ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่12 เด็ก

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 59




    Dahlia 12



    “มึงคิดยังไงกับพี่เอิร์ธ” 


    คำถามที่เหมือนปลายเสียงติดจะหงุดหงิดสะบัดใส่ผม เจ้าของท่าทางคุกคามยังไม่แม้แต่หันหน้ามามอง เอาแต่อัดบุหรี่เข้าปอดแล้วพ่นลมออกมาเป็นควันสีขาวฟ่อง จู่ๆผมก็รู้สึกร้อนขึ้นมาที่แก้ม มันร้อนจริงๆครับ เสียงหัวใจก็ดังน่าหนวกหูชะมัดยาก



    “.... ก็..เอ่อ..... ไม่รู้ .. ก็ดี..... มั้ง.. เฮ้ย!อะไรวะ มึงถามกูแบบนี้รอบสองแล้วนะ”


    ผมรีบเปลี่ยนประเด็นเป็นเอะอะ ภูมินทร์กำมือแน่นบ่นพึมพำจับประโยคไม่ได้กับตัวเอง  “แค่บอกว่าไม่ชอบ..  แค่ถ้ามึงบอกว่าไม่ชอบมัน.....”


    “..............”


    “จูบกันแล้วใช่ไหม?”


    จู่ๆก็หันหน้ากลับมาโพล่งถามเล่นเอาผมสะดุ้ง  จะให้ตอบยังไง เออ จูบแล้ว ไม่ได้ใช้ลิ้นแต่ใจสั่นเหี้ยๆ  เหอะ... ไม่มีทางซะหรอก ผมเม้มปากเข้าหากันไม่ยอมตอบกลับทำให้ภูมินทร์หงุดหงิดมากกว่าเก่า มันปาบุหรี่ทิ้งทั้งๆที่ไม่ดับไฟ ถ้าไฟไหม้คอนโดกูจะเป็นพยานปากที่1เลยว่าเพราะมึง ไอ้บ้าเอ๊ย! ประสาทอะไรขึ้นมา ทำท่ายังกับหึง



    “เฮ้อออ!!”


    พระเอกหนุ่มถอนหายใจหนักๆเสร็จมันก็หมุนตัวกลับ เดินลิ่วออกจากห้องผมไป ไม่ชอบครับความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบที่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธแต่ไม่รู้ว่าโกรธเรื่องห่าเหวอะไร ยิ่งมั่นใจมากว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดยิ่งต้องรีบเคลียร์ เดินตามพอทันคว้าไหล่คนเจ้าอารมณ์ไว้ได้ก็ดึงตัวมันกลับมา มินทำท่าเหวี่ยงรำคาญที่ผมไปวุ่นวายใส่ แล้วปัดมือผมออกแต่ไม่มองหน้า



    “มึงเป็นอะไร?”


    “เรื่องของกู”


    “ไอ้เชี่ยมิน อย่างี่เง่าได้ไหม? โกรธอะไรกู”


    “ไม่ต้องแคร์กูหรอก กูไม่ใช่พี่เอิร์ธของมึง”


    “มึงไม่พอใจที่กูให้พี่เอิร์ธจูบแต่ไม่ให้มึงจูบอะดิ หึ”


    พี่เมบอกบ่อยๆว่ามินมันขาดความอบอุ่น ผมผลักคนโตแต่ตัวไปชิดประตู เขย่งเท้านิดเดียวก็ชนปากกับมันพอดีให้จบๆเรื่อง แต่ตอนถอยออกกลับเหมือนเดจาวู แผ่นหนังเรื่องเดิมวนมาฉายซ้ำ ภูมินทร์ลอคคอผมแน่น บดกลีบปากเข้าเบียดชิด ใช้แขนข้างที่ว่างดึงเอวเกี่ยวให้แนบสนิทกับตัวมัน ก่อนเอียงคอให้ช่องว่างระหว่างใบหน้าแคบลงอีก ปลายลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาอย่างเร่งเร้า เขี้ยวคมงับเบาๆที่ปากล่างผมแล้วดูดกลีบปากกลืนเข้าไปในโพรงปากอุ่นของมันจนที่เจ็บกลายเป็นชาทั้งปาก พลั้งมือทุบหลังมันแรงๆให้ยอมปล่อย



    “ไอ้เด็กมีปัญหา...”


    ผมด่าเมื่อเป็นอิสระ มือใหญ่ของดาราดังยังโอบรอบสะโพกผมอยู่ไม่ยอมปล่อย คราวนี้เจ้าของรูปหน้าหล่อจุดยิ้มที่มุมปากแทนที่จะบึ้งตึงเหมือนทีแรก “ใครกันแน่ที่ เด็ก...”


    “มึงไง! เชี่ย! “


    “จูบเมื่อกี๊ก็รู้แล้วสัตว์ว่าใครเด็ก”


    ผมตวัดตามองมัน ขืนตัวเองออกจากแขนที่พันธนาการไว้แต่ไอ้มินยังรั้งอยู่ มันดึงผมเข้าไปกอดแล้วใช้คางเกยกับบ่า ทันทีที่เนื้อแนบลงมาผมได้ยินเสียงหัวใจเต้น ตึกตัก ตึกตัก ไม่ใช่ของผมแน่ล่ะ มันสะเทือนอยู่เหนืออกด้านขวาผม แน่นอน มันลั่นมาจากอกด้านซ้ายของภูมินทร์ ซึ่งผมไม่เข้าใจหรอกว่าที่มันเต้นแรงนี่เพราะอะไร เพราะโกรธ หรือเพราะกอด?



    “เชี่ยเอ๊ย แล้วย้ายมาอยู่ข้างห้องกู นี่กูไม่ต้องเลี้ยงลูกแหง่ของพี่เมไปจนกว่ามันจะมีเมียเป็นตัวเป็นตนเหรอวะ?”


    “ลูกแหง่เหี้ยอะไร กูโตแล้ว”


    “โตกะผี เหมือนกูมีลูกโดยที่ยังไม่มีเมีย”


    “อย่างมึงต้องการผัว”


    “สัตว์!”


    ผมด่าเสียงขรม มินยังกอดผมอยู่นาน นานจนผมต้องเป็นคนบอกให้มันปล่อยสักที ทว่าพอคลายแขนออกมันกลับจ้องหน้าผมนิ่ง เหมือนอยากพูดและไม่อยากพูดอะไรพอๆกัน



    “มึงมีอะไรหรือเปล่า?”


    “ก็ไม่เชิง...”


    ภูมินทร์มองพื้นแล้วเหลือบตาขึ้นมองผม จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองพื้นใหม่



    “มึงคิดว่ากูเป็นยังไง?”


    “มึงน่ะเหรอ? งี่เง่า เอาแต่ใจ ปัญญาอ่อน แต่เสือกเจ้าชู้ ถามจริงๆ มึงเป็นคนสองบุคลิกปะวะ?”


    “กูเนี่ยนะเจ้าชู้? เปล่าสักหน่อย”


    “สาบาน?”


    “กูแค่ไม่อยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว”


    ผมบอกแล้ว ว่ามันเป็นเด็กมีปัญหา อันที่จริงไม่ใช่จากนิสัยหรือพี่เมเคยบ่นเรื่องมินให้ฟังหรอกครับ ช่วงที่คบกับพี่สาวมันก็พอจะรู้พื้นเพมาบ้าง พี่เมโตมากับยายที่เป็นคนไทยแท้ๆ ช่วงปิดเทอมจะบินไปอิตาลีบ้าง พ่อพี่เมเป็นลูกครึงอิตาลี ญี่ปุ่น รวมๆคือเชื้อเอเชียแรง เชื้อไทยใหญ่สุด ทว่าพ่อแม่เสือกปักหลักกันอยู่เมืองนอก บ้านพี่เมทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่ช่วงภูมินทร์เข้ามัธยมก็มีปัญหา แม่ถูกยิงพ่อเลยส่งมินมาอยู่ไทยกับพี่เม ตอนนั้นยายที่เลี้ยงพี่เมเสียแล้วครับเลยใช้ชีวิตกันสองคนพี่น้อง ส่วนเด็กน้อยภูมินทร์เนี่ยไม่รับรู้อะไรกับเขาหรอก ทั้งเรื่องที่แม่ตายและทำไมถึงถูกส่งมาอยู่กับพี่สาวที่ไม่สนิทกันในไทย ทั้งที่เรื่องก็แค่ประมาณนี้ แต่ไอ้หล่อเขี้ยวคมเสือกทำตัวให้มีปัญหาอย่างที่เห็น ชอบโวยวายว่าไม่มีใครรักตลอด

    ผมยีหัวมันแรงๆตอนที่ภูมินทร์ทำหน้าเบ้แต่มันกลับเบี่ยงตัวออกไม่ยอมให้จับ



    “มึงชอบทำเหมือนกูเป็นเด็กๆ”


    “ก็มึงเด็ก”


    “ใจคอมึงจะมองกูแค่เด็กที่เป็นน้องพี่เมตลอดไปเลยว่างั้น?”


    ฉุนเหี้ยอะไรขึ้นมาอีกล่ะ ทำกอดอกแล้วเบือนหน้าหนี ผมเลยยื่นมือไปตบบ่ามันเบาๆ “กูเลื่อนตำแหน่งให้ก็ได้เอ้า เป็นเพื่อนกูอีกอย่าง โอเคไหม?”


    “ไม่....”


    “ไอ้สัตว์ อย่าเรื่องมาก กูยอมลดตัวมาเป็นเพื่อนมึงก็บุญแค่ไหนแล้ว อย่าเล่นตัว ครวย”


    ภูมินทร์ไม่ตอบเอาแต่ทำหน้ามุ่ย ผมหัวเราะร่วนกับท่าทางของมัน ไม่รุ้ว่าถือเป็นความสงสาร ความเห็นใจ หรืออะไรก็ตาม แต่ลึกๆถ้ามันมองไม่เห็นใครผมก็อยากให้มันคิดว่ายังมีผมเป็นเพื่อน ไอ้โรคขี้เหงาจะได้ทุเลาไปบ้าง พูดอีกก็วนกลับไปที่เก่าคือถึงอายุเราจะเท่ากันแต่ผมมองว่ามันเป็นเด็ก เด็กที่เราต้องใส่ใจ เด็กที่เราต้องดูแล หรือไม่เปรียบอีกอย่างมันคงเป็นฮัสกี้บ้าพลัง บางทีก็ต้องปล่อยมันดื้อให้หายประสาทแดกแล้วคอยดูมันอยู่ห่างๆ แต่เอาเถอะ..ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตามมันก็ทำให้ผมยืนจับมือมันอยู่ตรงนี้ ยิ้มให้มันอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง



    “เฮ้อ....” ภูมินทร์ยกมือขึ้นยีหัวตัวเองหลายๆรอบ มันเดินวนรอบผมแล้วบ่นงึมงัมอะไรจับประเด็นไม่ได้ สักพักก็หยุดชี้นิ้วตรงหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด หน้าตามันดูเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจทำเอาผมหัวเราะออกมาอีกรอบ “เดี๋ยวเถอะ มึงน่ะ...”


    “อ้าว เหี้ยอะไรอีกวะ”


    “ช่างแม่ง!”


    ไอ้หล่อตะเบ็งเสียงหัวเสีย สุดท้ายมันก็เดินออกไปจากห้อง ผมเดินมาส่งมันแต่ภูมินทร์กลับชะงักฝีเท้าก่อนข้ามพ้นธรณีประตู ด้วยความสงสัยผมเลยชะโงกหน้าออกไปด้านนอกเพื่อดูว่ามีเหตุการณ์อะไรก็พบผู้ชายสวมชุดนิสิตรูปร่างสูงโปร่งแต่เล็กกว่าตัวเองพอสมควรยืนอยู่หน้าประตูห้องติดกัน ตากลมแก้มใสจนเป็นสีชมพูระเรื่อ สบตาไอ้มินด้วยแววตาตัดพ้อแล้วหมุนตัวหนี ภูมินทร์กลืนน้ำลายดังจนได้ยินเสียงอึกใหญ่ๆก่อนวิ่งไปคว้าแขนเด็กที่ว่าไว้ ตะโกนเรียกเสียงเข้ม



    “เจมส์ เดี๋ยว!”


    “พอเถอะ”


    “มันไม่ใช่แบบที่เจมส์เข้าใจ ฟังพี่ก่อน”


    “เจมส์ลืมของไว้ในห้อง จะโทรบอกพี่ให้เอาไปให้ที่กองพรุ่งนี้แต่พี่มินก็ไม่รับ พอมาถึงคอนโดกลับออกมาจากห้องใครก็ไม่รู้จะให้เจมส์เข้าใจยังไง”


    ไอ้เด็กที่ว่าทุบอกภูมินทร์ซ้ำๆ ผมยืนมองจากตรงนี้ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ภูมินทร์ดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแต่เด็กที่ชื่อเจมส์ยังดิ้นขลุกขลัก



    “คนนี้ใช่มั้ยที่ครั้งก่อนพี่มินก็เบี้ยวนัดเจมส์”


    “เจมส์...มัน ไม่มีอะไร...”


    “พูดความจริงกับเจมส์ก็ได้! ไม่เห็นต้องหลอกกันเลย!”


    “ไม่เอาเจมส์ ไปคุยกันในห้องนะ พี่อธิบายได้..”


    ผมมอง มองโดยที่ขาไม่อาจก้าวขยับไปไหน ภาพของมินที่ประคองเด็กหนุ่มเดินกลับมาตามทางจนถึงหน้าประตูห้องที่อยู่ติดกันทำเอาผมรู้สึกหายใจขัดๆ ภูมินทร์เงยหน้ามาสบตาผมนิดเดียวแล้วมันก็หลบวูบ ดันร่างของคนตัวเล็กๆที่จ้องผมเขม็งเข้าห้อง เสียงเอ็ดตะโรเงียบไปพร้อมบานประตูที่ปิดลง ทิ้งไว้ที่ผมที่ยกมือขึ้นลูบหน้าด้วยหัวใจหวิวๆ


    ทั้งที่มันเป็นเรื่องปกติที่คนเป็นแฟนกันจะง้องอนหรือตระครองกอดกันไปแบบนั้น

    ไอ้มินมีแฟน เรื่องนี้ผมก็รู้ดี...


    แต่ผมกลับรู้สึกอื้ออึงอยู่ในหู กระพริบตาปริบในความเงียบงันของรัตติกาลเพียงลำพังอย่างไร้เหตุผล


    แค่เพียงเห็นคาตาว่า... 




    ที่จริงคนที่สำคัญสำหรับภูมินทร์ ไม่ใช่ผมเลย




    เช้าวันใหม่ผมตื่นมาตามเวลาปกติเพราะสายเรียกเข้าจากคนที่ไม่ได้คุยกันเมื่อคืนปลุกผมไปทำงาน และจบท้ายบทสนทนารับรุ่งอรุณด้วยประเด็นหลังเลิกงานวันนี้ต้องไปชอปปิ้งเป็นเพื่อนมันที่พารากอนก่อนจะถูกปล่อยให้ไปอาบน้ำอาบท่า หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมก็เอาผ้าเช็ดตัวมาตากไว้ที่ราวริมระเบียงเหมือนทุกๆวัน แต่กลิ่นไหม้ของมวนกระดาษที่ลอยคละคลุ้งแปลกจมูกไปกว่าทุกที

    ควันสีขาวของบุหรี่กลิ่นผลไม้ลอยเอื่อยเฉื่อยขณะที่สะบัดผ้าตาก ปกติภูมินทร์ดูดบุหรี่เมนทอลเหมือนๆกันครั้งนี้เลยรู้ว่าไม่ใช่คนเดิมที่กำลังพ่นคาบอนไดออกไซด์อยู่ข้างนอก เด็กผู้ชายตัวเล็กสวมเสื้อกล้ามผิดไซส์หลวมโครกยืนท้าวระเบียงอยู่ ท่อนล่างมีบ็อกเซอร์ขนาดพอดีตัวปิดไว้ ให้เห็นขาอ่อนขาวจัด กับผิวอกที่ประปรายด้วยร่องรอยแห่งสงคราม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเมื่อคืนคงรับศึกหนักพอตัว



    “อรุณสวัสดิ์ครับ"


    เสียงกุกกักตอนขยับพาดผ้าเช็ดตัวกับราวคงดังรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ น้องมันเลยหันหน้ามาทักผม คราวนี้พอได้เห็นชัดๆเลยมั่นใจว่าเด็กไอ้มินเป็นนายแบบโฆษณาบางตัวที่ออนแอร์อยู่ช่วงนี้ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเหมือนผู้หญิง ปากเล็กๆแดงๆสมกับเป็นคนที่ไอ้หล่อมันจะเลือก



    “อรุณสวัสดิ์ เคลียร์กันแล้วนะเมื่อคืน?”


    “ครับ เจมส์ไม่รู้ว่าพี่กันต์เป็นแฟนเก่าพี่เม เมื่อคืนพี่มินอธิบายหมดแล้ว ขอโทษครับพอดีเจมส์คิดมากไป”


    “มีอะไรก็คุยกันดีๆแล้วกัน”


    “ครับ” ไอ้เด็กที่ว่ารับคำสั้นๆ มันอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งแล้วพ่นควันออกพร้อมประโยคถัดมา “เจมส์เพิ่งนอนกับพี่มินไปตอนบ่ายเมื่อวาน พอค่ำๆโทรมาไม่รับแล้วมาเห็นอะไรแบบนี้ที่คอนโดเลยนอตหลุดน่ะ แอบกลัวว่าจะถูกฟันแล้วทิ้ง” 


    ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับเรื่องของมัน อันที่จริงผมไม่เคยถาม ไม่กล้าถามถึงความสัมพันธ์ทางชู้สาวของภูมินทร์เลยสักครั้ง คิดตลอดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าผมจะเสือกไปรู้สึกเหนียวๆน้ำลายเวลาคุยกับเด็กของมันทำไม พักเดียวประตูบานเลื่อนของห้องข้างๆก็เปิดออก ภูมินทร์มีผ้าเช็ดตัวสีครีมผืนเดียวพันเอวไว้ ส่วนอกแกร่งๆก็ลายพร้อยไม่แพ้ไอ้ตัวขาวที่ยืนอยู่ก่อน ผมเบือนหน้าหนี โดยไม่รู้อีกว่าทำไมถึงไม่ค่อยอยากเห็นภาพแบบนั้นสักเท่าไร



    “ตื่นแล้วทำไมไม่เรียกพี่ล่ะครับ”


    คนพูดยังมีท่าทางงัวเงียไม่หาย มันสวมกอดเด็กตัวเองจากด้านหลังทั้งๆที่ตาปิดอยู่ ภูมินทร์เป็นแบบนี้ เป็นคนขี้อ้อน แปลกที่เมื่อก่อนเห็นมันอ้อนพี่เมก็ไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไร แต่พอเห็นภาพที่มินอ้อนแฟนกลับรู้สึกตีบขึ้นในอกชอบกล



    “พี่มิน เจมส์คุยกับพี่กันต์อยู่ อายเพื่อนนะ”


    เด็กตัวเล็กพูดเรียกสติ คราวนี้ไอ้มินตาสว่างครับ เบิกตาขึ้นมองผมพรวดแล้วทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ส่วนตัวเองก็ไม่รู้จะทักมันยังไง ‘สบายตัวไหมมึง, เมื่อคืนกี่ยก..’ แหม มันก็ใช่ที่ ความรู้สึกแปลกๆยังลอยฟุ้งอยู่ข้างใน เสียใจก็ไม่เชิง โกรธก็ไม่ใช่ เห็นภาพตรงหน้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าบาดตาอะไร มันเหมือนเป็นความเฟลนิดๆที่ผมไม่รู้ว่าตัวเองเฟลเหี้ยอะไรกันแน่ เลยเลือกที่จะเงียบแล้วหันมาพูดกับน้องแทน



    “เดี๋ยวพี่ออกไปทำงานแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะเจมส์”


    ผมยิ้มแบบไร้จุดหมาย เจมส์โบกมือบายส่วนคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังผมกลับยกมือขึ้นทำท่าบุ้ยใบ้ว่าเดี๋ยวจะโทรหา ผมพยักหน้ารับ ถอนหายใจยาวๆหนึ่งทีแล้วเลือกที่จะเดินจากมา

    อรุณสวัสดิ์เช้าวันพฤหัสสีชมพู



    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×