆ”




    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×